Google

Narinph
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
 
มิถุนายน 2551
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
12 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Narinph's blog to your web]
Links
 

 

เมื่อพี่ชายผมเป็นมะเร็ง




เมื่อเอ่ยถึงมะเร็ง หลายคนรู้ว่าคือโรคร้ายที่เมื่อเป็นกับใครแล้ว เปรียบเหมือนการเริ่มนับถอยหลังของนาฬิกาชีวิตในชาตินี้ได้เลย แต่ใครที่ยังไม่เคยได้เฉียดใกล้โรคร้ายนี้ ก็คงไม่ได้นึกถึงความน่ากลัวของมันอย่างแท้จริง

ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวใหญ่มีพ่อแม่ และลูกๆอีก 8 คน ตัวผมเป็นน้องชายคนเล็กมีพี่ชาย3คน และพี่สาว4คน โดยที่บ้านประกอบอาชีพค้าส่งสินค้าเบ็ดเตล็ด ซึ่งลูกๆทุกคน ก็คือคนงานของกิจการในบ้านโดยมีคุณพ่อเป็นเถ้าแก่ ซึ่งฐานะการเงินของที่บ้านก็ไม่มีปัญหาอะไร ลูกๆทุกคนก็รักใคร่กันดี เพราะอยู่กันอย่างใกล้ชิดไม่มีใครนอกลู่นอกทาง

สมัยที่คุณพ่อยังหนุ่มๆท่านก็เป็นหนึ่งในจำนวนซินตึ๊งที่เดินทางจากแผ่นดินใหญ่ทางเรือ เพื่อเข้ามาทำงานและตั้งรกรากในประเทศไทย ซึ่งงานส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานที่ใช้กำลัง หาเช้ากินค่ำ และในยามว่าง บุหรี่ก็เป็นหนึ่งในสินค้ายอดนิยมที่ใช้ผ่อนคลายอารมณ์ตลอดจนการเข้าสังคม ผมจำได้ว่าตอนหนุ่มๆ คุณพ่อสูบบุหรี่จัดมาก เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีการรณรงค์ห้ามสูบบุหรี่ แต่กลับคิดว่าการสูบบุหรี่เป็นความโก้เก๋ทางสังคม ซึ่งจะเห็นทางภาพยนต์สมัยก่อนว่า ผู้ชายหรือกระทั่งผู้หญิงจะทำท่าโก้คาบบุหรี่ไว้ในปาก เหมือนสมัยนี้ที่จะโชว์มือถือหลากหลายรุ่น ลูกเล่นมากมายจนห่างไกลความเป็นโทรศัพท์ไปทุกที

เมื่อพี่ๆเริ่มโตขึ้นเป็นวัยรุ่น ก็เริ่มสูบบุหรี่กันแทบทุกคน ประกอบกับที่บ้านก็ขายบุหรี่เองด้วย จึงเปรียบเหมือนชูชกตกถังอาหาร สูบได้ไม่อั้น ไม่ว่าบุหรี่จะขึ้นราคาหรือขาดตลาด แต่พวกพี่ๆก็ไม่เดือดร้อนตามสถานะการณ์ ถ้ามองในแง่ดีก็คือมันทำให้ผมเหม็นควันบุหรี่ตั้งแต่เด็กและไม่สูบบุหรี่

เฮียกุ่ย คือลูกคนที่6 เป็นพี่ชายคนเล็กของผมเป็นคนตลก ชอบพูดคุย จึงเป็นคนที่มีเพื่อนฝูงมาก แกสูบบุหรี่ตั้งแต่ยังเรียนชั้นมัธยม พอจบชั้นม.3 ก็เลิกเรียนออกมาช่วยงานที่บ้าน ซึ่งเหตุผลจริงๆแล้วไม่ใช่เพราะต้องการแบ่งเบาภาระทางบ้าน แต่เป็นเพราะแกขี้เกียจเรียนและต้องการใช้ชีวิตอิสระมากกว่า ซึ่งเฮียกุ่ยเป็นพี่ชายที่ค่อนข้างสนิทกับผมมากเพราะวัยที่ใกล้เคียงกัน(ห่างกัน6ปี) ชอบเที่ยว เล่นเกมส์ ดูหนัง กินข้าว เหมือนกัน แต่เฮียกุ่ยจะมีกลุ่มเพื่อนของแกต่างหาก ซึ่งแกมักจะไปเล่นสนุกเกอร์ ในวันหยุดบางทีแกจะไปเล่นทั้งคืนจนเช้าจึงกลับมานอน เวลาทำงานบางครั้งจึงมักไม่ค่อยสดชื่นทำให้ชอบดื่มเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อให้กระชุ่มกระชวย สลับกับการสูบบุหรี่ ทำให้เห็นภาพของเฮียกุ่ยที่ชินตาในท่ามือขวาถือเครื่องดิ่มชูกำลัง และมือซ้ายคีบบุหรี่ หลายคนเตือนเฮียกุ่ยเรื่องการใช้ชีวิต แต่แกมักจะตอบสั้นๆว่า แกไม่กลัวตาย

