bloggang.com mainmenu search
3 ปัจจัยหลักของปัญหา ผิวแห้งกร้าน และขาดน้ำ
The TOP 3 : Causes of dry, Dehydrated skin )
--------------------------------------------



ผิวแห้ง หรือ ผิวที่ขาดน้ำ
อาจจะเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ชั่วคราว ระยะสั้นๆ
หรือระยะยาว ตลอดชีวิตของคุณเลยก็ย่อมได้

เพราะปัญหาผิวแห้งหรือขาดน้ำ อาจเกิดมาจากปัจจัยภายในด้านพันธุกรรม (genetically determined) และ ปัจจัยภายนอก เช่น Life Style การใช้ชีวิตที่เผชิญความเครียด
แสงแดด ลมเย็น(แอร์ปรับอากาศ) สารพิษที่อยู่รอบๆตัว

ดังนั้นก่อนที่ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง และแพทย์ผิวหนังจะแนะนำคนไข้ให้รักษาหรือดูแลปัญหาผิวแห้ง ขาดน้ำ ก็ควรจะสืบค้นหาสาเหตุที่แท้จริงก่อน เช่น ถ้าคนไข้ผิวแห้งเพราะนอนเปิดแอร์ตลอดเวลา ก็ควรจะให้คนไข้ปรับพฤติกรรม เช่น ซื้อเครื่องทำไอน้ำหรือเครื่องทำความชื้นเข้าไปวางในห้องนอนด้วย ร่วมกับการทา Lotion ต่างๆ หรือถ้าผิวแห้งเพราะสบู่อาบน้ำที่ใช้อยู่ มีค่า pH สูงเกินไป (สบู่ก้อนราคาถูก มักมีค่า pH ที่สูง ทำลายสมดุล ทำให้น้ำในผิวลดลง)ก็ให้เปลี่ยนเป็นสูตรเจล หรือสบู่เหลวชนิด pH Balance แทน(ร่วมกับการทาครีมบำรุงผิว) เป็นต้น 


Q : ตกลงแล้ว ดิฉันมีผิวแห้ง (Dry Skin) หรือผิวขาดน้ำ( Dehydrated Skin)กันแน่ ?!?
A : ผิวแห้ง (Dry Skin)  = ผิวที่มีน้ำมันน้อยกว่าปกติ ( Lacking in oil )
ส่วนผิวขาดน้ำ( Dehydrated Skin) = เซลล์หนังกำพร้ามีน้ำอยู่น้อยกว่าปกติ
 ( Lack of moisture in the Stratum Corneum )




Q : เคยได้ยินมาว่า " ผิวมัน ก็ขาดน้ำได้ " จริงหรือเปล่าครับ ?
A : จริง ! เพราะแม้แต่ผิวที่มันที่สุด (มีน้ำมันหรือ Oil เยอะ) แต่ภายในเซลล์ผิวด้านล่าง
มีปริมาณน้ำน้อยหรือความชุ่มชื่น(Moisture) ต่ำกว่าปกติ

ในทางตรงกันข้ามพบว่า " ยิ่งมีความชุ่มชื่นน้อย ผิวอาจถูกกระตุ้นให้สร้างน้ำมันมากขึ้นกว่าเดิม "
ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า แม้แต่คนที่หน้ามันมากๆ ก็มีผิวขาดน้ำได้นั่นเอง (สรุปคือ ผิวจะขาดน้ำหรือไม่ ?
ให้วัดที่ปริมาณน้ำในเซลล์หรือความชุ่มชื่นเป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับน้ำมัน)


อาการของโรค :
อาการของผิวแห้ง (Dry Skin) หรือผิวขาดน้ำ( Dehydrated Skin) ไม่ต่างกัน คือ
1. ระคายเคืองง่าย : แห้ง คัน อักเสบง่าย (คนเป็นสิว ที่ผิวขาดน้ำ สิวมักจะยิ่งอักเสบง่าย)
2. รู้สึกตึงๆบริเวณผิว
3. ผิวดูหยาบกระด้าง (ทาแป้งไม่ติด/เครื่องสำอางติดไม่ทน)
4. มีอาการลอก เป็นขุย 
5. มีริ้วรอยเล็กๆทั่วบริเวณ (แก่ไว) และพบรอยแดงได้ง่าย บางครั้งผิวแตกจนเลือดออก



