แบงก์ชาติปรับลดประมาณการเศรษฐกิจรวดเดียว 0.8% จากเดิม 3.8% เหลือ 3% ขณะที่ปรับตัวเลขจากขยายตัวเป็นติดลบทั้งส่งออกที่ติดลบ 1.5% และเงินเฟ้อที่ติดลบ 0.5% จากรายได้ที่เริ่มแย่ลง ทั้งในภาคเกษตรและนอกภาคเกษตร การใช้จ่าย-ลงทุนยังไม่ฟื้น แต่ยังยืนยันว่ายังไม่เข้านิยาม เงินฝืด นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยรายงานนโยบายการเงิน ฉบับล่าสุด เดือน มิ.ย.2558 ว่า ธปท.ได้ปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงเหลืออัตราการขยายตัว 3% จากประมาณการเดิมในครั้งก่อนหน้าที่คาดว่าจะขยายตัว 3.8% โดยการประมาณการครั้งนี้เป็นการประมาณการภายใต้ฐานใหม่ ซึ่งปรับเปลี่ยนตามสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แต่ยังไม่รวมผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อการท่องเที่ยวของไวรัสเมอร์ส และการขอให้ไทยปรับปรุงมาตรฐานการบินที่มีนัยสำคัญต่อความปลอดภัยขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอซีเอโอ) ขณะที่ได้รวมผลกระทบจากภัยแล้งแล้ว แต่ยังไม่ครบทุกส่วน ซึ่ง ธปท.จะติดตามผลกระทบเหล่านี้ในการประมาณการครั้งต่อไป
ทั้งนี้ การปรับลดประมาณการเศรษฐกิจในครั้งนี้ น้ำหนักมากที่สุดมาจากการปรับลดลงของภาคการส่งออก ซึ่งได้รับผลกระทบจากหลายส่วนทั้งเศรษฐกิจคู่ค้าต่ำกว่าที่คาด เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนและอาเซียนที่มีผลกระทบจากเศรษฐกิจจีน รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการค้าโลกที่ประเทศคู่ค้าหลักของเราลดการพึ่งพิงสินค้านำเข้า ปัญหาเชิงโครงสร้างการผลิตของภาคการส่งออกไทย ซึ่งไม่ได้มีการพัฒนาคุณภาพสินค้า การวิจัยพัฒนา และคุณภาพแรงงานมายาวนาน อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงทำให้กำไรของผู้ส่งออกในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น โดย ธปท.ปรับลดประมาณการการส่งออกปีนี้ลงเข้าสู่โซนติดลบอยู่ที่ -1.5% จากที่เคยคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.8% ส่งผลให้ภาคการส่งออกของไทยติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 3
ขณะที่การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนในปีนี้จะขยายตัวได้ประมาณ 2% และไม่สามารถที่จะกลับมาเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ เนื่องจากการส่งออกที่ชะลอตัวลงอย่างมากเริ่มส่งผลกระทบต่อรายได้ของครัวเรือนนอกภาคเกษตรชัดเจนขึ้น ทำให้ครัวเรือนระมัดระวังการใช้จ่าย ขณะที่รายได้ของเกษตรกรตกต่ำเป็นเวลานาน ขณะที่ภาวะการเงินที่ผ่อนคลายช่วยกระตุ้นการบริโภคได้ไม่มากนัก สำหรับการลงทุนภาคเอกชนยังคงมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวออกไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ล่าช้า โดยคาดว่าจะขยายตัว 2.7%
นอกจากนั้น ธปท.ยังได้ปรับลดประมาณการการขยายตัวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไป และเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมัน และกำลังซื้อของคนที่ลดลง ซึ่งสำหรับเงินเฟ้อทั่วไป ธปท.ประมาณ
การว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะติดลบอยู่ที่-0.5% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 0.2% โดยประมาณการใหม่นี้ ธปท.คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะติดลบติดต่อกัน 3 ไตรมาส และค่อยๆกลับมาเป็นบวกในไตรมาสที่ 4 จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบเฉพาะในครึ่งปีแรก ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ธปท.คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 1% จากระยะเดียวกันของปีก่อน ลดลงเล็กน้อยจากประมาณการเดิมที่คาดไว้ 1.2%
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่ออัตราเงินฝืดยังอยู่ในระดับต่ำ เพราะอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงจากด้านต้นทุนมากกว่าการลดลงจากกำลังซื้อที่ลดลง ราคาสินค้าในภาพรวมยังสามารถขยับขึ้นได้ หรือขายในราคาเดิม ไม่จำเป็นต้องลดราคาเพื่อขาย ขณะที่การคาดการณ์เงินเฟ้อของภาคธุรกิจ และประชาชนยังเป็นบวกและอยู่ใกล้เคียงกับเป้าหมายเงินเฟ้อที่ ธปท.ตั้งเป้าหมายไว้
สำหรับปัจจัยที่จะเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป นายเมธีกล่าวว่า การใช้จ่ายของรัฐที่เริ่มขยายตัวได้ดีกว่าประมาณการครั้งก่อน โดยเฉพาะโครงการบริหารจัดการน้ำฯ และมีการเร่งรัดก่อหนี้ผูกพันสูงกว่าที่ ธปท.คาด ซึ่งหากการใช้จ่ายของภาครัฐสามารถทำได้อย่างต่อเนื่องจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจและฟื้นความเชื่อมั่นของภาคเอกชนในระยะข้างหน้าได้ โดย ธปท.ประมาณการว่าการใช้จ่ายภาครัฐในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 3.3% และการลงทุนภาครัฐจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 16.3% ขณะที่การท่องเที่ยวเป็นอีกภาคหนึ่งที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยคาดจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 28.8 ล้านคน ขณะที่ต้องติดตามผลจากประเด็นไอซีเอโอ และไวรัสเมอร์สที่จะกระทบท่องเที่ยว
ประเด็นสำคัญที่ ธปท.จะติดตามในระยะต่อไป คือ ความชัดเจนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะจีนและเอเชีย ความต่อเนื่องในการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ ประสิทธิผลของการผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อภาวะการเงินและเศรษฐกิจ และความไม่สมดุลที่อาจจะเกิดจากดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน
นายเมธี กล่าวต่อว่า สำหรับการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2559 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 4.1% ปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 3.9% เล็กน้อย ขณะที่คาดว่าเงินเฟ้อจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 1.6% การอุปโภคภาครัฐขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.1% การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเพิ่มขึ้น 6.3% การใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้น 3.5% การลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น 6% และการส่งออกจะกลับมาเป็นบวกได้ 2.5%.
ที่มา : www.thairath.co.th