นิวเคลียร์ไม่ช่วยแก้โลกร้อน
รอยเตอร์ - บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมเตือนว่าพลังงานนิวเคลียร์อาจไม่ใช่คำตอบของปัญหาโลกร้อนอย่างที่หลายคนคิด เนื่องจากการทำเหมืองและเพิ่มสมรรถนะยูเรเนียมเพื่อนำมาผลิตกระแสไฟฟ้า ก็ปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณมากเช่นกัน รายงานของกลุ่มสิ่งแวดล้อมและรัฐบาลบางฉบับระบุว่า ถึงแม้ว่าการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์จะทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนเพียงแค่ 1ใน50 ของปริมาณก๊าซคาร์บอนที่เกิดจากเชื้อเพลิงฟอสซิลจำนวนมาก ทว่า กว่าที่จะได้ไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ก็จะต้องก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นหันมาสนใจพลังงานลมและพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมนิวเคลียร์ถูกโจมตีในเรื่องความวิตกกังวลต่อความปลอดภัย ทว่า การที่กระแสตระหนักถึงภัยคุกคามจากปัญหาร้อนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆทำให้หลายฝ่ายหันมาให้ความสำคัญต่อปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ในห้วงโซ่พลังงานนิวเคลียร์ ในขณะที่บริเวณเปลือกโลกยังมีแหล่งยูเรเนียมขนาดใหญ่อยู่จำนวนมาก มากกว่าทองถึง 600 เท่า ทว่า แร่ยูเรเนียมชั้นดีที่สุดถูกใช้ไปมากแล้ว ทำให้บริษัทเหมืองต้องไปขุดในบริเวณที่ใช้เทคนิคมากขึ้น หรือใช้ยูเรเนียมเกรดต่ำลง ซึ่งหมายความว่าการทำเหมืองยูเรเนียมก็จะใช้พลังงานมากขึ้น โทนี จูนิเปอร์ แห่งกลุ่มเฟรนด์ส ออฟ ดิ เอิร์ธ กล่าวในการประชุมข้างเคียงกับเวทีประชุมโลกร้อนที่เกาะบาหลี อินโดนีเซีย ว่า มีแนวโน้มที่พลังงานนิวเคลียร์จะปล่อยก๊าซคาร์บอนเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากสินแร่ยูเรเนียมเกรดต่ำกว่า ที่ยังคงเหลืออยู่ในโลก ทางด้านโฆษกของบริษัทริโอ ตินโต ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมโลหะและเหมืองแร่ กล่าวว่าปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เหมืองยูเรเนียมแรนเจอร์ ของริโอ ตินโต ตั้งอยู่ที่ออสเตรเลีย ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ ในการผลิตยูเรเนียมออกไซด์ 1 ตัน เหมืองแห่งนี้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 17.7 ตัน เมื่อปี2006 จากที่เมื่อปี2005 เหมืองปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 13 ตัน ในการผลิตยูเรเนียมออกไซด์ 1 ตัน โฆษกของริโอตินโตยอมรับว่าการที่ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนเพิ่มขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสภาพอากาศที่เลวร้ายจำกัดการเข้าถึงยูเรเนียมเกรดดี อีกทั้งบริษัทก็ขยายการผลิต อย่างไรก็ดี ริโอตินโตได้พยายามลดการปล่อยก๊าซอีกครั้ง เมื่อปีที่แล้ว ปริมาณยูเรเนียมที่ขุดจากเหมืองนี้อยู่ที่ 4,748 ตัน ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ราว 84,000 ตัน ทั้งนี้ เมื่อดูจากธุรกิจของริโอตินโตทั้งหมดจะพบว่าบริษัทปล่อยก๊าซคาร์บอนราว 28,300,000 ตัน ถึงแม้จะมีตัวเลขจากภาคอุตสาหกรรมระบุออกมา แต่คลาเรนซ์ ฮาร์ดี้ เลขาธิการสมาคมนิวเคลียร์แห่งออสเตรเลียและประธานสภานิวเคลียร์แปซิฟิก กล่าวว่าวงจรนิวเคลียร์ปล่อยก๊าซคาร์บอนในระดับต่ำมาก ไม่ถึงกับอยู่ที่ระดับ0 แต่ก็อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงฟอสซิล อีกทั้งยังต่ำกว่าก๊าซคาร์บอนที่โรงไฟฟ้าพลังน้ำปล่อยออกมา ทั้งนี้ ฮาร์ดี้กล่าวว่าตลอดช่วงชีวิตของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนจะอยู่ที่ราว 10 - 25 กรัม ต่อ 1 กิโลวัตต์ คิดเป็น1ใน100ของปริมาณก๊าซคาร์บอนที่โรงไฟฟ้าพลังถ่านหินปล่อยออกมา นอกจากนี้ ฮาร์ดี้ยังกล่าวเพิ่มว่า แม้แต่พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ยังปล่อยก๊าซคาร์บอนมากกว่าวงจรเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ทั้งวงจรปล่อยออกมา นับตั้งแต่การขุดเหมืองหาแร่ยูเรเนียมไปจนถึงการจัดการกับกากนิวเคลียร์ ยิ่งไปกว่านั้น พลังงานลมและแสงอาทิตย์ยังต้องใช้เหล็กและคอนกรีตปริมาณมหาศาล ซึ่งล้วนแต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการผลิต ทว่า สำนักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐสภาอังกฤษได้เผยแพร่เอกสารระบุว่า พลังงานนิวเคลียร์ปล่อยก๊าซคาร์บอน ราว 5 กรัม ต่อ 1 กิโลวัตต์ ใกล้เคียงกับปริมาณก๊าซคาร์บอนที่พลังงานลมนอกชายฝั่งปล่อยออกมาที่ 5.25 กรัม ต่อ 1 กิโลวัตต์ และมากกว่าปริมาณที่พลังงานลมบนบกปล่อยออกมาที่ 4.64 กรัม นักวิทยาศาสตร์ซึ่งเข้าร่วมเวทีประชุมโลกร้อนที่บาหลีกล่าวว่าจำเป็นต้องมีการแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างเร่งด่วน และต้องหาวิธีป้องกันไม่ให้ก๊าซคาร์บอนเพิ่มสูงถึงระดับสูงสุด ภายใน 10 - 15 ปีข้างหน้า ทว่า ตามปกติแล้ว การสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ต้องใช้เวลานานถึงหลายสิบปี
ขอขอบคุณ
//www.manager.co.th
Create Date : 27 มีนาคม 2551 |
|
1 comments |
Last Update : 27 มีนาคม 2551 23:50:12 น. |
Counter : 550 Pageviews. |
|
|
|