Group Blog
 
 
เมษายน 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
21 เมษายน 2555
 
All Blogs
 
Cloud Computing คืออะไร? มีประโยชน์ยังไงบ้าง อ่านคำอธิบายแบบเข้าใจง่ายๆได้ที่ Blog นี้

[ต้นฉบับของ Blog Content ชิ้นนี้อยู่ที่  //www.s50.me/2012/04/it-trend-cloud-technology.html ]

21 April 2012 -- Cloud Technology หรือ Cloud Computing คือเทคโนโลยีของระบบประมวลผลรูปแบบใหม่ ที่เปลี่ยนมุมมองของผู้ใช้ให้เป็นไปในมุมมองในลักษณะคล้ายๆ กับการใช้ทรัพยากรสาธารณูปโภคที่มีผู้ให้บริการเช่น ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ซึ่งจุดนี้หมายความว่าผู้ใช้สามารถใช้ CloudTechnology ในลักษณะคล้ายๆ กับการใช้บริการ โดยเสียค่าบริการเป็น Payper use จ่ายเท่าที่ใช้หรือจะใช้ประจำทุกเดือน คล้ายๆ เสียค่าสมาชิกรายเดือนของเคเบิลTV ก็ตามแต่ความต้องการในการใช้งาน โดยในปัจจุบัน องค์กรสามารถใช้ Cloud Technology ได้ 2-3 รูปแบบ (SaaS, IaaS, PaaS) อธิบายแบบง่ายๆคือ


รูปแบบที่ 1 (Software as a Service, SaaS): จากรูปด้านล่างผู้ใช้สามารถเข้าถึงแอพพลิเคชั่นและข้อมูลองค์กรได้ทุกที่ทุกเวลา โดยผู้ใช้สามารถเรียกใช้ Business Software บน Cloud Technologyได้ทันที เช่น ใช้ EmailApplication, ระบบ File Sharing/Content Management, ระบบ CRM Application สำหรับ Sales และ Customer Support เป็นต้นโดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสนใจเลยว่า Application นี้ทำงานอยู่ที่ไหนเก็บข้อมูลอย่างไร ผู้ใช้สามารถเรียกใช้งานได้ตลอด ทุกที่ ทุกเวลา ที่สามารถเข้าถึงInternet ได้



Software as a Service (SaaS): ผู้ใช้สามารถใช้บริการ Application ได้ทุกที่ ทุกเวลา ที่มี Internet


รูปแบบที่ 2 (Infrastructure as a Service, IaaS): สะดวก ยืดหยุ่น และ ง่ายต่อการบริหารทรัพยากรIT ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ Virtual Server/ Virtual Machine บน CloudTechnology ได้ทันที ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการเครื่อง Server ที่มี 4 CPUs, 32GB Memory,10TB Storage สามารถเรียกขึ้นมาใช้ได้ทันที จาก CloudTechnology เช่นเดียวกันกับรูปแบบที่ 1 ที่ผู้ใช้ไม่ต้องสนใจเลยว่า Virtual Server หรือ Virtual PC/Desktop ที่ได้มานั้นตั้งอยู่ที่ไหนมาได้อย่างไร สามารถเรียกใช้หรือคืนได้ทันทีเมื่อใช้เสร็จ



Infrastructure as a Service (IaaS): ผู้ใช้สามารถเรียก Computing Resource เช่น Server, PC Desktop ขึ้นมาใช้ได้ทันทีจาก Cloud Technology ไม่ต้องเสียเวลาไปรอสั่งซื้อเครื่อง แล้วรอเครื่องมาส่งกว่าจะได้ใช้งาน


