ไปเที่ยวนครวัด นครธม : Part 3 : 2007.05.05 ถึงแล้ว นครวัด !!!
มอเตอร์ดุ๊ปของลุงวิ่ลย้อนกลับไปทางเดิมที่มาทะเลสาป (โตนเลซาป) ผ่านถนนเดิมในเมืองเสียมเรียบ แล้วลัดออกถนนที่จะไปนครวัด พวกเราก็ค่อยถึงบางอ่อ ลืมไปว่ามันอยู่คนละทิศกัน โตนเลซาปอยู่ทางตะวันออก นครวัดอยู่ตะวันตก บ้านเรือนเขตชานเมืองบริเวณนี้จะเห็นตึกแถวขายของเป็นย่อมๆ นอกนั้นจะเป็นทุ่งนาโลงๆ ไม่นาน รถก็เลี้ยวเข้าสู่ถนนที่ตรงไปถึงนครวัด มีป้ายบอกทาง สองข้างทางกลายเป็นป่า ที่มีต้นไม้ไม่ทึบมาก แต่ดูร่มรื่นเพราะต้นไม้ขอบถนนสองข้างเป็นต้นไม้ใหญ่ อ๊า~~~~~ ยิ่งใกล้แล้วยิ่งตื่นเต้น !!! อ่า!? พวกเราต้องไปซื้อตั๋วเข้าสินะ ?ด่านขายตั๋ว เป็นด่านที่มีช่องๆ เหมือนด่านทางด่วน แยกออกมาจากถนนทางด้านขวามือ ไม่ใช่แค่ป้อมอย่างที่จินตนาการไว้ นักท่องเที่ยวจะต้องลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปซื้อตั๋วที่ด่าน มีช่องสำหรับกรุ๊ปทัวร์ กับช่องสำหรับบุคคลทั่วไป ซึ่งแต่ละช่องจะมีผนักงานพร้อมด้วยคอมพิวเตอร์ ติดกล้องเว็บแคมกลมๆดำๆเหมือนตรวจคนเข้าเมือง และพรินท์เตอร์ สแกนเนอร์ กับเครื่องเคลือบพลาสติกเราสองคนเคยถกกันว่าจะซื้อตั๋วหนึ่งวัน หรือสามวันดี ตั๋วหนึ่งวันไม่มีรูป ตั๋วสามวันมีรูป ถ้าไปเย็นๆควรซื้อตอนเค้าเตอร์จะปิด เป็นตั๋วของวันรุ่งขึ้น และสามารถเข้าไปชมตอนจะปิดก่อนหนึ่งวัน ในหนังสือเขาว่างั้น ข้าพเจ้าตัดสินใจซื้อตั๋วสามวัน ต้องไปยืนให้เขาถ่ายรูปไว้ติดบนบัตร ออกมาดำๆสยองๆ แต่ได้ feelเจ้าอุ้มมีรูปสวยๆของตัวเองจึงให้เขาไป ออกมาเป็นตั๋วสวยๆหนึ่งใบรถลุงวิ่งเข้าไปทางขวามือของด่าน เปิดให้รถรับจ้างเข้าโดยไม่ต้องเสียเงิน แล้วก็ไปจอดรอพวกเราทำบัตร ซึ่งใช้เวลาไม่นานเลย ข้าพเจ้าได้ตั๋วก่อนเลยเดินเล่น เห็นป้ายแผนที่ทำเป็นรูปสามมิติ ก็เลยถ่ายมาซะหน่อย เผื่อได้ใช้ แต่ก็ไม่ได้ใช้หรอก เพราะหนังสือก็มี โรงแรมก็ให้แผนที่มาด้วยแผนที่ของโรงแรมPicture from: //www.canbypublications.com/siemreap/srtemples.htmพอรถเลี้ยวซ้ายไปเท่านั้น อ๊ากกกกกกกกกก วี๊ดดดดดดด เห็นแล้วๆ กำแพงอิฐอยู่ริมน้ำ มีต้นไม้อยู่ด้านหลังกำแพง ด้านหน้าเป็นคูเมืองที่กว้างยิ่งกว่าอย่างกับแม่น้ำ มีกำแพงอิฐเตี้ยๆของคูเมืองสูงพอนั่งได้อยู่ด้านที่ติดกับถนน ถัดออกมาเป็นพื่นหญ้าเขียวๆไม่สม่ำเสมอ ยังมีต้นใม้ใหญ่ๆ อยู่ขอบถนนเป็นระยะๆ"คุณลุงค้า~~~ ที่นี่ใช่มั้ย!?" (ๆๆๆๆๆๆๆ!!! ในใจอยากจะถามซักหลายๆรอบ) คุณลุงหันมายิ้มกับท่าทางตื่นเต้นของพวกเรา ที่ออกนอกหน้าจนออกนอกรถล่วงกราวไปบนถนนแถบนั้นก็ว่าได้ "นี่คือกำแพงของนครวัด" ลุงขับรถไปด้วยมือก็ชี้ให้เราดูไปด้วย วู๊วววววววว ถึงแล้วววววววววว ~~~ !!! พวกเราหันซ้ายหันขวาท่าทางอย่างกับบ้านนอกเข้ากรุง (ที่จริงแล้วพวกเราคือคนกรุงใหม่เข้ากรุงเก่าสินะ หะหะหะ) รถเลี้ยวขวาไปด้านหน้าของกำแพง เริ่มเห็นตัวปราสาท วี๊ดดดดดดดดด เห็นแล้ววววววววตัวปราสาท ส่วนไหนก็ไม่รู้เพราะสมองมันตื่นเต้นจนไม่สามารถนำมาใช้คำนวณอะไรได้ รถวิ่งไปซักพัก "ใหญ่เนอะ~" พวกเรามองไปลำพึงลำพันไป ความยาวของกำแพงที่รถวิ่งผ่านไปทำให้พวกเราคิดอย่างนั้น โอ่.... .. . . พอเห็นทางเข้าด้านหน้าแล้วก็ให้อเม๊ซซิงอีกรอบ คนเยอะม๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก ผิดกับที่จินตนาการอีกแล้วครับท่าน !!! ทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งชาวบ้านที่มาขายของ ทั้งรถราที่จอดอยู่ด้านหน้า เห็นแล้วก็คิดว่าต่อไปด้านหน้าตรงนี้อาจจะต้องเทปูนทำเป็นตึกแถว เป็นลานจอดรถให้มันรู้แล้วรู้รอดไปลุงไหลรถไปหยุดบริเวณว่างๆที่ยังไม่มีแม่ค้าพ่อค้าจับจองให้พวกเราลงจากรถ แล้วก็ชี้มือไปด้านหลังๆ บอกว่าเขาจะจอรถรออยู่แถวๆนี้แหละนะ "ลุงชื่อการ์ (ชี้ให้ดูชื่อตัวเองที่เป็นสติ้กเกอร์ติดที่วางของด้านหน้า เขียนว่า MR. KAR) ถ้าหลงก็ถามคนแถวนี้ได้ แล้วเจอกัน" พวกเราลงจากรถมาก็ยืนอึ่งไปซักพัก ในหัวขณะนั้นมีความคิดอยู่สองฝ่ายยกทัพตีกันไปมา 'นครวัดดูยิ่งใหญ่ตระการตามากๆๆๆๆๆๆๆ' และ 'นครวัดคนเยอะมากๆๆๆๆๆๆๆๆ' มี ๆ มากกว่าอยู่หนึ่งอัน นัยว่าคงรบชนะ แต่กำลังทัพไม่แข็งแรงเท่าความยิ่งใหญ่เลยโดนข้าพเจ้าหยิบออกจากหัวไป ด้วยการข้ามถนนหน้าเมืองที่มีทั้งรถสามล้อ รถสองแถว รถตู้ รถเก๋งวิ่งสวนกันขวักไขว ไม่มีสัญญาณไฟแดง เรียกร้องให้ต้องย้ายสมองไปคิดเรื่องนี้แทน พนักงานตรวจตั๋วยืนเรียงกันเป็นแพ full load ขนาดที่คงรู้ว่าคนเยอะแบบนี้ทุกวันถึงขนาดนั้นพวกเราก็ยังสามารถหลุดแพคนตรวจตรวจตั๋วเข้าไปเดินเอ๋อๆอยู่บนทางเดินข้ามคูเมืองได้ พี่เขาสับสันว่าใครยังไม่ได้เข้า ใครแค่ต้องการจะยืนถ่ายรูปอยู่แถวนี้เท่านั้น ด้วยความโก๊ะยกกำลังสองของเราสองคนพี่เขาจึงไม่สนใจจะวิ่งตามมาตรวจตั๋วแหงๆทางเดินข้ามคูเมืองเข้าตัวปราสาทยาวย๊าววววยาวมากๆราวๆ 200-300 เมตรได้ (วัดด้วยความรู้สึก) ด้านบนเป็นหินทรายก้อนใหญ่ๆตัดเรียบ แบบเท่าที่กำลังคนจะตัดได้ วางเรียงกันเป็นก้อนๆล้ำแนวกันไปมา ด้านหน้าสุด และตรงกลางมีตัวสิงห์หรือตัวอะไรซักอย่างสองข้างเป็นหัวบรรได ทางเดินส่วนหนึ่งชำรุดแล้ว มีเชือกและกรวยล้อมรอบ พร้อมป้ายบอกว่าอันตรายกำลังปรับปรุง ห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าไป น้องอุ้มจำไม 04: พี่ปอ ทำไมก้อนหินที่พื้นมันเป็นรูๆอ่ะคะ?