โรคกรดไหลย้อน
รคกรดไหลย้อน หมายถึง ภาวะที่มีน้ำย่อยใน กระเพาะอาหารซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด (ประกอบด้วย กรดเกลือ หรือกรดไฮโดรคลอลิก) ไหลย้อนขึ้นไประคายต่อหลอดอาหาร และบริเวณลำคอ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการแสบลิ้นปี่ คล้ายเป็นโรคกระเพาะเรื้อรัง ต้องคอยกินยาโรคกระเพาะบรรเทาอยู่เรื่อยๆ


โรคนี้พบได้ บ่อย โดยเฉพาะในคนอายุมากกว่า 40 ปี ผู้เขียนเองก็มีโรคนี้ประจำตัวมาหลายปี มีประสบการณ์ในการดูแลรักษาตัวเองจนรู้วิธีอยู่กับโรคนี้อย่างดี จึงขอนำความรู้มาทบทวนอีกครั้งในฉบับนี้ (คอลัมน์นี้เคยนำเสนอโรคนี้มาครั้งหนึ่งโดยใช้ชื่อว่า " เกิร์ด-โรคน้ำย่อย ไหลกลับ " ในหมอชาวบ้าน ฉบับเดือนมิถุนายน พ.ศ.2547)


ชื่อ ภาษาไทย
โรคกรดไหลย้อน, โรคเกิร์ด, โรคน้ำย่อยไหลกลับ

ชื่อ ภาษาอังกฤษ
Gastroesophageal reflux disease, GERD


¤ สาเหตุ
เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของการทำหน้าที่ของกล้ามเนื้อ หูรูดที่อยู่ตรงส่วนล่างของหลอดอาหาร (lower esophageal sphincter, LES) ในคนปกติขณะกลืนอาหารหูรูดนี้จะคลายตัวเพื่อเปิดทางให้อาหารไหลผ่านลงไปใน กระเพาะอาหาร เมื่ออาหารผ่านลงกระเพาะอาหารจนหมดแล้วหูรูดนี้จะหดรัดเพื่อปิดกั้นไม่ให้ น้ำย่อย (ซึ่งเป็นกรดเกลือ) ที่อยู่ในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหาร

แต่ผู้ที่เป็นโรค กรดไหลย้อน พบว่ากล้ามเนื้อหูรูดตรงส่วนล่างของหลอด อาหารนี้หย่อนสมรรถภาพ ทำให้มีน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหารมากกว่าปกติ (คนทั่วไปหลังกิน ข้าวอาจมีน้ำย่อยไหลย้อนได้ 1-4 ครั้ง ซึ่งไม่ทำให้เกิดอาการ) ทำให้เกิดอาการผิดปกติ และการอักเสบของเยื่อบุหลอด อาหารได้
ส่วนสาเหตุ ที่ทำให้หูรูดดังกล่าวทำงานผิดปกติยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าอาจเกิดจากความเสื่อมตามอายุ (โรคนี้มักพบในคนอายุมากกว่า 40 ปี) หรือหูรูดยังเจริญไม่เต็มที่ (พบในทารก) หรือมีความผิดปกติที่เป็นมาแต่กำเนิด
พบว่าโรคนี้มีความสัมพันธ์กับความ อ้วน ภาวะตั้งครรภ์ โรคเบาหวาน และโรคไส้เลื่อนกะบังลม (hiatal hernia) ซึ่งมีกระเพาะอาหารบางส่วนไหลเลื่อนลงไปที่กะบังลม

นอกจากนี้ยังพบว่ามีปัจจัยกระตุ้น ให้โรคกำเริบ ที่สำคัญ ได้แก่
- การกินอิ่มมากไป (กินอาหาร มื้อใหญ่หรือปริมาณมาก)กระตุ้นให้มีน้ำย่อยหลั่งออกมามาก ประกอบกับการขยายตัวของกระเพาะอาหารทำให้หูรูดคลายตัวมากขึ้น

- การ นอนราบ (โดยเฉพาะภายใน 2 ชั่วโมงหลังกินอาหาร) การนั่งงอตัว โค้งตัวลงต่ำ ทำให้น้ำย่อยไหลย้อนได้ง่ายขึ้น

