ยกตัวอย่างกรณีคู่รักคู่หนึ่งระหว่างคนและตุ๊กตายางที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในอเมริกาซึ่งเคยออกในรายการ Documentary Silicone Soul ซึ่งเป็นคู่ของจอห์นชายวัยกลางคน อายุ 53ปี ซึ่งอาศัยอยู่ที่แคลิฟอเนียฝั่งตะวันตก จอห์นทำงานเป็นพนักงานขับรถให้กับบริษัทแห่งหนึ่งในแคลิฟอเนีย เพื่อนร่วมงานของจอห์นเล่าให้ฟังว่า " จอห์นนั้นก็เหมือนพนักทั่วไป ร่าเริงแจ่มใสและเป็นมิตรกับทุกคน แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เค้าดูแปลกและแตกต่างจากคนทั่วไปก็คือ ในทุกๆวันจอห์นมักจะนำภรรยาของเค้ามาทำงานด้วย ภรรยาของจอห์นชื่อว่า แจ็คกี้ ซึ่งแจ็คกี้นั้นจะนั่งอยู่แต่บนรถเข็น ไม่พูด ไม่สามารถขยับตัวได้ เพราะภรรยาของจอห์นก็คือตุ๊กตายางของเขานั่นเอง" เพื่อนร่วมงานจอห์นเล่าต่อว่า " จอห์นนั้นปฏิบัติกับตุ๊กตายางของเค้าเหมือนกับคู่รักสามีภรรยาทุกอย่าง ในวันสำคัญๆจอห์นมักจะพาภรรยาของเค้าไปเดทที่ร้านอาหารหรูๆภายในเมือง"
Documentary Silcone Soul ได้มีโอกาศไปสัมภาษณ์พนักงานบริการในร้านอาหารที่จอห์นมักจะพาภรรยาของเค้ามารับประทานที่นั่น พนักงานเล่าให้ทางรายการฟังว่า " จอห์นมักจะสั่งอาหารมาให้ภรรยาของเค้าด้วยไม่ได้สั่งให้เฉพาะตัวเอง และก็มีการพูดคุยกับภรรยาของตัวเองตลอดเวลาในระหว่างที่เดทกันในร้านอาหารแห่งนี้ บ่อยครั้งในวันสำคัญๆพนักงานมักจะได้รับโทรศัพท์จากลูกค้าท่านอื่นเพื่อทำการจองที่นั่งใกล้ๆกับคู่ของจอห์น พนักงานเล่าว่า นี่คงเพราะว่าเป็นความอยากรู้อยากเห็นของลูกค้าคนอื่นที่อยากรู้ว่าจอห์นปฏิบัตตัวกับภรรยาตุ๊กตายางอย่างไร ราวกับเป็นเรื่องสนุก"
จอห์นได้เล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเค้ากับทางรายการว่า ตัวเองนั้นเคยแต่งงานมาก่อน แต่ในระหว่างการแต่งงานนั้นมักจะมีเรื่องทะเลาะระหองระแหงกับภรรยาและไม่มีความสุขจนกระทั่ง 8ปีผ่านไป จึงได้หย่าล้างกับภรรยาตัวเอง ตัวจอห์นเองนั้นได้เริ่มรู้จักตุ๊กตายางครั้งแรกจากการแนะนำของหลานชาย ซึ่งนั่นก็ทำให้จอห์นสนใจที่จะครอบครองตุ๊กตายาง และเริ่มเก็บเงินเพื่อที่จะซื้อมาไว้ครอบครองสักตัว เนื่องจากร้านขายตุ๊กตายางที่หลานชายจอห์นแนะนำนั้นเป็นร้านระดับท็อปๆ ราคาสินค้าแต่ละแบบมีราคาค่อนข้างสูงเลยทีเดียว จอห์นเองต้องทำงานอย่างหนัก และเริ่มเก็บเงิน จนกระทั่งสามารถซื้อรุ่นที่ตัวเองต้องการมาครอบครองได้สำเร็จ ซึ่งรุ่นนี้มีราคาแพงถึง $7000 ครั้งแรกที่จอห์นเห็นแจ็คกี้ จอห์นเล่าให้ Documentary Silicone Soul ฟังว่า ตัวเค้านั้นรู้สึกพอใจอย่างมากและตกหลุมรักแจ็คกี็ในทันที เค้าเริ่มปฏัติกับแจ็คกี้เหมือนกับภรรยาตัวเอง มีการพูดคุย(คุยคนเดียว) ซื้อเสื้อผ้าหลากหลายรูปแบบให้ จัดพื้นที่ส่วนตัวให้กับแจ็คกี้ และมีพาไปเดทตามร้านอาหารหรูๆเนื่องในวันสำคัญๆ เช่น วันวาเลนไทน์ เป็นต้น และจอห์นก็พาแจ็คกี้ไปที่ทำงานทุกวัน จนกลายเป็นความเคยชิน และเพื่อนร่วมงานตอนนี้ก็รู้สึกคุ้นเคยกับแจ็คกี้เป็นอย่างดี
