The Windup Girl: Paolo Bacigalupi - ประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 12 กับอุบัติการณ์ เงาะ กู้โลก
ชื่อ: The Windup Girl
ผู้แต่ง: Paolo Bacigalupi
Genre: Science Fiction, Dystopia, Biopunk
(ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2009)เอมิโกะ หญิงสาวชาวญี่ปุ่น เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ (New People หรือ Windup) ที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรมให้เชื่อง (ใช้ genetic code จากสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์), ให้มีรูขุมขนน้อยกว่ามนุษย์ธรรมดาเพื่อผิวเรียบลื่นดุจกระเบื้องเคลือบ, ให้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เคลื่อนไหวได้รวดเร็วผิดมนุษย์ และจะไม่แก่ไม่เฒ่าสามารถมีชีวิตอยู่ไปตลอดกาล เธอถูกนำมาที่กรุงเทพฯ, ประเทศไทยในฐานะเลขาฯและคู่นอนของนายจ้างชาวญี่ปุ่น หน้าที่หลักคือเป็นล่ามแปลภาษา แต่เมื่อนายจ้างกลับไป เอมิโกะถูกทิ้งไว้ที่นี่เพราะค่าโดยสารเรือเหาะกลับไปยังญี่ปุ่นแพงระยับ เขาสามารถไปจ้าง Windup คน(ตัว?)ใหม่เมื่อกลับไปถึงได้ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่า และดังนั้นชะตากรรมที่ถูกต้องหนึ่งเดียวตามกฎหมายระหว่างประเทศของเอมิโกะ ก็คือ ถูกย่อยสลาย ให้ตายไปเสียที่นี่
แต่ชีวิตของเธอจับพลัดจับผลูไปจบลงในซ่องโสเภณีแห่งหนึ่งในย่านเพลินจิต ใจกลางกรุงเทพมหานครในสมัยรัชกาลที่ 12 ที่แทบไม่เหลือเค้าความเป็นนครแห่งเทพเจ้า
อารยธรรมเจริญขึ้นแล้วก็เสื่อมถอย เมื่อน้ำมันหมดโลกและมนุษย์หาพลังงานทดแทนไม่ได้ กระบวนการเผาไหม้ก็ย้อนกลับไปใช้ถ่านหิน มีเทน หรือใช้แรงงานมนุษย์และสัตว์ในการขับเคลื่อน โลกร้อนขึ้นจนถึงขั้นน้ำท่วมโลก นิวยอร์คกับลอนดอนจมอยู่ใต้น้ำไปแล้วเช่นเดียวกับฝั่งธนบุรีของกรุงเทพฯ แต่เขื่อนขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเร่งด่วนยังสามารถป้องกันฝั่งพระนครของ City of Angels แห่งนี้เอาไว้ได้ ความชื้นที่มีอยู่สูงทำให้เกิดสนิมพันธุ์ใหม่ (ว่าแต่สนิมมันกลายพันธุ์ได้ด้วยเหรอ?) ที่กัดกินทุกสิ่งอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าแร้งรุมกินซาก และดังนั้นวัตถุที่เป็นเหล็กจึงไม่สามารถมีชีวิตรอดอยู่ให้มนุษย์ใช้งานได้เลยในโลกยุคนี้ แต่ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น คือโรคระบาดที่คร่าชีวิตทั้งมนุษย์และพืชผล ต้องอาศัยการตัดต่อพันธุกรรมที่เจริญก้าวหน้าถึงขีดสุดสร้างพันธุ์พืชที่สามารถต้านทานโรคติดต่อร้ายแรงได้ยาวนานขึ้นอีกหน่อย และแน่นอนการตัดต่อพันธุกรรมไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่ต้นไม้ มันลามมาถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆด้วยไม่ว่าจะเป็นช้าง แมว หรือคน
