~...บริหารเงินอย่างฉลาด...~
อัตราดอกเบี้ยกับอัตราเงินเฟ้อ
ตั้งแต่ปลายปี 2550 จนผ่านเข้ามาสู่เดือนที่ 3 ของปี 2551 นี้ นับว่าเป็นช่วงเวลาเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศมีความผันผวนมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา จากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวของประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา (federal Reserve หรือในข่าวเรียกกันสั้นๆ ว่า เฟด) ออกมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแล้วครั้งเล่า จนมีผลมาถึงประเทศคู่ค้าใหญ่น้อย รวมทั้งประเทศไทยที่มีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยไปตามๆ กันเพื่อกันเงินนอกไหลทะลักเข้ามาในประเทศ ซึ่งหากมีปริมาณมากเกินไปจะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นส่งผลกระทบกับผู้ที่ทำธุรกิจส่งออก และในช่วงเวลาเดียวกันนี้ราคาน้ำมันดิบได้มีการถีบตัวสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนกรผลิตต่างๆ รวมทั้งข้าวปลาอาหารและนมผงของลูกๆ ขยับราคากันสูงขึ้นอย่างไม่เกรงใจแม่ๆ อย่างเราทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงค์ชาติและกระทรวงพาณิชย์ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าประมาณการอัตราเงินเฟ้อของปีนี้น่าจะอยู่ที่ราวๆ 4% ประเด็นที่อยากจะชวนให้มองมันอยู่ตรงนี้ล่ะค่ะ เมื่ออัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อมันขยับสวนทางกัน เอาตัวอย่างง่ายๆ ถ้าอัตราดอกเบี้ยการออมในธนาคารของเราลดลงไปอยู่ที่ 2% กว่าๆ และอัตราเงินเฟ้อขยับขึ้นไปอยู่ที่ 4% จะส่งผลกับการวางแผนเงินออมได้อย่างไร... มาสมมติสถานการณ์กันนะคะ ถ้าต้นปีเราอยากได้เครื่องครัวชุดใหม่ราคา 100 บาท แต่ยังลังเลไม่ซื้อและเปลี่ยนใจจะไปซื้อตอนปลายปีและนำเงินจำนวน 100 บาทนี้ไปฝากธนาคารด้วยดอกเบี้ยปีละ 2% พอปลายปีเราก็มี 102 บาทอยู่ในบัญชี ก็อย่าเพิ่งดีใจไปว่าดอกเบี้ยงอกเงย เพราะหากอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 4% ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ย เครื่องครัวชุดนั้นที่เราหมายตาเอาไว้เมื่อตอนต้นปีก็จะมีราคาขยับไปอยู่ที่ 104 บาท อย่างนี้ก็แปลว่ายิ่งออมยิ่งขาดทุน ดังนั้นการออมในธนาคารเพียงอย่างเดียวคงไม่ดีแน่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรจะซื้อข้าวของและใช้เงินกันอย่างไม่มีการออมเลยนะคะ แบบนี้เราต้องมีการบริหารเงินของเราและกระจายการใช้และเก็บออมเงินของเราอย่างชาญฉลาดมากกว่า
ผู้เขียน ; ดร.การดี เลียวไพโรจน์
(update 28 มิถุนายน 2008) [ ที่มา.. นิตยสารบันทึกคุณแม่ Vol. 15 Issue 176 March 2008]
|
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 30
|
ไว้วันหน้าจะอธิบาย อิอิ!!