ทางพ้นทุกข์สู่ความสุขและความสำเร็จ


อุปสรรคที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง ที่สกัดกั้นไม่ให้คนเราก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางแห่งความสำเร็จ นั่นคือ การเป็น คนเจ้าทุกข์ ที่มัวแต่ฝังใจอยู่กับอดีตอันขมขื่น เฝ้าวิตกกังวลในเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และพยายามหนีปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ราวกับสุนัขโดนน้ำร้อน ความคิดในแง่ลบเหล่านี้ ย่อมไปทำลายความคิดในทางสร้างสรรค์ของคนเรา จนอยู่ไกลจากเป้าหมายที่พวกเขาควรจะก้าวไปให้ถึง  ซึ่งผลร้ายที่เกิดจากอารมณ์เจ้าทุกข์นั้น มีอยู่ ๓ ประการด้วยกัน

1. ทำให้สติปัญญาเสื่อมลง ย่อมเป็นที่แน่นอนหากว่า แอลเบิร์ต ไอน์สไตน์(1879-1955 นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน)  มีพ่อแม่เจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจตนเอง บังคับให้เขาประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในกรอบ  เมื่อเกิดอารมณ์ในทางแฟบขึ้นมา ก็จะดุด่าว่ากล่าวหรือลงโทษอย่างรุนแรง ทั้งๆที่ตัวเขาไม่มีความผิดเสียแล้ว เขาก็จะไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังก้องโลก

หากว่าเขามีพ่อแม่ที่อารมณ์ร้ายเช่นนี้ ครั้นเมื่อโตขึ้น เขาก็จะต้องมีนิสัยชอบมองสิ่งต่างๆในแง่ร้าย  สมาธิกระโดดโลดเต้นเป็นลิงหลอกเจ้า  มโนภาพสับสนชุลมุนวุ่นวาย จิตใจเลื่อนลอยและหลงๆลืมๆ  แล้วในที่สุด เขาก็จะต้องกลายเป็นเด็กปัญญาทึบ ประสิทธิภาพทางความคิดและความจำเสื่อมลง  สูญเสียสมรรถภาพในการแยกแยะเหตุผล และไร้ความสามารถในการตัดสินใจแก้ไขปัญหา  นานเข้าก็จะมองแต่สิ่งที่น่าเศร้าไปเสียรอบด้าน เอาแต่รำพึงรำพันปล่อยตัวปล่อยใจให้ขมขื่น  ละเมอเพ้อฝันถึงโลกที่สร้างขึ้นในห้วงนึก  ผลสุดท้าย ดวงตาแห่งจิตใจของเขาก็จะมืดมัว มึนเมาด้วยโมหาคติ แล้วโลกก็คงจะไม่รู้จักกับคนที่ชื่อว่า "แอลเบิร์ต ไอน์สไตน์"

2. ทำให้สูญเสียบุคลิกภาพ มีอยู่เพียงไม่กี่อย่างที่ทำลายความมีสง่าราศีของคนเรา จนสูญเสียบุคลิกอันดีงามและความน่าเชื่อถือจนหมดสิ้น และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ อารมณ์เคร่งเครียดชนิดเรื้อรัง หรืออารมณ์เจ้าทุกข์ เช่นข้าราชการที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งเพราะฉ้อราชบังหลวง นักธุรกิจที่ประสบกับความล่มจม  หรือนักการเมืองที่ถูกขับไล่ออกนอกประเทศจนแทบไม่มีแผ่นดินจะอยู่

การประสบกับสภาวการณ์อันไม่พึงปรารถนาเช่นนี้ ย่อมก่อให้เกิดความวิตกกังวลในจิตใจของพวกเขาบ้างไม่มากก็น้อย  ผู้ใดสามารถขจัดออกไปเสียได้ มันก็จะไม่มีผลกระทบต่อจิตใจแต่อย่างใด  แต่ถ้าหากผู้ใดจมปรักเอาแต่วิตกกังวลอย่างมิลืมเลือน นานเข้าผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนเจ้าทุกข์

อารมณ์เจ้าทุกข์จะมีผลกระทบต่อร่างกายของพวกเขา อย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ มันจะทำให้พวกเขาเกิดอาการฟุ้งซ่าน กระสับกระส่าย จู้จี้ขี้บ่น และเจ้าอารมณ์ จนทำให้มีลักษณะที่ดุร้ายและดูน่าเกลียดน่ากลัว  เช่น บางรายใบหน้าหมองคล้ำ  เต็มไปด้วยริ้วรอยตีนกา  ผมร่วง  ผิวหยาบกร้านไม่มีน้ำมีนวล  เป็นสิวเป็นฝ้าดูหมดสง่าราศี  และแก่เร็วกว่าเวลาอันควร อันเป็นการสูญเสียความมีเสน่ห์  จนใครๆไม่อยากจะคบหาสมาคมด้วย  ต่อให้เทวดาก็ไม่อาจที่จะบันดาลให้ใบหน้าของคนอมทุกข์อย่างพวกเขา มีสง่าราศีขึ้นมาได้แม้แต่เพียงครึ่งเดียวของการมีหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความสุข

3. ทำลายสุขภาพร่างกายให้อ่อนแอ ในสมัยโบราณ เมื่อแม่ทัพจีนผู้เหี้ยมโหด  ซึ่งเป็นผู้ปกครองแคว้นต่างๆต้องการจะทรมานนักโทษ เขาจะสั่งมัดมือมัดเท้า แล้วให้นั่งอยู่ภายใต้ถังน้ำที่ค่อยๆหยดทีละหยดลงบนหัว เมื่อนานเข้านักโทษผู้เคราะห์ร้ายนั้น จะรู้สึกเหมือนมีเสียงค้อนทุบลงบนหัว สุดท้ายเขาก็จะกลายเป็นบ้า วิธีทรมานแบบนี้ ได้เคยใช้โดยศาลของพระโรมันคาธอลิคในประเทศสเปญเมื่อสมัยก่อน  เพื่อทรมานอย่างทารุณแก่พวกที่มีความผิดทางศาสนา  กาลิเลโอก็คงจะเคยโดนมาแล้ว และนำมาใช้อีกครั้งหนึ่งในค่ายกักกันเยอรมันสมัยฮิตเลอร์เรืองอำนาจ

ความทุกข์ของคนเราก็เช่นเดียวกัน มันเปรียบเสมือนกับน้ำที่ค่อยๆหยดลงบนหัวของนักโทษ คนเรากำลังจะกลายเป็นโรคประสาทอย่างหนัก  และกำลังจะฆ่าตัวตายนับวันมีแต่จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น เพราะพวกเขาเฝ้าแต่วิตกกังวลต่อเหตุการณ์อันไม่พึงปรารถนานานจนเกินเหตุ อันเป็นการปล่อยให้ชีวิตถูกทำลายจนพังพินาศจากอารมณ์เจ้าทุกข์

ใจและกายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  เมื่อจิตใจเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้น  ร่างกายก็จะมีผลกระทบไปด้วย  เช่น เมื่อได้รับข่าวร้ายโดยปัจจุบันทันด่วน ร่างกายก็พลอยทรุดโทรมตามอารมณ์ไปด้วย ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจก็อาจจะต้องหามเข้าโรงพยาบาล  หรือบางทีก็หามเข้าวัดไปเลย

ในทำนองเดียวกัน  หากเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยทางร่างกาย  ก็จะมีผลกระทบต่อจิตใจเช่นกัน ฉะนั้น ความเจ็บไข้ได้ป่วยทางกายของคนเราส่วนใหญ่ จึงมิได้มีสมมุติฐานมาจากเชื้อโรค หรือความผิดปกติของร่างกายแต่เพียงอย่างเดียว ตามความจริงแล้ว โรคภัยไข้เจ็บทางร่างกายส่วนใหญ่ เป็นผลกระทบจากอาการผิดปกติทางจิตใจ

ความจำเป็นแรกสุดสำหรับการกินได้นอนหลับนั้น อารมณ์ความรู้สึกจะต้องปราศจากความเคร่งเครียดและวิตกกังวล ส่วนการกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นอาการที่มักพบในภาวะที่ฮอร์โมนถูกกระตุ้นให้สูงขึ้น  จากการเฝ้าแต่ทุกข์ระทมขมขื่น หรืออารมณ์ที่จมปรักอยู่กับความเคร่งเครียดที่เรื้อรัง  นานเข้าก็จะส่งผลกระทบไปยังร่างกาย โดยกดการเจริญเติบโต และลดการถ่ายทอดข้อมูลของเซลล์ประสาทในสมอง  ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะทำให้ท่านนอนไม่หลับ

ความอาลัยอาวรณ์เศร้าโศกเสียใจที่ผัวแอบไปมีเมียใหม่ หรือความเคียดแค้นอย่างไม่ยอมเลิกรา ที่เมียหนีไปมีชู้รัก มันจะมีผลกระทบต่อต่อมต่างๆในร่างกาย จนเกิดความแปรปรวนผิดปรกติ ร่างกายจะเกิดความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า อ่อนเปลี้ยเพลียแรง รู้สึกเบื่อหน่าย ขาดภูมิคุ้มกันต่อโรคภัยไข้เจ็บ นั่นย่อมทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง  อันเป็นการเปิดประตูให้สารพัดโรค เข้ามาทำลายสุขภาพของท่านให้ทรุดโทรมลง

ความสะเทือนใจอย่างรุนแรง ที่ได้รับข่าวร้ายว่าลูกโดนรถชนตาย หรือความตื่นตกใจเป็นกระต่ายตื่นตูม เมื่อได้ยินข่าวว่าพ่อแม่ตกเครื่องบินตาย  หรือดีใจจนสุดขีดที่ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง มันจะทำให้ร่างกายสำแดงออกในลักษณะของมือไม้ปากคอสั่น  หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ  นับเป็นการสูญเสียพลังภายใน มากยิ่งกว่าการทำงานหนักทั้งกายและสมองหลายเท่า และจะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินปกติในช่วงค่ำ  จึงเป็นเหตุให้ร่างกายต้องหลั่งฮอร์โมนอินซูลินเพิ่มขึ้น

ระดับฮอร์โมนที่แปรปรวนเช่นนี้ จะส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว เป็นต้นว่า ดุลยภาพของแคลเซียมในร่างกายลดต่ำลง ทำให้เกิดฟันผุ กระดูกพรุน เลือดจับเป็นก้อนเร็วขึ้น เซลล์ของเม็ดเลือดเพิ่มขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อตึง และขัดขวางขบวนการย่อยอาหาร  ซึ่งความป่วยไข้ของร่างกายเหล่านี้  เรามักจะเข้าใจกันว่าร่างกายคือสาเหตุ แต่อันที่จริงแล้ว มันเป็นผลจากสภาพอารมณ์ที่ผันผวนอย่างรุนแรง   หรืออารมณ์ที่เคร่งเครียดชนิดเรื้อรังต่างหาก

สาเหตุ 3 ประการดังที่กล่าวมานั้น คืออุปสรรคสำคัญยิ่ง ที่คอยสกัดกั้นไม่ให้คนเราสามารถปลอดปล่อยพลังภายในออกมาได้อย่างเต็มที่ ความคิดในแง่ลบเหล่านี้ ย่อมไปทำลายความคิดในทางสร้างสรรค์ของคนเรา  จนอยู่ไกลจากเป้าหมายที่พวกเขาควรจะก้าวไปให้ถึง


เหตุแห่งทุกข์

การดำเนินชีวิตประจำวันของคนเรานั้น ย่อมจะต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆมากมาย และมีความวิตกกังวลต่อปัญหานั้นๆไม่มากก็น้อย ผู้ใดยินดีต้อนรับปัญหาด้วยความเต็มใจ  และสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด  ความวิตกกังวลนั้นก็จะสูญสิ้นไป แล้วชีวิตของผู้นั้นก็จะดำเนินไปได้อย่างปกติสุข แต่หากผู้ใดแก้ปัญหาผิดพราดไม่ตรงจุด แทนที่ความวิตกกังวลต่อปัญหาเดิมนั้นจะบรรเทาเบาบางลง หากแต่จะเป็นการซ้ำเติมให้ความวิตกกังวลที่มีอยู่แล้วนั้น ให้กลายเป็นคนเจ้าทุกข์ ซึ่งมีสาเหตุสำคัญอยู่ 5 ประการด้วยกันกล่าวคือฯ

1. ปล่อยให้อารมณ์ฟูหรือแฟบจนเรื้อรัง แต่ละสรรพสิ่งย่อมดำรงอยู่ได้ในขอบเขตจำกัดที่มีความแตกต่างกันออกไป หากว่าอยู่ในสภาพถูกกดดันมากเกินไป  หรือน้อยเกินไป  สิ่งนั้นก็จะดำรงอยู่ได้ไม่นาน  เป็นต้นว่า ธรรมชาติทางจิตใจของคนเรา จะต้องมีอารมณ์ฟู และแฟบสลับสับเปลี่ยนกันไป เช่น ความปลาบปลื้มปิติยินดี ความสุขใจความดีใจ ความมีกำลังใจ ความท้อแท้ใจ ความเสียใจ ความไม่พอใจ  ความขึ้งเครียดเกลียดชัง ความหวาดระแวง ความหวาดกลัว ความโกรธ  ความเกลียด  และความวิตกกังวลเหล่านี้ เป็นต้น

