อยากให้เป็นแค่ฝันร้าย
ชีวิตคนเราไม่แน่นอนมีขึ้นมีลง มีเกิดแก่เจ็บตายที่แน่นอน....

เรื่องที่เราจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในครอบครัวของเราเองค่ะ



ครอบครัวเราเป็นครอบครัวเล็กๆฐานะปานกลาง พอกินพอใช้ มีความสุขตามอัตภาพ ทุกปีพ่อจะพาอาม่าไปกินข้าวที่ร้านภัตตาคารราคาแพงๆเคยถามพ่อเหมือนกันว่าหมดไปเท่าไหร่พ่อก็บอกว่าไม่เคยจำว่าจ่ายไปเท่าไหร่แค่อยากให้อาม่าได้กิน เรารู้ว่าพ่อหมดไปเกือบหมื่นเลี้ยงแม่เลี้ยงน้องเลี้ยงลูก พ่อเป็นคนธรรมะธัมโมมากตื่นตีสี่มาทำวัตรสวดมนต์ พ่อแม่เราอายุ60กว่าแล้วแต่ก่อนเคยทำโรงงานกระเบื้องแต่ตอนนี้ออกมาขายกระเบื้องกิจการเล็กๆ พ่อไปส่งกระเบื้องให้ลูกค้าเอง เวลาอยากไปเที่ยวไหนทำบุญไม่ไกล อยากกินอาหารทะเลถ้าลูกไม่อยู่ก็จะไปกันสองคน เรียกว่าขาดกันไม่ได้ พ่อดูแลแม่อย่างดี ดูแลทุกคนดีหมดไม่เคยบ่นทำอะไรให้ได้ก็จะทำให้ วันอาทิตย์ทุกอาทิตย์พ่อจะพาอาม่าและอาไปพุทธมณฑลเพื่อพาอาม่าไปไหว้พระพักผ่อน โดยพ่อจะเป็นคนเข็นรถเข็นอาม่าเดินรอบองค์พระสวดอิติปิโส
เสร็จจากนั้นก็จะพาอาม่าไปกิน MK แล้วก็กลับบ้านเป็นแบบนี้ทุกอาทิตย์
และแล้ว...วันเกิดเรื่องก็มาถึง เรากับแม่ไม่ได้ไปกับพ่อพ่อไปกับอาม่า อา พี่ชายและน้องชายเรา พ่อขับรถตู้นั่งมากับอาม่าและน้องชายเรา ส่วนพี่ชายและอาขับตามๆกันมา จะกลับบ้านใกล้ถึงบ้านแล้วขับมาทางถนนพุทธสาครซึ่งเป็นทางที่มืดไม่มีไฟ เราได้รับโทรศัพท์จากน้องว่ารถพ่อเกิดอุบัติเหตุพ่อยังไม่ฟื้น เรารีบตามไปโรงพยาบาลทันที พอไปถึงเห็นพ่อนอนอยู่บนเตียงกำลังเข็นออกจากICU เพื่อไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งเพื่อผ่าตัดสมองเราเริ่มใจหวิวๆแล้ว อาม่ากระดูกสะโพกหัก อาม่าอายุ90แล้วคนแก่ก็แย่เหมือนกัน น้องกระจกบาดที่มือไม่เป็นไรมากเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่าพ่อขับรถมาปกติโดยมีน้องนั่งข้างคนขับ อาม่านั่งหลังคนขับ ปกติพ่อขับรถไม่เร็ว อยู่ๆก็มีรถข้ามเกาะกลางข้ามเลนมาชน รถพุ่งมาด้านหน้าพ่อเราหักพวงมาลัยทำให้รถพุ่งชนด้านข้างคนขับเต็มๆ อาการพ่อสาหัสมากย้ายโรงพยาบาลเพื่อทำการผ่าตัดสมองหมอบอก50/50 รอดก็เป็นเจ้าชายนิทราเพราะเลือดคั่งในสมองต้องตัดสมองด้านขวาออกเกือบทั้งหมด แต่เราก็ตัดสินใจผ่าเพื่อรักษาชีวิตเขาไว้ เรากับแม่พี่ชายน้องชายไม่กลับไปนอนที่บ้านกันพากันมานอนตรงเก้าอี้ห้องICU เราไม่อยากกลับไปรอฟังข่าวที่บ้านกลัวเหมือนกันว่าตื่นมาจะไม่มีพ่ออยู่บนโลกนี้แล้ว