มือเก่า
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นคนชอบอะไรมากมายหลายอย่าง ที่เคยเล่นเคยทำ เลยมาแบ่งป้นประสบการณ์กัน ทั้งอารมณ์สุข เศร้า เหงา รัก ตามช่วงชีวิตครับ

เป็นอดีตนักวิชาการที่หันหลังทิ้งชีวิตปรุงแต่ง มาหัดใช้ชีวิตเรียบๆง่ายๆ สบายๆ
Group Blog
 
 
เมษายน 2552
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
14 เมษายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add มือเก่า's blog to your web]
Links
 

 
ยอดงะงันนิวหยวกตอง+ยอดพันห้า ตอนที่ ๒

ยอดงะงันนิวหยวกตอง+ยอดพันห้า ตอนที่ ๒
หลังจากบรรดา พ่อพลาย แม่พัง ทั้งหลายวิ่งผ่านพ้นไปแล้ว สองกระหร่างกับหนึ่งเจ้าหน้าที่ อ้อ อีกหนึ่งตูบ ก็ทยอยออกมาจากที่หลบภัย มายิ้มหน้าเจื่อน ๆ พร้อมกับเพื่อน ๆ ที่รุมค้อนกันควับ ๆ จากนั้นเราก็หาเหล็กหามีดมาเคาะกันระงม ขณะเดินผ่านสันเขาแห่งนี้ เพราะเกรงจะมีบางตัวหลงฝูงโผล่มาให้อกสั่นขวัญแขวนอีก ประกอบกับไอ้แมคโคร ทำซ่าส์เห่าต่ออีกเป็นระยะ ทำเอาคณะของเราประสาทเสีย หนอยทีตะกี้มันวิ่งหางจุกตูด บางคนบ่น ก่อนถึงยอดงะงัน เราพบรอยเท้ากระทิง อีกหนึ่งฝูง ซึ่งมันคงเดินข้ามไปมาหากินระหว่างประเทศครับ ตอนนี้เราก็ไต่ความสูงกลับขึ้นมาบนยอดงะงัน บนความสูง 1490 ม. อากาศหนาวเย็นอีกเหมือนเดิม

ความหวังที่จะพบอาหารดับวูบลงอีกเพราะพยายามสรรหาอะไรมากินไม่ได้เลย 2 วันเต็ม ๆ แล้วกับการอดอาหาร อารมณ์จะสำรวจยอดเขาหมดสิ้น น้ำก็ไม่มีจะดื่ม อาศัยน้ำจากบ้องไผ่ ที่ตัดระหว่างทางดื่มแก้กระหาย

ใครเคยกินน้ำในบ้องไผ่บ้างครับ รสชาติมันพิกล ๆ ดีนะครับ น้ำมันหอยยังพอมีเหลือนิดหน่อยแบ่งกันกิน 9 คนได้คนละช้อนโต๊ะ แหะ ๆ ไอ้แมคโครก็ได้กับเขาด้วย อาหารพื้นเมืองอย่างหนึ่งของชาวกระหร่างที่จะพกติดตัวไปออกป่าด้วยทุกคน เขาเรียกว่า” ตาละเว” ครับที่จริงมันก็คือปลาร้ากระหร่างนั่นแหละเพียงแต่เขาไม่ได้ใส่ข้าวคั่วอย่างของเรา เขาจะเอามาเคี่ยวไฟ ปรุงรสใส่พริกใส่มะนาว ห่อใส่ถุงมาจากบ้านเก็บไว้ได้นานไม่เสีย ใครมาล่องแพยางที่นี่ ถ้ามีลูกหาบเป็นชาวกระหร่างลองขอเขาชิมซิครับ จะรู้ว่ามันเผ็ดเพียงไหน ผมลองเอามันแตะๆปลายช้อนขึ้นป้ายลิ้นทีเดียวน้ำลายท่วมกินแทนน้ำได้หนึ่งอึกเลย ส่วนครูเนาตัดบ้องไผ่เสร็จยังเอาใบไผ่ มาจิ้มตาละเวกิน ได้อีก พอผมแปลงร่างเป็นหมีแพนด้าลองกินดูบ้าง ปรากฏว่าเผ็ดจนทนไม่ได้ น้ำก็ไม่มีกิน ต้องผิวปากทำเสียงซู๊ดซ้าดอยู่เป็นนาน แถมแสบท้องอีกต่างหากต้องเลิกล้มความพยายาม บนยอดงะงันเราถ่ายรูปเก็บเอาไว้กันคนละหลายรูปพร้อมกับนั่งวางแผนปรึกษาหารือกันสักพักถึงเส้นทางที่จะลงจากยอดเขา