พี่ปอจอมกวน 04: อ่า.... .. . .. . ไม่รุมันเป็นรูลึกขนาดไหน แต่เดาว่าเขาทำไว้สำหรับการขนย้ายหินจากภูเขาอะไรอย่างงี้มั้ง (กวนมันไม่ไหวแฮะ เรื่องนี้ไม่รูจริงๆ)ตัวปราสาทด้านในสุดซ้ายขวาวันนี้มีผืนผ้าใบสีเขียวปิดไว้ที่ประตู? พอเห็นแบบนี้ก็ทำให้คิดไปทันทีว่า สถานที่นี้มันเก่าแล้วจริงๆนะ ต่อไปคงจะสภาพแย่ลงเรื่อยๆ เวลาเขาบูรณะเขาจะทำยังไงบ้างนะ อีกไม่นานคนก็จะมาเที่ยวเยอะขึ้นๆอีกด้วย.. . อ๊าาาาาาาาาาาาาาา อยากให้ม่ามี้ได้มาดูซักครั้งเร็วๆนี้จังพวกเราค่อยๆเข้าข้ามทรณีประตูที่ทั้งสูงทั้งกว้างของทางเข้าปราสาท เอ๋อเอะ?? อย่างกะเข้าไปในถ่ำ ตัวปราสาทด้านในชื้นๆ มืดๆ คนเยอะๆเดินๆกันไปอย่างกะอยู่ในงานวัด มีกลิ่นธูปลอยมา เพราะข้างๆนั้นมีรูปปั้น/สลักหิน ตั้งอยู่ มีแม่ชีถือธูปส่งให้นักท่องเที่ยวมาไหว นักท่องเที่ยวหลายคนไม่ค่อยสนใจ แต่คนจีน คนไทยจะเดินเข้าไปไหว้ขอพรพวกเราเดินไปซ้ายขวาของประตูทางเข้าชั้นแรกไปแป๊ปนึง เป็นห้องด้านซ้าย กับด้านขวา ถัดจากนั้นสองข้างเป็นกำแพง? หรือไง? เพราะตอนนั้นทนความตื่นเต้นในตัวเองไม่ได้ต้องรีบเดินทะลุประตูออกไปทางด้านในทางเดิน ยาวย๊าววววววยาววววย๊าววววววววววววยาววววววววววววววววววว อีกแล้ว (คือจะบอกว่ารู้สึกว่ามันจะยาวกว่าทางเดินข้ามคูเมืองตะกี้นี้หน่อยนึง) สองข้างทาง เป็นลานดิน และปราสาท เล็กๆสองด้าน กับสระน้ำด้านซ้าย (ถ้าหันหน้าเข้าตัวปราสาทด้านใน) เอ๋ แล้วทางขวาไม่มีหรือไงนะ? งึมม.. ม.. . มันแห้งไปแล้วล่ะไม่รอช้า หลังจากถ่ายรูปวิวติดเจ้าอุ้มไป นิดหน่อย พวกเรารีบกระโดดแผล๋วๆเข้าด้านใน (ไม่ช๊าย) ถึงแล้วกำแพงที่เลื่องลือ กำแพงตัวเมืองชั้นกลางที่มีภาพแกะสลักนูนต่ำ บรรยายถึงเทวะนิยายต่างๆ และ เรื่องราวของการสร้างอนาจักรนครวัดเองด้วยข้าพเจ้ามัวแต่ตระการตากับรูปสลักของลูกกรงหน้าต่าง วี๊ดดดดดนางอับสร วี๊ดดดดลูกกรงสวยจัง เอาไงดี รูปไหนก่อนดีๆๆๆๆ ตรงนั้นเป็นปราสาทแล้ว ต้องไปทางขวาใช่มั้ย วี๊ดดดดรูปสลักที่กำแพง วี๊ดดมีตัวหนังสือสลักที่ผนังด้วย ขณะเดียวกันก็สับสนกับคนเดินเข้าเดินออกตัวประตูทางเข้า ว๊อยยยยหยุดเดินกันหน่อยได้มั้ย ฮึ!? ระยะห่างแ่ค่นี้มันถ่ายไปก็มีแต่ตัวคนน่ะสิ! (ในใจแอบบ่นนักท่องเที่ยวที่ไม่ยอมหยุดเดินวุ่นวายอยู่ที่หน้าประตู)เจ้าอุ้มท่าจะไม่เห็นสาระกับการวิ่งถ่ายรูปของข้าพเจ้า เลยนั่งแปะอยู่ด้านหน้าประตู หยิบหนังสือคู่มือขึ้นมากางทันที"พี่ปอคะ!"เยส แมม? (คิดในใจ ทำท่าหยุดอย่างเรียบร้อย) "มันต้องเดินไปทางขวาทวนเข็มนาฬิกา แล้วกำแพงด้านนี้จะมี.. . " ว่าแล้วเจ้าอุ้มก็ เอาแว่นกันแดดคาดหัว แล้วอ่านหนังสือ ร่ายออกมาเป็นฉากๆ แข่งกับบรรดาทัวร์ไกรด์ทั้งหลายแถวนั้นพี่ไกรด์คนเขมรตัวดำๆ เดินอยู่กับนักท่องเที่ยวกลุ่มละ 10-15 คน มีทั้งพูดไทย พูดจีน อังกฤษ เกาหลี ญี่ปุ่น ฝรั่งเศษ คล่องปรื๋ออออ ขอย้ำ คล่องมากๆๆๆๆ มากกว่าไกรด์คนไทยที่เคยได้ยินจากวัดพระแก้วอีก (แกไปเห็นพี่ไกรด์ที่วัดพระแก้วมีกี่ครั้งกันฮึ) ข้าพเจ้าฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง ฟังไกรด์ฝรั่งบ้าง ไทยบ้าง ญี่ปุ่นบ้าง (อันนี้ฟังไม่ได้ความหรอก