จอห์นเล่าให้ฟังว่าตอนนี้แจ็คกี้เหมือนเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเค้า "ตอนแรกผมเพียงแค่ต้องการตุ๊กตายางเพื่อวัตถุประสงค์เหมือนกับชายคนอื่นๆทั่วๆไป แต่ตอนนี้มันเป็นมากกว่าแค่ตุ๊กตายางแต่มันคือภรรยาของผม" จอห์นกล่าวไว้ แจ็คกี้ช่วยเติมเต็มชีวิตของตนในทุกๆวัน มันทำให้เค้าไม่รู้สึกเหงาอีกต่อไปราวกับว่าตอนนี้ตัวเค้าไม่ได้อาศัยอยู่คนเดียวอีกต่อไป จอห์นพูดว่าตัวเค้าเองก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเค้ากับแจ็คกี้นั้นมันดูแปลกประหลาด แต่ความแปลกประหลาดนี้ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ดีทุกครั้งเสมอไป เค้าพูดว่ามันจะเป็นอะไรไปในเมื่อมันทำให้คนๆหนึ่งมีความสุขและก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับใคร
อีกเรื่องเป็นเรื่องราวชาวชายชาวเมืองดีทรอยประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่อว่าเดฟแคท เดฟแคทเล่าให้กับ Documentary Silicone Soul ว่าตัวเองนั้นมีตุ๊กตายางอยู่หลายตัว โดยเริ่มแรกเค้าเพียงต้องการเพียงแค่ตัวเดียว เนื่องจากเค้ามีภรรยาที่ป่วยและไม่สามารถตอบสนองความต้องการทางเพศกับเค้าได้ เค้าจึงเอ่ยปากขอภรรยาในการซื้อตุ๊กตายาง ซึ่งภรรยาเค้าก็เห็นด้วยกับเค้า ต่อมาจึงเริ่มมีการซื้อเพิ่มเติมจนกระทั่งในปัจจุบันนี้เค้ามีมากมายหลายตัว ซึ่งก็เก็บในห้องที่ภรรยาเค้าอยู่ เพื่อช่วยให้ภรรยาตนรู้สึกว่าเหมือนมีเพื่อนอยู่ข้างๆจะได้ไม่รู้สึกเหงาเวลาที่ตัวเองต้องออกไปทำงาน เดฟแคทเล่าว่า ทุกวันนี้เค้ามีความรู้สึกว่าตุ๊กตายางเหล่านี้มันไม่ใช่แค่วัตถุ แต่มันมีชีวิตจิตใจ มันคือเพื่อนหรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นภรรยาของเค้าก็ว่าได้ หลายคนหากรู้เรื่องนี้อาจจะมองเค้าแปลกๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วเค้ากลับมองว่าสิ่งที่เค้าทำเป็นเรื่องที่ถูกต้องน่าชมเชยเสียอีก เพราะบางคนพอภรรยาป่วยหรือไม่สามารถตอบสนองในเรื่องอย่างว่าได้ อาจเลือกที่จะหย่าหรือไปมีอะไรกับผู้หญิงคนอื่น แต่ตัวเค้าสามารถหาทางออกให้กับตัวเองและรักษาชีวิตคู่เอาไว้ได้