คณะของเราประกอบด้วยคนสองวัยครับคือพวกหนุ่มแน่นแข็งแรง กับพวกเชิงและประสพการณ์สูง( หลีกเลี่ยงคำว่าแก่เต็มที่ ) พวกหนุ่ม ๆ เกิดอาการหงุดหงิดจากความเครียดในการเดินทาง หิวโหยและอ่อนล้า แสดงอาการออกมาเป็นระยะครับ แล้วเราก็ตกลงกันได้ว่าจะกลับออกทางห้วยเกาหลี แล้วล่องแพไม้ไผ่ลง เคยูแคมป์ แต่พอเราเริ่มลงจากเขาทางลงกลับไม่ง่ายอย่างที่คิดครับ เป็นทางชัน ๆ แคบ ๆ ต้องหันหลังไต่ลงเป็นบางช่วง เวลาที่กะกันไว้ว่าจะถึงทางราบก่อนค่ำจึงผิดพลาด ความมืดเริ่มเข้าปกคลุมอย่างรวดเร็ว บนทางที่ต้องไต่ปีน แคบจนบางครั้งต้องตะแคงตัวเดินและอีกด้านติดหน้าผา ในตอนกลางวันก็เดินยากอยู่แล้ว ยิ่งตอนมืดด้วยแล้วความลำบากจะเพิ่มเป็นหลายเท่า มือหนึ่งถือไฟฉายอีกมือหนึ่งก็ต้องคอยจับกิ่งไม้ เพื่อยึดตัวข้ามสิ่งกีดขวาง ถ้าพลาดก็อาจถึงชีวิตได้ จะหยุดพักก็ไม่มีที่เพียงพอที่จะล้มตัวนอนหรือผูกแปลได้เลย เราจึงต้องกัดฟันเดินต่อไป ตอนนี้ผมใจไม่ดีที่สุดครับ กลัวตกลงไปตาย เพื่อความชัวร์ผมเลยเปลี่ยนเป็นเกียร์ 4 WD แบบ 4 LOW ครับ ก็คลานสี่ขานั่นแหละครับปลอดภัยดีแม้ท่าจะไม่สวยก็ตาม ในการเดินทางในความมืดราว 2 ชม. เราก็พบกับที่ ๆ พอจะผูกแปลนอนกันได้กว้างราว ๆ 3 เมตรครับ ด้านหนึ่งติดหน้าผาชันมีต้นไม้ที่จะผูกแปลก็อยู่ด้านหน้าผา ใครตกแปลละก็ ได้ไปอยู่ก้นหุบแน่ ๆ แต่ความซวยยังไม่หมดครับ

ด้านเขาตรงที่เราพักเป็นช่องรับลมพอดี ลมหนาวสุดขั้วพัดอย่างแรงปะทะตัวเราไม่ขาดสาย ประกอบกับใบไม้แห้งที่เกลื่อนอยู่ทั้งภูเขา ทำให้เราก่อไฟไม่ได้ครับ เพราะจะเป็นการเสี่ยงในการเกิดไฟป่าขึ้นซึ่งความร้อนจะปะทะเขาสะท้อนมายังพวกเราอันหมายถึงความตายที่จะเกิดกับเราทุกคน หนีไม่ทันหรอกครับ ใครเคยเผชิญไฟป่ามาบ้างคงนึกภาพออก ผมเคยเห็นต้นไม้ที่อยู่ห่างจากแนวไฟเป็นร้อย ๆเมตรลุกติดไฟได้เพราะคลื่นความร้อนที่เกิดนั่นเอง เมื่อก่อไฟไม้ได้แหล่งที่จะให้ความอบอุ่นก็ไม่มี ลมก็แรงขนาดแปลแกว่งได้เองแถมเป็นลมหนาวเสียอีก ใครจะนอนหลับครับผุดลุกผุดนั่งกันทั้งคืน เหนื่อยหิวกระหายอย่างไรก็ต้องทนเอา ทรมานที่สุด ไม่รู้ใครร้องเพลงจากแปลยามดึกว่า “ ลมเอยเจ้าหอบรักมาใช่ไหม จงพัดกลับไป เพราะดวงฤทัยข้าไม่ต้องการ “ ร่างกายตอนนี้ก็ไม่ต้องการครับ