ซึ่งลักษณะทางอารมณ์เหล่านี้ คือเครื่องช่วยเตือนให้คนเราตัดสินใจ  กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ แต่จะต้องอยู่ในขอบเขตที่พอเหมาะพอควร ไม่ตึงจนเกินไป  หรือหย่อนจนเกินไป  แต่ถ้าหากว่ามันอยู่ในสภาพที่ฟูหรือแฟบที่รุนแรงหรือนานจนเกินไป สภาพการณ์อันเลวร้ายก็จะบังเกิดขึ้นแก่จิตใจและร่างกายไม่ช้าก็เร็ว

แต่นับว่าเป็นที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง ที่คนเราส่วนใหญ่ ให้ความสำคัญแก่สุขภาพทางกายแต่เพียงอย่างเดียว  โดยไม่ให้ความสำคัญแก่สุขภาพทางจิต ด้วยการปล่อยให้จิตใจฟูหรือแฟบอย่างรุนแรงหรือนานจนเกินเหตุ  หรือไม่สามารถทำใจปักหลักไว้ให้มั่น  จึงไม่สามารถทนต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน

เช่น การได้รับโชคลาภอันมหาศาลโดยมิได้คาดหมาย หรือดีใจจนสุดขีดที่ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง ทำให้ผู้รับโชครู้สึกราวกับว่าตัวลอยขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ หรือได้รับข่าวว่า ลูกชายอันเป็นสุดที่รักเกิดอุบัติเหตุตกน้ำตาย ทำให้ผู้ที่เป็นพ่อแม่รู้สึกว่าหัวใจแทบจะแตกสลาย  ไม่ยอมกินไม่ยอมนอนนานนับเดือนนับปี อยากจะตายไปอยู่กับลูกแต่เพียงท่าเดียว แล้วในที่สุดก็อาจจะตรอมใจตายไปอยู่กับลูกสมใจอยาก

ความอาลัยอาวรณ์ เศร้าโศกเสียใจอย่างไม่เลิกราที่ผัวแอบไปมีเมียใหม่ หรือความเคียดแค้นอย่างฝังใจเจ็บ  ที่เมียหนีไปมีชู้รัก  ความสะเทือนใจอย่างรุนแรง ที่ได้รับข่าวร้าย ว่าลูกโดนรถชนตาย  หรือความตื่นตกใจเป็นกระต่ายตื่นตูม  เมื่อได้ยินข่าวว่าพ่อแม่ตกเครื่องบินตาย  สภาพจิตใจที่อ่อนไหวอย่างรุนแรงและเรื้อรังเช่นนี้  ย่อมเป็นอันตรายแก่ร่างกายเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งอาจจะทำให้เสียจริตหรือเป็นคนบ้าไปเลยก็ได้

2. เอาแต่วิตกกังวลในเรื่องอนาคต ความท้อแท้ใจ  ความเสียใจ  ความไม่พอใจ ความขึ้งเครียดเกลียดชัง  ความหวาดระแวง  ความหวาดกลัว  ความโกรธ ความเกลียด  และความวิตกกังวล สภาพการณ์แห่งความแฟบทางอารมณ์เหล่านี้ มิได้เป็นสิ่งที่เลวร้ายหรือเป็นเรื่องที่ผิดปกติแต่อย่างใด  ซ้ำยังเป็นแรงผลักดันในการแก้ปัญหา หากว่าเรารู้จักนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่ถ้าหากว่าเราเอาแต่จมปลักอยู่กับมันจนนานเกินไป ทั้งๆที่เรื่องร้ายแรงจะเกิดขึ้นได้เพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น  ในเมื่อชีวิตเรายังมีปัญหาอื่นๆที่น่าวิตกกังวลกว่าอีกมากมาย  แต่เรากลับมองข้ามไป แล้วในที่สุด มันก็จะทำให้เรามีอารมณ์ฟุ้งซ่าน  ขาดสติ  และไม่ค่อยใช้เหตุผล   จนเกิดความกลัวว่า  จะเกิดเรื่องร้ายบ่อยๆจนเกินเหตุ

มนุษย์มีความสามารถสร้างจินตนาการจากเรื่องร้ายๆที่เคยเกิดขึ้น  แล้วนำไปคาดคะเนกับเรื่องอนาคตที่จะต้องเผชิญ  ระบบคาดการณ์อันสลับซับซ้อน เพื่อป้องกันเรื่องอันไม่พึงประสงค์เช่นนี้ ทำให้เกิดรูปแบบความคิดที่เราคุ้นเคยกันดีทุกคน นั่นก็คือ ความวิตกกังวล

ความวิตกกังวล เกิดจากระบบการทำงานของร่างกาย  ที่ตอบสนองต่อสิ่งที่อาจจะเป็นอันตรายแก่เรา มนุษย์จึงมีวิวัฒนาการในการประมวลความคิด เพื่อเป็นระบบเตือนภัย โดยมีศูนย์รวมเซลล์ประสาทอยู่ในสมอง ซึ่งทำหน้าที่รับข้อมูลจากส่วนอื่นๆของสมอง รวมถึงความทรงจำบางเรื่องที่เคยจดจำไว้  แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาประเมินสถานการณ์ว่าน่ากลัวสักเพียงใด เช่น เมื่อเห็นงู ก็คิดว่ามันจะเลื้อยเข้ามาฉกเรา เซลล์ประสาทก็จะกำหนดปฏิกิริยาตอบสนองต่อเรื่องนั้นๆ โดยแสดงออกทางระบบประสาทของร่างกาย นั่นคือ อาการวิตกทุกข์ร้อนต่างๆที่เราคุ้นเคยกันดี เช่น  เกิดความเกลียด  ความกลัว  ความขยะแขยง ตัวสั่น  มือเท้าสั่น เหงื่อออก  หรือฆ่ามันให้ตาย ทั้งๆที่มันมิได้คิดร้ายต่อเราเลยแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม กลไกของความวิตกกังวล ถือเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความอยู่รอดของสัตว์โลกทุกชนิด แต่มนุษย์เรามีสมองที่สลับซับซ้อน ที่สามารถสร้างความคิดเชิงนามธรรมได้มากมาย เราจึงไม่ได้กลัวเฉพาะเมื่อมีภัยคุกคามเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเท่านั้น หากแต่ว่าคนเราคิดกลัวล่วงหน้าไปสารพัด ไม่ว่าจะเป็นผีสางเทวดา  ไฟบรรลัยกัลป์จะมาเผาผลาญโลก  ผืนดินผืนฟ้าจะถล่มทลาย  หรือว่าโลกจะแตกสลาย   จนกลายเป็นบุคคลที่มีอารมณ์อันเคร่งเครียดชนิดเรื้อรัง