- การรัดเข็มขัดแน่น หรือใส่กางเกงคับเอว จะเพิ่ม แรงดันในกระเพาะอาหารทำให้น้ำย่อยไหลย้อน

- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือกาเฟอีน (เช่น กาแฟ ยาชูกำลัง) นอกจากกระตุ้นให้หลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้นแล้ว ยังเสริมให้หูรูดคลายตัวอีกด้วย

- การกินอาหารที่ไขมันสูง ข้าวผัด ของทอดและอาหารผัดน้ำมัน ทำให้กระเพาะอาหารเคลื่อนไหวช้าลง ทำให้มีโอกาสเกิดกรดไหลย้อนได้มากขึ้น

- การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาร์บอเนต (น้ำอัดลม) การกินอาหารเผ็ดจัด หัวหอม กระเทียม ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ น้ำองุ่น น้ำผลไม้เปรี้ยว (เช่น น้ำส้มคั้น) ผลไม้เปรี้ยว ช็อกโกแลต หรือสะระแหน่ การใช้ยาบางชนิด (เช่น ยาขยายหลอดลม ยาแอนติโคลิเนอร์จิก ยาลดความดันกลุ่มปิดกั้นบีตาและกลุ่มต้านแคลเซียม ยาทางจิตประสาท ฮอร์โมนโพรเจสเตอโรน เป็นต้น) จะเสริมให้หูรูดคลายตัว หรือมีกรดหลั่งมากขึ้น

- โรคหืด เชื่อว่าเป็นผลมา จากการไอและหอบ ทำให้เพิ่มแรงดันในช่องท้อง ทำให้กรดไหลย้อน

- แผลเพ็ปติก และการใช้ยากลุ่มอนุพันธ์ฝิ่น ทำให้อาหารขับเคลื่อนลงสู่ลำไส้ช้าลง ทำให้มีกรดไหลย้อนได้


¤ อาการ
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบตรงลิ้นปี่หรือยอดอก หลังกินอาหาร 30-60 นาที หรือหลังกินอาหารแล้วล้มตัวลงนอนราบ นั่งงอตัว โค้งตัวลงต่ำ รัดเข็มขัดแน่น หรือใส่กางเกงคับเอว มักมีอาการมากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์และอาการเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง แต่ละครั้งมักปวดอยู่นาน 2 ชั่วโมง

บางรายอาจมีอาการปวดแสบร้าวจากยอดอกขึ้นไปถึงคอหอย (คล้ายอาการของโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย) หรือมีอาการจุกแน่นยอดอก (คล้ายอาหารไม่ย่อย) หรืออาจมีอาการคลื่นไส้ เรอบ่อย หรือมีก้อนจุกที่คอหอย

บาง รายอาจมีอาการขย้อนหรือเรอเอาน้ำย่อยรสเปรี้ยว (เรอเปรี้ยว) ขึ้นไปที่คอหอย หรือรู้สึกมีรสขมของน้ำดีหรือรสเปรี้ยวของกรดในปากหรือคอ หรือหายใจมีกลิ่น

บาง รายอาจไม่มีอาการแสบท้องหรือ เรอเปรี้ยว แต่มีอาการไอแห้งๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกินอาหาร หรืออยู่ในท่านอนราบ) กลืนลำบาก หรือเจ็บหน้าอกเวลากลืน

บางรายตอนตื่นนอนอาจรู้สึกขมคอ เปรี้ยวปาก อาจมีอาการเสียงแหบ เจ็บคอ แสบลิ้น หรือไอ (เนื่องจากกลางคืนนอนหมอนใบเดียว มีการไหลย้อนของน้ำย่อยไประคายที่คอหอย กล่องเสียง และหลอดลม) ซึ่งจะเป็นเรื้อรังเป็นแรมเดือน ผู้ป่วยมักจะไปปรึกษาแพทย์ทางโรคหู-คอ-จมูก ซึ่งจะวินิจฉัยว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน


¤ การแยกโรค
อาการ แสบลิ้นปี่ จุกแน่นยอดอก หรือเรอเปรี้ยวอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น