พ่อเราเอาสมองที่มีเลือดคลั่งออกด้านขวาเอาออกไปเกือบหมด พ่ออยู่โรงพยาบาลนานมากก็ยังไม่ฟื้นมีติดเชื้อหลายครั้งเจาะคอเพื่อหายใจ ระหว่างนี้อาม่าก็เข้ารักษาตัวเช่นกันแต่ยังรู้สึกตัวพูดคุยได้สะโพกหัก เราก็ไปเยี่ยมทั้งพ่อและอาม่า แต่สุดท้ายประมาณเดือนครึ่งอาม่าก็จากเราไปเพราะกระดูกที่หักไปแทงลำไส้ทำให้ลำไส้ฉีกขาด เรามารู้สาเหตุทีหลัง โรงพยาบาลแรกที่ไปก็ไม่ได้เช็คร่างกายให้ดีซะก่อน ช่วงนี้กิจวัตรเรากับแม่คือ บ้าน โรงพยาบาล วัด อะไรที่ว่าดีเราทำหมด พ่อก็ยังทรงตัวอยู่ ICU เราพบคนมากมายทั้งญาติผู้ป่วย ผู้ป่วย ผู้ป่วยใกล้ตาย ผู้ป่วยตายแล้วมีคนมาทำพิธีกรรมให้ เราบอกเลยว่าชีวิตยุ่งมากแต่คนเข้าใจเราก็มีไม่เข้าใจก็มีเพราะเราลางานในช่วงแรก 5 วันเพื่ออยู่เป็นเพื่อนแม่และทำธุระเกี่ยวกับพ่อ บอกได้เลยว่าใครไม่มาอยู่จุดนี้ไม่มีทางเข้าใจ เรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวต้องแยกให้ออกถึงแม้จะเหนื่อยทั้งกายและใจ ที่ทำงานก็เข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องของเขา เพื่อนร่วมงานเขาก็เหนื่อยแทนเราช่วงที่เรายุ่งมาก ปกติเราจะไม่ค่อยลาอยู่แล้ว พอเขาลางานเราไม่เคยบ่นเราทำแทนได้ แต่ถ้าเราลาเหมือนเขาเหนื่อย พอเรากลับมาเขาโยนงานให้เราอย่างเยอะแล้วพูดว่า"ทำงานบ้างเถอะพี่"
ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้(แต่เราจำมันขึ้นใจว่าเขาเคยพูดเคยทำทั้งๆที่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น) แอบบ่นเล็กน้อยค่ะมันผ่านไปแล้ว....
มีน้องคนหนึ่งที่ทำงานพ่อเสียเพราะอุบัติเหตุหลังจากเกิดเรื่องกับบ้านเราได้ไม่นานเขาเคยถามเราว่าพ่อเป็นไงบ้างพี่ ความไม่แน่นอนมันเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้....ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับครอบครัวตัวเองหรอก สำหรับคู่กรณีเป็นคนเย็บผ้าขาย วันเกิดเหตุเขากินเหล้ามีปัญหาาชีวิตจะเลิกกับภรรยา เขาไม่คุ้นกับทางเส้นนี้ ต้องการกลับรถแต่กลายเป็นการข้ามเลนพุ่งชนรถอีกฝั่งค่ะ แม่เราและครอบครัวเราก็ไม่ได้แค้นเคืองแค่ขอให้เขารับผิดชอบในการกระทำ เพราะวินาทีนี้ทุกคนต่างคิดถึงแต่พ่ออยากให้หายไวๆค่ะ คู่กรณีเขาก็สำนึกผิดเคยมากราบขอขมาอาม่าตอนอาม่ายังมีชีวิตอยู่ค่ะ มาเยี่ยมและซื้อของมาให้บ้างค่ะและชดใช้ค่าเสียหายตามกฎหมายค่ะจริงๆล้วเทียบไม่ได้เลยกับชีวิตสองชีวิต