แล้วรุ่งเช้าที่รอคอยก็มาถึง เราจึงค่อยเดินได้อย่างสะดวกขึ้น ก่อนเที่ยงเราก็ถึงเชิงเขาครับเดินขึ้นเนินลงหุบนิดหน่อย มีอยู่หุบหนึ่งต้องผ่านซุ้ม ราว ๆ 3 วา แต่ทั้งบนพื้นและตามต้นไม้เต็มไปด้วยมัน ทากครับ ทากล้วนๆ จำนวนหลายร้อยชูคอกันสลอนไปหมด เหมือนพวกดูนักร้องแล้วชูมือกันสลอนนั่นแหละ ผมวิ่งเอาผ้าขาวม้าคลุมหัวยังติดผ้าและรองเท้ามากว่า 10 ท่าน พื้นหุบเป็นโป่งใหญ่ครับ รอยเท้าสัตว์เกลื่อนไปหมด มีรอย กวาง เก้ง กระจง หมาใน หมูป่า อะไรอีกก็ไม่รู้ไม่มีอารมณ์ดูละเอียดมาก หิวข้าวครับ ที่นี่ครูเนา เก็บใบผักหวาน กับปีนไปตัดยอดเต่าร้าง มาปอกกินจิ้มตาละเวกัน น้ำเราก็อาศัยตัดไผ่ไปเรื่อย มีบ้างไม่มีบ้าง เดินป่าเที่ยวนี้เกรงใจป่าเพราะรบกวนมากเป็นพิเศษ

ตอนเย็นเราก็หยุดแรมกันแต่หน่วยหาเสบียงผิดหวังครับไม่ได้อะไรเลย หิวต่อไป พอดีผมหันไปเจอเฟรินหน้าตาคล้าย เฟรินในกระถาง เราก็เลยเด็ดใบมันมาลองให้อาสาสมัครเคี้ยวแล้วอมไว้ในปากสัก 5 นาทีเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เราก็เด็ดกินกันจนเกลี้ยง สาธุ ขออย่าให้เป็นเฟรินพันธุ์หายากเลย เมนูต่าง ๆที่เรากินกันในช่วงนี้ได้แก่ บึ้ง ซึ่งเป็นแมลงมุมชนิดหนึ่ง เอามาเผาไฟกิน แมลงป่องช้างที่กำลังฮิต ตั๊กแตน พวกนี้เดินผ่านก็จับเอาบ้างตัวสองตัว พอประทัง เราเริ่มขาดสารอาหารกันแล้ว หนวดเคราที่งอกออกมาช่วงนี้เป็นสีแดงแห้งและกรอบ ผิวหนังก็เริ่มแห้งครับ ในตอนสายของวันต่อมาเราก็ถึงด่านที่แยกเป็นหลายทาง พวกหนุ่มกระหร่าง2 คน กับเจ้าหน้าที่อีกคน เป็นคนเดินเร็วและนำหน้าคณะอยู่เสมอ คงเกิดอาการหงุดหงิดไม่ได้หยุดรอพวกเรา พากันเดินเข้าด่านหายไปเครื่องหมายก็ไม่ยอมทำไว้ เราพยายามตามหา แต่ข้างหน้าด่านยังแยกออกเป็นหลายด่านกู่หาก็แล้วก็ไม่ได้รับเสียงตอบ ก็ต้องปล่อยเลยตามเลยไปเจอกันที่จุดหมายแล้วกัน อ้อ ไอ้แมคโครก็เดินตาม 3 คนนี้ไปด้วย มันชอบตามคนเดินนำเสมอครับ โธ่ แล้วคืนนี้ผมจะกอดใคร