- โรค แผลเพ็ปติก (แผลกระเพาะอาหารหรือแผลลำไส้เล็กส่วนต้น) ผู้ป่วยจะมีอาการแสบใต้ลิ้นปี่เวลาหิว (ก่อนมื้ออาหาร) หรือจุกแน่นหลังอาหาร อาจมีคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย

- มะเร็งกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยจะมีอาการคล้าย โรคแผลเพ็ปติก แต่ต่อมาจะมีอาการอาเจียน น้ำหนักลด หรือถ่ายอุจจาระดำ

- โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ผู้ป่วยจะมีอาการจุกแน่นลิ้นปี่ แล้วปวดร้าวขึ้นไปที่คอ ขากรรไกร หรือต้นแขน ติดต่อกันนานเป็นชั่วโมงๆถึงเป็นวันๆ มักรู้สึกเหนื่อยง่าย ใจสั่น หรือหน้ามืดเป็นลมร่วมด้วย
อาการ เจ็บคอ เสียงแหบ ไอเรื้อรัง อาจต้องแยกออกจากสาเหตุอื่นๆ เช่น คออักเสบ กล่องเสียงอักเสบ วัณโรคปอด มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งปอด เป็นต้น


¤ การวินิจฉัย
แพทย์มักจะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการแสดง ได้แก่ อาการแสบลิ้นปี่ จุกแน่นยอดอก และเรอเปรี้ยวหลังกินอาหารที่เป็นตัวกระตุ้น หรือมีพฤติกรรมที่เป็นเหตุกำเริบ
ในรายที่ไม่แน่ชัดอาจต้องทำการตรวจ พิเศษ เช่น เอกซเรย์ทางเดินอาหารโดยการกลืนแป้งแบเรียม หรือใช้กล้องส่องตรวจหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร ซึ่งสามารถแยกโรคกรดไหลย้อนจากโรคแผลเพ็ปติก มะเร็งกระเพาะอาหาร และสาเหตุอื่นๆ ได้


¤ การดูแลตนเอง
ผู้ ที่มีอาการแสบลิ้นปี่ จุกแน่นยอดอก หรือเรอเปรี้ยว อาจรักษาเบื้องต้นโดยกินยาต้านกรดชนิดน้ำ (antacid) ครั้งละ 15-30 มิลลิลิตร วันละ 4 ครั้ง และสังเกตว่ามีเหตุกำเริบจากอาหารหรือพฤติกรรมใด ก็ควรหลีกเลี่ยงเสีย

ควรพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะผิดปกติข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

- มี อาการปวดร้าวขึ้นไปที่คอ ขากรรไกร หรือต้นแขน

- มี อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย อาเจียน ซีด ตาเหลือง ถ่ายอุจจาระดำ หรือน้ำหนักลด

- อายุมากกว่า 40 ปี

- กิน ยาต้านกรด 1 สัปดาห์แล้วยังไม่ทุเลาดี หรือกำเริบซ้ำหลังหยุดยา

- มี ความวิตกกังวลหรือไม่มั่นใจในการดูแลตนเอง



เมื่อ แพทย์ตรวจพบว่าเป็นโรคกรดไหลย้อนก็ควรปฏิบัติตัว ดังนี้

- กิน ยาให้ครบถ้วนและต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์

- ถ้า น้ำหนักเกินหรืออ้วน ควรหาทางลดน้ำหนัก

- สังเกตว่า บริโภคสิ่งใดบ้างที่ทำให้อาการกำเริบ แล้วพยายามหลีกเลี่ยง เช่น อาหารมัน (รวมทั้งข้าวผัด ของทอด ของผัดที่อมน้ำมัน) อาหารเผ็ดจัด หัวหอม กระเทียม แอลกอฮอล์ บุหรี่ ชา กาแฟ เครื่องดื่มผสมกาเฟอีน น้ำอัดลม น้ำผลไม้เปรี้ยว ผลไม้เปรี้ยว ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ ช็อกโกแลต ยาบางชนิด