Cloud Technology รูปแบบที่ 3 (Platform as a Service, PaaS): เป็นรูปแบบที่กำลังจะมีความสำคัญมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ของเพื่อให้ นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่อาศัยคุณสมบัติข้อดีของCloud ได้อย่างดีเยี่ยม รูปแบบนี้ อาจจะอธิบายได้ยากและซับซ้อนมากขึ้นกว่า 2 รูปแบบแรก ซึ่งผู้ใช้ Cloudในรูปแบบนี้จะเป็นกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ (SoftwareDeveloper) ที่ต้องการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อใช้งานบน Cloud และให้ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นนั้นใช้คุณสมบัติต่างๆของ Cloud ที่จะไม่สามารถหาได้จากสภาวะปกติ (Non-cloudcomputing) เช่น ความสามารถในการขยาย Computing Resource(CPU/Memory) เมื่อต้องใช้ประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก หรือ หด ComputingResource เมื่อใช้ประมวลผลข้อมูลจำนวนไม่มาก เป็นต้น โดยเป็นรูปแบบการใช้Cloud Technology ที่กำลังจะเป็นที่นิยมมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ไม่น่าเกินปี 2015

Platform as a Service (PaaS): นักพัฒนา Software สามารถเรียกใช้ความสามารถหรือบริการต่างๆ ของ Cloud เพื่อนำมาประกอบกันเป็น Application ที่ยืดหยุ่น รองรับความสามารถที่หลากหลาย และ จำนวนผู้ใช้ที่มาก หรือ น้อยได้โดยอัตโนมัติ


จากรูปแบบการใช้ Cloud Technology ในแบบที่ 1 (SaaS) และ แบบที่ 2 (IaaS) จะพบว่า ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ได้ทั้งBusiness Software และ/หรือ Virtual Servers และ/หรือ Virtual Desktop จาก Cloud ได้ทันทีทันใดไม่ต้องรอขั้นตอนหรือกระบวนการต่างๆที่จะใช้ระยะเวลายาวนานเหมือนสมัยก่อนในอดีตก่อนหน้าที่จะมี CloudTechnology ที่จะต้องทำการ จัดซื้อ/จัดจ้าง อุปกรณ์ Hardware,Software ต่างๆ ใช้ระยะเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนถึงจะสามารถใช้งานได้นี่คือข้อแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดในเรื่องของความรวดเร็วในการได้ InformationTechnology (IT) มาใช้งาน ซึ่งจุดเด่นของรูปแบบการใช้ CloudTechnology ในลักษณะนี้นี่เองที่จะทำให้ธุรกิจสามารถขยับขยาย หรือปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ต่างๆ ได้อย่างคล่องตัว ยืดหยุ่น รวดเร็วมากขึ้น (หรือที่เรียกว่า BusinessAgility) และไม่มีภาระผูกพันที่ยาวนาน สามารถเรียกใช้และทำลายได้ที เมื่อใช้ CloudTechnology มาช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กรธุรกิจ 


ซึ่งถ้าหากพิจารณาเปรียบเทียบในเชิงต้นทุนเพื่อที่จะลงทุนว่า จะใช้Cloud Technology หรือจะใช้แบบดั้งเดิม (Non-Cloud) นั้นข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดสามารถจำแนกออกเป็นประเด็นต่างๆ ได้ดังนี้

1. (Cloud) "Pay as yougrow"  VS  (Non-Cloud) "Pay Upfront investment": ถ้าเป็น Cloud Technologyรูปแบบการลงทุนจ่ายค่าใช้บริการจะเป็นไปในลักษณะ "ใช้น้อยจ่ายน้อย, ใช้มาก จ่ายมาก" ซึ่งจะแตกต่างจาก Non-Cloud หรือการใช้งาน ITในอดีตคือ ต้องลงทุน Hardware/Software ไปก่อนตอนเริ่มต้นเป็นเงินก้อนใหญ่ไม่ว่าตอนเริ่มต้นจะใช้มากหรือใช้น้อยก็ตาม หลังจากนั้นต้องคอยเฝ้าดูระบบเป็นระยะว่าจำเป็นต้องทำ Upgrade ชุดใหม่แล้วหรือยัง ซึ่งเป็น Upfrontinvestment อีกก้อนในอนาคต ไม่รู้จบ และ ยังต้องมีค่า MaintenanceService ทั้ง Hardware/Software มาเกี่ยวข้องอีกมากมายซึ่งเป็นต้นทุนแฝง