หากผู้ใดมีสภาพทางอารมณ์เช่นนี้ ร่างกายของผู้นั้นก็ไม่ผิดอะไรกับรถยนต์ ที่กำลังถูกสนิมกัดกร่อน อะไหล่หมดสภาพ ถังเชื้อเพลิงรั่ว วิ่งไปพรางน้ำมันเชื้อเพลิงก็รั่วไหลไปพราง ผลสุดท้ายก็ต้องจอดตายข้างทาง ปล่อยให้ผู้อื่นแซงทิ้งห่างไปจนสุดลูกหูลูกตาอย่างน่าเสียดาย

3. ไม่ยินดีต้อนรับปัญหาที่เกิดขึ้น ผู้ใดไม่ยินดีต้อนรับปัญหา นั่นก็เท่ากับว่าประกาศเป็นศัตรูกับปัญหานั้น แล้วปัญหานั้นก็จะย้อนกลับมาทำร้ายผู้นั้น  ให้กลายเป็นคนเจ้าทุกข์  แทนที่จะถือเอาปัญหาหรือสถานการณ์อันเลวร้าย  ให้เป็นบทเรียนอันล้ำค่า  เพื่อเป็นเครื่องชี้นำให้ก้าวออกจากหนทางที่ผิดพราด  ไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง  หากแต่ผู้คนส่วนใหญ่พยายามหาทางออก ด้วยการวิ่งหนีราวกับสุนัขโดนน้ำร้อนวิ่งหางจุกตูด  เพียงเพื่อจะได้พ้นจากสถานการณ์อันเลวร้าย ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้

แต่เมื่อเรามาพิจารณาดูให้ดีแล้ว ก็แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า เมื่อเผชิญกับภาวะกดดัน  คนเราส่วนใหญ่มักจะมีความเคยชิน อยู่กับความรู้สึกท้อแท้ และชิงชังตัวเอง และเอาแต่เฝ้ารำพึงรำพันว่า ตนเป็นคนที่โชคร้ายเสียเหลือเกิน  แล้วมักจะสาปแช่งเป็นเดือดเป็นแค้น  ต่อเคราะห์กรรมที่ตนได้ประสบ และพยายามค้นหาข้ออ้างที่เข้าข้างตนเอง มาตีโพยตีพายให้โลกรู้ว่า เขาไม่ได้รับความเป็นธรรม และพยายามอธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่า   มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลย

ผลก็คือ พวกเขาจมปรักอยู่กับความเศร้าโศกและหดหู่ใจ ทั้งนี้เป็นเพราะว่า อารมณ์ความรู้สึกของคนเรานั้น มักจะเต็มเปี่ยมอยู่ในหัวอกที่ว่า ตนคือผู้แพ้ที่มีแผลเก่าคอยสร้างความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา พวกเขาจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ที่จะไม่ยอมเสี่ยงอะไรง่ายๆเพื่อลุกก้าวเดินต่อไป นี่คือพฤติการณ์ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์  เพราะมันเป็นการซ้ำเติมความวิตกกังวลต่อปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก แล้วก็หมักหมมเป็นดินพอกหางหมูอยู่ในดวงจิต จนกลายเป็นความทุกข์ที่หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ไม่ยินดีต้อนรับปัญหา หรือพยายามหลีกหนีสถานการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับตนมัน ก็จะนำมาซึ่งความกระสับกระส่าย ทุรนทุราย และเป็นโรคประสาทหมดกำลัง นี่คืออุปสรรคสำคัญที่ปิดกั้นมิให้คนที่มีอารมณ์เจ้าทุกข์ สามารถปลดปล่อยพลังภายใน  ที่แฝงอยู่ในจิตใต้สำนึกของพวกเขา  การอธิฐานจึงประสบกับความล้มเหลว  และไม่สามารถฟันฝ่ามรสุมแห่งชีวิตเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายปลายทางสมดั่งที่ตนมุ่งหวัง

4. ตัดสินปัญหาไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ดังเช่น เมื่อท่านปรารถนาที่จะหลุดพ้นจากความยากจน แทนที่จะค้นคว้าหาแนวทางในการแก้ปัญหา  ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง  แต่ท่านกลับไปบนบานศาลกล่าว อ้อนวอนขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้ตนฝันเห็นเลขสองตัว  หรือสามตัวได้ก็ยิ่งดี หรือไม่ก็ไปหาหมอดู คนเจ้าเข้าทรง   หรือพวกพ่อมดหมอผีสะเดาะเคราะห์ให้

ด้วยความหวังอยากจะมีเงินมีทองโดยไม่คิดที่จะลงทุนลงแรงเช่นนี้ แทนที่ปัญหานั้นจะได้รับการแก้ไขได้ตรงจุด  แต่กลับเป็นการสูญเสียเวลา  ถูกหลอกให้สูญเสียทรัพย์สินเงินทองโดยใช่เหตุ หรือถึงกับเสียเนื้อเสียตัว บำเรอความสุขให้แก่พวกเจ้าเข้าทรงเหล่านั้น จากการตัดสินปัญหาที่ขาดข้อเท็จจริงเช่นนี้ นอกจากจะไม่ทำให้ปัญหานั้นผ่านพ้นไปแล้ว มันยังจะเป็นการซ้ำเติมให้ปัญหานั้น กลายเป็นดินพอกหางหมูที่นับวันยากจะแก้ไขได้

ในสังคมของมนุษย์เรานั้น  มีอยู่น้อยคนนักที่จะเปิดใจให้กว้าง เพื่อยอมรับความคิดเห็นที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลก หากแต่คนเราส่วนใหญ่  ยังคงจมปรักอยู่ในวังวนแห่งหลักธรรมความเชื่อ  ที่สืบทอดติดต่อกันมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งพวกเขาต่างไม่สู้จะเอาใจใส่ และค้นหาข้อเท็จจริงเสียเลยว่า หลักธรรมความเชื่อของพวกเขาอยู่ในลักษณะใด ถูกหรือผิดไม่ใช่เรื่องสำคัญ หากแต่ถ้าใครมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าความเชื่อของเขานั้นผิด พวกเขาก็จะมีทิฐิในสิ่งที่เขาเชื่ออย่างหนักแน่นยิ่งขึ้นไปอีก

มันมิได้เป็นเพราะหลักธรรมที่ยึดถือว่าผิดหรือถูก  หากแต่คนเรายอมไม่ได้  เมื่อมีใครมาตำหนิ  หรือประณามว่า สิ่งที่พวกเขายึดถือนั้นผิด ซึ่งนั่นเท่ากับว่าเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของพวกเขา  เพราะเหตุนี้ คนเราจึงไม่ยอมเปิดใจให้กว้าง  เพื่อรับความคิดเห็นใหม่ ที่ผิดไปจากความคิดเดิมที่ตนยึดถืออยู่ นี่คือสาเหตุที่ทำให้คนเราด่วนตัดสินใจแก้ปัญหา ก่อนที่จะค้นคว้าหาข้อเท็จจริง เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจให้เพียงพอ  จึงทำให้การตัดสินใจของพวกเขาผิดพราดครั้งแล้วครั้งเล่า