เมื่อเฮียกุ่ยอายุได้30ปี แกเริ่มบ่นว่ามีอาการเจ็บที่ต้นคอด้านซ้าย และมีอาการบวมเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ไปหาหมอ เนื่องจากคิดว่าปวดเนื่องจากตกหมอน จนเวลาผ่านไปได้หลายเดือนก็ยังไม่ดีขึ้น จึงได้ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจรักษา ซึ่งหมอได้ทำการ Xray และสรุปว่า เฮียกุ่ยเป็นมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองซึ่งเป็นระยะเริ่มต้น....

คำตอบที่ได้เปรียบเหมือนคำตัดสินประหารชีวิตของเฮียกุ่ย เพราะคำว่ามะเร็งเป็นอะไรที่เราไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับสมาชิกของครอบครัวเราเช่นนี้ แต่จริงๆแล้ว มันอยู่ใกล้กับเรามากเพราะเราประมาทในการใช้ชีวิตนั่นเอง

ในขั้นแรก เราได้เริ่มเข้ารับการรักษาที่รพ.จุฬา โดยการรับเคมีบำบัดควบคู่กับการฉายรังสีในบริเวณที่เป็นมะเร็งซึ่งอยู่บริเวณโพรงจมูก ซึ่งทำให้เฮียกุ่ยมีอาการข้างเคียงคือต่อมน้ำลายไม่ทำงาน ทำให้มีปัญหาในการทานอาหารเนื่องจากในช่องปากและลำคอจะแห้งจนทำให้เคี้ยวและกลืนอาหารได้ลำบาก แต่เราทุกคนก็มีความหวังว่าต้องหาย

หลังผ่านการทำเคมีบำบัดและการฉายรังสีแล้ว ทุกๆ2เดือน แพทย์เจ้าของไข้จะนัดเจาะเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อว่ายังมีอยู่หรือไม่ โดยในการตรวจช่วงปีแรกแพทย์แจ้งว่าไม่มีการพบเชื้อมะเร็ง ซึ่งทำให้เราทุกคนมีความหวังว่าเฮียกุ่ยคงจะสามารถหายขาดจากมะเร็งได้ โดยในระหว่างนี้ตัวเฮียกุ่ยเองก็พยายามรักษาสุขภาพโดยการออกกำลังกายและหลีกเลี่ยงอาหารปิ้งย่างที่เคยชอบ เพราะกลัวว่าจะกลับไปเป็นมะเร็งอีกครั้ง

ในช่วงปีที่2 เฮียกุ่ยเริ่มมีอาหารเจ็บที่ด้านหลัง ซึ่งเริ่มเจ็บมากขึ้นโดยในตอนแรกก็คิดว่าอาจเจ็บเนื่องจากการทำงาน แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นมะเร็ง เพราะยังมีการตรวจเลือดทุกระยะ โดยที่ผลตรวจไม่พบเชื้อมะเร็งเช่นเดิม แต่เมื่อเฮียกุ่ยเริ่มมีอาการเจ็บมากขึ้นจนต้องอาศัยยาแก้ปวดและเริ่มมีอาการขาอ่อนแรง จึงได้ทำการขอเปลี่ยนแพทย์เจ้าของไข้คนใหม่ซึ่งได้ทำการตรวจพบมะเร็งที่กระดูกสันหลังบริเวณที่เจ็บและได้ลุกลามจนกดทับเส้นประสาทบริเวณกระดูกสันหลัง จนเป็นสาเหตุที่ทำให้ขาอ่อนแรงและมีอาการชา โดยในครั้งนี้แพทย์ได้แจ้งว่ามะเร็งได้ลุกลามไปที่ตับ คนไข้มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน4เดือน