อะไรมันจะอีรุงตุงนังกันขนาดนี้หว่า
แอนเดอร์สันเป็นนายทุนต่างชาติจากบริษัท AgriGen ผู้ถือลิขสิทธิ์การผลิตขดลวดแบบใหม่ที่พวกเขาอ้างว่าสามารถต้านทานสนิมพันธุ์ดุได้ วันหนึ่งแอนเดอร์สันเดินเที่ยวในตลาด แล้วพบผลไม้ชนิดหนึ่งหน้าตาพิลึกพิลั่นวางขายอยู่ ผลของมันกลมๆสีแดงแจ๊ด มีขนงอกออกมามากมายบนผิวเปลือกรู้สึกจั๊กกะเดียมแปลกๆยามสัมผัส เขาขอแม่ค้าลองชิมรสชาติข้างใน ก็พบว่ามันหวานเจี๊ยบนุ่มลิ้นอร่อยเหาะเกินต้านทานไหว
แม่ค้าบอกว่ามันเรียกว่า เงาะ
แอนเดอร์สันซื้อมันกลับไปให้เพื่อนๆชาวฝรั่งมังค่าของเขาชิม แล้วใครคนหนึ่งก็บอกว่ามันเป็นผลไม้ที่สูญพันธุ์ไปนานแล้วจากโรคระบาด ช่างน่าแปลกใจว่ามันกลับมามีชีวิตแล้วยังถูกวางขายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในตลาดได้อย่างไร
แต่แอนเดอร์สันรู้ว่าทำไม
มีความลับอยู่บนแผ่นดินนี้ บนผืนทองของแดนไทยที่เคยเป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำ เคยหลากด้วยผลไม้นานาพันธุ์อุดมด้วยสิงสาราสัตว์(
)นานาชนิด ใครบางคนกำลังกุมความลับของการตัดต่อพันธุกรรมและครอบครองคลังสมบัติล้ำค่าของเมล็ดพันธุ์ที่สูญหายไปอยู่ และแอนเดอร์สันจะต้องรู้ให้ได้ ว่าคลังสมบัตินี้ซุกซ่อนอยู่ที่ไหน
เพราะเขาจะรวย เละ
พอดีกว่า
รีวิวเรื่องนี้เขียนยากมากเลยอ่ะ เพราะตัวละครหลักไม่ได้มีอยู่แค่ 2 คนที่กล่าวถึงข้างบน มันมีมากกว่านั้นอีก
แล้วดูเหมือนทุกคนจะมีกิมมิคของตัวเอง ตัวละครทุกตัวจึงแค่แชร์ context ของความเป็น Dystopian Bangkok ด้วยกันเท่านั้นแล้วต่างก็เดินเรื่องไปทางใครทางมัน ความตลกของเรื่องนี้ก็คือ อ่านๆไปแล้วจะเจอภาษาไทยคาราโอเกะปะปนอยู่เป็นนิจ จนเรารู้สึกว่ามันพิลึกไปเลย อย่างเช่นประโยคนี้
"No! I don't want the mangosteen." Anderson Lake leans forward, pointing. "I want that one, there. Kaw pollamai nee khap. The one with the red skin and the green hairs." หรือ
"And so what does that make you? Some villager of Bang Rajan, reincarnated? Holding back the farang tide? Fighting to the last man? That sort of thing?
อะไรอย่างงี้แหละค่ะ
ความตลกอีกอย่างนึง ที่คนอื่นอาจจะไม่เห็นว่ามันตลก แต่เราอ่านเจอแล้วขำมาก คือชื่อ-สกุลตัวละคร ไม่รู้ว่าคุณพี่เปาโลแกเปิดหนังสือพิมพ์แล้วลอกเอาเลยรึเปล่า เพราะอ่านๆไปตอนแรกเจอนามสกุล คำสิงห์ ...โอเค นั่นยังไม่เท่าไหร่ สักพักมา ภิรมย์ภักดี ...อืม...อีกสักพักใหญ่ จิราธิวัฒน์
ถ้าเป็นเจ้าของนามสกุลมาอ่านเจอคงตลกไม่หยอก
นิยายเรื่องนี้ ชนะ Nebula Award ประจำปี 2009 ไปแล้ว ติดโผโนมินี Hugo Award 2010 สำหรับ Best novel และ Locus Award 2010 สาขา Best First Novel ด้วยค่ะ คาดว่าน่าจะกวาดทั้งหมดนะคะ ดูจากสภาพการณ์แล้ว
"เฮ้ย!"