5. ถูกปลูกฝังด้วยทัศนคติในทางทำลาย สังคมและวัฒนธรรมเป็นเครื่องหล่อหลอมบุคลิกภาพของมนุษย์ ซึ่งประสบการณ์ที่มนุษย์ได้จากสังคมและวัฒนธรรมนี้นี่เอง  ที่ทำให้มนุษย์เป็นสมาชิกของสังคมที่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม แม้มนุษย์เป็นผู้สร้างสังคมและวัฒนธรรมขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของตนเองก็ตาม แต่ในเวลาเดียวกัน มนุษย์ก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสังคมและวัฒนธรรมนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันที่มีความสำคัญยิ่งในการรักษามรดกทางอารยธรรมต่างๆของคนเรา  นั่นคือ สถาบันครอบครัว

หากขาดสถาบันทางครอบครัวเสียแล้ว วัฒนธรรมก็จะหยุดชะงักขาดความต่อเนื่อง  สังคมมนุษย์ก็จะสลายลงไปในที่สุด  ดังนั้น พฤติกรรมของมนุษย์เราส่วนใหญ่   จึงเป็นผลมาจากการถ่ายทอดวัฒนธรรมของสถาบันครอบครัวเป็นสำคัญ

เด็กทารกเมื่อคลอดออกมาใหม่ๆ เปรียบได้กับผ้าขาวสะอาดที่ปราศจากรอยแปดเปื้อน  ครั้นเวลาผ่านพ้นไป  นับวันผ้าขาวนั้นก็จะยิ่งมีรอยด่างรอยดำ  ซึ่งจะมากหรือน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมของสังคม ที่สถาบันครอบครัวได้หล่อหลอมพวกเขาขึ้นมา  เช่น ครอบครัวมีสภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยความรักและเมตตา  บุตรธิดาของครอบครัวนั้นก็ย่อมจะมีบุคลิกลักษณะไปในทางสร้างสรรค์  เป็นคนดีมีศีลธรรม  มีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด ขยันหมั่นเพียร เคารพกฎหมายของบ้านเมือง มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ซื่อสัตย์สุจริต ไม่เอาเปรียบเพื่อนฝูง  รู้จักบุญคุณคน  ไม่เป็นคนผูกพยาบาท หรือไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์ เป็นต้น

บางครอบครัวยังคงยึดมั่นในการถ่ายทอดวัฒนธรรมแห่งความเชื่อ ที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษให้แก่บุตรหลานของตน เช่นมีความเชื่อในเรื่องเร้นลับและอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์  ซึ่งวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้  เมื่อบุตรหลานโตขึ้นออกไปสัมผัสสังคมภายนอก ก็ย่อมเป็นการง่ายที่จะตกเป็นเหยื่อแก่พวกมารสังคม เช่นพวกหมอดูหรือพวกเจ้าเข้าทรง  หลอกลวงให้สูญเสียทรัพย์สินเงินทองอัน เป็นการซ้ำเติมปัญหาให้แก่พวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกลายเป็นคนมีอารมณ์เจ้าทุกข์

แต่บางครอบครัวเปรียบเสมือนเบ้าหลอมแตก เช่น พ่อมีนิสัยขี้โมโห ชอบดุด่าว่ากล่าวและลงโทษด้วยอารมณ์ที่รุนแรง เวลาเมามาก็พาลทะเลาะตบตีลูกเมีย ให้เป็นที่อับอายขายหน้าชาวบ้านอยู่เป็นประจำ  ยิ่งกว่านั้น แม่เลี้ยงที่มีนิสัยโหดเหี้ยมเมื่อหงุดหงิดอะไรขึ้นมา ก็มาระบายอารมณ์กับลูกเลี้ยงของตน ซึ่งสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายเช่นนี้ ย่อมทำให้บุตรหลานมีอารมณ์เคร่งเครียดอยู่เป็นนิจ นานเข้าก็จะเป็นคนที่ก้าวร้าว  มีอารมณ์ที่ผันผวนอย่างรุนแรง  หุนหันพลันแล่น ขี้ตื่นตกใจ เอาแต่วิตกกังวลและหวาดระแวงจนเกินเหตุ แล้วในที่สุด ก็จะกลายเป็นคนเจ้าทุกข์ อันเป็นปมด้อยที่จะนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพราดในอนาคต

เพราะความหุนหันพลันแล่น ที่ถูกวัยรุ่นกวนเมืองเข้าทำลายทรัพย์สินในร้านค้า เพราะอารมณ์ชั่ววูบ  จึงตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการคว้าปืนมายิงใส่  ผลก็คือได้เข้าไปกินฟรีนอนฟรีในคุกในตะราง หรือเป็นเพราะความหน้ามืดตามัว  ที่สามีพาเมียน้อยเข้ามาอยู่ในบ้านเดียวกัน  จึงหาทางออกด้วยการกลั่นแกล้งใส่ร้ายป้ายสี หรือไม่ก็จ้างคนอื่นมาฆ่าเสีย การตัดสินปัญหาเช่นนี้ นอกจากจะเป็นการแก้ปัญหาที่ผิดพราดอย่างมหันต์แล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมให้ปัญหานั้นยิ่งเลวร้ายไปกว่าเก่าอีกหลายเท่า

อุทาหรณ์ดังกล่าวนั้นจะเห็นได้ว่า  การไม่ยินดีต้อนรับสถานการณ์อันเลวร้าย  การตัดสินปัญหาด้วยอารมณ์ชั่ววูบ การเอาแต่หวาดระแวงหรือเฝ้าแต่วิตกกังวลจนนานเกินเหตุ หรือตัดสินปัญหาด้วยข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง และพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องทำนองคลองธรรมจากสถาบันครอบครัว  เหล่านี้คือสาเหตุที่ทำให้คนเราประสบกับความความทุกข์ยากเดือดร้อน หรือก่อให้เกิดปัญหาแก่สังคม

มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขา หากแต่เป็นเพราะถูกปลูกฝังมาจากสถาบันครอบครัว  และถูกชี้นำจากสภาพแวดล้อมที่พวกเขาเติบโตขึ้นมาแต่เด็ก  ในการดำเนินชีวิตประจำวันของคนเรานั้น  ย่อมจะต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆมากมาย  และมักจะมีความวิตกกังวลต่อปัญหานั้นๆไม่มากก็น้อย ผู้ใดยินดีต้อนรับปัญหาด้วยความเต็มใจ  และสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ความวิตกกังวลนั้นก็จะสูญสิ้นไป แล้วชีวิตของผู้นั้นก็จะดำเนินไปได้อย่างปกติสุข

