หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต - สยบหมาป่า
<< หน้าที่แล้ว [ HOME ] หน้าถัดไป >>
ผู้เขียนได้เคยอ่านเรื่องราวของท่านสาธุคุณ นักบุญฟราสซิส แห่งแอสซีซี ในพระคริสตศาสนา ท่านนักบุญฟรานซิสสามารถทำให้สัตว์ร้ายในป่าทุกชนิดเชื่องได้
ท่านพูดกับหมาป่า พูดกับเสือ พูดกับงูพิษ และสัตว์ร้ายอื่น ๆ รู้เรื่องหมด ตอ้งการจะเรียกให้สัตว์เหล่านี้ มาหาเมื่อไหร่ก็สามารถเรียกได้ตามต้องการ แม้จะอยู่ห่างไกลเป็นร้อย ๆ ไมล์ คือท่านเรียกสัตว์ร้ายเหล่านี้ทางกระแสจิต
สยบหมาป่า
เรื่องนักบุญฟรานซิสแห่งคริสตศาสนานี้ ทำให้นึกถึงเรื่องของท่านพระครูอุดมธรรมคุณ (พระมหาทองสุก สุจิตฺโต) ท่านเดินธุดงค์ขึ้นไปภาพเหนือ เพื่อจะไปกราบนมัสการพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ พระอาจารย์ใหญ่ ซึ่งกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ที่บ้านกกกอก เชียงใหม่
ในระหว่างเดินทางคืนวันหนึ่ง ขณะที่ท่านพระครูอุดมธรรมคุณกำลังเดินจงกรมอยู่ในป่า ณ ที่โล่งแจ้งใต้ต้นไม้ใหญ่สาขาร่มครึ้ม
ท่ามกลางแสงเดือนหงาย ได้ยินเสียสุนัขป่าฝูกหนึ่งส่งเสียงเห่าหอนสนั่นป่ารอบ ๆ เสียงนั้นบอกว่าจะต้องเป็นสุนัขป่าฝูงใหญ่ทีเดียว เพราะมันเห่าหอนรับกันเซ็งแซร่ ก้องไปทั้งป่าเป็นเวลานานกว่าจะหยุด
พอหยุดสักครู่ก็เห่าหอนอีก เกรียวกราวน่ากลัวมาก เพราะเป็นที่รู้กันมานานแล้วว่า ถ้าสุนัขป่ารวมฝูกกันเมื่อไหร่ แม้แต่เสือ ช้าง หมี ซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่เจ้าป่า ก็จะต้องรีบเร้นหนีทันทีด้วยความเกรงกลัว สุนัขป่ารวมฝูงกันมีความดุร้ายเหี้ยมหาญมาก มันจะสู้ดะไม่เลือกหน้า สู้อย่างบ้าคลั่งไม่กลัวตาย
ท่านพระครูอุดมธรรมคุณเล่าว่า ฝูงสุนัขป่าได้เข้ามาล้อมท่านไว้เป็นวงกลมรอบด้าน มีประมาณยี่สิบตัวแต่ละตัวใหญ่มาก มันพากันนั่งบ้างหมอบบ้างแลบลิ้นหอบเห็นเขี้ยวขาว
น่ากลัวจริง ๆ ท่าทางดุร้ายกระหายเลือด มองจ้องท่านอย่างเต็มไปด้วยความประสงค์ร้าย ท่านไม่รู้สึกกลัว แต่มีอาการสยองพองเกล้าจนตัวชาไปหมด ถ้ามันพากันกระโจนเข้ารุมกัดเวลานั้น ท่านไม่มีทางจะรอดตายไปได้เลย มันจะต้องรุมกัดทึ้งกินเนื้อท่านเหลือแต่กระดูกแน่ ๆ
ท่านพยายามทำใจให้สงบ กำหนดจิตภาวนา "พุทโธ" แผ่เมตตาให้มัน อย่ารักแกซึ่งกันและกันเลย อย่าให้มีเวรภัยต่อกันและกัน ขอให้พวกมันจงเป็นสุข ๆ เถิด ท่านมาในป่านี้ ไม่ได้มาเบียดเบียนใคร มาเพื่อบำเพ็ญสมณธรรม
พอท่านแผ่เมตตาให้ มันก็เห่าหอนกันใหญ่ ขยับตัวคลานเข้ามาแสดงท่าดุร้าย ไม่ยอมรับเมตตาธรรมมุ่งหน้าจะกัดกินท่านให้ได้
ท่านจึงเร่งภาวนาใหญ่ เพื่อหยั่งจิตลงสู่ห้วงสมาธิ ไม่อาลัยในสังขาร ถ้ามันเห็นท่านเป็นเหยื่ออันโอชะอยากจะกินก็เอาเลย ท่านพร้อมแล้วที่จะเสียสละชีวิตและเลือดเนื้อให้เป็นทานแก่พวกมันผู้หิวโหย
ท่านเล่าว่า เมื่อจิตไม่อาลัยในสังขารแล้วเช่นนั้น จิตก็หยั่งสู่สมาธิอย่างรวดเร็วน่าพิศวง
ทันใดก็ได้นิมิตเห็น พระอาจารย์ มั่น ภูริทัตตเถระ ปรากฎขึ้นในห้วงสมาธิ เห็นพระอาจารย์มั่นเดินออกจากป่าตรงเข้ามาหา แล้วพูดกับฝูงสุนัขป่านั้น ด้วยถ้อยคำอันเปี่ยมเมตตาว่า
อย่านะ นี่คือสมณะผู้ครองธรรม พวกเจ้าจะทำอันตรายพระไม่ได้ พวกเจ้าเป็นสัตว์ดิรัจฉานชาติ ก็ถือว่ามีบาปกรรมอันหนักอยู่แล้ว อย่าหาเวรภัยใส่ตัวให้ทับถมเป็นกองใหญ่อีกเลย โอกาสที่พวกเจ้าจะได้ไปเกิดในภพชาติอันเจริญจะไม่มี หากทำอันตรายพระผู้บำเพ็ญเพียรสร้างบารมีธรรม
พอพระอาจารย์มั่นพูดจบลง ฝูงสุนัขป่าเหล่านั้นก็พากันเข้าไปรุมล้อม ใช้จมูกสูดดมเท้าและเลียแข้งขาพระอาจารย์มั่น ส่งเสียงครางหงิง ๆ กระดิกหากไปมา แสดงความรู้ภาษาและรักใคร่ในตัวท่าน
ต่อจากนั้นมันก็พากันเดินหางตกเลี่ยงจากไปอย่างเงียบ ๆ พระอาจารย์มั่นยิ้มให้ท่านพระครูอุดมธรรมคุณหน่อยหนึ่งแล้วก็หายวับไป ท่านรู้สึกประหลาดใจในนิมิตนี้มาก
เมื่อท่านลืมตาขึ้นอีกครั้งก็ปรากฎว่าได้เวลารุ่งสางสว่างแจ้งแล้ว รู้สึกว่าเวลาผ่านไปรวดเร็วมากน่าพิศวง และสุนัขป่าฝูงนั้นก็ได้หายไปเช่นกัน
ต่อมาอีก 2-3 วัน พระครูอุดมธรรมคุณ ได้พบกับท่านพระอาจารย์มั่นกลางทางในป่า อย่างไม่นึกไม่ฝัน ท่านพระอาจารย์มั่นยิ้มทักทายฉันเมตตาจิตแล้วว่า ผมไปอยู่บนดอยแม่กะตำกับพวกมูเซอร์ รู้ว่าคุณมาตามหา เห็นหนทางไปลำบากนักเกรงว่าคุณไปแล้วจะไม่พบ ผมจึงรีบมาหา
พระครูอุดมธรรมคุณได้ฟังแล้วถึงกับ ตะลึง ขนลุกซู่ซ่าไปหมดด้วยความอัศจรรย์ใจ ที่ท่านพระอาจารย์มั่นรู้ได้ว่าท่านดั้นด้นบุกป่าฝ่าดงมาหา
แต่แล้วก็ต้องตะลึงหนักลงไปอีก เมื่อพระอาจารย์มั่นถามว่า เมื่อคืนนั้นคุณกลัวหมาป่าจะกัดกินเนื้อมากนักหรือ ผมเองแหละส่งกระแสจิตมาไล่หมาป่าฝูงนั้นให้หนีไป เพราะเห็นว่าลำพังคุณคงจะแผ่เมตตาให้มันไม่รู้เรื่อง เพราะกำลังจิตของคุณยังไม่แก่กล้วพอจะคุ้มตัวได้
ด้วยว่าหมาป่าฝูงนี้ดุร้ายป่าเถื่อนมาก ผมเห็นวาสนาบารมีของคุณพอที่จะบำเพ็ญเพียรต่อไปได้อีกไกล จึงช่วยไล่หมาป่าฝูงนั้นให้หนีไป
