เป็นป้อมปราการซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองอรังคบาดไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 15 กม. สร้างในศตวรรษที่ 17 โดยพระเจ้าภิลลพมะ แห่งราชวงศ์ยาทาวะ โดยตั้งอยู่บนภูเขาที่สูงชันประมาณ 700 เมตร เพื่อไม่ให้ศัตรูเข้าไปโจมตีได้ ต่อมาก็มีการขุดคูคลองที่ตีนเขาพร้อมทำประตูชักรอกและสร้างกำแพงขึ้นอีก 2 ชั้น เรียกว่า มหาโกต และ กาลโกต
กำแพงชั้นที่ 2 ประตู "กาลโกต"
ประตู 2 "กาลโกต"
ผ่านประตูที่ 2 เข้าไป
ก่อนเดินถึงป้อม จะเป็นวัดของศาสนาเชนที่ปรักหักพัง
วัดศาสนาเชน
ใกล้กันมีบ่อน้ำ 2 บ่อ น่าจะไว้กักเก็บน้ำไว้ใช้สมัยก่อน
สิ่งปลูกสร้างที่น่าสนใจในป้อมแห่งนี้ได้แก่ จันท์ มีนาร์ (Chand Minar) หรือหอคอยจันทรา ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่อะลา อุดดิน บะห์มะนี (Ala-uddin Bahmani) ที่พระองค์สามารถยึดป้อมนี้จากสุลต่านตุกลักได้ในปี 1435 หอคอยนี้สูง 30 เมตร และมีฐานกว้าง 21 เมตร มีทั้งหมด 4 ชั้น ประดับด้วยกระเบื่องเคลือบและผนังสลักเป็นแม่ลายต่างๆ หอนี้จะใช้สำหรับเป็นที่สวดมนต์
เมื่อผ่านป้อม เราก็คงยังไปต่อ
เข้ามาเรื่อยๆ
อยู่ข้างหน้าแล้ว
ผ่านประตูทางเข้าอีกประตู
เดินขึ้นไปด้านบน
กลุ่มนักศึกษามานั่งวาดภาพกันอยู่
เค๊าวาดอะไรกัน....
ที่ประตูที่เค๊านั่งวาดภาพกันก็เกร๋ไม่หยอก วิจิตรยิ่งนัก
ในสมัยมาลีก อัมบาร์ เปชวาแห่งอะหมัดนครก็ได้มีการสร้าง ชีนี มาฮาล (Chini Mahal) หรือพระราชวังจีน ซึ่งอยู่ถัดขึ้นไปจากหอคอยจันทร์ พระราชวังแห่งนี้ประดับด้วยกระเบื่องเคลือบสีฟ้าจากประเทศจีน พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ที่จักรพรรดิออรังเซ็บใช้เป็นที่คุมขังอับดุล ฮะซาน ตานา ชาห์ (Abdul Hasan Tana Shah) สุลต่านองค์สุดท้ายของอาณาจักรโกลคอนด้า (Golconda อาณาจักรที่แตกมาจากจักรวรรดิบะห์มะนี ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของรัฐอานธรประเทศและบางส่วนของตอนกลางและตะวันออกของรัฐมหาราษฎร์ในปัจจุบัน) เป็นเวลาถึง 13 ปี
มีสิ่งปลูกสร้างอีกมากที่พังทลายและยังไม่ได้รับการบูรณะ เห็นได้จากหลังประตูนี้
ถัดไปจากนั้นก็จะมีหอคอยสูง
ซึ่งบนยอดหอคอยนี้จะติดตั้งปืนใหญ่สลักชื่อเป็นภาษาเปอร์เซียว่า คิล่า ชิกาน (Qila Shikan) ซึ่งแปลว่า เครื่องทลายป้อม ที่ท้ายกระบอกเป็นรูปหัวแกะ
ขึ้นมาด้านบนต้องระวังลื่นหกล้มนะคะ ลมแรงและไม่มีรั้วกั้นตามภาพนะคะ ถ้าตกลงไปด้านล่างนี่ไม่เหลือนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน มีเด็กเล็กกรุณาจับให้ดีค่ะ
วิวด้านบนป้อม
นี่ก็เป็นอีกประตูที่มีลองล้อมและสะพานชักรอกข้าม คือไม่รู้ประตูไหนเป็นประตูไหนหล่ะ
ภาพถ่ายเมื่อยืนบนสะพาน
เดินเข้าไปสักระยะผ่านมห้อง และต่อไปที่ทางเดินมืด
เป็นทางเดินขึ้นไปที่หอด้านบน มืดเหม็นอับมากๆค่ะ ค้างคาวเพียบ ท่านผู้สูงอายุควรระวังนะคะ พื้นลื่นและแคบมากค่ะบันไดชันมากด้วย ถ้าไม่อยากสัมผัสประสบการณ์นี้ก็ เดินบันไดด้านข้างทางซ้ายมือที่ทางการเค๊าทำให้เดินผ่านห้องมืดนี้ไปได้ค่ะ ใกล้กว่ามากและไม่ทรมานค่ะ
เห็นค้างคาวบนเพดานไหมคะ 😱😰😳😲 สยึมกึ๋ยมากค่ะ
ทั้งที่รู้ว่า ค้างคาวมี perception ประสาทรับรู้ที่ดีเป็นเลิศ แต่ตอนเดินก็แอบกลัวว่าแล้วถ้ามันตกมาใส่หัวตรูจะกรี๊ดเป็นภาษาอะไรดีฟระ เดินด้วยอาการ นะโม พุทโธ สังโฆ ทำสมาธิและกลั้นหายใจขั้นสุด
สักพักก็ออกมาถึงปลายทาง โล่งอก..
เดินขึ้นไปต่อ ทางผ่านจะเป็นศาสนสถานเล็กด้านในประดิษฐานพระพิฆเนตร
เดินขึ้นต่อไปเพื่อไปปราสาท หรือพระราชวัง ด้านบน
ป๊ะเราไปด้วยกันนะ
พื้นที่ด้านบน
ห้องปีกซ้าย
มองจากในห้อง
ริม Balcony
วิวเมื่อมองจากด้านบน สมัยก่อนมันคือเมืองย่อมๆในปราสาทนี้เลยนะเนี๊ยะ
วิวด้านบน ดูสิเราเดินมาไกลแค่ไหน
จบแล้วเดินกลับทางเดิมจร้าาาา มาไกลแค่ไหน ก็เดินไกลกลับเท่าเก่า แต่ขากลับอิฉันขอไม่ไปทางห้องมืดแล้วจร้า คือเดินแค่ผ่านห้องมืดแค่ประมาณครึ่งเดียวแล้วออกทางบันไดด้านนอก หยุดกลิ่นค้างคาวไว้แค่พอหอมปากหอมคอ กลับบ้านไปพักผ่อนจากความร้อนจัด... 😚
Ploy Journey Journal