2. (Cloud) ไม่มีต้นทุนในเชิง MaintenanceService ที่องค์กรธุรกิจต้องจ่าย VS (Non-Cloud) มีต้นทุน Maintenance Service ที่องค์กรธุรกิจต้องจ่ายทุกปีหรือ ทุก 3-5 ปี : ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ถ้าเลือกใช้ Cloud Technology องค์กรธุรกิจจะมีค่าใช้จ่ายต้นทุนที่ชัดเจนคิดตามการใช้งาน เช่น คิดตามจำนวนผู้ใช้ หรือ ตามเวลาที่ใช้ เป็นต้นจะไม่มีค่าใช้จ่ายใดแอบแฝงอีก แต่ถ้าหากเป็นแบบระบบเดิม (Non-Cloud) หน่วยงาน IT ขององค์กร จะมีค่าใช้จ่ายในเชิง Maintenance Service และ ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ แอบแฝง เช่น ค่าเช่า Space Datacenter, ค่าไฟ, แอร์ และ การทำ Datacenter สำรองข้อมูลนอกพื้นที่กรณีเกิดภาวะวิกฤต หรือที่เรียกว่า DisasterRecovery Site เป็นต้น

เพื่อยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น จึงขอยกตัวอย่าง Public Cloud Service ตัวอย่างหนึ่งของGoogle ที่มีชื่อว่า "Google Apps for Business"


Google Apps Cloud Service: เป็น Software as a Service (SaaS) ที่คิดเงินตามจำนวนผู้ใช้ (50 USD ต่อคนต่อปี) โดยที่ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ แอบแฝงอีก สามารถเพิ่มหรือลดจำนวนผู้ใช้ได้ตลอดเวลา


Google Apps นั้นเป็น Public Cloud Service ประเภท SaaS(Software as a Service) ที่ให้บริการด้าน EmailMessaging & Collaboration หรือถ้าจะแปลเป็นไทยคือระบบอีเมล์และระบบการแชร์ข้อมูลร่วมกัน ภายในองค์กรธุรกิจนั่นเองโดยรูปแบบของการใช้งาน จะมีความคล้ายคลึงกับ Gmail.com ที่ให้บริการFree email อยู่บน Internet แต่มีจุดที่แตกต่างมากมายคือGoogle Apps ออกแบบมาสำหรับองค์กรธุรกิจไว้ใช้งานภายในสามารถมี email address เป็น @companyname.com ของลูกค้าได้ (จะไม่ใช่ @gmail.com) และยังมีฟีเจอร์อื่นๆเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กรให้ดียิ่งขึ้น เช่น ระบบ Calendar, Mailing List, File Sharing, Chat,Voice/Video over IP เพื่อโทรหากันโดยผ่านเครือข่าย Internet,ระบบ Email Anti-Spam/Anti-Virus, Email Archiving (เก็บอีเมล์ได้นาน 1 ปี หรือ 10 ปี) และ นอกเหนือจากนี้ยังสามารถเข้าถึง Google Apps ผ่านทาง อุปกรณ์มือถือเช่น iPhone,BlackBerry, Windows Mobile ได้อีกด้วยโดยรองรับการทำ Push Notification เรียกได้ว่าจัดครบชุดใหญ่เลยทีเดียว ซึ่งรูปแบบการคิดค่าใช้บริการของ GoogleApps นั้นก็จะนับจำนวนผู้ใช้งาน โดยอัตราราคาอยู่ที่ 50 USD/user/year(หรือประมาณ 1700 บาทต่อคนต่อปี) ได้ความสามารถของซอฟต์แวร์ที่อธิบายไปด้านบนทั้งหมดครบชุดและสามารถเก็บเนื้อที่ Email Storage ได้สูงถึง 25GB/user