ทุกย่างก้าวของผมในช่วงนี้คอยแต่เงี่ยหูฟังเสียงน้ำตลอด ผมเข้าใจลึกซึ้งได้ทันทีเลยว่าทำไมบรรพบุรุษของเราจึงพากันตั้งถิ่นฐานริมน้ำ อีกวันเต็มๆ ครับ เราก็มาถึงสายน้ำ ทุกคนทรุดลงนั่งริมน้ำอย่างอ่อนระโหยตักดื่มน้ำกินกันอย่างสมอยาก ผมอยากอาบน้ำครับ ชุดเล็กผมไม่ได้ซักมาหลายวันแล้วกลับหน้า Aหน้าB จนพลิกกลับเป็นหน้า A2 B2 ไม่เหลือแล้ว กลัวจะเขวี้ยงไปติดหน้าผาแกะไม่ออกจะตายอยู่แล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลาพักอยากเร่งเดินให้พ้นป่าเสียทีครับ แต่ถึงตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน สายน้ำที่เจอเข้าใจว่าเป็นห้วยเกาหลี เดินตามน้ำมาเรื่อย ๆ จึงรู้ เพราะเราเจอแคมป์เก่าเราครับ โธ่ ที่แท้ก็ตะแกลโพนั่นเอง เป็นอันว่าเราเดินอ้อมหลงเป็นวงกลมเสียเวลาไปเป็นวัน ๆ ครับ มีภูมิปัญญากระหร่างในการหาปลาจะเล่าให้ฟังโดยครูเนาจะตัดไม้ไผ่ทำคันเบ็ดแล้วเอาเชือกพลาสติกสีแดงลนไฟจนเป็นก้อนกลมๆ ติดไว้กับตัวเบ็ด โยนลงน้ำให้ก้อนพลาสติกสีแดงลอยไปตามน้ำลักษณะเหมือนลูกไม้ในป่า พอได้ผลครับมีปลาเวียนหลงกลขึ้นมาฮุบเหยื่อติดเบ็ดขึ้นมา วันละตัวสองตัวเราต้มกับผักหวานกินกันไม่เหลือก้างเลย อีกครึ่งวันต่อมาเราก็ออกสู่แยกวังน้ำเย็น สายน้ำเพชรบุรีครับ

ที่นี่เองที่เราตัดสินใจแยกกันเป็นสองคณะ ครูเนากับเจ้าหน้าที่ 2 คนจะถ่อแพกลับโป่งลึก ส่วนผม,พี่โก๊ะกับเจ้าหน้าที่อีกคนจะเดินผ่านซับชุมเห็ด กลับเคยูแคมป์ แล้วขึ้นหน่วยพะเนินทุ่ง ทั้งหมดนัดเจอกันที่โป่งลึก ขณะที่ครูเนาตัดไม้ทำแพและจักตอกอยู่นั้น คณะผมก็แยกจากมาพร้อมคำอวยพรและร่ำลาซึ่งกันและกัน

ตอนหน้าตอนจบครับ คณะผมบุกปล้นนักท่องเที่ยว ชะตากรรมของแต่ละคณะกับไอ้เแมคโครและ
สรุปการเดินทางสำหรับผู้สนใจ จะพิชิตยอด งะงัน 1500 อุปกรณ์ที่จำเป็น รวมถึงคำแนะนำต่าง ๆ ครับ


Create Date : 14 เมษายน 2552
Last Update : 21 เมษายน 2552 9:48:33 น. 3 comments
Counter : 382 Pageviews.

 
อ่านต่อตอนที่ 2 ครับ


โดย: kan (kanetp007 ) วันที่: 14 เมษายน 2552 เวลา:21:45:59 น.  

 
ตามมาติด ๆ


โดย: ตะกร้าเก็บฝัน IP: 115.31.137.10 วันที่: 14 กันยายน 2553 เวลา:16:09:06 น.  

 
น่าติดตามมากๆครับ ตามเลยดีกว่า


โดย: ปลาดุกยิ้ม IP: 203.158.239.252 วันที่: 14 ธันวาคม 2554 เวลา:18:51:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.