ตอนนี้ผ่านไปหนึ่งปีแล้วค่ะ ครอบครัวของเราผ่านอะไรมามากไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียของอาม่า พ่อเปลี่ยนโรงพยาบาลหลายที่เพื่อรักษา ออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ยังมีติดเชื้อต้องเข้า ICU อีกครั้ง ปัญหาเรื่องคนดูแล เรื่องเงินค่าใช้จ่าย ครอบครัวเราก็ช่วยกันคิดช่วยกันแก้ค่ะ สถานการณ์เริ่มคงที่ค่ะ พ่อลืมตาได้มีเกร็งบ้าง กลืนน้ำลายได้ ไม่มีอาการตอบสนองอื่นค่ะ เราจ้างคนจากศูนย์มาช่วยดูแลค่ะคนไข้แบบนี้ต้องดูแลเป็นพิเศษค่ะ

เราไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เวลาเห็นข่าวใครเกิดอุบัติเหตุก็ไม่รู้สึกเท่าไหร่แต่พอมาเกิดขึ้นกับครอบครัวตัวเองเข้าใจและเห็นใจครอบครัวนั้นมากเลยค่ะ
เราจะบอกว่าพอมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เราหันมาดูแลคนที่เหลืออยู่อย่างดีค่ะ เพราะถ้าวันหนึ่งถ้าเขาไม่อยู่แล้วเราจะได้ไม่มานั่งเสียใจว่าตอนที่เขายังอยู่เรายังไม่ได้ดูแลเขา เราดูแลเขา เข้าใจเขาให้มากเราก็จะไม่หงุดหงิดค่ะ เขาก็จะผ่อนคลายด้วย เราหมายถึงยายของเรายายเราเป็นอัมพฤกษ์ขาซ้ายแขนซ้ายใช้งานไม่ได้ หูไม่ค่อยได้ยิน ท่านก็จะหงุดหงิดค่ะ เราเข้าใจยายน่ะค่ะว่าถ้าเราเป็นแบบนี้เราก็อาจจะหงุดหงิด คือเอาใจเขามาใส่ใจเราค่ะ ส่วนแม่ของเราก็อ่อนแอโดยเห็นได้ชัด อ่อนแอในที่นี้คือใจค่ะ ปกติแม่จะไปไหนกับพ่อตลอดค่ะ เราก็จะพาแม่ไปไหว้พระกินข้าวให้สบายใจค่ะ

ชีวิตจริงจริงๆแล้วเหมือนความฝันเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ขอเพียงมีสติที่จะแก้ปัญหาและยอมรับความเป็นจริงให้ได้ค่ะ คนเราเวลาจะทำอะไรขอให้มีสติที่จะแก้ปัญหาไม่พึ่งพาของมึนเมาไม่นานปัญหาก็จะคลี่คลายไม่เพิ่มปัญหาค่ะ อะไรที่เกิดขึ้นแล้วมันคืออดีตแก้ไขไม่ได้แล้วเพียงแต่ยอมรับผลจากการกระทำของตัวเอง อนาคตเท่านั้นที่ยังไม่เกิดเราควรเอาอดีตมาเป็นบทเรียนและใช้ชีวิตแบบคิดดีทำดีค่ะ

สุดท้ายนี้ที่เขียนเรื่องราวนี้ขึ้นมาไม่ได้อยากได้ความเห็นใจจากใครน่ะค่ะ เพียงแต่อยากให้คนอ่านได้กลับไปคิด และได้ประโยชน์จากเรื่องของเราน่ะค่ะ
ขอบคุณค่ะ



Create Date : 03 มีนาคม 2558
Last Update : 21 มีนาคม 2558 20:14:50 น.
Counter : 1102 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Pinknook
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



มีนาคม 2558

1
2
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31