แต่ถ้าหากผู้ใดไม่ยินดีต้อนรับปัญหา หรือตัดสินปัญหาโดยยึดเอาความคิดของตนเป็นใหญ่ ไม่ยอมเปิดใจต้อนรับความคิดเห็นใหม่ๆ เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงของสาเหตุให้เพียงพอ  หรือเพียงแต่คาดเดาว่า สภาพการณ์อันเลวร้ายต่างๆที่เกิดขึ้น คงจะเป็นสาเหตุมาจากเรื่องนั้นเรื่องนี้  โดยไม่เปิดใจให้กว้าง เพื่อคำนึงถึงเหตุผลแวดล้อมอื่นๆด้วยใจเป็นธรรม ในอันที่จะสนับสนุนข้อสมมติฐานนั้นๆ การแก้ไขปัญหาของผู้นั้น  ก็มีแนวโน้มที่จะผิดพราดได้ง่าย

แทนที่ความวิตกกังวลต่อปัญหาเดิมนั้นจะบรรเทาเบาบางลง  หากแต่จะเป็นการซ้ำเติมให้ความวิตกกังวลที่มีอยู่แล้วนั้น หนักขึ้นไปกว่าเก่าอีก จนเป็นดินพอกหางหมู เมื่อเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า  จนเกินขีดที่พอจะรับได้  ผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนเจ้าทุกข์ นี่คืออุปสรรคสำคัญยิ่ง  ที่ทำให้คนเราไม่สามารถปลดปล่อยพลังงานออกมาได้ คำอธิฐานขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เลยขึ้นอยู่กับดวง


ทางพ้นทุกข์

สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนเรามีอารมณ์เจ้าทุกข์ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น มิได้มีสาเหตุมาจากอดีตชาติ หรืออำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่บันดานให้เป็นไป หากแต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อม  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันครอบครัวเป็นสำคัญ  ซึ่งผลอันเลวร้ายทั้งหลายดังที่กล่าวมาแล้วนั้น  ไม่ใช่สิ่งที่เหนือความสามารถของคนเราในชีวิตนี้ที่จะแก้ไขได้  ซึ่งจะขอชี้แนะแนวทางแห่งความหลุดพ้น  4  ประการด้วยกัน กล่าวคือฯ

1. ทำใจไม่ให้ฟูหรือแฟบนานเกินเหตุ จังหวะเป็นกฎเกณฑ์ของสากลจักรวาลที่สำคัญที่สุด มันมีอยู่และปรากฏอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งในสากลจักรวาล ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต จากสิ่งที่เล็กที่สุด ไปจนถึงสิ่งที่ใหญ่ที่สุด การดึงดูดและผลักดันกัน การทำลายล้างและการเกื้อหนุนกัน เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงออกมาในรูปของจังหวะเป็นวิธีที่ธรรมชาติใช้พลังงานจัดสรรให้สรรพสิ่งอยู่กันอย่างมีระบบ ดังเช่นกระแสน้ำย่อมมีขึ้นและลง โลกก็ย่อมมีสงครามและสันติภาพสลับกันไปในตลาดการค้าและการเงินก็ย่อมมีระยะเวลาที่ราคาสินค้าถีบตัวขึ้นสูง และระยะเวลาที่ตกต่ำ

ร่างกายของคนเราก็เช่นกัน มันย่อมมีอาการเหมือนน้ำขึ้นน้ำลง มีสดชื่นและอ่อนเพลีย และในทำนองเดียวกัน จิตใจของคนเราก็ย่อมมีปลอดโปร่งแจ่มใสและมึนตึง ดีใจและเสียใจสลับสับเปลี่ยนกันไป หรือพอจะกล่าวได้โดยรวมก็คือ ความฟูใจ และ ความท้อใจ ที่มีการสลับสับเปลี่ยนกันไปอยู่ตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม สภาพทางจิตใจของคนเรามันมิใช่ว่า จะสลับสับเปลี่ยนในระยะที่เท่ากันทุกคราวไป อาจจะฟูใจอยู่นานก่อนที่จะสลับกลับมาเป็นท้อใจ หรืออาจจะท้อใจอยู่นาน ก่อนที่จะสลับกลับมาเป็นฟูใจ ย่อมขึ้นอยู่กับเทคนิคในการควบคุมอารมณ์ของแต่ละคนทั้งนี้และทั้งนั้น สภาพที่เลิศล้ำที่สุดของอารมณ์ก็คือความไม่ฟูใจและไม่ห่อเหี่ยวใจอย่างรุนแรงหรือนานจนเกินเหตุ นั่นก็คือการควบคุมอารมณ์ความรู้สึกให้ดับเย็น หรือสงบสันติให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้อย่าให้ขึ้นหรือลงอย่างรุนแรงหรือนานจนเกินไปโดยมีสติคอยเฝ้าดูอาการของอารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆอย่างไม่หวั่นไหวเมื่อมีเหตุการณ์ดีมากระทบอย่าลืมตัวจนเกินไปหรือเหตุร้ายมากระทบอย่าเสียใจจนเกินไป

จิตใจและร่างกายย่อมมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เช่นบางคนชอบเที่ยวกินเหล้าเมาสุราจนตีสองตีสาม นั่งดูฟุตบอลหน้าทีวีจนตีสามตีสี่หรือชอบแสดงตัวว่าขยันทำงานแต่เช้ายันดึก พฤติกรรมที่หักโหมโดยไม่นึกถึงกำลังเช่นนี้ ในไม่ช้าร่างกายก็จะทรุดโทรมลง ความเหนื่อยล้าของสมองก็จะทำให้งานผิดพราดหรือผลงานไม่ได้ดีเท่าที่ควร ดังนั้น การเตรียมตัวให้พร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆสิ่งสำคัญประการแรกก็คือ จะต้องรักษาร่างกายและจิตใจให้มีสุขภาพดีอยู่เป็นประจำ