คำตอบที่ได้ทำให้เราคิดว่า ทำไมการตรวจรักษาของแพทย์คนแรกจึงได้ขาดความสนใจต่อผู้ป่วยเท่าที่ควร ทั้งที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการบ่งบอกแต่แรก ซึ่งทำให้พี่สาวคนโตของเราซึ่งเปรียบเสมือนแม่คนที่สองของพวกน้องๆ ถึงกับไปต่อว่าแพทย์คนแรกถึงที่รพ.จุฬา ทั้งที่พี่สาวเราคนนี้โดยปกติจะเป็นคนที่ใจเย็นมาก เพราะสวดมนต์ทุกวัน แต่ว่าครั้งนี้มันเป็นอะไรที่ เกินไป.....

จากความผิดหวังของผลการรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบัน ทำให้เราตัดสินใจหันไปพึ่งการรักษาทางแพทย์แผนโบราณแทน เช่นยาหม้อสมุนไพร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเราก็จะไปหา จนเราได้ยินมาว่าที่วัดคำหยาด จ.อ่างทอง มีการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งโดยเฉพาะ ด้วยยาสมุนไพร ประกอบกับการฉีดยาปฏิชีวนะ โดยพระเจ้าอาวาสวัด ซึ่งมีอดีตเป็นแพทย์ทหาร (ตามที่ได้ยินพูดต่อๆกันมา) ซึ่งในการฉีดยาปฏิชีวนะนี้ เป็นขั้นตอนที่ทรมานมาก (จากคำบอกเล่าของเฮียกุ่ย) เนื่องจากเป็นการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อบริเวณสะโพก โดยคนไข้ที่พักที่วัดจะได้รับการฉีดยาทุกวันจนเนื้อบริเวณที่ฉีดยา มีอาการบวมและแข็งเป็นไต

ในตอนแรกก็โดยการเริ่มนำยาสมุนไพรของทางวัด มาต้มดื่มที่บ้านด้วยเตาถ่าน ซึ่งผมก็รับหน้าที่ต้มยาให้พี่ชาย จนสามารถติดเตาถ่านได้อย่างชำนาญ ซึ่งในช่วงแรกอาจเป็นเพราะอุปทานและกำลังใจที่ได้ยินจากคำบอกเล่าว่าทางวัดรักษาผู้ป่วยหายขาดไปหลายรายแล้ว ทำให้เฮียกุ่ยมีอาการดีขึ้น จนเราก็สบายใจขึ้นคิดว่ายานี้คงได้ผล แต่หลังจากนั้นไม่กี่อาทิตย์ ก็เริ่มมีอาการบวมและเจ็บตามตัวเหมือนเดิม เราคิดกันว่าอาจเป็นเพราะอยู่ห่างจากการดูแลของพระที่ทำการรักษา จึงสอบถามทางวัดว่าเราจะมาพักรักษาตัวที่วัดเลย เพราะที่วัดจะมีหัองพักที่เปิดให้ผู้มารักษาได้นอนรักษาตัว จึงเข้ารับการรักษาที่วัดตั้งแต่วันนั้นโดยไม่มีการเตรียมตัวมาก่อน ต้องหาซื้อเสื้อผ้าและเครื่องใช้ส่วนตัวที่ห้างแถวตัวเมืองจังหวัด ซึ่งมีผมอยู่เป็นเพื่อนที่วัดกับเฮียกุ่ย โดยมีหน้าที่คอยต้มยาและให้กำลังใจ เพราะทุกคืนเฮียกุ่ยจะมีอาการปวดอย่างรุนแรงเนื่องจากพิษของมะเร็ง จนบ่นอยากตายตลอดเวลา ซึ่งตัวผมต้องคอยปลอบและให้กำลังใจให้แกอดทนนึกถึงพ่อแม่ และความหวังว่าจะมีวิธีรักษาให้หายได้ ซึ่งลึกๆในใจแล้วมันเป็นความหวังที่มืดมนเหลือเกิน...

