กันยายน 2552

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
กล่องไปรษณีย์สีแดง
กล่องไปรษณีสีแดง ของคุณ อภิชาติ เพชรลีลา ตอนทำเป็นหนัง ก้อ เพื่อนสนิทงัยค่ะ
นี่ก้อเป็นอีกเล่มที่ชอบ ไม่รู้จะอินอะรัยหนักหนา ไม่ได้เข้ากับหน้าตาเล้ย จริงๆหน้าตาเข้ากับซ่อมรถเครื่องยนต์อะรัยมากกว่า เพราะดูโหดๆหน่อย อ่านหลายรอบ อินกะหนังสืออยู่นั้นล่ะไม่รู้จะอินอะรัยหนักหนา เพ้อเจ้อมากมาย เรานิก้อ ตอนเป็นหนังไปดู 2 รอบ อะรัยจะขนาดนั้น อิอิ
เป็นเรื่องราว ของเพื่อนที่แอบรักเพื่อน (รูปภาพไปเอามาจาก Google) อ่านแล้ววางไม่ลง

(มีคอมเม้นจากคนเจียงฮาย ว่าอยากอ่านเรื่องย่อ ดัยเลยเจ้า อิอิ)

ที่เชียงใหม่ “ไข่ย้อย” คือ หนุ่มเมืองกรุงฯ จากโรงเรียนชายล้วนที่แสนขี้อาย เขาไม่กล้าคุยกับผู้หญิง พูดตะกุกตะกักทุกครั้งที่มีสาวๆ เข้ามาทัก เป็นเหตุให้ต้องคอยหลบเลี่ยงอยู่เสมอ จนกระทั่งหญิงสาวท่าทางสดใส กระฉับกระเฉงเกินมาตราฐานสาวเหนือทั่วไปเข้ามาสมัครเป็นเพื่อน เธอชื่อ “ดากานดา” ซึ่งสำหรับไข่ย้อย ช่างเป็นชื่อที่แปลก แต่มีเสน่ห์สมตัวเจ้าของเป็นที่สุด

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขยับเข้าใกล้มากที่สุดที่คำว่า เพื่อนสนิท เพราะดากานดามีคนที่เธอรักซึ่งไม่ใช่เขา ที่พะงัน “ไข่ย้อย” คือ อาร์ติสหนุ่มจากเชียงใหม่ ที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาเป็นคนไข้ถึงสถานีอนามัยแห่งเดียวบนเกาะ ไข่ย้อยพลัดตกจากดาดฟ้าเรือ ขาหักจากการพยายามขึ้นไปเล่นบทพระเอกมิวสิค ท่ามกลางคนแปลกถิ่นหน้าเข้ม พูดจาเร็วปรื๋อ ไข่ย้อยได้พยาบาลสาวตาโต ยิ้มเก่งเป็นคนคอยดูแล เธอชื่อ “นุ้ย” ซึ่งสำหรับไข่ย้อย รอยไมตรีที่เธอจ่ายให้เขาบ่อยกว่าจ่ายยา ทำให้เขาสมัครเป็นคนไข้ไม่มีกำหนดหายอย่างเต็มใจ

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขยับเข้าใกล้มากที่สุดที่คำว่า เพื่อนสนิท บางทีเธอคงรู้ว่า เขามีคนที่รัก ซึ่งไม่ใช่เธอ

ความรักของคนสามคน เกิดขึ้น สองสถานที่ สองเวลา ความรักของคนคู่ใดจะก้าวพ้นคำว่า เพื่อนสนิท ความรักของไข่ย้อย จะจบลงที่ไหน ภูเขา หรือ ทะเล


...มนต์ขลังใน "กล่องไปรษณีย์"
เฟอร์นิเจอร์เก่าแก่ข้างถนนชิ้นนี้ยังมีเสน่ห์สำหรับผู้คนอยู่เสมอ
ไม่ว่าเทคโนโลยีในการสื่อสารจะรุดหน้าไปไกลแค่ไหน