การรักษาสุขภาพทางร่างกายแต่เพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่พอยังจะต้องรักษาสุขภาพจิตควบคู่ไปด้วยโดยการควบคุมอารมณ์ไม่ให้ฟูหรือแฟบอย่างรุนแรงหรือนานจนเกินไปหากแต่พยายามควบคุมมันให้ค่อยๆขึ้นหรือค่อยๆลง หรือพยายามควบคุมให้สงบนิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ซึ่งจะได้มีเวลาพอที่จะปรับตัวให้ทันกับเหตุการณ์ที่กำลังจะดีขึ้นหรือเลวลง เพราะความป่วยไข้ อุบัติเหตุความสูญเสียทรัพย์หรือบุคคลที่เรารัก ความสมหวังความผิดหวังปรากฏการณ์ต่างๆเหล่านี้ ไม่มีผู้วิเศษหน้าไหนในสากลจักรวาลที่จะบอกให้เรารู้ล่วงหน้าได้ เมื่อเกิดสุขเราก็ดีใจพอประมาณ โดยเตรียมใจให้พร้อมอยู่เสมอว่า มันจะต้องสิ้นสุดลงไม่ช้าก็เร็วแล้วก็จะต้องพบกับความหดหู่ใจหรือเสียใจบ้างซึ่งลักษณะเช่นนี้ก็จะอยู่ได้ไม่นานอีกเช่นกัน

ทั้งนี้หาใช่ว่าเราจะเชื้อเชิญความทุกข์ด้วยการหวังรอคอยมัน หากแต่เราเรียนรู้จากอดีตว่าความรู้สึกในแง่ลบมันจู่โจมเข้าหาเราเป็นบางครั้งบางคราว ซึ่งการเตรียมตัวเตรียมใจเช่นนี้ จะช่วยไม่ให้เราหลงระเริงในความปลาบปลื้มปีติยินดีจนลืมตัวหรือเอาแต่คร่ำครวญเศร้าโศกเสียใจจนนานเกินเหตุ

ดังนั้น การมีสติรู้จังหวะของความรู้สึกแห่งอารมณ์ของตนเองโดยมีสมาธิรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาว่า ระยะจังหวะของอารมณ์อยู่ในลักษณะไหนแล้วตั้งสติไว้ให้มั่นไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์หรือพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้สั่นไหวอย่างรุนแรงหรือนานจนเกินไปเมื่อตั้งใจมั่นไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์จนเคยชินแล้ว ท่านก็จะสามารถควบคุมมันให้สงบได้อย่างไม่ยากเย็น นี่คือวรยุทธ์ไร้เทียมทานประการหนึ่ง ที่จะป้องกันไม่ให้เราดำเนินชีวิตตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์

2. ยินดีต้อนรับสถานการณ์อันเลวร้าย สมรรถภาพในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์อันเลวร้าย ให้กลายเป็นคุณประโยชน์ที่เท่าเทียมกัน หรือเปลี่ยนแปลงสภาวะจากการขาดทุนให้กลับกลายเป็นกำไร นี่คืออุปนิสัยที่สำคัญประการหนึ่งของผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็ง

ณ.สนามแข่งอันยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้  ผู้ที่ประสบชัยชนะคว้าถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินรางวัลอันล้ำค่ามาครอบครอง นอกจากจะไม่เอาแต่วิตกกังวลกับปัญหาที่ห่อหุ้มด้วยความเปลี่ยนแปลง  และไม่แน่นอนนานับประการแล้ว  เขายังยินดีต้อนรับสถานการณ์อันเลวร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างไม่หวาดหวั่น เพราะเขาถือว่าสภาวการณ์ใดๆก็ตาม  ไม่ว่าดีหรือร้าย  คือบันไดอีกขั้นหนึ่งที่พาไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า

การนึกคิดในแง่ดี  จะทำให้เป็นคนที่เต็มไปด้วยเหตุผล  ส่วนการนึกคิดในแง่ร้าย จะนำมาซึ่งความกระสับกระส่ายทุรนทุราย และเป็นโรคประสาทหมดกำลัง หากท่านไม่ยินดีต้อนรับสถานการณ์อันเลวร้าย มันก็จะกลายเป็นศัตรูทำลายอนาคตของท่านให้ย่อยยับ  แต่ถ้าท่านต้อนรับมันเป็นมิตรด้วยความยินดี จิตใจของท่านจะสงบสันติ ไม่เป็นคนหงุดหงิดหัวเสีย  และจะส่งเสริมให้ท่านมีพลังอันกล้าแกร่ง   เพื่อกู้นาวาชีวิตของท่านให้พ้นจากความล่มจม

ชีวะประวัติศาสตร์ของบุคคลสำคัญสอนให้เรารู้ว่า  บุคคลผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง  ก็คือบุคคลที่ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดก็ตาม  ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างน่าสมเพช หรือมีชีวิตที่อยู่อย่างสุขสบาย  พร้อมไปด้วยเครื่องบำรุงบำเรอความสุข  แต่พวกเขาก็พร้อมเสมอ ที่จะเผชิญกับอุปสรรคและสิ่งกีดขวาง  ที่ผ่านเข้ามาในวิถีชีวิตอย่างไม่หวาดหวั่น

พระเยซูทรงตรัสสอนแก่สาวกของพระองค์ในวาระสุดท้ายว่า ทุกข์ยากหรือภัยพิบัติใดๆที่เกิดขึ้นแก่มนุษย์ และทำความเสียหายเดือดร้อนให้นั้น เปรียบได้กับการลิดแขนงกิ่งไม้  ซึ่งจะทำให้แตกกิ่งแตกแขนงใหม่  อันจะทำให้สดชื่นและแข็งแรงกว่าแขนงเก่า ความทุกข์ยากนั้น ก็คือความสุขที่จะมาในกาลข้างหน้า ภัยพิบัติวันนี้   คือความงอกงามแข็งแรงที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง

ชาลส์ ดาวิน นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจากทฤษฎีวิวัฒนาการของเขาที่ว่า คนกับลิงเคยมีบรรพบุรุษร่วมกันในสมัยดึกดำบรรพ์ เขาสารภาพว่า ความเจ็บไข้ได้ป่วยได้ให้กำลังใจแก่ข้าพเจ้าอย่างไม่นึกฝัน ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นคนป่วยอย่างเรื้อรัง ข้าพเจ้าก็คงจะไม่สามารถทำงานได้มากมาย   จนประสบความสำเร็จเป็นที่รู้จักของชาวโลก

ในทางตรงกันข้าม หาก ดาวิน ปฏิเสธที่จะต้อนรับสถานการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้น หรือเอาแต่วิตกกังวลต่อความเจ็บไข้ได้ป่วยที่ได้ประสบ และเฝ้าแต่หวาดระแวงว่าความทุกข์ยากอาจจะบังเกิดขึ้นแก่ตัวเขาในอนาคต ทั้งๆที่เขาไม่สามารถจะหลีกหนีให้พ้น หรือเปลี่ยนแปลงให้มันเป็นอย่างอื่นไปได้  มันก็ไม่ผิดอะไรกับการที่เขาพยายามวิ่งหนีเงาของตัวเอง  ท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ  ที่กำลังเผาไหม้ให้เขาตายทั้งเป็น   แต่เขาก็ฉลาดพอที่จะไม่ทำเช่นนั้น

