Home, แจ้งลิงค์เสีย-ติชม-สอบถาม ตรงนี้เท่านั้น, ตั้งเวปเป็นหน้าแรก
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต - ภิกษุมั่น

<< หน้าที่แล้ว [ HOME ] หน้าถัดไป >>


ภิกษุมั่น

ต่อมา เมื่อท่านมั่นอายุได้ 22 ปี ท่านได้สละเพศฆารวาสเข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2436 ที่วัดสีทอง โดยมีพระอริยกรี (อ่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสีทาเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครู่ประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอุปัชฌาย์ให้ฉายาว่า "ภูริทัตโต"

เมื่ออุปสมบทแล้วท่านพระภิกษุมั่นได้ไปฝากตัวเรียนวิปัสนากรรมฐานที่สำนักวัดเลียบในเมืองอุบลราชธานี โดยมีท่านพระอาจารย์เสาร์กนฺตสีโลเป็นพระอาจารย์สอนวิปัสสนา

การเข้าฝึกวิปัสสนากรรมฐานนี้ ท่านพระภิกษุมั่นได้ยึดเอาคำ "พุทโธ" เป็นคำบริกรรมภาวนาสมถะกรรมฐาน เพราะท่านชอบคำ "พุทโธ" นี้อย่างกินใจลึกซื้งดื่มด่ำเป็นพิเศษมากกว่าบทธรรมอื่น ๆ

และในเวลาต่อมาจวบกระทั่งตลอดชีวิตของท่านก็ได้ยึดเอาคำ "พุทโธ" นี้ใช้บริกรรมประจำใจในอริยาบทต่าง ๆ ในการเจริญวิปัสสนาทุกครั้งไป เมื่อถือเพศสมณะอย่างเต็มภาคภูมิแล้วท่านก็ตัดขาดทางโลกอย่างสิ้นเชิงไม่แลเหลียว

ความคึกคะนองในสมัยเป็นหนุ่มไม่มีหลงเหลืออยู่เลย กลับกลายเป็นคนละคนทีเดียว ท่านเต็มไปด้วยจริยาอันสำรวมเคร่งครัดในพระธรรมวินัยอย่างยิ่งยวด ไม่มีวอกแวกยึดถือธรรมธุดงควัตรอย่างเหนียวแน่นเอาเป็นเอาตาย ด้วยใจรักอันเด็ดเดี่ยวไม่ให้มีผิดพลาดได้แม้แต่นิดเดียว สืบมาตลอดชีวิตอันยาวนานของท่าน จนถึงวาระสุดท้ายเข้าสู่พระนิพพานอันเป็นแดนเกษม

ธรรมธุดงควัตรที่ท่านยึดถือเป็นข้อปฏิบัติมี 7 ข้อคือ

1. ถือ ผ้าบังสุกุลเป็นเครื่องนุ่งห่ม เมื่อชำรุดเปื่อยขาดไปก็เย็บปะชุนด้วยมือตนเอง ย้อมเองเป็นสีแก่นขนุนหรือสีกรัก ซึ่งเป็นสีน้ำตาลเข้ม ไม่ยอมรับคหปติผ้าไตรจีวรสวย ๆ งาม ๆ ที่ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายถวายด้วยมืออย่างเด็ดขาด

2. ออก บิณฑบาตรทุกวันเป็นประจำ แม้จะป่วยไข้ก็ต้องพยายามพยุงกายออกบิณฑบาตร ยกเว้นเฉพาะวันที่ไม่ขบฉันอาหารเพราะเร่งบำเพ็ญเพียรภาวนากรรมฐานด้วยความเพลิดเพลินอาจหาญร่าเริงในธรรม ซึ่งมีอยู่บ่อย ๆ ที่ท่านเดินจงกลมและนั่งสมาธิ ภาวนาติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันโดยไม่ขบฉันอาหารเลย

3. ไม่ยอมรับอาหาร ที่ญาติโยมพุทธบริษัทตามส่งทีหลัง รับเฉพาะที่ใส่บาตร

4. ฉันมื้อเดียว คือฉันวันละหน ไม่ยอมฉันอาหารว่างใด ๆ ทั้งสิ้น ที่มีอามิสเข้าปะปน

5. ฉันอาหารในบาตร คือมีภาชนะใบเดียว ไม่ยอมฉันในสำรับกับข้าวที่มีอาหารต่าง ๆ อาหารคาวหวานทั้งหลายคลุกเคล้าฉันรวมแต่ในบาตร ไม่ติดใจในรสชาตอาหาร ฉันเพียงเพื่อยังสังขารให้พออยู่ได้ เพื่อเพียงจะได้บำเพ็ญเพียรภาวนาสร้างบารมีธรรม

6. อยู่ในป่าเป็นวัตร ปฏิบัติคือท่องเที่ยวเจริญสมณะธรรมกรรมฐานอยู่ตามร่มไม้บ้าง ในภูเขาบ้าง ในหุบเขาบ้าง ในถ้ำ ในเงื้อมผาอันเป็นที่สงัดวิเวกห่างไกลจากชมชน

