คุณหมอศัลยกรรมและหมอ oncology บอกว่าเป็นเรื่องดีที่มี ER positive เพราะง่ายต่อการรักษาและตามรอยโรค

เวบนี้จะอธิบายตัวรับสัญญาณทั้ง 3 ชนิด และบอกความดุร้ายของเซลล์มะเร็งว่าเราจะมีความเสี่ยงต่อการกลับมาเป็นซ้ำ (recurrent) มากน้อยแค่ไหน 

หลังผ่าตัดที่ต้องทำแน่ๆ คือการฉายรังสี (ถ้าตัดออกทั้งเต้าไม่ต้องฉายแสง) ส่วนเคมีบำบัดต้องดูค่า ki-67 (การแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง) เนื่องจากก้อนมีขนาดน้อยกว่า 0.5 ซม. ถ้า ki-67 เป็นบวกน้อยกว่า 14% ไม่ต้องให้เคมีบำบัด ถ้า 14% ขึ้นไปต้องให้เคมีบำบัด รอผลตรวจ 1 สัปดาห์ ลุ้นมากๆ.....และผลที่ออกมา.....positive 5% ไม่ต้องให้เคมีบำบัด ฉายรังสีและกินยา tamoxifen สำหรับต้านฮอร์โมน ER ทุกวัน เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งการกิน tamoxifen ก็มีผลข้างเคียงเช่นกัน แม้จะมีผลข้างเคียงแต่เป็นประโยชน์มากกว่า

การกินยา tamoxifen มีความเสี่ยง (ต่ำ) ต่อมะเร็งในเยื่อบุโพรงมดลูก ดังนั้นต้องมีการตรวจเช็คทุกปี

แผนการรักษาแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับตัวรับฮอร์โมนและ Ki-67

ผลสรุป เซลล์มะเร็งเต้านมที่เจอมีความดุกลางๆ ไม่ได้ดุร้ายมาก

การฉายรังสีจะเริ่มหลังผ่าตัดไปแล้วประมาณ 6 สัปดาห์ ซึ่งคุณหมอต้องดูว่าการยกแขนด้านผ่าตัดเป็นอย่างไร แผลผ่าตัดโอเคมั้ย?

การฉายรังสีมี 2 แบบ คือ ปริมาณต่ำ ระยะเวลาฉายมากกว่า (25 ครั้ง และเฉพาะจุดอีก 5 ครั้ง) หรือ ปริมาณสูง ระยะเวลาฉายสั้นกว่า (15 ครั้ง และเฉพาะจุดอีก 5 ครั้ง)....ผลสรุปต้องฉายปริมาณต่ำ จำนวน 30 ครั้ง เนื่องจากมีหัวใจโต เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อหัวใจในอนาคต

การฉายรังสีจะทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำลง ดังนั้นระหว่างฉายรังสีต้องดูแลตัวเองดีๆ เช่นกินไข่ต้มโดยกินเฉพาะไข่ขาวมื้อละ 3-4 ฟอง จะช่วยเรื่องเม็ดเลือดขาวต่ำได้ พักผ่อนเยอะๆ ดื่มน้ำวันละ 2-3 ลิตร เป็นต้น

ความเข้าใจเกี่ยวกับรังสีรักษาและการปฏิบัติตน

เทคนิคการฉายรังสีในปัจจุบัน