คำอธิบายศัพท์ :
1. Stratum Corneum = ชั้นขี้ไคล หนังหน้า หรือเรียกสวยๆว่า " หนังกำพร้า "
2. Epidermis = ผิวชั้นบนทั้งหมด (รวมทั้งหนังกำพร้าและผิวหนังเกิดใหม่)
3. Dermis = ชั้นหนังแท้ (ชั้นนี้ มี Collagen และ Elastin เป็นส่วนประกอบหลัก)
4. Hypodermis = ชั้นใต้ผิว เป็นที่อยู่ของ Fat Cell หรือ เซลล์ไขมัน

สรุปอีกครั้ง ==> คนที่มีผิวแห้ง (Dry Skin) จะมี Oil บน Stratum Corneum (หนังกำพร้า) น้อย 
คนที่มีผิวขาดน้ำ (Dehydrated) อาจจะมี Oil เยอะ แต่ Moisture บน Stratum Corneum (หนังกำพร้า) ต่ำ 

** คนผิวปกติ (Normal Skin)
จะมี Water อยู่ในเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้า
 ประมาณ 30 %
คนผิวแห้ง (Dry Skin)และผิวขาดน้ำ (Dehydrated Skin)
จะมี Water ในเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้า 
ประมาณ 10 % เท่านั้น 



สรุป 3 สาเหตุหลัก ของปัญหาผิวแห้ง และผิวขาดน้ำ

1.  เป็นไปตามวัย (Aging)
เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา จากปัจจัยด้านระดับของฮอร์โมน, ต่อมไขมันทำงานลดลง (เมื่อน้ำมันน้อย จะทำให้มีอาการผิวแห้ง), การหมุนเวียนเลือดลดลง, ระบบกักเก็บน้ำบนผิว (Protective lipid barrier layer of the Stratum Corneum) ทำงานลดลง ทุกอย่างรวมๆกัน ทำให้เกิด Dry Skin ที่เกิดจากวัย (หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ดูแลในระยะสั้นๆ ได้ด้วยการเน้นครีมบำรุงที่มี Lipid หรือ กรดไขมันจำเป็น เช่น Ceramide / EPO / Omega 3,6,9 / Phospholipid / Lecithin / Cholesterol และ Phytosterols เป็นต้น)

2. อากาศ / สภาพแวดล้อม
กล่าวคือ แม้เป็นฝาแฝดกัน อายุเท่ากัน สุขภาพดีทั้งคู่ แต่อยู่คนละประเทศ อากาศคนละแบบ 
ก็ทำให้มีปัญหาผิวต่างกันได้
โดยแสงแดด อุณหภูมิที่ต่ำมาก (อากาศหนาว) ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ผิวแห้งลงทั้งสิ้น (หลีกเลี่ยงโดยการหลบแดดแรงๆ ทาครีมกันแดด และถ้าอากาศหนาวมาก ควรมีเครื่องทำไอน้ำตั้งอยู่ในห้องนอน เพื่อเพิ่มความชื้นในอากาศ เป็นต้น)

3. วิถีชีวิต / Life Style 
การรับประทานอาหารที่ดี มีผลต่อผิวพรรณอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ คนที่ได้รับกรดไขมันจำเป็นหรือ 
Essential Fatty Acids (EFAs) เพียงพอ จะมีแนวโน้มในเรื่องผิวแห้งและผิวขาดน้ำน้อยกว่า (กรดไขมันจำเป็น ได้รับจากพืชและสัตว์ เช่น Evening Primrose Oil, Flaxseed Oil, Borage Oil เป็นต้น)

รวมถึงสาเหตุอื่นๆ เช่น การดื่ม Alcohol , กาแฟ และยารักษาโรคบางชนิด เช่น ยาที่เกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจ(จมูก) 
nasal decongestants ก็มีผลต่อระดับการสูญเสียน้ำในผิวเช่นกัน



หลายครั้งหลายครา ที่เราพบว่าตัวเองเป็น
คนที่มีผิวบอบบาง (Sensitive Skin)
แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ !!!
เพราะคนที่มีอาการผิวแห้ง จะมีอาการคัน และระคายเคือง อักเสบง่ายมาก จนทำให้คนไข้คิดว่าตัวเองมีผิวแพ้ง่าย เพราะผิวบาง แต่จริงๆแล้ว ผิวไม่ได้บางเลย แต่ระดับน้ำในผิวน้อยกว่าปกติมาก เท่านั้นเอง