...ฉันเองคงเหมือนอีกหลายคนที่ได้อ่านพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มเล็กๆ ชื่อ "กล่องไปรษณีย์สีแดง"
ของ อภิชาติ เพชรลีลา แล้วหลงรัก "คุณไข่ย้อย" ตัวเอกในหนังสือเล่มนี้เข้าหมดใจ



...เป็นการตกหลุมรักเฉียบพลัน จึงมีอาการหัวปักหัวปำอยู่ยามนี้ ^ 0 ^





...ถ้าไข่ย้อยมีตัวตนจริง เขาอาจมีชื่อจริงว่า "บุญชู"
หรือไม่ก็เป็นญาติกันอยู่ก็ได้ ความเปิ่นเชยของไข่ย้อยสะอาดน่ารักอย่างนั้น



...ไข่ย้อยเหมือนเพื่อนคนใดคนหนึ่งของคุณสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เหมือนใครคนหนึ่งที่คุณรู้จัก อาจเหมือนเพื่อนรักคนซื่อ
คนที่คุณเห็นเขาแล้วอยากเขกหัว อยากกอด อยากถีบ อยากเตะก้น หรืออยากแกล้งเล่นให้ร้องไห้ด้วยความเอ็นดูรักใคร่อยู่ร่ำไป
ผู้เขียนสร้างความรู้สึกให้เราใกล้ชิดกับไข่ย้อยได้ขนาดนั้น



...ไข่ย้อยไม่ใช่นามจริง หากแต่เป็น "นามแดก (ดัน)" ที่ผองเพื่อนตั้งให้ จากวันที่ไข่ย้อยไปโชว์ลีลาการขโมยไข่ไก่ในโรงเลี้ยงไก่ของคณะเกษตรฯ แล้วบังเอิญทำไข่ไก่แตกในกระเป๋า



...ไข่ย้อยเรียนจบจากมหาวิทยาลัยตีนเขาทางภาคเหนือ ชอบเขียนบันทึก ชอบวาดรูป ชอบเพื่อนผู้หญิงร่วมคณะที่ชื่อ "ดากานดา" ทำให้ไข่ย้อยชอบเขียนจดหมายในลำดับต่อมา



...ถ้าคุณไม่เคยเห็นชายหนุ่มเรียกหญิงสาวที่ตนรักว่า "แก" มาก่อนล่ะก็ คุณต้องทำความรู้จักกับไข่ย้อยให้ได้เชียว



..."แก" เป็นสรรพนามที่น่าเสียวไส้ระหว่างชายหญิง หากแต่ไข่ย้อยเรียกหญิงสาว "ดากานดา" ของเขาว่า "แก" ได้หวานจับใจ



...เพราะรักสายลมแสงแดดมากกว่าใคร เมื่อไข่ย้อยนั่งเรือข้ามเกาะ จึงปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคาเรือเลยกระเด็นตกลงมาขาหัก ไข่ย้อยเล่าว่า




"หมอกลับมาโรงพยาบาลเกาะพงันก็เมื่อเย็นมากแล้ว ฉันได้ใส่เฝือกครั้งแรกในชีวิต ฉันอุตส่าห์เฝ้าทะนุถนอมชิ้นส่วนในร่างกายมาเป็นอย่างดี ไม่ให้มีส่วนหนึ่งส่วนใดต้องแตกหัก ยกเว้นหัวใจดวงน้อย ๆ ของฉันซึ่งหักแล้วก็หักอีก"





หัวใจอยู่ลึก ใครจะล้วงมือเข้าไปหักของใครได้ง่าย ๆ เว้นแต่ว่าเจ้าของหัวใจจะแหวะให้เข้าไปหักเอง ไข่ย้อยก็เช่นกัน - คงมีแต่ "ดากานดา" คนเดียวเท่านั้นที่เขาให้ทำ



...ดากานดาเป็นใคร เราคนอ่านไม่ได้รู้จักเธอมากนัก เพราะทั้งเรื่อง เราจะพบแต่ถ้อยคำของไข่ย้อยที่รำพึงรำพันความรักของเขาที่มีต่อดากานดามากกว่า เราไม่ค่อยรู้หรอกว่าดากานดาคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร






...แต่จากการปะติดปะต่อของฉันเอง ฉันรู้สึกว่า ดากานดาคงเป็นผู้หญิงทันสมัย เก๋ไก๋ น่ารัก เป็นสาวเชียงใหม่ที่งามละไมด้วยผิวพรรณรูปกายและงามในหยักสมองที่ผ่านการเจียระไนอย่างดีด้วยการศึกษาสมัยใหม่



... ดากานดาคงเป็นที่รักของใครต่อใคร เธอเองคงรักไข่ย้อยอยู่ไม่น้อย หากแต่เป็นรักแบบเพื่อนมากกว่า หรืออาจจะซาดิสม์น้อย ๆ ปนอยู่ด้วย



...ไข่ย้อยเล่าเรื่องสมัยที่เข้าเรียนปีแรกแล้วได้รู้จักกับดากานดาว่า สิ่งต่าง ๆ ในตอนนั้นดูแปลกหูแปลกตาไปหมด รวมทั้งดากานดา






"ตอนนั้นฉันไม่คุ้นกับภูเขาเลยจริง ๆ แม้กระทั่งไม้อย่างสัก ซึ่งออกดอกสีขาว ฉันก็แปลกตา บ้านที่ฉันอยู่ไม่มีภูเขา และต้นไม้ที่สง่างามอย่างต้นสัก ทุกตารางนิ้วถูกจับจองด้วยเส้นทางถนนและคอนกรีต ริมถนนมีต้นไม้ยืนเศร้า ฉันแทบไม่เคยมองไปยังขอบฟ้าด้วยซ้ำ แล้วฉันก็ได้พบแก ณ ที่ซึ่งความสุขของฉันได้ฝังอยู่ ขอโทษด้วย ฉันจำไม่ได้แล้วว่าพบแกที่ไหน รู้สึกว่าจะเป็นในห้องเชียร์คณะ"



...จดหมายบันทึกความรักความทรงจำของไข่ย้อยที่มีต่อดากานดาสาวคนรักของเขา ล้วนมีกลิ่นอาย มีจิตวิญญาณของท้องทะเล ท้องฟ้า หาดทราย ดอกไม้หรือภูเขาอยู่เต็มเปี่ยม



...เช่นจดหมายฉบับหนึ่ง เขียนจากกระท่อมบนหาดทรายนวล ไข่ย้อยเขียนถึงดากานดาว่า






"แกมันชอบว่าฉันเป็นพวกขี้ฝันโรแมนติก ดูเหมือนแกจะพูดพร้อมทั้งฉุดดึงฉันหลายครั้งให้ลงมาสัมผัสความจริงของผู้คนธรรมดา ฉันเพียงแต่มองลงไปหาแก...เชอะ ช่างคนธรรมดาเถอะ ช่างแก ดากานดา"



"แกกระแนะกระแหนฉัน ว่าอยากรู้จริง เวลานั่งอึ ฉันยังมีท่าเซอร์ ๆ อยู่หรือเปล่า จะนั่งทำตาหวานเชื่อมเลื่อนลอยแบบคนแฮงก์น้ำตาลเมาได้ตลอดกาลหรือเปล่า เมื่อเช้าฉันปลดทุกข์หนักอย่างโรแมนติกในห้องน้ำดงมะพร้าว ดูสิแก ในห้องน้ำยังมีร่องรอยจาริกของนักแสวงบุญโรแมนติก ฉันจะอ่านวรรณกรรมในส้วมให้แกฟัง ฟังสิแก...'ทรายนวลแสนจะนวลเหมือนปรางเจ้า เสียงคลื่นเย้าดั่งเสียงเจ้าเฝ้าขับขาน ฟ้าสวยใสเหมือนดวงใจเจ้าเบิกบาน ฝากจันทร์วานบอกดวงดาวว่าเฝ้าคอย' เฮ้อ...ได้อึอย่างนี้ โรแมนติกชะมัดเลย"