- หลีกเลี่ยงการกินอาหารปริมาณมาก (หรืออิ่มจัด) และหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมากๆ ระหว่างกินอาหาร ควรกินอาหารมื้อเย็นในปริมาณ น้อย และทิ้งช่วงห่างจากเวลาเข้านอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง

- หลัง กินอาหารควรปลดเข็มขัดและตะขอกางเกงให้หลวม ไม่ควรนอนราบหรือนั่งงอตัว โค้งตัวลงต่ำ ควรนั่งตัวตรง ยืน หรือให้รู้สึกสบายท้อง หลีกเลี่ยงการยกของหนักและการออกกำลังกายหลังอาหารใหม่ๆ

- หมั่น ออกกำลังกายและผ่อนคลายความเครียด เนื่องเพราะความเครียดมีส่วนทำให้หลั่งกรดมากขึ้น ทำให้อาการกำเริบได้

- ถ้า มีอาการกำเริบตอนเข้านอน หรือตื่นนอนตอนเช้า มีอาการเจ็บคอ เจ็บลิ้น เสียงแหบ ไอ ควรหนุนศีรษะสูง 6-10 นิ้ว โดยการหนุนขาเตียงด้านศีรษะให้สูง หรือใช้อุปกรณ์พิเศษ (bed wedge pillow) สอดใต้ที่นอนให้เอียงลาดจากศีรษะลงมาถึงระดับเอว หรือใช้เตียงที่มีกลไกปรับหัวเตียงให้สูงได้ ไม่แนะนำให้ใช้วิธีหนุนหมอนหลายใบให้สูง เพราะอาจทำให้ท้องโค้งงอ ทำให้ความดันในช่องท้องเพิ่มมากขึ้น ดันให้น้ำย่อยไหลย้อนได้


¤ การรักษา
แพทย์จะให้การรักษาด้วยการแนะนำข้อปฏิบัติตัวดัง กล่าว และให้ยารักษาซึ่งอาจเป็นขนานใดขนานหนึ่ง ดังต่อไปนี้

- ให้ยา ต้านกรดชนิดน้ำ (antacid) ครั้งละ 15-30 มิลลิลิตร วันละ 4 ครั้ง ร่วมกับยาลดการสร้างกรดกลุ่มต้านเอช-2 (H2 antagonist) เช่น รานิทิดีน (ranitidine) ขนาด 150 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 เม็ด บางกรณีแพทย์อาจให้ยาเพิ่มการขับเคลื่อนของทางเดินอาหาร เช่น เมโทโคลพราไมด์ (metoclo-pramide) ขนาด 10 มิลลิกรัม 1 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ร่วมด้วย

- ให้ยาลดการสร้างกรดอย่างแรง ได้แก่ กลุ่มต้านโพรตอนปั๊มป์ (proton-pump inhibitors) เช่น โอเมพราโซล (omeprazole) ขนาด 20 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง

โดยครั้งแรกที่เริ่ม ให้การรักษา จะให้ยาติดต่อกันนาน 4-8 สัปดาห์ ในรายที่เป็นมากหรือมีอาการมานานก็อาจให้นาน 3-6 เดือนหลังจากหยุดยาถ้าหากผู้ป่วยปฏิบัติตัวไม่ถูกต้อง เช่น มีพฤติกรรมหรือกินอาหารที่กระตุ้นให้อาการกำเริบก็จะแนะนำให้ผู้ป่วยรีบกิน ยา (ขนานที่เคยใช้ได้ผล) ทันทีที่รู้สึกมีอาการ อย่าปล่อยให้เป็นอยู่นานหลายวัน อาจกินเพียง 3-5 วันก็พอ แต่ถ้ายังกำเริบอยู่บ่อยหรือปล่อยให้มีอาการอยู่นานหลายวัน ก็อาจจำเป็นต้องกินนานเท่าครั้งแรก


ผู้ป่วยจำเป็นต้องปฏิบัติตัว ในการป้องกันไม่ให้โรคกำเริบอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง ก็สามารถทำให้ปลอดจากอาการและภาวะแทรกซ้อน แต่ถ้าอาการกำเริบก็ต้องกินยารักษาเป็นครั้งคราวไปเรื่อยๆ
ในรายที่กินยา ไม่ได้ผลหรือมีภาวะแทรกซ้อนก็อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดซ่อมแซมหูรูดด้วย วิธีส่องกล้องเข้าช่องท้อง (laparoscopic fundoplication) หรือวิธีอื่นๆ (ซึ่งมีการวิจัยอยู่หลายวิธี)


¤ ภาวะแทรกซ้อน
หาก ปล่อยให้เป็นเรื้อรังนานๆ บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ที่พบบ่อยก็คือ หลอดอาหารอักเสบ (esophagitis) ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอกเวลากลืนอาหาร หากไม่ได้รับการรักษา ต่อมาอาจกลายเป็นแผลหลอดอาหาร (esophageal ulcer) ผู้ป่วยอาจมีอาการเลือดออก เช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำในที่สุดอาจเกิดภาวะหลอดอาหารตีบ (esophageal stricture) ผู้ป่วยจะมีอาการกลืนอาหารลำบาก อาเจียนบ่อย จำเป็นต้องรักษาด้วยการใช้เครื่องมือถ่างหลอดอาหารเป็นครั้งคราว ถ้าเป็นมากอาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

ผู้ป่วยบางรายอาจมีการเปลี่ยน แปลงของเซลล์เยื่อบุหลอดอาหารจนกลายเป็น หลอดอาหารบาร์เรตต์ (Barrettžs esophagus) ซึ่งสามารถวินิจฉัยด้วยการส่องกล้องลงไปที่หลอดอาหารและนำชิ้นเนื้อไป พิสูจน์ ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้มีโอกาสเป็นมะเร็งหลอดอาหารประมาณร้อยละ 2-5 ซึ่งจะมีอาการเจ็บเวลากลืนอาหาร กลืนลำบาก อาเจียนบ่อย น้ำหนักลด

ใน รายที่มีกรดไหลย้อนถึงคอหอยและหลอดลมก็อาจทำให้กลายเป็นคออักเสบ หลอดลมอักเสบ (เจ็บคอ ไอเรื้อรัง) กล่องเสียงอักเสบ (เสียงแหบ ตรวจพบสายเสียงบวมแดง) โรคหืดกำเริบบ่อย เนื่องจากน้ำย่อยไหลเข้าไประคายเคืองต่อหลอดลม

ภาวะแทรกซ้อนที่ รุนแรง ได้แก่ ปอดอักเสบ จากการสำลักน้ำย่อยเข้าไปในปอด (aspiration pneumonia) ซึ่งพบบ่อยในทารกอายุ 1-4 เดือน นอกจากนี้ โรคนี้ยังเป็นปัจจัยหนึ่งของการเกิดโรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง และผิวฟันกร่อนจากการกัดของน้ำย่อยเป็นเวลานาน


¤ การ ดำเนินโรค
ถ้าได้รับการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่นๆ และอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องก็จะช่วยให้โรคทุเลาหรือหายดี แต่หลังหยุดยาอาจกำเริบได้เป็นครั้งคราวก็ต้องคอยกินยาเป็นครั้งคราวตาม อาการที่กำเริบ (สำหรับสตรีที่ตั้งครรภ์ หลังคลอดอาการก็อาจหายไปได้เอง)
แต่ ถ้าปล่อยปละละเลย ไม่กินยา ไม่ยอมปฏิบัติตัวก็มักจะเป็นรุนแรง และเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ


¤ การป้องกัน
ผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน จำเป็นต้องคอยป้องกันไม่ให้โรคกำเริบด้วยการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องอย่างจริง จังและต่อเนื่อง (ดูหัวข้อ "การดูแลตนเอง")


¤ ความชุก
โรคนี้พบได้บ่อย นับเป็นสาเหตุอันดับแรกๆ ของผู้ที่มีอาการแสบลิ้นปี่ จุกแน่นยอดอก พบได้ประมาณร้อยละ 10-15 ของผู้ที่มีอาการดังกล่าว พบมากใน คนอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป แต่ก็อาจพบในเด็กเล็กและคนหนุ่มสาวได้ พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 3 เท่า


ข้อมูลจาก หมอชาวบ้าน
//www.doctor.or.th/node/7611



Create Date : 24 มิถุนายน 2553
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 9:17:39 น.
Counter : 575 Pageviews.

2 comments
  
โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 24 มิถุนายน 2553 เวลา:9:39:14 น.
  
ขออนุญาติมาแชร์ข้อมูลดีๆ จากที่ได้ไปเจอบทความนึงเกี่ยวกับสาเหตุของโรคกรดไหลย้อนที่ หลายๆคนอาจจะยังไม่ทราบค่ะ ลองอ่านดูนะคะ
ปัจจัยอื่นที่อาจเป็น สาเหตุโรคกรดไหลย้อน ได้เช่นกัน
1.ยาบางชนิด
หากคุณใช้กลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal Anti-inflammatory Drug: NSAID ) เป็นประจำ เช่น ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือยานาพรอกเซน (naproxen) อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อนได้ คุณควรปรึกษาคุณหมอ หากคิดว่ายาที่ใช้รักษาโรคส่งผลต่ออาการกรดไหลย้อนของคุณ และไม่ควรตัดสินใจหยุดกินยาด้วยตัวเอง
สำหรับยาบางชนิดที่จ่ายโดยแพทย์ รวมถึงยาที่สามารถซื้อได้ตามร้านขายยา ที่มีแนวโน้มว่าจะสามารถกระตุ้นอาการแสบร้อนทรวงอก ได้แก่ ยารักษาอาการของโรคหอบหืด โรคความดันสูง ปัญหาหัวใจ โรคข้ออักเสบ หรือการอักเสบอื่นๆ ยารักษาโรคกระดูกพรุน รวมถึงยาที่ใช้รักษาโรคนอนไม่หลับ โรคซึมเศร้า และยาบรรเทาความเจ็บปวด
2.การสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่ทำให้อาการของโรคกรดไหลย้อนแย่ลง เนื่องจากการสูบบุหรี่ทำให้กล้ามเนื้อหูรูด ที่กั้นระหว่างกระเพาะอาหารและหลอดอาหารอ่อนแอลง (ส่งผลให้กรดในกระเพาะไหลย้อนกลับมาในหลอดอาหาร) เป็นสาเหตุให้น้ำดีที่ใช้ในการย่อยไขมัน ย้ายจากลำไส้เล็กไปสู่กระเพาะ นอกจากนี้การสูบบุหรี่ยังลดปริมาณน้ำลาย ที่โดยปกติแล้วมีหน้าที่กำจัดกรดออกจากหลอดอาหาร โดยในน้ำลายจะมีไบคาร์บอเนต ซึ่งเป็นตัวต้านกรดโดยธรรมชาติ
3.ความเครียด
ความเครียดสามารถเป็นตัวกระตุ้นอาการกรดไหลย้อน แต่ความเครียดไม่ได้เป็นสาเหตุ ที่ทำให้การผลิตกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยใน Journal of Psychosomatic Research ที่ชี้ว่า ผู้ป่วยที่มีอาการกรดไหลย้อน มักรู้สึกถึงอาการนี้เมื่อมีความเครียด แต่ไม่ได้บ่งชี้ถึงระดับของกรดในกระเพาะที่เพิ่งขึ้นจริงๆ แต่อย่างใด หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ที่เครียดอาจรู้สึกถึงอาการกรดไหลย้อนมากขึ้น หรือผลกระทบจากความเครียดทางประสาทวิทยา อาจจะส่งผลให้เพิ่มความเจ็บปวดในหลอดอาหารมากขึ้นได้
4.การกินอาหารมากเกินไป
ผู้ที่ชื่นชอบการกินบุฟเฟต์ ควรระวังปริมาณในการกิน เพราะการกินอาหารมากเกินไป อาจกระตุ้นให้เกิดอาการกรดไหลย้อน เนื่องจากกระเพาะจะขยายขนาดเวลาที่มีอาหารมากในกระเพาะ ยิ่งกระเพาะของคุณขยายขนาดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารตอนล่าง จะปิดได้ไม่ดีมากเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลทำให้ไม่สามารถป้องกันอาหาร และน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ไหลขึ้นย้อนกลับมาในหลอดอาหารได้
5.นิสัยการกิน
การกินเร็วเกินไป อาจกระตุ้นอาการกรดไหลย้อน รวมถึงการกินอาหารในท่านอน หรือกินอาหารตอนกลางคืน ในช่วงเวลาก่อนเข้านอน 2-3 ชั่วโมง นิสัยการกินเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อน มีงานวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นที่ชี้ว่า ผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อนไม่ควรกินอาหารก่อนเอนตัวลงนอน ดังนั้น นิสัยการกินทั้งการกินเร็ว กินแล้วเอนตัวลงนอนทันที รวมถึงการกินก่อนเวลาเข้านอน ต่างก็อาจทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อนได้