7. ถือผ้าไตรจีวรเป็นวัตร คือมีผ้า 3 ผืน ได้แก่ สังฆาฏิ จีวร และสบง (เว้นผ้าอาบน้ำฝนซึ่งจำเป็นต้องมีเป็นธรรมดาในสมัยนี้)

สำหรับธุดงควัตรข้ออื่น ๆ นอกจากที่กล่าวนี้แล้ว ท่านพระอาจารย์มั่นสมาทานและปฏิบัติเป็นบางสมัย แต่เฉพาะ 7 ข้อข้างต้นนี้ท่านปฏิบัติเป็นประจำจนกลายเป็นนิสัย ซึ่งจะหาผู้เสมอเหมือนได้ยากในปัจจุบัน

ท่านมีนิสัยพูดจริงทำจริง ซึ่อสัตย์ต่อตัวเองและผู้อื่น เมื่อตั้งใจจะทำอะไรแล้วต้องทำให้ได้ เรียกว่าถือสัจจะเป็นบารมี แม้จะเอาชีวิตเข้าแลกก็ยอม มีความพากเพียรอย่างแรงกล้า มุ่งหวังต่อแดนหลุดพ้นพระนิพพานอย่างจริงใจ รู้ซึ้งถึงภัยอันน่ากลัวของการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารอย่างถึงใจ ไม่ใช่สักแต่ว่ารู้เฉย ๆ

ท่านรู้จริงเห็นจริงว่า การต้องเกิดแล้วตาย...ตายแล้วเกิด... วนเวียนไปมาเป็นวงจักรไม่มีสิ้นสุดนี้เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องน่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหามบาปหาบทุกข์เปี่ยมแปล้อยู่นั่นแล้วไม่มีที่สิ้นสุด

ยิ่งคิดยิ่งพิจารณาไปก็ยิ่งเห็นเป็นเรื่องน่ากลัวน่าเบื่อหน่ายเหลือประมาณ ชาตินี้เกิดเป็นมนุษย์ ชาติหน้าเกิดเป็นเทวดาเกิดเป็นพรหม พอหมดจากพรหมก็ลงมาเกิดในนรก จากนรกมาเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์ ดิรัจฉาน

วนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ไม่รู้กี่ภพกี่ชาตินับเป็นอสงไขยหรือหลายแสนหลายพันล้าน ๆ ปี เมื่อเกิดแต่ละภพแต่ละชาติก็ต้องใช้บาปกรรมของภพชาตินั้นอย่างถึงพริกถึงขิง ทั้งทุกข์ทั้งสุขอันไร้แก่นสารสาระน่าเบื่อหน่ายจริง ๆ

จะมีก็แค่แดนหลุดพ้นคือ พระนิพพานเท่านั้นเป็นแดนสุขเกษมอย่างแท้จริง นิพพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นแดนสุขอย่างยิ่ง เป็นแดนรอดปลอดจากทุกข์ เป็นแดนของพระวิสุทธิเทพ คือพระอรหันต์ผู้เสวยความสุขที่ยอดเยี่ยมและสูงสง่า

เป็นความสุขสำราญทั้งกาย และใจ ที่สุขล้นพ้นเหนือมหาเศรษฐี เหนือพระราชามหากษัตริย์ เหนือเทวดาและพรหมที่พึงได้รับ เมื่อพระอรหันต์ทิ้งร่างมนุษย์ไปแล้ว รูปก็สูญ เวทนาก็สูญ สัญญาสูญ สังขารสูญ วิญญาณสูญ

แต่จิตยังคงอยู่ เป็นจิตที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้วปราศจากอาสวะกิเลสทั้งหลายทั้งปวง เป็นจิตที่มีดวงสุกใสประดุจดาวประกายพรึก จิตดวงนี้จะพุ่งไปสถิตย์อยู่ ณ แดนพระนิพพาน

เมื่ออยากจะครองร่างสมบัติใด ๆ เช่นกายทิพย์ ก็พร้อมที่จะนฤมิตได้เพื่อเสวยความสุขสุดยอดนานานัปการ

ถ้าไม่อยากจะเสวยสุขในร่างสมมติหรือธรรมกายจะอยู่เฉย ๆ เหมือนเข้านิโรธสมาบัติ ทรงอยู่แต่จิตสุกใสดวงเดียวก็ได้ เป็นแดนที่ไม่ต้องตายอีกต่อไปไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป

หากมีความทรงตัวอยู่เสวยความสุขอันยอดเยี่ยมที่เทวดาและพรหมทั้งหลายมีความใฝ่ฝันปรารถนาถึงยิ่งนัก

<< หน้าที่แล้ว [ HOME ] หน้าถัดไป >>



Create Date : 21 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2550 0:20:43 น. 0 comments
Counter : 59227 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ต่อตระกูล
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 21 คน [?]




Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2550
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
21 พฤศจิกายน 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ต่อตระกูล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.