พวกมันเป็นเจ้ากรรมนายเวรเก่าของคุณนะ แต่เมื่อผมมาห้ามพวกมันไว้ไม่ให้ทำอันตรายคุณ กรรมเก่าที่ผูกพันกันมาก็เป็นอโหสิกรรมไป ต่างฝ่ายต่างก็พ้นจากการจองเวรกัน และจะไปดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย
พระครูอุดมธรรมคุณได้ฟังแล้วก็ก้มลงกราบเท้าพระอาจารย์มั่นครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความสำนึกในเมตตาธรรมอันมีอุปการะคุณล้นพ้น
แล้วกราบเรียนท่านพระอาจารย์มั่นว่า ไม่ได้คิดกลัวฝูงสุนัขป่านั้นเลย ได้ตัดสินใจอุทิศชีวิตร่างกายให้เป็นเหยื่อของมันด้วยความยินดี
ท่านพระอาจารย์มั่นได้ฟังแล้วก็หัวเราะตอบว่า ดีแล้วคุณคิดถูกแล้ว แต่อาการที่คุณขนพองสยองเกล้านั้น แสดงว่าจิตคุณยังกลัวอยู่ หากแต่ตัดใจข่มลงได้ด้วยอำนาจธรรมปัญญา
ต่อไปนี้คุณคงไม่กลัวตายอีกแล้วนะ เมื่อไม่มีความกลัว ไม่มีความอาลัยในชีวิตเลือดเนื้ออย่างจริงใจแล้ว จิตจะได้บริสุทธิ์ผุดผ่องเต็มที่ไม่มีจุดด่างพร้อย ธรรมปัญญาก็จะผุดขึ้นเป็นแก้วสารพัดนึกในที่สุด
ที่เล่ามานี้ แสดงให้เห็นว่าอำนาจมหัศจรรย์ทางจิตของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ (อภิญญาจิต) ได้แก่ ทิพยจักษุมีตาทิพย์ และ เจโตปริยญาณ รู้จิตใจผู้อื่น
ท่านรู้เห็นได้รวดเร็วแผ่คลุมไปทั่วกว้างขวางมากอย่างไม่มีขอบเขต อันเกิดจากผลของการบำเพ็ญภาวนาอย่างเคร่งครัดยิ่งยวด จนบรรลุธรรมวิเศษ อันเป็นธรรมที่พ้นโลก อยู่เหนือโลก และไม่ถูกจำกัดด้วยกาลเวลา ด้วยประการทั้งปวง
ท่านสามารถส่งกระแสจิต และส่งภาพของท่านให้มาปรากฎในห้วงสมาธิของพระลูกศิษย์ที่อยู่ห่างไกลหลายกิโลเมตรได้อย่างแจ่มชัด เหมือนส่งภาพเคลื่อนไหวของโทรทัศน์จากห้องส่งมายังจอที.วี. ตามบ้านยังไงยังงั้น
แล้วยังสามารถพูดจากับฝูงหมาป่าได้รู้เรื่องอีกด้วย เฉกเช่นท่านนักบุญฟรานซิสแห่งคริสตศาสนา ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้
<< หน้าที่แล้ว [ HOME ] หน้าถัดไป >>
Create Date : 16 พฤศจิกายน 2550 |
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2550 23:53:10 น. |
|
1 comments
|
Counter : 58031 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: วีวี่ IP: 113.53.39.150 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:21:02:57 น. |
|
|
|
|
|
|
|
อ่านแล้วมีพลังแรงกายแรงใจปฎิบัติต่อ
และมีประโยชน์ต่อการภาวนาที่บ้านมากเลยค่ะ