อีกหนึ่งความรักระหว่างคนกับตุ๊กตายาง แต่เรื่องนี้เป็นฝั่งเอเชียกันมั่ง เรื่องราวนี้เป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างชายชาวญี่ปุ่นนามว่า มาซายูกิ โอซากิ อายุ 45 ปี โอซากิ เล่าว่า ตัวเค้านั้นแต่งงานมาก่อนและมีลูกหนึ่งคนกับภรรยาคนเก่า แต่ภายหลังจากคลอดลูกภรรยาตัวเองก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่ยอมมีอะไรกับเค้า และเริ่มเห็นแก่ตัว นั่นเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ตัวเค้าเริ่มรู้สึกเหงาและต้องการใครสักคนที่เค้าสามารถพูดคุยด้วยได้อย่างจริงใจ ตอนหลังเผอิญว่าตัวเค้ามีโอกาศไปเจอร้าน ขายตุ๊กตายาง ซึ่งมายูตั้งอยู่ในนั้น มันทำให้เค้าหลงรักตุ๊กตายางตัวนี้ในทันทีและตัดสินใจที่จะซื้อมันมาในราคา $6000เหรียญ ซึ่งสาเหตุนี้ก็ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเค้ากับครอบครัวร้าวฉานยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากทั้งภรรยาและลูกของโอซากิไม่เห็นด้วยและมักจะทะเลาะกับเค้าในเรื่องนี้เป็นประจำ แต่โอซากิเองก็ไม่ได้สนใจเนื่องจากเค้าเล่าว่า ตัวเองไม่มีทางที่จะทิ้งมายู เพราะมายูไม่เคยทิ้งตัวเอง เค้ากล่าวเสริมว่าทำไมเค้าจะต้องทิ้งมายูที่คอยฟังเค้ารักเค้าเพียงเพื่อจะกลับไปหามนุษย์จริงๆที่วันๆคอยเอาแต่บ่นๆๆ ทั้งๆที่ตัวเค้านั้นทำงานมาเหนื่อยแสนเหนื่อยหาเงินเข้าบ้าน
เซนจิ นาคาจิม่า ก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งตกหลุมรักกับตุ๊กตายางของตัวเองที่ชื่อว่า ซาโอริ ตัว เซนจิ นั้นเป็นนักธุรกิจวัยกลางคน อายุ 62ปี ซึ่งปัจจุบันมีลูกสองคน หลังจากที่ได้เลิกลากับภรรยาเก่าไป เซนจิ เล่าให้ทีมข่าง เดลี่นิวส์ ฟังว่า ตัวเค้านั้นนับจากที่เลิกกับภรรยาก็ไม่เคยได้ออกเดทกับมนุษย์ผู้หญิงจริงๆเลย และก็ไม่คิดจะทำด้วย เพราะตอนนี้เค้ามีซาโอริแล้ว เซนจิ พูดว่า เค้าไม่คิดที่จะกลับไปเดทกับคนจริงๆ เพราะมนุษย์นั้น ไม่มีความจริงใจ โลภมาก หวังในทรัพย์สินของตัวเอง แต่ไม่เหมือนกับซาโอริ ซึ่งไม่มีทางที่จะเป็น เช่นนั้น เค้าไม่ต้องมาคอยกังวลใจในเรื่องนี้ นอกจากนั้นซาโอริยังเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่เคยแสดงอาการเบื่อหน่ายเวลาที่เค้าปรับทุกข์ตัวเค้าตอนนี้ใช้ชีวิตและปฏิบัติกับซาโอริเหมือนกับภรรยาของเค้าจริงๆ มีอาบน้ำด้วยกัน ไปเที่ยว หรือแม้แต่ไปภัตคาร บ่อยครั้งที่เค้าก็พาซาโอริไปด้วย
ปัจจุบันสังคมมนุษย์เราก็เริ่มจะเข้าสู่โลกแห่งการอยู่แบบตัวใครตัวมันมากขึ้น บางคนไม่อาจปรับตัวเข้ากับคนอื่นๆในสังคมได้ หรือบางทีการทีตัวเราไม่เอาใจใส่คนรอบข้างหรือคิดถึงแต่ตัวเอง ก็อาจจะเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ความรักระหว่างตุ๊กตายางมากขึ้น ในอดีตเราคงไม่เคยได้ยินความสัมพันธ์แนวนี้ แต่ปัจจุมักจะมีออกมาเป็นข่าวเรื่อยๆ ซึ่งไม่แน่ว่าในอนาคตความสัมพันธ์แนวนี้ระหว่างคนกับตุ๊กตายางจะกลายเป็นเรื่องปกติที่เห็นได้ทั่วไป หรืออาจถึงขั้นนมาแทนความสัมพันธ์ระว่างหญิงชายจริงๆก็ได้ใครจะไปรู้...
