บ่ายแก่ๆที่อ่าวไร่เลย์ ผมกระโดดขึ้นเรือแล้วเดินก้าวเข้าไปนั่งด้านในสุด ห่างจากเครื่องยนต์เรือไม่ถึงเมตรครึ่ง ผมอาศัยเรือเล็กๆลำนี้พร้อมกับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกสามคู่ เพื่อจะกลับเข้าตัวสู่เมืองกระบี่ เรือหางยาวแบบนี้ชาวบ้านเรียกว่าเรือหัวโทง เป็นเรือที่กินน้ำตื้น ท้องเรือกว้างหัวเรือแหลม เพิ่มเติมหลังคากันแดดให้นักท่องเที่ยว มีพี่คนขับเรือ เป็นชายตัวเล็กผิวเข้ม แต่รูปร่างสันทัดตามแบบฉบับชาวเรือ พี่แกชื่อมานะ ผมทราบหลังจากยิ้มทักทายและพูดคุยกันไม่นาน
เรือออกจากอ่าวได้ไม่เท่าไหร่ ฝนเริ่มโปรยเม็ดอ่อนๆผสมกับละอองทะเลปรายชโลมหน้า ผมชะเง้อมองผ่านกาบเรือออกไป เมฆฝนจับตัวเป็นเงาดำ คลื่นเริ่มแรง เรือเริ่มโคลงเคลงตามกระแสคลื่น
ไหวมั้ยพี่ คลื่นท่าจะแรงน่ะ ผมเอี้ยวหลังถามพี่มานะด้วยความเป็นห่วง
สบาย.... พี่มานะตอบ แต่เห็นผมยังคงไม่ค่อยพอใจกับคำตอบเสียเท่าไหร พี่แกเลยพูดต่อ โน้นเห็นมั้ย คลื่นมาสูงแบบนั้น ต้องหันหัวเรือสู้ ไม่ใช่หนี อย่าเอาข้างเรือเข้าเพราะเรือมันจะโคลง บังคับยาก ต้องหันหัวเรือเข้าตรงๆ ไม่ต้องไปหนี !!
ไม่ต้องไปกลัว!! คลื่นสูงแค่ไหนเราก็ไปได้ ขอให้มือต้องจับหางเสือให้มั่น ตาสังเกตคลื่นให้ดี พี่มานะตอบ
หัวเรือมุ่งหน้าแหวกออกทะเล แววตาพี่มานะตั้งมั่น แขนเกร็งมือกำปลายท่อเหล็กที่ต่อยาวไปถึงใบพัดและหางเสือแบบหลวมๆ เรือฝ่าระลอกคลื่น กระแทกเข้ากระทบหัวเรือ ทีละลูก ทีละลูก เล็กบ้างใหญ่บ้าง แต่เรือก็โคลงน้อยกว่าตอนแรกมากนัก
ชีวิตคนเราย่อมมีอุปสรรค เล็กบ้างน้อยบ้าง เป็นธรรมดา ท้อแต่อย่าถอย ต้องมานะ เผชิญอุปสรรคแบบตรงๆด้วยเหตุผลและความเข้าใจ อย่ามัวแต่หลบหนี การหลบหนีมันก็แค่ความสบายชั่วคราว แล้วในที่สุดเราก็ต้องกลับไปปลดไปแก้ปมนั้นอยู่ดี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากจะเปรียบเรือดั่งชีวิต เรือนั้นยังมีหางเสือคอยประคอง บังคับให้ชีวิตโลดแล่นไปดั่งหนทางที่เราตั้งใจ แต่ชีวิตจริงแล้วนั้น เราหาได้มีหางเสืออย่างนั้นไม่ เราจึงจำต้องมีสิ่งคอยเป็นเสมือนคอยยึดเหนี่ยวจิตใจ ยามที่เราลอยคว้างกลางทะเลกว้าง
คลื่นลมเริ่มสงบลง ฝั่งเริ่มเห็นอยู่ไม่ไกล ผมเอี้ยวตัวไปดูพี่มานะ แกยิ้มรับ แววตาของพี่มานะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง