Group Blog
 
 
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
23 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย - อานาปานสติกรรมฐาน

ท่านนักปฏิบัติธรรมผู้เจริญทั้งหลาย


วันนี้ จะได้กล่าวถึงเรื่อง การเจริญอานาปานสติกรรมฐาน ซึ่งเป็นกรรมฐานประเภทหนึ่ง คือ เป็นกรรมฐานที่เหมาะกับจริตของบุคคลทั่วไป

การเจริญอานาปานสติกรรมฐานนั้น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งที่เราจะต้องฝึก ฝึกให้มีความรู้ความชำนาญ เพราะกรรมฐานเกี่ยวกับลมหายใจนี้ เรื่องของลมหายใจ มันไปแทรกอยู่ทุกกรรมฐาน เพราะทุก ๆ ครั้งที่เราสามารถทำกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการบริกรรมภาวนา เมื่อจิตของเราสงบลงไปแล้ว จิตจะละวางคำบริกรรมนั้นเสีย แล้วลมหายใจก็จะผุดขึ้น ถ้าจิตเดินทางที่ถูก จิตจะยึดเอาลมหายใจหายขาดไป แล้วจิตจึงจะละวางลมหายใจ เมื่อลมหายใจหายขาดไปแล้ว ความรู้สึกในร่างกายทุกสิ่งทุกส่วนไม่ปรากฏว่ามีอยู่ กายก็ไม่มี ลมหายใจก็ไม่มี ในความรู้สึกในขณะนั้นมีแต่สภาวะจิตที่นิ่ง คือ ตัวผู้รู้ปรากฏเด่นชัดอยู่ จิตมีความสว่างไสวอยู่และรู้รอบคอบอยู่ที่จิตโดยเฉพาะ นี้คือการภาวนาที่ถึงขั้นละเอียด




ต่อไปนี้ จะได้กล่าวถึง อานาปานสติกรรมฐาน

อานาปานะ ก็หมายถึง ลม การเจริญอานาปานสติกรรมฐานนั้น หมายถึง การเจริญกรรมฐานเกี่ยวเนื่องด้วยการกำหนดรู้ลมหายใจ

เมื่อนักปฏิบัติทั้งหลาย นั่งคู้บัลลังก์ โดยขัดสมาธิ เอาขาขวาทับขาซ้าย มือซ้ายวางลงบนตัก เอามือขวาวางทับลงไป แบบพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิ แล้วกำหนดระลึกถึงพระบรมครู โดยนัยว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ เช่นเดียวกันกับการเจริญกรรมฐานพุทโธ แล้วก็กำหนดจิตของตนเองว่า จิตของตนมีความลำเอียงไปข้างรักหรือข้างชัง ส่งไปข้างหน้าหรือข้างหลัง ข้างซ้ายหรือข้างขวา ให้รู้ชัดลงไป แล้วก็ตั้งใจกำหนดจิต ดูลมหายใจของตนเองเฉยอยู่

ในขั้นต้น เราอาจจะแต่งลมหายใจของเรา โดยกำหนดจิตให้แน่วแน่แล้วก็ ค่อยสูดลมหายใจยาวๆช้าๆ จนกระทั่งหมดแรง แล้วก็ปล่อยออกมาอย่างช้าๆจนกระทั่งหมด แล้วก็สูดเข้าไปอีกทีหนึ่ง แล้วก็ปล่อยออกมาอีกทีหนึ่ง ทำอย่างนี้ถึง ๕ครั้ง เข้าออกเป็นครั้งหนึ่ง ต่อไปหายใจอย่างปกติ ไม่ต้องไปแต่งลมหายใจ

หน้าที่ของเรามีเพียงแต่ว่ากำหนดรู้ลมหายใจที่เป็นเองโดยธรรมชาติเท่านั้น คือ ดูให้รู้ว่าการหายใจเบาหรือหายใจแรง หายใจสั้นหรือหายใจยาว ก็ให้รู้อยู่ทุกจังหวะ กำหนดตัวผู้รู้ไว้ที่ลมผ่านเข้า ซึ่งมีการสัมผัสอยู่ที่ปลายจมูก โดยจะนึก
พุท พร้อมกับลมหายใจเข้า โธ พร้อมกับลมหายใจออกก็ได้


หรือหากไม่ทำอย่างนั้น ไม่ต้องนึก พุทโธพร้อมกับลมหายใจเข้า หายใจออก เพียงแต่กำหนดรู้ลมเข้าออกเฉยอยู่ เมื่อจิตของเราส่งไปทางอื่น เรารู้ว่าจิตส่งไปทางอื่น ก็กลับเอามารู้ไว้ที่ปลายจมูกตรงฐานที่ตั้ง กำหนดดูอยู่อย่างนั้น จนกว่าจิตของเราจะยึดเอาลมหายใจเป็นอารมณ์จริงๆคืออยู่ที่ลมหายใจ ซึ่งในบางครั้งเมื่อจิตมาอยู่ที่ ๆ เรากำหนดไว้แล้ว บางทีจิตอาจจะวิ่งออกวิ่งเข้าตามกระแสทางเดินแห่งลม ก็ปล่อยให้จิตของเราเดินออกเดินเข้าตามกระแสแห่งลม

ในตอนนี้แสดงว่า จิตของเรายึดเอาลมหายใจเป็นอารมณ์แล้ว ให้ดูลมหายใจเฉยอยู่ อย่าไปทำความนึกคิดอะไรอื่น นอกจากการดูลมหายใจเท่านั้น แล้วก็กำหนดรู้อยู่อย่างนั้นตลอดไป ให้มีสติสัมปชัญญะกำหนดรู้อยู่ที่จิตกับลมหายใจ ลมหายใจกับจิตอย่าให้พรากจากกัน และก็พยายามทำจิตให้เป็นกลาง

อย่าไปยินดีในความเป็นของลมหายใจ หรืออย่าไปยินร้ายในความเป็นของลมหายใจ อย่าไปตกอกตกใจในอาการที่ลมหายใจมันอาจจะมีการแสดงกริยาไปต่าง ๆ
เช่น บางทีอาจจะมีความรู้สึกว่าหายใจแรงผิดปกติ ก็อย่าไปทำความตกใจ บางทีจะมีอาการ คล้ายๆ กับว่าลมหายใจมันจะหยุด ก็อย่าไปทำความตกใจ มันจะเป็นอย่างไรก็ตาม ให้กำหนดรู้เฉยอยู่อย่างนั้น

ผู้รู้คือจิตนั้นเป็นตัวสำคัญ อย่าเผลอ ลมหายใจเป็นเพียงแต่อารมณ์เป็นเครื่องช่วยให้จิตสงบเท่านั้น แต่ตัวจิตคือผู้รู้กับสติสัมปชัญญะนี้ ก็จะต้องประคับประคองจิตของเราไว้ให้ดี และในขณะที่เราปฏิบัติอยู่นั้น อย่าไปทำความรู้สึกว่าอยากรู้อยากเห็น หรืออยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพียงแต่กำหนด รู้ลมออกลมเข้า และความเป็นไปต่างๆ ของลมเท่านั้นเมื่ออาการอย่างไรเกิดขึ้น ก็ให้รักษาจิตไว้ให้ดีให้มีสติสัมปชัญญะ อย่าไปตื่น อย่าไปตกใจ อย่าไปมีอาการใด ๆ ทั้งสิ้นให้เรารู้อยู่ที่ลมหายใจอย่างเดียวเท่านั้น นี้คือการปฏิบัติเกี่ยวกับลมหายใจ

ทีนี้ เมื่อเรากำหนดรู้อยู่อย่างนั้น ถ้าหากจิตของเราเป็นไปตามแนวแห่งสมาธิ หายใจจะละเอียดเข้า ละเอียดเข้าทุกทีๆ ในที่สุดลมหายใจก็จะหายไปหมด

เมื่อลมหายใจหายไปจากความรู้สึกแล้ว ความสว่างภายในจิตก็จักปรากฏขึ้น เมื่อความสว่างภายในจิตปรากฏขึ้น ร่างกายก็หายไปในขณะนั้น

เมื่อร่างกายหายไปแล้วก็ให้นึกว่าร่างกายยังมีอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความตกใจ พอร่างกายและลมหายใจหายไปหมดแล้ว จิตมันจะไปอยู่ที่ไหน ตรงนี้ต้องพยายามทำสติสัมปชัญญะให้รู้เท่าทันอาการเหล่านั้นให้ดี บางทีบางท่านอาจจะเกิดความวิตกขึ้นมาว่า เมื่อร่างกายและลมหายใจหายขาดไปแล้ว จิตมันจะไปอยู่ที่ไหน เมื่อเป็นเช่นนี้ ความหวั่นวิตกหรือความกลัวก็จะเกิดขึ้น แล้วจะทำให้จิตถอยจากสมาธิ ถ้าหากมีความกลัวติดอยู่ในความรู้สึก เมื่อจิตดำเนินไปถึงขั้นนี้ พอจะเข้าขั้นละเอียดกันจริงๆ แล้วมักจะเกิดความกลัวขึ้นมา แล้วจิตจะถอยจากสมาธิ

วิธีแก้ก็คือพยายามทำบ่อยๆ ทำให้มากๆอาศัยภาวิตา อบรมให้มากๆ พหุลีกตา กระทำให้มากๆ และมีสติสัมปชัญญะรู้เท่าทัน นี้คือเหตุผลแห่งการบำเพ็ญสมาธิขั้นสมถะ

ความจริงการบำเพ็ญสมาธิขั้นสมถะ ในเบื้องต้นเราต้องพยายามที่จะละความรู้ต่างๆ ที่เราเรียนมา เรามีความรู้เต็มภูมิก็ทำเหมือนไม่รู้ ทำความรู้ให้รู้สึกว่ามีอยู่แค่บริกรรมภาวนาเท่านั้น

การภาวนาในขั้นนี้ไม่ต้องการเหตุผลอะไรมากมายนัก เพียงแต่ต้องการให้จิตสงบ ตั้งมั่นลงเป็นสมาธิ เพื่อให้รู้สภาพความเป็นจริงของจิตเดิมที่ไร้นิวรณ์ของเราว่าจิตเดิมของเรานั้นเป็นอยู่อย่างไร นักปฏิบัติจะรู้สภาพความเป็นจริงของจิตของตน ต่อเมื่อสามารถทำจิตให้เป็นอัปปนาสมาธิ ทำจิตให้ว่างปราศจากความรู้สึกว่ามีกาย มีลมหายใจ มีความรู้สึกคล้ายๆ กับว่า ในโลกนี้มีจิตดวงเดียวเท่านั้น นอกนั้นไม่มีอะไร เป็นธรรมชาติประภัสสร เป็นจิตที่ใสสะอาด แต่ไม่ใช่ใสสะอาดชนิดที่หมดกิเลส เป็นแต่เพียงใสสะอาดประภัสสรชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

ในอันดับต่อไป ในเมื่อเรารู้สภาพความเป็นกลางของจิต คือความที่จิตใสสะอาดบริสุทธิ์ ไม่เอนเอียงไปข้างรักไม่เอนเอียงไปข้างชัง มีแต่ความเป็นกลาง ในหลักธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ท่านว่า กามสุขัลลิกานุโยค ความประกอบตนให้พัวพันในกาม อัตตกิลมถานุโยค ความประกอบตนให้พัวพันในสิ่งที่ทรมานตน ซึ่งหมายถึง อิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์นั่นเอง ก็ไม่มีในขณะนั้น ยังเหลือสภาพความเป็นกลางของจิตโดยเที่ยงธรรมปรากฏเด่นชัดอยู่ ในขณะนี้ ตัวผู้รู้คือพุทโธก็ปรากฏขึ้น ผู้เบิกบานคือพุทโธก็ปรากฏขึ้น นี้คือจิตเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์

สมาธิขั้นนี้รวมเอาองค์อริยมรรคทั้ง ๗ ประการรวมลงไปสู่สัมมาสมาธิตัวเดียวเท่านั้น

ในเมื่อจิตเป็นสัมมาสมาธิ มีตัวรู้ปรากฏเด่นชัดอยู่ ต่อไปเราปฏิวัติจิตของเรา ให้ดำเนินไปสู่แนวทางแห่งกุศลกรรมด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง อันจะเป็นเหตุให้เกิดความสงบและความรู้แจ้งเห็นจริง เพื่อความหลุดพ้นจากอาสวกิเลสทั้งหลาย ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าได้ชี้แนวเอาไว้ ก็ย่อมเป็นจิตที่เราสามารถจะน้อมไปสู่อารมณ์ใดๆ ได้ทั้งนั้น

แต่การน้อมจิตไปสู่อารมณ์นั้น ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องน้อมจิตในขณะที่จิตเป็นอัปปนาสมาธิ หรือระหว่างร่างกายละลมหายใจ แล้วก็น้อมไปในขณะนั้น อันนี้ย่อมเป็นการเข้าใจผิด เพราะในขณะที่จิตอยู่ในอัปปนาสมาธิปราศจากความรู้สึกในทางร่างกายและลมหายใจ จะนิ่งเด่นรู้อยู่เฉพาะตัว ในขณะนั้นจิตมีสมรรถภาพสามารถทรงตัวอยู่ได้โดยอัตโนมัติ ไม่ได้พึ่งพาอาศัยอะไร จิตก็อันนั้น อารมณ์ก็อันนั้น สมกับคำว่า เอกัคคตาจริงๆ ก็คือไม่มี ๒ มีแต่จิตดวงเดียวล้วนๆ ในขณะนั้นผู้ปฏิบัติไม่สามารถจะให้ความรู้สึกนึกคิดน้อมไปทางไหนได้ทั้งนั้น

ถ้าอย่างนั้นเราจะทำอย่างไร เราก็ต้องคอยจนกว่าจิตมันจะออกมาจากสภาพเช่นนั้นแล้ว ถอยมาอยู่ในระดับอุปจารสมาธิ อุปจารสมาธิ คือ จิตมีลักษณะสว่างและรู้อยู่ในบริเวณกว้างๆ สามารถที่น้อมเอาอารมณ์อื่นๆ มาเป็นเครื่องพิจารณาได้

ในตอนนี้ เราก็รีบหยิบยกเอาสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งมาพิจารณา คือ พิจารณา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ น้อมเข้าไปสู่พระไตรลักษณ์ โดยการน้อมนึกคิดพิจารณาเอา อย่างที่เราเคยเรียนเคยรู้มาจากตำรับตำรา เช่นว่า

รูปํ อนิจจัง รูปไม่เที่ยง
เวทนา อนิจจา เวทนาไม่เที่ยง
สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เราก็นึกเอา

ทีนี้ในเมื่อเรานึกเอาเช่นนั้นแล้ว บางทีในขณะที่ เรากำลังนึกกำลังพิจารณาอยู่นั้น จิตทำท่าจะสงบเป็นสมาธิ ก็ปล่อยให้มันสงบลึกลงไป ในเมื่อมันสงบลึกลงไปแล้ว บางท่านก็ไปสงบนิ่งอยู่เฉย และบางท่านเมื่อจิตสงบไปแล้ว จิตปฏิวัติตนไปสู่ความรู้ความเห็นซึ่งผุดขึ้นโดยอัตโนมัติ นี้เรียกว่า ปริยัติภายในมันเกิดขึ้น

ในเมื่อความรู้ความเห็นมันผุดขึ้นเป็นระยะๆ เช่นนั้น ผู้ปฏิบัติก็ตั้งสติ กำหนดจิตรู้ตามอาการเหล่านั้น มันจะเป็นไปอย่างไรก็ตาม ถ้าหากมันอยู่ในสายความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติ ก็ปล่อยให้จิตมันดำเนินไปตามวิถีทางแห่งความรู้ซึ่งมันผุดขึ้น แต่ในเมื่อรู้แล้วอย่าไปหลงในความรู้เห็น แล้วอย่าไปหลงในความเห็น

เพียงแต่กำหนดจิตรู้ตามสิ่งที่ปรากฏขึ้นหรือความรู้ที่ปรากฏขึ้น

ถ้าหากว่าจิตมันจะไปหลงเพลิดเพลินในสิ่งนั้นจนเกินไป

ก็สำนึกว่ารู้ก็สักแต่ว่ารู้

เห็นก็สักแต่ว่าเห็น

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ ก็ล้วนแต่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งนั้น

ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ แน่นอน


อันนี้สำหรับผู้ที่มีอุปนิสัยย่อมปฏิบัติได้ง่ายอย่างนี้


ถ้าหากผู้มีอุปนิสัยอ่อนลงมาหน่อย ในเมื่อใช้ความคิดพิจารณาตามที่กล่าวแล้ว จิตไม่สามารถให้เกิดความรู้อย่างนั้น ก็หยุดพิจารณาเสีย แล้วบริกรรมภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น จะเอาคำว่า “สัพเพ ธัมมา อนัตตา สัพเพ ธัมมา อนัตตา” มาบริกรรมภาวนาจนกว่าจิตจะสงบนิ่งลงไปเป็นอัปปนาสมาธิ แล้วจิตถอนจากความเป็นอัปปนาสมาธิมานิดหน่อย แล้วจะเกิดผุดรู้ผุดเห็นเป็นอัตโนมัติ ตามที่กล่าวมาแล้ว

อันนี้แล้วแต่ความฉลาดของนักปฏิบัติจะใช้ความสังเกตดูที่จิตของตัวเอง ซึ่งบางทีความรู้ความเห็นความเป็นภายในจิตนั้น อาจจะไม่ตรงกันกับตำรับตำราที่เราเคยเรียนมาก็ได้

เพราะว่า สิ่งใดซึ่งเป็นสัจธรรม สิ่งนั้นย่อมเป็นของจริง จริงอย่างที่ใคร ๆ เรียกชื่อหรือบัญญัติศัพท์ที่จะเรียกชื่อสิ่งเหล่านั้นไม่ถูกก็มี หรือแล้วแต่วาสนาบารมีของใคร เพราะฉะนั้น เราจะต้องรู้กันด้วยจิตด้วยใจตามที่กล่าวอธิบายมานี้

ท่านผู้ฟัง คงจะเข้าใจได้แล้วกระมังว่า การบำเพ็ญจิตเกี่ยวกับสมณธรรมนั้น สมถะกับวิปัสสนามันพรากจากกันไม่ออก ในช่วงที่จิตไม่สงบนั้น เราก็ใช้อารมณ์มาพิจารณาตามที่กล่าวมาแล้ว ในช่วงที่จิตมันจะสงบเราก็ปล่อยให้มันสงบไป

เราพิจารณาไปก่อนที่มันจะรู้จริงเห็นจริงอย่างแท้จริงนั้น จิตจะต้องหยุดนิ่งเข้าสู่อัปปนาสมาธิบ้างเพียงนิดหน่อยพอสมควร พอได้กำลังแล้วจึงจะมีอาการแวบขึ้นมา แล้วก็รู้จริงขึ้นมาว่าอะไรเป็นอะไร

ในขณะที่เรารู้จริงเห็นจริงนั้น ย่อมจะไม่มีสมมติบัญญัติ จิตก็ไม่เรียกตัวเองว่าจิต อารมณ์ที่รู้ก็ไม่เรียกว่าอารมณ์

ที่ตัวรู้ก็เป็นแต่เพียงว่ามีสภาพผู้รู้มีอยู่ สิ่งที่ให้รู ้ให้เห็นก็มีปรากฏอยู่ แต่ภาษาที่จะเรียกว่าอะไรเป็นอะไรในขณะนั้นจะไม่มีโดยเด็ดขาด

ถ้าอย่างนั้นภาษาที่พูดกันอยู่นี้มาจากไหน มันมีมาต่อเมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว แล้วก็สามารถรับรู้อารมณ์ภายนอก สัญญาอารมณ์เก่าๆที่เราเรียนมาจากตำรับตำรา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขาพูดมาก่อนพระ พุทธเจ้าเกิด

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ของจริงซึ่งไม่มีภาษาสมมติบัญญัติ เมื่อพระองค์จะแสดงธรรมแก่ชาวโลก พระองค์ก็เอาภาษาของชาวโลกนั้นแหละ มาสมมติบัญญัติ แต่งตั้งชื่อธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว ถ้าไม่เอาภาษามนุษย์ภาษาของโลกมาพูดภาษาการตรัสรู้ ภาษาการเป็นพระพุทธเจ้านั้นย่อมไม่เหมือนภาษาของใคร เพราะมันไม่มีภาษาเรียก แต่พระองค์ก็มายืมเอาภาษาของโลกที่มีอยู่ก่อนแล้วนั้นแหละ มาบัญญัติธรรมที่พระองค์รู้พระองค์เห็น ชาวโลกเขาสมมติแต่งตั้งบัญญัติภาษาพูดกันอย่างไร พระองค์ก็บัญญัติธรรมของพระองค์ที่รู้แล้วตามภาษาของชาวโลก ถ้าไม่ทำอย่างนั้นใครจะสามารถฟังภาษาของพระพุทธเจ้าออก ขอให้ท่านนักปฏิบัติทั้งหลาย พึงเข้าใจอย่างนี้

สำหรับการกล่าวธรรมเป็นการอบรมจิตใจของบรรดาท่านทั้งหลายสำหรับวันนี้ ก็เห็นว่าสมควรแก่กาลเวลา จึงขอยุติลงด้วยประการฉะนี้…













Create Date : 23 ตุลาคม 2550
Last Update : 23 ตุลาคม 2550 16:58:55 น. 1 comments
Counter : 1198 Pageviews.

 
เคยทำสมาธิแบบอานาปานสติเหมือนกัน แต่ตอนนี้ทิ้งไปแล้ว มากำหนด หยุบหนอ พองหนอแทน เป็นวิสสนากรรมฐาน จะได้สติมากกว่าสมาธิ


โดย: maxpal วันที่: 23 ตุลาคม 2550 เวลา:23:21:03 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

oor_dt
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




gphq
Friends' blogs
[Add oor_dt's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.