30 ต.ค. 2552 วันศุกร์แล้ว ส. อา. หยุดฉายแสง
ส่วนคีโมครั้งที่สามก็ยังไม่ถึงกำหนดให้ ก็เลยไปรับกลับบ้าน
กลับมาเจอสภาพแวดล้อมดีดี อาหารถูกปาก
และที่สำคัญ ได้กลับมาอยู่ใกล้ชิดกับลูก แม้จะเป็นเวลาสั้นๆก็ตามที
แต่กลับครั้งนี้ มาพร้อมกับหัวที่เกรียน
และรอยปากกาที่ต้องมาร์กตำแหน่งฉายแสง
ขีดตั้งแต่ขมับไปจนถึงหน้าอกช่วงบน
รอยขีดที่ทำให้เค้ารู้สึกแปลกแยกออกจากสังคมทั่วไป
แค่หัวที่เกรียนก็ใส่หมวกได้ แต่รอยปากกามันดูน่ากลัว
แม้แต่น้องซันเอง ตลอดเวลาที่เดินทางก็ไม่ยอมให้อุ้ม
ก่อนถึงบ้านเค้าให้แวะกินข้าว เรารู้ว่าเค้าไม่มั่นใจแต่แอบข่มไว้
ใส่หมวกแล้วเดินลงรถ รีบกินไม่ยอมเงยหน้า แล้วไปนั่งรออยู่ในรถ
แค่มีรอยขีดอยู่ที่หน้า โดยที่เค้าไม่ได้ทำอะไรผิด
กลายเป็นจุดเด่นในสังคมแต่มันคือจุดด้อยในใจของพวกเรา
กลับมาบ้านเห็นเค้ากินได้เยอะ ใจนึงเราดีใจ
แต่อีกใจก็สงสารนึกถึงตอนอยู่ รพ.
อยากกินไรก็ไม่ได้กิน ไอ้ที่เอามาให้กินก็ไม่ถูกปาก กินแทบไม่ลง
แหม ถ้ากินตุนเอาไว้ได้ก็ดีสิ
เวลาหลับเราแอบมอง ผอมลงไปเยอะ สงสารเค้า
แอบโทษไปยังโชคชะตาทำไมลงโทษกันขนาดนี้
จากเคยใช้ชีวิตปกติ ทำงาน หาเลี้ยงครอบครัว
กลายเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ในรพ. แบบไม่มีใคร
นอกจากเพื่อนร่วมชะตากรรมและพยาบาล
กลับมาบ้านทั้งทีก็ไม่กล้าออกไปไหนทั้งที่ยังมีเรี่ยวแรง
เฮ้อ น้ำตาพาลจะไหล
1 พ.ย. 2552 เย็นวันอาทิตย์ กลับรพ. เพื่อรับการฉายแสงวันจันทร์
เดินไปส่งหน้าห้อง เค้าหอมลูก บอกไม่ให้งอแง ก็แค่นั้น
จากนั้นก็หันหลังให้กัน เค้าเดินเข้าห้อง เราเดินลงบันได
เค้าไม่เคยพูดถึงความรู้สึกลึกๆ คงเหมือนเรา
หาเรื่องอื่นสัพเพเหระคุยไป
บางครั้งการพูดความนัยมันยิ่งสะท้อนเข้าไปในหัวอก
ความรู้สึกบางอย่างไม่ใช่ไม่ยอมรับ แต่ขอเลือกที่จะไม่พูดถึง
อ่านแล้วเข้าใจความรู้สึก
บางอย่างเราไม่ต้องพูด แต่รับรู้ได้ด้วยใจ
ขอให้หายไวไวนะคะ
ยินดีที่ได้มาทักทายค่ะ