ทำเป็นว่าฟังไปงั้น) ฟังเจ้าอุ้มไปด้วยบ้าง มั่วไปหมด เดินชักรูปไปเรื่อยๆ แข่งกับพี่ๆลูกทัวร์ทั้งหลายที่ไม่ย๊อม ที่จะปลอยบริเวณด้านหน้าของรูปแกะสลักสำคัญๆมีช่องว่างสำหรับแมวอย่างข้าพเจ้าซักตัวแทรกเข้าไปถ่ายรูปกับเขาบ้าง เดินๆถ่ายๆ (รูป นะไม่ใช่อย่างอื่น) ไปซักพักเริ่มเกิด skill แอบฟังพี่ไกรด์ด้านหน้าของเรา ขณะที่ตัวยังถ่ายรูปอยู่ตรงนี้ พอกลุ๊ปทัวร์ข้างหน้าเดินไปก็รีบไปชักภาพ ก่อนที่กลุ๊ปหลังเราจะเดินมา ถ่ายไป ถ่ายไป .. . ใครยกทัพไปไหนนะ ? อ่ะ ถ่าย.. .ทรมาณด้วยตะปู.. . ? เอ๊อ ? เอ่อ ถ่ายไป.. .กวนเกษียณสมุทร ? โอเค คูล~ ถ่ายๆ.. .ถ่ายไปๆๆ ๆ.. .ๆ .. . เอ .. . คนเริ่มน้อยลงๆ เสียงไกรด์หายไปแล้ว เสียงเจ้าอุ้มก็หายไปแล้ว กำแพงด้านนี้ไม่มีคนเลยหรือไงนะ ในสมองเริ่มมึนๆงงๆคิดไปเองว่านี่เราหลุดเข้ามาอยู่ในอีกมิติหนึงหรือยังไง โป๊ก! (เสียงเขกกระโหลดตัวเองในใจ) ก็เดินมาซะเร็ว ไอ้อุ้มมันมัวแต่อ่าน มันคงตามมาทันหรอกนะ! ขนาดพี่ไกรด์ทั้งหลายยังเดินมาไมุ่ถึงเลย.. . เมื่อได้สติ ว่าแล้วก็เดินย้อนกลับไป กลับไป กลับไป ผ่านกำแพงไป ผ่านไป ผ่านไป เอ๋!!!???? เจ้าอุ้มมันหายตัวไปไหนหว่า?? ยังไม่ทันจะวิ่งไปฟ้องพี่ตำรวจให้ช่วยหาคนหาย ก็เจอเจ้าอุ้มหน้ามุ่ย นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นระหว่างเสา รื้อของในกระเป๋าย้ามตัวเองออกมากระจุยกระจายเต็มพื้นไปหมดพี่ปอ : "อ๊าว หาตั้งนาน ทำไมมานั่งจ๋องอยู่ตรงนี้" เจ้าอุ้ม : "พี่ปออออออ~~ " (ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้)พี่ปอ : "หาอะไรน่ะ?"เจ้าอุ้ม : "แว่นกันแดดอุ้มไม่รู้อยู่ไหนอ่ะ!" (แหวกกระเป๋าย้ามใบกระจิ๋วหริ๋วออกมาราวกับมันจะกว้างเท่า backpack ขนาดใหญ่สุด)ทันใดนั้นเอง ความคิดที่ว่า หรือตัวเองจะหลุดอยู่ในอีกมิตินึง ก็ย้อนกลับมา พี่ปอจอมกวน : ".... .. .. . . เอ่อ " (มือสั่นระริก) "แล้วที่คาดหัวอยู่...... .. . . ." (หน้าตาเหมือนโดนผีหลอก) "คือ... .. .. .. .?"เจ้าอุ้มโก๊ะ 02 : (เอามือจับหัว หน้าตาเหรอหร๋า) "อ๊าว! หาตั้งนานแนะ! ที่แท้ก็คาดผมไว้นี่นา" (|||= w=)ปุ่ง! ความคิดสุดสยองโดนตัวหัวเราะ ตัวกลมๆใหญ่ๆร่วงลงมาทับด้วยหน้าตาเบื่อโลกอยู่ในสมองแทน ยิ่งคิดยิ่งขำพี่ปอจอมกวน : "อ๊า~~ หะหะหะหะหะหะหะหะหะ!!!!!! หะหะหะหะ ๆๆๆ อั่กๆๆ หะหะหะๆๆ ๆ"เจ้าอุ้ม : "5555~ พี่ปออย่าหัวเราะสิ อุ้มคิดว่ามันหายไปแล้วจริงๆนะเนี่ยะ เนี่ยะถ้าพี่ปอไม่มา อุ้มคงหาต่อไปอีกนานเลย" (ทำหน้าบูดๆปนยิ้ม ยัดข้าวของเกลื่อนกลาดบนพื้นเข้าไปในกระเป๋าย่ามเหมือนเดิม เหลือหนังสือไว้เล่มนึง)"ตรงนี้ในหนังสือเขาบอกไว้ว่ามีนางอับสะราฉีกยิ้ม" เจ้าอุ้มทำท่าเครงขรึมอ่านหนังสือต่อไปทันที เพื่อเป็นการเปลี่ยนเรื่อง ฟุฟุฟุ (ยังกลั้นหัวเราะอยู่) "แล้วไงอ่ะ ก็เห็นยิ้มกันหมดทุกคนอยู่แล้วหนิ""ไม่ช่ายยย อันนี้เขาบอกว่านางอับสะราเขายิ้มจนเห็นฟันเลยอ่ะ""อ๋อ จำได้แล้ว เออออไปหากัน" ดิฉันถึงบางอ่อ นึกขึ้นได้ถึงเนื้อหาในหนังสือที่อ่านไปแล้วแต่ดูจะไม่เข้าหัวเอาซะเลยตะกายด้านนอกของตัวกำแพงกันไปซักพัก ก็เจอ นางอับสะราฉีกยิ้มจนเห็นฟัน RC สำคัญได้มาอีกหนึ่งภาพ แชะจบจากกำแพงชั้นกลางนี้ อย่างเป็นที่น่าพอใจแล้ว พวกเราก็ย้อนกลับไปที่ปราสาทที่นำไปสู่ตัวปราสาทชั้นใน ที่อยู่สูงขึ้นไป ต้องขึ้นบันไดไป ในส่วนนี้ได้มีบันไดไม้ทำเองมาติดตั้งไว้ให้นักท่องเที่ยว เพราะดูจากสภาพบันไดตัวจริงข้างใต้บันไดประดิษฐ์แล้ว คาดว่าจะขึ้นไปคงร่วงลงมาเพราะหินบันไดนั้นทั้งหลวมทั้งผุพังมากแล้ว เข้าไปด้านในแล้วถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ มุมโน้นมุมนี้ ตัวปราสาทเองก็พังมากแล้ว ขนาดที่สามารถ เห็นหินศิลาแรงที่ใช้ทำเป็นฐานเลยด้วย"นางอับสะราที่นี่จะมีการทำทรงผมอยู่หลายทรงผมมากๆเลยนะคะ" เจ้าอุ้มอ่านหนังสือ แล้วพวกเราก็เดินวนๆไปทางขวาดูนางอับสะรา ya what ever ข้าพเจ้าคิดในใจหลังจากที่เดินวนๆดูนางอับสะราหลายๆทรงผมไปซักพัก เพราะมันเยอะซะจนขี้เกียจจำ และแล้ว.... . . (ตึ่ง! ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ! ทำเสียงกลองรัว) ตัวปราสาทชั้นในสุดก็ตั้งอยู่ตรงหน้า (ความจริงแล้วก็เดินวนๆรอบมันมาตั้งนานแล้วล่ะ) มันมีฐานสูงมาก.. .ไม่ใช่สิ มีฐานสูงม๊ากกกกกกก!!! พวกเรามองเห็นบรรดานาๆอาๆนักท่องเที่ยวพยายามตะเกียดตะกายขึ้นไปกันก็ให้ปรงสังขาร มองตัวเองแล้วก็อนิจจา.. . ตูข้าจะปีนขึ้นไปไหวไหมหน๋อ ไอ้อุ้มนิ้วยักษ์แบบนั้นมันจะปีนได้ไหมหน๋อบันไดทางขึ้นเป็นหินผุๆ วางเรียงกันหลวมบ้างแน่นบ้าง เป็นขั้นๆสู๊งงง! ขั้นนึงสูงซักฟุตนึงได้มั้ง แล้วก็แค๊บบบ! ขนาดที่ต้องวางเท่าทางแนวนอน แทนที่จะเป็นแนงตั้งเหมือนเวลาเราเดินขึ้นบันไดปกติ มีเป็นสิบๆๆๆๆๆขั้นสูงขึ้นไปประมาณตึก 2-3 ชั้น ทั้งสูงทั้งแคบแบบนี้ เลยยิ่งทำให้รู้ว่าบันไดนี้ชันมากๆ เราสองคนหันมามองหน้ากัน เพื่อทำใจมากกว่าที่จะถามกันว่าจะไปต่อมั้ย เพราะยังไงก็ต้องไปอยู่ดี ไหนๆก็มาถึงแล้ว "ป๊ะ!" ดิฉันสวมวิญญาณลิง หมุนกระเป๋าสะบายไปด้านหลัง แล้วปีนขึ้นไปก่อน ตามมาติดๆด้วยเจ้าอุ้มสวมวิญญาณลิง(นิ้วยักษ์) ตะกายแหง่กๆตามขึ้นมา มีคุณน้าฝรั่งตัวใหญ่อ้วนกลมเป็นเพื่อนเดินทาง ทั้งสูงทั้งชัน ยิ่งขึ้นไปสูงมากเท่าไหร่ ความกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบน หรือ ก้มลงดูด้านล่างก็ลดน้อยลง น้อยลง.. .. . .. .. . มือเริ่มชุ่มไปด้วยเหงื่อของความตื่นเต้น และเริ่มจะแบราบไปกับขั้นบันไดด้านบนแบบที่ทุกตารางเซนติเมตรของฝามือจะทาบลงไปได้.. .. .. . อ๋อย แย่แล้ว... .. . "ป่าบ ป่าบๆๆๆ แผล๋วๆๆ!!" ความท้อแท้กระเด็นกระดอนไป