ตัวอย่างเคสที่ดูแลรักษาผิดวิธี

1. คนไข้ มีอาการผิวขาดน้ำ (ผิวมัน / มี Oil เยอะ / ความชุ่มชื่นต่ำ)
แต่คิดว่าตัวเองเป็นคนผิวมัน จึงใช้สบู่ก้อนล้างหน้าหรือ โฟมล้างหน้าสูตรควบคุมความมัน
วันละหลายๆรอบเพื่อให้หน้าไม่มัน
 และไม่ยอมใช้ Moisturizer เลย เพราะคิดว่าผิวจะมันกว่าเดิม
แต่นั่น ยิ่งทำให้น้ำในผิวน้อยลง ผิวจึงยิ่งขาดน้ำกว่าเดิม
สิวขึ้น มีอาการอักเสบง่ายยิ่งกว่าเดิม

วิธีการรักษาที่ถูกวิธี :
1. เปลี่ยนโฟมล้างหน้าสูตร ควบคุมความมัน เป็นเจลล้างหน้าใสๆ อ่อนโยน ฟองน้อย ค่า pH 5.5
2. ใช้เซรั่มที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic acid, Urea, Sodium PCA เป็นต้น
3. ทามอยส์เจอร์ที่มีกรดไขมันจำเป็น เซอรามายด์ หรือ Squalane เพื่อปรับสมดุลของต่อมไขมัน ไม่ให้ทำงานหนักเกินไป (เติมน้ำมันดีๆให้ผิว ผิวก็มีน้ำมันเพียงพอ ก็จะไม่ผลิตน้ำมันออกมาเยอะ)
4. งดการขัดผิว/สครับผิว/พอกหน้าด้วยส่วนผสมดังต่อไปนี้ White Clay, Bentonite เป็นต้น เพราะจะยิ่งทำให้ผิวมีอาการแห้ง ไม่สมดุล จนผิวขับน้ำมันออกมาเยอะเกินความจำเป็น


สรุปว่า เรื่องที่ท้าทายที่สุด คือ การแยกแยะ ว่าคนไข้ มีปัญหาผิวแห้ง (Dry Skin), ผิวขาดน้ำ (Dehydrated Skin) หรือ ผิวบอบบาง (Sensitive Skin) กันแน่ ?!?

เพราะทั้งสามโรคนี้ ไม่เหมือนกัน / วิธีการดูแลรักษาก็แตกต่างกันด้วย
จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คนไข้ต้องมีความเข้าใจและบอกความแตกต่าง
เพื่อการดูแลรักษาผิวที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุดนั่นเอง

-----------------------------
ภาคผนวก

VDO Tips : วิธีการรักษาผิวแห้ง บรรยายโดย คุณหมอ Chris Schach :



---------------------------
ขอบคุณรูปประกอบจาก

//www.ndhealthfacts.org/wiki/Dry_Skin
//www.neutrogena.com/category/expert+center/dry+skin.do
//www.miamidermatologycenter.com/blog/itchy-dry-skin-an-issue-for-diabetics
//www.healthalternativesonline.com/dryskin.html
//www.paulpenders.com/ppblog/wp-content/uploads/2011/09/dry_skin_1.jpg
//www.nellydevuyst.com/images/r_dry.jpg
//katiefrances-fashionhub.blogspot.com/2012/01/fast-help-for-dry-skin.html

---------------------------
วิทยาทานความรู้นี้ เป็นแนวคิดของคุณหมอ คริส สวาชว์ ( Chris Schach ) 
จาก OnlineDermClinic และคุณหมอ ไดอาน่า โอวาร์ด ( Dr. Diana Howard )
แพทย์ประจำสถาบัน dermalinstitute จึงกราบขอบคุณความรู้จากท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

แปล เรียบเรียงและเพิ่มเติม 
โดย นายกฤษณะวัฒน์ สุรสิทธิ์ หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ แม่ฟ้าหลวง
(
Master of Science program in Anti Aging and. Regenerative Science, MFU)
--------------------------------------------
Create Date :08 มกราคม 2556 Last Update :8 มกราคม 2556 11:28:25 น. Counter : 20888 Pageviews. Comments :1093