...ในชาติก่อน ไข่ย้อยอาจจะเคยเป็นกวีมาก่อนก็ได้ ในยามพลัดพรากห่างร้างจากคนรักและถิ่นฐานบ้านช่องไปไกล เมื่อเหยียบเยือนถึงแผ่นดินไหน จึงแลเห็นแต่ใบหน้าเธอจนต้องเขียนนิราศรักฝังฝากจารึกไว้ แต่ชาติก่อนไข่ย้อยของเราอาจจะทำบุญด้วยรองเท้าด้วย ชาตินี้จึงเกิดมากวนทีนขนาดร่ายนิราศรักได้หวานซึ้งแม้ยามนั่งขี้






...ไข่ย้อยเป็นคนเมือง แต่เป็นนักนิยมธรรมชาติโดยธรรมชาติชนิดซึมลึกถึงเนื้อถึงกระดูก ดูเว่อร์ไปบ้างบางที แต่น่ารัก โดยเฉพาะเมื่อไข่ย้อยจึงจดจำได้ดีว่า



"ตอนเรายังอยู่ปี 1 พอแกจำชื่อเพื่อนได้ทั้งชั้นปีแล้ว แกยังอยากรู้จักต้นไม้ที่ปลูกเป็นแนวอยู่ริมถนนหน้าคณะพวกนั้นด้วย ฉันข้ามไปคณะเกษตรฯ เพื่อถามอาจารย์ให้แก แล้วกลับมาบอกว่า ต้นที่มีดอกเป็นพวงระย้าสีม่วงนั้นชื่อชงโค ส่วนต้นที่มีดอกสีเหลืองเป็นจุดเล็กๆ เมื่อมองจากที่ไกล ๆ นั้นชื่อขี้เหล็กอเมริกัน"






"แทนที่จะดีใจ แกกลับถามฉันว่า ทำไมต้องขี้เหล็กอเมริกันด้วย แกว่าแกไม่ชอบอะไรที่เป็นอเมริกัน ฉันจะไปรู้หรือวะ (ฉันตอบ) แต่ก็ยังอุตส่าห์กลับไปถามอาจารย์อีก แล้วกลับมาบอกแกว่า ที่ต้องเป็นขี้เหล็กอเมริกัน เพราะมันโตเร็วกว่าขี้เหล็กไทย ดอกก็มีสีสดกว่าด้วย แต่คราวนี้แกทำหน้าเฉยเมย และไม่อยากรู้อีกแล้ว ตั้งแต่นั้นมา ฉันคิดเอาไว้ในใจว่า ถ้าแกเกิดสงสัยบ้าอะไรขึ้นมาอีก ถึงฉันรู้-ฉันก็ไม่บอกแกหรอก"






...ชาวอินเดียนแดงนับถือภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ ดุจพี่ชาย น้องสาวหรือพี่ป้าน้าอาของพวกเขา ส่วนไข่ย้อยนั้นเล่า ออกจะขี้โรแมนติกกว่าอินเดียนแดงหน่อย จึงนับถือธรรมชาติแสนงามเหล่านี้ดุจ "ดากานดา" คนรัก (ข้างเดียว) ของเขา ทุกครั้งที่ไข่ย้อยพูดถึงดากานดา จึงมีดอกไม้ ใบไม้ ใบหญ้า สายน้ำ ท้องฟ้า ทะเล ภูเขา ติดความทรงจำมาด้วยทุกครั้ง



...ด้วยเหตุนี้ ไข่ย้อยจึงจดจำได้ดีว่า






"ฉันบอกรักแกใต้ต้นชงโคหน้าตึกคณะของเรา ในเทอมสุดท้ายก่อนที่ต้องจากกัน อันที่จริง แกย่อมรู้ได้ตั้งแต่วันแรกที่แกกับฉันได้เจอกันที่นี่ ตั้งแต่วันนั้นดูเหมือนแกจะรอให้ฉันพูดอะไรออกมา ซึ่งฉันได้ใช้เวลาถึง 5 ปีเต็ม ก่อนจะบอกรักแกเมื่อวานนี้เอง หลังสอบตัวสุดท้าย และดูเหมือนว่าแกจะรอให้ฉันพูดว่ารักแก เพื่อที่แกจะทำท่าทางแสร้งว่าไม่เคยรู้มาก่อนเลย"