ด้วยเสียงของเด็กอ้วนตัวเล็กๆไม่ถึงสิบขวบ ตะกายดุ๊กๆๆๆขึ้นบันไดด้วยความเร็วอย่างกับเป็นบันไดบ้านตัวเอง ผ่านหน้าดิฉันขึ้นไป มองไปแล้วก็ทำให้รู้สึกป้ามากๆ คิดอยู่ในใจ 'นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่ฟระ ทำไมเด็กมันขึ้นไปได้เร็วขนาดนี้ พ่อแม่มันหายไปไหน? เออ! แล้วเจ้าอุ้มล่ะ!?' คิดได้ดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะต้องเหลียวหลังไปดูชีวิตเพื่อนร่วมทางที่มีอยู่คนเดียวซะหน่อย (มันร่วงไปจะลำบากด้วยกันทั้งคู่) อู๊ยยยยย มันหวิ๋วดีเหลือเกิน.. .. . "อุ้ม!?" ตะโกนลงไปเมื่อเห็นเจ้าอุ้มยังตะกายขึ้นมาไม่ถึง 10 ขั้น ซึ่งห่างจากข้าพเจ้าไปขนาดที่จะถอยลงไปหาคงไม่ไหวแง๊ววววว~ เจ้าอุ้มมองขึ้นมาทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ ขณะเดียวกันข้างๆนั้นแต่อยู่ที่พื้น ก็มีผู้หญิง(เดาว่าเป็น)ชาวเกาหลียืนเอามือปิดปากทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้เช่นเดียวกัน เธอมองขึ้นมา.. . เห็นแล้วก็เดาได้ว่า เขาคงดูลูกชายตัวน้อยๆของตัวเองปีนขึ้นไปอย่างแน่นอนเจ้าอุ้มโก๊ะ 03 : "พี่ปออออออ~~ มันไม่มีที่จับ" (TT 0 TT) โวยวายไป สองมือก็ย้ายที่ไป ซ้ายทีขวาที เหมือนกับหาราวบันไดไม่เจอ (ก็มันไม่มีน่ะสิ!)พี่ปอ : "ค่อยๆไป เกาะร่องหินไปเรื่อยๆ"เจ้าอุ้ม : "อุ้มไม่อยากขึ้นไปแล้ว"พี่ปอ : "งั้นรออยู่ตรงนั้นก่อน เด๋วขึ้นไปดูว่าทางลงเป็นยังไง เพราะถ้าลงทางนี้คงทำไม่ได้แน่ๆ" ตกลงตามนั้น เจ้าอุ้มตะกายนั่งแปะไปกับขั้นพักบันไดยิ้มร่าอย่างกะผลัดการกินอาหารที่ไม่ชอบไปได้ ข้าพเจ้าปีนขึ้นไปจนสุด ข้างบนมีนักท่องเที่ยวนั่งเล่นอยูริิมบันไดเต็มไปหมด ไหนจะถ่ายรูป ไหนจะนั่งพักหมดแรง ข้าพเจ้าทำใจอยู่แป๊ปนึงก็ชะโงกลงไปดูเด็กนิ้วยักษ์ข้างล่าง ถ่ายรูปมันนั่งจ๋อย แล้วก็ตะโกน "เด๋วมานะ!" ว่าแล้วก็เดินเข้าไปในตัวปราสาททันที คนเยอะม๊ากกกกกกกกก ทางเดินในปราสาทรอบๆเป็นทางแคบๆ ขึ้นๆลงๆอยู่ระหว่างทางเดินกับหัวมุมปราสาท เดินไปๆ ชักงงกับทิศทาง แล้วก็สงสัยว่า ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้หว่า แล้วคนสมัยก่อนเขาต้องขึ้นๆลงๆแบบนี้ด้วยรึ งง?? ? มีโอกาสถ่ายรูปก็ถ่ายไปด้วย ถ่ายไปทุกๆประตูที่สามารถมองเห็นวิวด้านล่างได้ จนมาถึงทางออก นั่นแน่! ทางออก ทำไมถึงรู้นะรึ ?ก็มีคนต่อคิวกันเดินลงปราสาททางนี้กันจนยาววววววววววววเข้าไปถึงตัวปราสาทตรงกลาง คดไปคดมา เห็นดังนี้ก็เดาได้เลยว่ามันมีราวบันไดให้จับอย่างแน่นอน และก็เป็นจริงตามนั้นข้าพเจ้ารีบวิ่งย้อนกลับไปหาทางที่ขึ้นมา วิ่งไปวิ่งมา จากที่งงอยู่ตะกี้ยิ่งงงหนัก สรุปว่ามันทางไหนกันแน่หว่า ชะโงกลงไปดูข้างล่าง เอ วิวมันเปลี่ยนไป คนที่นั่งอยู่ที่บันไดก็ไม่ใช่แล้ว ชะอุ๊ย สงสัยจะหลงซะละมั้งเราด้วยภูมิปัญญาอันชาญฉลาดของดิฉัน (อะแฮ่ม) ข้าพเจ้าก็เลยชักกล้องขึ้นมาดู เพราะว่าเราถ่ายไปหมดแล้วทุกประตูหนิ จึงเดาสามารถเทียบวิวเอาได้ว่าตอนนี้อยู่ประตูไหนแล้ว.. . อืออออ อันนี้แหละ! ชะโงกลงไป เอ๋ ? เจ้าอุ้มไม่อยู่ เอ๋ ? ดูวิวกับรูปในกล้องใหม่ เออ ก็อันนี้หนิ หรือว่ามันจะขึ้นมาแล้วหว่า.. . งึมงำกับตัวเองไปซักพัก งั้นเดินย้อนศรกลับไปละกัน เพราะถ้ามันมาแล้วก็ต้องเจอกัน เดินๆๆๆๆ ๆ ๆๆๆ ๆ ๆ.. . ไม่เจอ เอ๋? ยืนเหนื่อยไปซักพัก คิดในใจว่า จะบอกพี่ตำรวจเขายังไงดีว่าคนหาย เอาฟระ! ชะโงกไป ไม่มี เดินวนมันอีกซักรอบ คราวนี้เกือบจะเป็นวิ่ง หลงประตูบ้างอะไรบ้าง กลับมาที่เก่า ยังไม่เจอเลยระหว่างทาง ชะโงกไป อ๊าวววว! เจ้าอุ้มตะกายขึ้นมาจนเกือบจะถึงบนสุดนี่แล้ว! //โฮ๊ย.. . โล่งอกไปที คุณพระคุ้มครอง.. . ตะกี้ไปไหวพระมาด้วยมือไม้มันสั่นไปหมด เห็นแบบนั้นก็เลยเงียบๆไว้ไม่สงเสียงให้มันเสียสมาธิ แล้วก็ฉุดมันขึ้นมาตอนขั้นสุดท้าย ขึ้นมาได้ดีใจใหญ่ ทั้งได้เจอกันแล้ว ทั้งขึ้นมาได้แล้ว แต่ไม่วายขอให้ดิฉันถ่ายรูปให้หน่อย จัดที่จัดทางกันอย่างดี เจ้าตัวดีค่อยๆตะกายไปที่ขอบของบันไดขั้นบนสุดทำให้ต้องมองลงไปด้านล่างอีกรอบ พอเธอหันมาหน้ากลับมาหากล้องเท่านั้นล่ะ ทำให้ดิฉันต้องลงกล้องลงก่อนแล้วดุว่า "ยิ้ม!?" เพราะท่านล่อทำหน้าตาตื่นๆเหมือนจะร้องไห้อยู่ หะหะหะหะถ่ายรูปกันเสร็จสรรพ "เออ อุ้มแล้วกระเป๋าเธออยู่ไหนอ่ะ?"เจ้าอุ้มโก๊ะ 04: "เออใช่ อุ้มทิ้งมันไว้ข้างล่างอ่ะค่ะ อุ้มกลัว ไม่คิดว่าจะขึ้นมาถึง เลยไม่ได้เอาขึ้นมาด้วย"พี่ปอ : "เฮ๊ย! มันอยู่ตรงไหนอ่ะ แล้วมันมีกระเป๋าตังค์มีกล้องอะไรหมดไม่ใช่เหรอ"เจ้าอุ้ม : "อือ ไม่ได้ถืออะไรขึ้นมาเลยอ่ะ รองเท้าอะไรก็ถอดไว้ข้างล่าง กระเป๋าอยู่ที่พักที่อุ้มไปนั่งอยู่นั่นไง"พี่ปอ : "จ๊ากกก แล้วใครจะลงไปเอาล่ะ เพราะเราต้องเดินเข้าไปข้างในแล้วลงไปอีกทางนะ"เจ้าอุ้ม : "เออ จริงด้วย!"พี่ปอ : "แล้วจะบอกให้ใครข้างล่างเขาเฝ้าไว้ได้มั้ยเนี่ยะ! บอกไปตอนนี้ใครเขาจะเชื่อ แล้วเขาจะไม่เอาของหายไปเลยเหรอ"เจ้าอุ้ม : "ทำไงดีล่ะพี่ปอออออ~ อุ้มลืมไปอ่ะ!"อุเหม่.. .. . อยากกินตับเด็ก .. . แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว คิวทางลงตรงนั้นมันยาว ข้าพเจ้าเลยตกลงให้เจ้าอุ้มเข้าไปเดินเล่นในตัวปราสาทก่อน แล้วจะลงทางไหนก็ลงไป ถ้าลงทางนี้ก็จะได้เจอกันเร็ว ส่วนข้าพเจ้าซึ่งตอนนี้ไม่ค่อยกลัวความสูงเท่าไหร่แล้วก็เลยไถๆตัวลงไปทางเดียวกันกับที่ขึ้นมานี้เลย จะได้ลงไปเอากระเป๋าให้เร็วที่สุด ข้างหน้าเป็นพี่ไกรด์นำทางญี่ปุ่นให้ไถตัวลงไป ทำให้การเดินลงไม่ใช่เรื่องยากนัก ข้าพเจ้านั่งดูพี่ไกรด์นำร่องลงไปแล้ว ก็ค่อยๆลงตามไป พี่ไกรด์ลงไปถึงสุดทางเดินแล้ว น้องญี่ปุ่นสองหน่อถึงแล้ว พี่ไกรด์เลยมองขึ้นมาดูทางให้ข้าพเจ้าไปด้วยอีกคน