6.โรคไส้เลื่อนกะบังลม
กะบังลมคือผนังกล้ามเนื้อที่กั้นระหว่างกระเพาะกับช่องอก ซึ่งจะช่วยกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารตอนล่าง (LES, lower esophageal sphincter) ในการรักษากรดในกระเพาะอาหารให้อยู่ภายในกระเพาะอาหาร แต่เมื่อกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารตอนล่าง และส่วนบนของกระเพาะอาหารเคลื่อนที่ขึ้นด้านบน กะบังลมจะทำให้เกิดโรคไส้เลื่อนกะบังลม (Hiatal Hernia) ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะส่งผลให้เกิดอาการกรดไหลย้อน และคุณอาจไม่รู้ว่าคุณมีอาการโรคไส้เลื่อนกะบังลมก็เป็นได้ แต่โดยปกติ อาการแสบร้อนทรวงอกเนื่องจากกรดไหลย้อน อาจไม่ได้หมายถึงภาวะไส้เลื่อนกะบังลมเสมอไป
7.ความอ้วนหรือน้ำหนักเกิน
งานวิจัยชี้ว่าความอ้วนหรือการมีน้ำหนักเกิน สามารถกระตุ้นอาการกรดไหลย้อน อาการแสบร้อนทรวงอก และโรคกรดไหลย้อนได้ โดยมีงานวิจัยที่ได้เปรียบเทียบกลุ่มคนผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน กับกลุ่มผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคกรดไหลย้อน กลุ่มผู้ที่มีปัญหากรดไหลย้อนโดยทั่วไป จะมีน้ำหนักมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้เป็นโรคกรดไหลย้อน นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยในปี 2003 ที่เผยแพร่ในวารสาร Journal of the American Medical Association ที่พบว่าความเสี่ยงในการมีอาการกรดไหลย้อน จะเพิ่มขึ้นตามค่าดัชนีมวลกาย (Body-mass index, BMI) และดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างค่าดัชนีมวลกายกับอาการกรดไหลย้อนนี้ จะเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย (โดยเฉพาะผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือน) คำอธิบายอีกอย่างหนึ่งในกรณีนี้ที่เป็นไปได้ก็คือ เนื่องจากการมีมวลไขมันมากเกินไปในช่องท้อง และสารเคมีที่มวลไขมันปล่อยออกมา อาจเป็นปัจจัยที่เป็นไปได้ว่า อาจทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อน
8.การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายอาจกระตุ้นอาการกรดไหลย้อน โดยบางครั้งอาจมีสาเหตุเนื่องจากความดันที่เพิ่มขึ้นในช่องท้อง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกรดไหลย้อน มีการศึกษาวิจัยที่ดูความแตกต่างของประเภทของการออกกำลังกาย ผลการวิจัยพบว่านักกีฬายกน้ำหนักมีอาการแสบร้อนทรวงอกและกรดไหลย้อนมากที่สุด ส่วนนักวิ่งมีอาการไม่รุนแรง และมีอาการกรดไหลย้อนน้อยกว่านักยกน้ำหนัก และนักปั่นจักรยานมีภาวะกรดไหลย้อนน้อยที่สุด
โดย: สมาชิกหมายเลข 4984277 วันที่: 12 มิถุนายน 2562 เวลา:16:30:44 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

parmaika
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



: Users Online
มิถุนายน 2553

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
23
25
26
27
28
30
 
 
24 มิถุนายน 2553
All Blog