Google Engineer in Google Datacenter

Google ซึ่งมีหน้าที่เป็นผู้ให้บริการจะทำการจัดการเทคโนโลยีเบื้องหลังทั้งหมดให้แก่องค์กรธุรกิจโดยจะมีการทำการสำรองข้อมูลกระจายไปยัง Google Datacenter ต่างๆทั่วโลก เพื่อเพิ่ม Service Level ให้ครอบคลุมและให้มี ServiceUptime มากสุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้บริการได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา 24 ชั่วโมง 7วัน ซึ่งถ้าหากองค์กรธุรกิจที่ต้องการลงทุน IT Infrastructure เองเพื่อให้ได้ความสามารถเทียบเคียงกับ Google Apps นั้นจำเป็นต้องลงทุน (Upfront Investment) ในหลายๆ เรื่อง ที่เป็น Infrastructure หลักเช่น Server, Storage, Email Software License, Anti-Virus/Anti-SpamSoftware, Mobile Servers, File Servers , Operating System License , ClusteringSoftware License และ อื่นๆ อีกมากมาย ยังไม่รวมถึงการทำ Disaster Recovery ที่จำเป็นต้องมีDatacenter สำรอง นอกสถานที่ เพื่อปกป้องข้อมูลของระบบ Emailอีกด้วย สุดท้ายถ้าหากมีจำนวนผู้ใช้มากขึ้น Server Hardware ต่างๆ จะต้องมีการ Upgrade เปลี่ยนเครื่อง ก็จัดเป็นUpfront Investment อย่างเป็นลูกโซ่ไม่รู้จบ ถ้าเทียบกับการลงทุนกับGoogle Apps เพียงคิดค่าบริการเป็นรายปีต่อผู้ใช้ เหมาจ่าย ไม่มีค่าใช้จ่ายแฝง เป็นต้น
นี่คือข้อแตกต่างในเชิงการลงทุนอย่างชัดเจน ระหว่างการใช้Cloud กับ แบบดั้งเดิม

หากสนใจในตัว Cloud Google Apps เพื่อนำไปเปลี่ยนระบบอีเมล์ขององค์กรให้ติดต่อ ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Google ประจำประเทศไทยได้ที่ บริษัท แทนเจอรีน จำกัด หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Google Apps ได้ที่ //www.tangerine.co.th/apps-overview

นอกจากนี้ยังมี Cloud Technology อื่นๆ อีกมากมาย ที่ให้บริการ BusinessApplication ทำนองนี้ เช่น Salesforce.com หรือAmazon Web Services หรือ ที่อื่นๆ ซึ่งจุดประสงค์ของ CloudTechnology ถูกสร้างขึ้นเพื่อที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจ ลดการเสียเวลาหรือเสียค่าใช้จ่ายที่จะต้องบริหารจัดการ ITInfrastructure ด้วยตนเอง ให้ไปเน้นการทำธุรกิจขององค์กรแทนที่จะเน้นการบริหารจัดการIT Infrastructure ในองค์กรซึ่งมีต้นทุนในการบริหารจัดการสูงกว่าการ Outsourcing ไปใช้บริการPublic Cloud Service อย่างแน่นอน

List รายชื่อ Cloud Services อื่นๆ ขึ้นกับความต้องการของผู้ใช้ในแต่ละกลุ่ม

เห็นดังนี้แล้วคงหมดข้อสงสัยว่าทำไมCloudTechnology จึงถูกหยิบยกให้เป็นสุดยอดเทคโนโลยียอดฮิตขององค์กรธุรกิจชั้นแนวหน้ามากมายที่วางใจเลือกใช้ Cloud Technology เป็นมือขวาที่ช่วยขับเคลื่อนให้องค์กรธุรกิจสามารถวิ่งแซงหน้าในสนามแข่งขันได้อย่างสบายๆ



Create Date : 21 เมษายน 2555
Last Update : 21 เมษายน 2555 23:40:31 น. 0 comments
Counter : 1262 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Suttiwat
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Suttiwat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.