การยินดีต้อนรับทุกสิ่งทุกอย่างที่อุบัติขึ้น คือก้าวแรกที่จะชนะเคราะห์กรรมทุกชนิดในวันข้างหน้า ผู้ที่มีอิทธิพลเหนือจิตใจผู้อื่น ย่อมรู้ดีว่า การยินดีต้อนรับสถานการณ์กดดัน ที่อยู่รอบๆตัวเขาอย่างไม่สะทกสะท้าน คือเคล็ดลับสุดยอดประการหนึ่ง ในการที่จะขจัดความทุกข์ให้หมดสิ้นไป  และสามารถควบคุมอารมณ์ให้สุขุมเยือกเย็น  ฉะนั้น ขอให้ท่านจงระลึกไว้เสมอว่า ความสงบสันติอันแท้จริงแห่งจิตใจของคนเรา ย่อมเกิดจากการยินดีต้อนรับเคราะห์กรรม และอุปสรรคขวากหนามด้วยจิตใจที่ไม่หวั่นไหว

3. จงแสวงหาคำตอบที่เป็นไปได้   เมื่อตกอยู่ในสภาพการณ์ที่กดดัน  หรือประสบกับเคราะห์กรรมอันเลวร้าย นักสุนิยมจะยอมรับมันด้วยความยินดี และเผชิญกับมันด้วยอารมณ์ที่สงบและมั่นคง แล้วค้นหาข้อเท็จจริงในสภาพการณ์ที่ทำให้เขาเป็นทุกข์เป็นร้อน  และที่สำคัญก็คือ พวกเขาพยายามแสวงหาคำตอบให้ได้ อย่างน้อยที่สุดหนึ่งคำตอบที่ใช้การได้ว่า จะสามารถเปลี่ยนแปลงความทุกข์ยากนั้นๆ ให้เป็นสิ่งมีคุณประโยชน์ที่เท่าเทียมกัน  หรือได้ประโยชน์มากกว่าเดิมได้อย่างไร

ตามความเป็นจริงแล้ว  ความผิดพราด ความล้มเหลว ความผิดหวัง หรือความทุกข์ที่ท่านกำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ท่านเป็นคนทำให้มันเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ล้วนแล้วแต่แฝงไปด้วยประโยชน์บางอย่าง ที่มีคุณค่าเท่าเทียมกัน หรือมากกว่าเดิมทั้งสิ้น ฉะนั้น เคราะห์กรรมอันเลวร้ายที่ท่านกำลังเผชิญอยู่  มันจะเป็นบันไดให้ท่านก้าวเดินต่อไปข้างหน้า หรือเป็นทางวิบากกรรมนำไปสู่ความทุกข์ ย่อมขึ้นอยู่กับการแสวงหาคำตอบว่าจะเป็นไปในลักษณะใด

ซึ่งจะขอยกตัวอย่างของคำตอบเป็นไปได้ ที่ปรมาจารย์ทั้งหลายในอดีตได้ค้นพบ แล้วนำเอามันมาใช้ จนสามารถเปลี่ยนสถานการณ์อันเลวร้ายต่างๆ  ให้กลายเป็นบันไดกาวไปสู่ความสุขและความสำเร็จ   นั่นก็คือ การทำตนให้มีภาระยุ่งอยู่เสมอ

ทุกข์และสุขเกือบทั้งหมดของคนเรา มิได้เกิดจากเหตุการณ์อันแท้จริง หากเกิดจากการวาดภาพในห้วงแห่งจินตนาการต่าง หากมันไม่ใช่เพราะสิ่งที่ท่านมี หรือท่านกำลังอยู่ในฐานะใด มันไม่ใช่เพราะว่าท่านกำลังอยู่ที่ไหน หรือกำลังทำอะไรอยู่ คนเราจะสุขสำราญ  หรือว่าเศร้าโศกเสียใจ  มันอยู่ที่จินตนาการของแต่ละคนที่มีต่อเหตุการณ์ที่เขาได้ประสบ ท่านจะมีความสุขได้มากน้อยเพียงใด ก็สุดแต่ความคิดที่จะทำให้จิตใจของท่านรู้สึกเช่นนั้นได้

ดังนั้น หากท่านประสบกับสถานการณ์อันเลวร้าย ที่ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงให้มันเป็นอย่างอื่นไปได้  จนทำให้ท่านเกิดความทุกข์ระทมที่ยากจะลืมเลือน  เช่น สูญเสียสมาชิกในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ญาติพี่น้อง หรือบุคคลอันเป็นที่เคารพนับถือ  คำตอบที่เป็นไปได้ที่จะขอนำมาเสนอเป็นตัวอย่าง  นั่นก็คือการทำบางสิ่งบางอย่างที่มีประโยชน์ด้วยใจจดจ่ออย่างแท้จริง หรือการทำตนให้มีภาระยุ่งอยู่เสมอ

ดวงจิตของคนเราย่อมมีลักษณะที่เหมือนกันอยู่ประการหนึ่ง นั่นคือ มันเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ที่จิตใจจะมีความรู้สึกนึกคิดมากไปกว่าอย่างเดียวในเวลาพร้อมๆกัน  และไม่มีใครสามารถเพ่งทั้งสองด้านในเวลาเดียวกันได้ แม้ว่าดวงจิตจะแจ่มใสปลอดโปร่งสักเพียงใดก็ตาม ด้วยเหตุนี้ จินตนาการในทางสร้างสรรค์และจินตนาการในทางทำลาย  จึงไม่สามารถจะสิงสู่ในจิตใจของคนเราในเวลาเดียวกันได้

ความผันแปรแห่งอารมณ์ของคนเราก็อยู่ในลักษณะเดียวกันกล่าวคือ คนเราไม่สามารถจะสนุกเพลิดเพลิน  พร้อมๆกับจิตใจที่กำลังอมทุกข์ได้  อารมณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก็ย่อมจะขับไล่อารมณ์อีกอย่างหนึ่งออกไป ฉะนั้น การทำงานให้ยุ่งอยู่เสมอ หรือทำตนให้สนุกเพลิดเพลินกับกิจกรรมต่างๆนั้น คือเคล็ดลับสุดยอดประการหนึ่ง  ในการขจัดอารมณ์เจ้าทุกข์ออกไปจากจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือคำตอบที่ยอดเยี่ยมที่สุดประการหนึ่ง ที่ปรมาจารย์ทั้งหลายในอดีตได้ค้นพบและนำเอามันมาใช้  จนสามารถเปลี่ยนสถานการณ์อันเลวร้ายให้  กลายเป็นบันไดก้าวไปสู่ความสุขและความสำเร็จ




Create Date : 03 มิถุนายน 2560
Last Update : 9 มิถุนายน 2560 13:00:59 น.
Counter : 629 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 3891326
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
มิถุนายน 2560

 
 
 
 
1
2
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30