ในฐานะที่ตามกันมาติดๆ พี่ไกรด์แอบนินทาให้ญี่ปุ่นฟังว่า hayai! (แปลว่าดิฉันลงได้เร็วนะ) ชริ คิดว่าฉันฟังไม่ออกหรือไง ศัพท์อนุบาลแบบนี้รู้หรอกน่า ข้าพเจ้าเลยตะโกนลงไป(เป็นภาษาอังกฤษ)ให้พี่ไกรด์คอยดูกระเป๋าให้ก่อน แล้วพอลงไปถึงก็ขอบคุณเขา แล้วก็แยกไปหยิบกระเป๋าแล้วไปนั่งพักอยู่ขอบกำแพงข้างๆนางอับสะรา นั่งไป นั่งไป เจ้าอุ้มไม่ลงมาซะที มันคงเหมือนตอนที่มันนั่งรอเราเหมือนกัน ไม่ไหว เบื่อ เลยหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปบันไดเล่น ล่อมุมที่กล้องติดพื้น ทำให้เกือบจะต้องนอนลงไปกับพื้น น้าฝรั่งตัวอ้วนกลมเดินเข้ามา แล้วยื่นมือมาแชร็คแหน "Hey! Good job!" (ฝรั่งยิ้มร่า) ไอ้เราคิดในใจ ฝรั่งคนนี้เคยเห็นที่ไหนฟระ "Hey~ Thanks! You, too!" (ยิ้มตอบ และเขย่ามืออย่างหนักแน่น) "I'm going back. Perhaps we will meet again outside." "Ya, see you then? (HAHAHAHA) I gotta wait for my friend first." ลากันไปแบบขำๆแล้ว ก็ยังคงนึกไปๆ อ่อ เขาคือคนที่ขึ้นมาพร้อมๆเรานั่นเอง~ เขาก็เลยเข้ามาทักทายตามประสาผู้ร่วมทางที่เดินทางถึงจุดหมายแล้ว พอคิดได้ดังนี้ก็ให้มีความรู้สึกภูมิใจมากนะเนี่ยะ ที่ได้ขึ้นไปข้างบนนั้น อิอิซักพักใหญ่ๆ เจ้าอุ้มเดินกลับมาจากทางเดินด้านล่าง ก็เลยรู้ว่าทำไมมันนานเพราะต้องไปต่อคิวที่ทางเดินลงนั่นเอง ไม่เป็นไร วันนี้เราถึงจุดหมายแล้ว หลับจากนี้ก็กลับไปกินข้าวกินปลาอาบน้ำอาบท่านอนได้แล้ว วู๊~~~ เราสองคนเดินคุยกันออกตามทางเดินเรื่อยๆเฉือยๆ ถ่ายรูปตอนพรบค่ำไปด้วย ถึงทางเดินข้ามคูด้านนอกแล้ว "ฟ้าแบบนี้เมือนฝนจะตกเลยเนอะ" "อือ พระอาทิตย์ตกแล้ว ยังไม่เห็นตัวพระอาทิตย์เลย เมฆบังมิด" "วันนี้สนุกดีเนอะ ไปเรื่อยๆชิวๆ" "อือ ชิวๆเนอะ" ไม่ทันขาดคำ แปะ ... . แปะ.. ... . . .... .. . . แปะๆๆๆๆๆๆ ๆๆ ๆ ๆ ๆ !!!"เหว๋ออออออออออออออออออ !! วิ่งเร็ว !!!" ทางเดินที่ว่ายาว มันยิ่งยาวหนักขึ้นไปอีกเมื่อเวลาเรารีบร้อน พวกเราวิ่งไป วิ่งไป พร้อมๆกับนักท่องเที่ยวมากมาย ตั้งแต่หินทางเดินมีหยดน้ำไม่กี่หยดจนเปียกโซก ถึงสุดทางเดินแล้ว เอาไงดี? วิ่งไปหลบที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มองไปฝั่งตรงข้าม คุณลุงคนขับรถมอเตอร์ดุ๊ปไหวตัวไวมาก ใส่เสื้อกันฝนแล้วถือร่มโบกมือไหวๆ ให้พวกเราวิ่งไปที่รถซึ่งบัดนี้มีผ้าม่านพลาสติกกันฝนผูกไว้ทั้งสองข้างได้ทันท่วงที ก่อนที่ฝนห่าใหญ่จะพรูกันลงมา"ขอบคุณค่ะคุณลุง!!!""ครับ ไปกินข้าวเย็นเลยมั้ย เป็นบุ๊ฟเฟ่ มีการแสดงให้ดูด้วย?"(พวกเรากันหน้าเข้าหากัน) "ไปเลยค่ะ! เย่ห์~ !!!"ลุงสต๊าร์ทรถอีกครั้ง มุ่งหน้าผ่าฝนที่ตกหนังไปยังร้านอาหารที่พวกเราจะไป.. . . สู้ต่อไปนะ! (คะ คุณลุง.. . . ^ ^b) TO BE CONTINUE (つづく)
wsakon@hotmail.com