...ตรงนี้แหละ ที่ทำให้ฉันคิดว่าดากานดาอาจจะ "ซาดิสม์น้อย ๆ" ในตัวอยู่บ้าง และแน่นอน ไข่ย้อยก็อาจมีเชื้อ "มาโซคิสต์" อยู่ในตัวด้วยนิดหน่อย เพราะนึกรู้อยู่เหมือนกันว่าเธอแกล้ง แต่ก็ยังยอมบากหน้าบอกไปให้ตัวเองเจ็บอีก






...ในสายตาของดากานดา ไข่ย้อยคงจะเซ่อ เด๋อด๋า ไม่ทันสมัยทันใจเธอเท่าไหร่ โดยสังเกตได้จากครั้งหนึ่งที่ดากานดาอ้อนวอนให้ไข่ย้อยไปเป็นเพื่อนเข้าคอร์สเรียนกราฟิกคอมพิวเตอร์ด้วยกัน ทั้งที่รู้ว่า ไข่ย้อยชอบวาดรูปด้วยพู่กันมากกว่า






"แกบอกฉันอย่างเป็นเด็กว่า เมาส์มันก็เหมือนพู่กันนั่นแหละ โปรแกรมต่าง ๆ จะช่วยให้เราทำงานออกแบบได้ง่ายดายขึ้น ฉันเถียงแก แต่เถียงไม่ออกเลย เมื่อแกสำแดงอิทธิฤทธิ์ของมันให้ฉันเห็น แกออกแบบงานที่อาจารย์สั่งให้ทำด้วยการคลิกไปคลิกมา แล้วสั่งพริ้นต์มันออกมาภายใน 1 ชั่วโมง งานนี้ถ้าให้ฉันทำ อาจต้องใช้เวลากับมันถึงครึ่งคืน"





...ฉันรักไข่ย้อย แต่เข้าใจดากานดาพอสมควร โดยเฉพาะเมื่อไข่ย้อยสบถว่า




"โธ่เว้ย...ฉันขยะแขยงดิจิตอล ฉันเกลียดเวิลด์ ไวด์ เว็บ ดอต คอม ฉันอีเดียตกับคำกล่าวหาว่าจะกลายเป็นผู้ตกลงไปในเหวของศตวรรษเก่า แกมักคิดอะไรล่วงหน้าไปเสมอ แกเตรียมพร้อมเพื่อที่จะรองรับกับอนาคต แกลืมตากว้าง ขณะที่ฉันหลับละเมอเพ้อ แกคอยปลุกให้ฉันตื่นมาพบกับผู้คนและโลก ฉันเถียงแกไม่ได้สักคำ ไม่ว่าเรื่องอะไร แกถูกเสมอ"




...เพียงเท่านี้ คงพอทำให้เราเดา ๆ ได้ว่า ไยรักของไข่ย้อยกับดากานดาไม่สมหวัง



...แต่ความรักนี้ช่างแปลกดีไฉน รู้ทั้งรู้ ว่าไม่เหมาะกัน แต่ก็ยังหักห้ามความรักนั้นไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดรักก่อนหรือรักมากกว่า เช่น ไข่ย้อยรักดากานดา ถึงพลัดพรากจากเธอไปไกล แต่ในใจยังวนเวียนคิดถึงเธอไม่หยุดหย่อน ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนขาหัก








จดหมายไข่ย้อย *^*



...ด้วยเหตุนี้ เมื่อขาเดี้ยงต้องเข้าเฝือกติดเกาะอยู่หลายวัน ไข่ย้อยจึงยังเขียนจดหมายทุกวัน โดยเดินโขยกเขยกไปที่ทำการไปรษณีย์ซื้อซองจดหมาย 1 ซอง/แสตมป์ 1 ดวง แล้วเอาจดหมายที่พกมาจากบ้านใส่ซองจ่าถึง "ดากานดา" แล้วหย่อนลงในกล่องไปรษณีย์สีแดง - ทุกวัน