กรุงเทพดิสโทเปีย ช่างเป็นพล็อตที่น่าสนใจอะไรอย่างนี้ คุณคนเขียนแกเคยอยู่บ้านเรามาก่อนเหรอคะ อยากอ่านอ้ะ อยากอ่าน
สงสัยต้องละเมิดสนธิสัญญางดซื้อหนังสือใหม่อีกแล้วสิเนี่ย T^T
โดย: ทินา 14 มิถุนายน 2553 21:22:27 น.
ปล. เห็นจาก Goodreads ว่าอ่าน Discworld ด้วยเหรอคะ เราเป็นแฟนพันธุ์แท้เลยล่ะ อิอิ
โดย: ทินา IP: 221.128.101.33 17 มิถุนายน 2553 13:56:37 น.
โดย: ทินา IP: 221.128.101.33 17 มิถุนายน 2553 14:06:12 น.
พอได้มาอ่าน ที่คุณ Dakki รีวิวแล้วทึ่งใน plot อ่ะ โอ๊ว ช่างคิดไปได้ ไม่น่าเชื่อ ไม่แปลกเลยที่ได้รางวัลครับ plot ฉีกมากๆ เอากรุงเทพมาเล่น ขำตรงชื่อไทยๆนี่แหล่ะครับ
โดย: เครื่องจักรอาวุโส IP: 192.55.18.36 8 กรกฎาคม 2553 14:31:18 น.
โดย: วิน IP: 58.9.71.59 27 เมษายน 2554 20:20:29 น.
โดย: ผ่านมา IP: 124.121.245.136 27 เมษายน 2554 20:32:16 น.
โดย: ผ่านมา IP: 124.121.245.136 27 เมษายน 2554 20:33:39 น.
โดย: ืnap IP: 113.53.171.72 28 เมษายน 2554 0:18:57 น.
โดย: แม่มดน้อยไซคี IP: 58.137.154.121 28 เมษายน 2554 14:37:10 น.
โดย: แม่มดน้อยไซคี IP: 58.137.154.121 28 เมษายน 2554 14:37:13 น.
ไม่น่ามีแปลนะคะ ยังไม่เห็นวี่แววเลย เนื้อหานอกจากไซไฟแล้วกัดๆเรื่องการเมืองก็ค่อนข้างเยอะ เรื่องราชวงศ์ก็พอมีกล้อมแกล้ม ดังนั้น จขบ. ว่าคงไม่น่ารอดหรอกค่ะ เหอๆ
กทม. เป็นฉากค่ะ ใช่แล้ว แต่เป็นในอนาคตที่น้ำท่วมกรุงเทพฯไปครึ่งหนึ่งแล้วนะ สนุกค่ะ ลองอ่านดู ^^ ลองเช็คตาม kinokuniya หรือ Asia Book น่าจะมีนะคะ
โดย: @Dakki_Chan@ 12 สิงหาคม 2554 14:12:39 น.
พล็อตแหวกแนวมากๆ
โดย: ๋J^_^J IP: 110.169.81.162 25 สิงหาคม 2554 11:17:36 น.
โดย: leehua IP: 111.84.196.107 21 พฤศจิกายน 2556 20:57:16 น.
โดย: @Dakki_Chan@ 4 กุมภาพันธ์ 2557 17:36:32 น.
โดย: กบในขวด IP: 49.49.244.119 17 ตุลาคม 2559 10:00:01 น.
ที่ว่าสนิมกลายพันธ์ไม่น่าจะเป็นการกลายพันธ์แต่เป็นเพราะสภาพอากาศเอื้ออำนวยให้เหล็กคืนสภาพง่ายขึ้นมากกว่า
โดย: chin IP: 180.180.69.88 29 สิงหาคม 2561 1:54:02 น.