...นายไปรษณีย์คงขัดตา ที่เห็นไข่ย้อยขาเดี้ยงแล้วยังทำอะไรที่ไม่เจียมบอดี้อย่างนั้น จึงทักขึ้นในวันหนึ่งว่า ทำไมไม่ซื้อซองกับแสตมป์ไปทีละมาก ๆ จะได้ไม่ต้องเดินโปเกมาซื้อทุกวันอย่างนี้ ไข่ย้อยเล่าให้ดากานดาฟังในจดหมายทีหลังว่า




"ฉันไม่ได้ตอบเขาหรอก ฉันเพียงแต่ยิ้ม ก็คนมันว่างนี่นา ได้เดินมาที่นี่ทุก ๆ เช้า ทำทีว่ามีธุระให้ทำที่ไปรษณีย์ มันเป็นความสุขอย่างหนึ่งของฉันล่ะ เวลาที่หย่อนจดหมายลงกล่องไปรษณีย์สีแดง ฉันจะมีความสุขทุกครั้ง"




"ฉันจะนับวันและนับคืน และจะคิดว่า เอาล่ะ จดหมายของฉันจะเดินทางไกลถึง 1,500 กิโลเมตร จากเกาะพงันไปเชียงใหม่ ฉันนึกถึงการเดินทางอันยาวไกลของมัน มันต้องลงเรือข้ามอ่าวไทยขึ้นฝั่ง จากนั้นมันจะขึ้นรถไฟเข้ากรุงเทพฯ ต่อรถไฟอีกขบวนเพื่อไปเชียงใหม่ มันอาจจะไปพักอยู่ที่ทำการไปรษณีย์ที่ไหนสักแห่งในเมือง แล้วนายบุรุษไปรษณีย์หนุ่มผู้แข็งขัน ก็จะพามันไปถึงประตูบ้านของแกเลยทีเดียว แล้วมันจะบอกกับแกว่า 'สวัสดี...ดากานดา ฉันเดินทางมาถึงแล้วนะ' "




คืนไหนก็ไม่สวยเหมือนคืนนั้น *_*



"หลังจากที่ฉันบอกรักแกใต้ต้นชงโค ยามนี้ฉันอยากจะบอกแกว่า แต่นั้นมาสำหรับฉันแล้ว ดวงดาวค่ำคืนไหน ก็ไม่ส่องแสงสวยเหมือนค่ำคืนนั้นอีก ดวงจันทร์ค่ำคืนไหน ก็ไม่สว่างไสวเท่าคืนภูเขา กองไฟ กลิ่นน้ำมันสนอ่อน ๆ จากฟืนไม้เกี๊ยะ เพื่อน ๆ และเสียงเพลงของต้อยตีวิด แกร้องเพลงทั้งคืน เพื่อที่จะไม่ต้องพูดกับฉัน ครึ่งคืนพ้นไป แกกลับเข้าไปนอนในกระท่อม ปล่อยให้ฉันนั่งเติมฟืนจนเช้า คืนนั้นฉันไม่ได้นอนเลย..."










(เล่นเอานิ้วเมื่อยไปเลยนะเนี้ย)



Create Date : 19 กันยายน 2552
Last Update : 21 กันยายน 2552 12:14:11 น.
Counter : 816 Pageviews.

3 comments
  
ซะหวัดดีเจ๊าชอบอ่านหนังสือเหมือนกันเจ๊า แต่ว่าช่วงนี้บ่ไขมีเวลาเมายะก้าก๋าน เขียนเรื่องแบบย่อๆไว้หื้ออ่านก็ได้เจ๊า ขอบใจมาล่วงหน้าเจ๊า
โดย: คนเจียงราย2 วันที่: 19 กันยายน 2552 เวลา:14:40:53 น.
  
ชอบเล่มนี้เหมือนกัน หนังก็ชอบค่ะ
โดย: settembre วันที่: 19 กันยายน 2552 เวลา:17:10:35 น.
  
พิมเรื่องย่อให้แล้วนะเจ้า คนเจียงฮาย
โดย: เจ้าของบ้าน (นินจิน ) วันที่: 21 กันยายน 2552 เวลา:12:15:51 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นินจิน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]