หลังจากเข้าพักได้ประมาณอาทิตย์กว่า พี่ๆก็อยากให้เฮียกุ่ยได้บวชเผื่อว่าผลบุญอาจทำให้เฮียกุ่ยอาการดีขึ้น และเป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ด้วย ซึ่งตัวเฮียกุ่ยก็ตกลงใจที่จะบวชประมาณ1เดือน โดยมีข้อแม้ว่า ให้ผมเป็นคู่บวชด้วย ดังนั้นงานบวชของเราทั้งคู่จึงถูกจัดขึ้นที่วัดคำหยาดนั่นเอง โดยมีญาติและเพื่อนสนิทจากกรุงเทพมาร่วมงานกันอย่างมากมาย

ในวันแรกๆหลังจากเข้าสู่เพศบรรพชิต ผมยังต้องตื่นแต่ตี4 เพื่อติดเตาต้มยาให้เฮียกุ่ย ก่อนที่จะทำวัตรเช้าและออกบิณทบาตร ซึ่งคิดดูแล้วไม่รู้ว่าเหมาะสมหรือเปล่า แต่ที่นี่ไม่มีเด็กวัดที่จะฝากให้ทำหน้าที่นี้แทนได้ จึงเป็นเหมือนบททดสอบชีวิตของเราอีกแบบหนึ่ง แต่ไม่นานเราก็ปรับตัวเข้ากับชีวิตแบบนี้ได้ บางครั้งก็รับนิมนต์ฉันเพลงานทำบุญบ้าน สวดงานศพ ตลอดจนสวดบังสกุล สวดสะเดาะเคราะห์ ในบางวันก็ช่วยงานให้ห้องปรุงยา

ภาพที่เห็นจนค่อนข้างชินตาคือ ผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาที่วัด ซึ่งส่วนใหญ่มักมีอาการหนัก โดยตอนเข้ามารักษาใช้รถมาส่ง แต่ตอนออกไปเอาโลงมารับ บางครั้งก็เป็นญาติของผู้ป่วยแต่งชุดดำ นำหม้อยามาคืนวัด ซึ่งผมก็ต้องคอยปลอบเฮียกุ่ยซึ่งนานวันเข้า ก็ยิ่งมีอาการทรุดหนักขึ้นทุกทีทั้งทางร่ายกายและจิตใจ เนื่องจากเริ่มไม่เชื่อว่ายาที่รักษาจะได้ผล และเพราะได้ยินแต่ความล้มเหลวของผลการรักษาในคนไข้รายอื่นๆ และเพราะต้องอยู่ห่างจากพ่อแม่พี่น้องทางบ้าน โดยจะมาเยี่ยมได้ในวันหยุดเท่านั้น (ในความเป็นจริงแล้ว กำลังใจของคนใกล้ชิดสำคัญที่สุดสำหรับผู้ป่วย) ดังนั้นหน้าที่หลักของผมคือการปลอบใจเฮียกุ่ยไม่ให้คิดฆ่าตัวตาย ซึ่งเฮียกุ่ยจะบ่นถึงทุกครั้ง เมื่ออาการเจ็บปวดกำเริบ จนเวลาผ่านไปได้2อาทิตย์ เฮียกุ่ยก็ขอสึกจากการเป็นพระและกลับบ้านก่อน เหลือแต่ผมที่บวชต่อจนครบเวลา ตามที่รับปากไว้ ก่อนจะกลับบ้านตามเฮียกุ่ย

เมื่อเฮียกุ่ยกลับมาอยู่บ้านเราก็ไม่ได้ต้มยากินอีกต่อไปเนื่องจากอาการของเฮียกุ่ยไม่ดีขึ้น และเริ่มทรุดหนักขึ้นเรื่อยๆ ตลอดจนมีอาการท้องบวม หายใจหอบ เหนื่อยง่าย เราจึงได้ส่งเฮียกุ่ยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง โดยในครั้งนี้จุดประสงค์คือบรรเทาอาการเจ็บปวดของเฮียกุ่ย และให้เฮียกุ่ยรู้สึกทรมานน้อยที่สุด ตลอดช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ ดังนั้นการรักษาจึงเป็นการให้ยาบรรเทาปวด ตลอดจนมอร์ฟีน และยานอนหลับ โดยทุกคืน ทุกคนในบ้านจะไปเยี่ยมเฮียกุ่ยจนเต็มห้องผู้ป่วย ซึ่งในช่วงนี้เฮียกุ่ยดูจะมีความสุขมากขึ้น ไม่บ่นอยากตายเหมือนก่อนหน้านี้

ในเช้าวันที่8 หลังจากเฮียกุ่ยเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล เฮียกุ่ยเริ่มมีอาการละเมอ และบ่นว่าตามองไม่ค่อยเห็น เป็นเหมือนสัญญาณว่าเวลาสุดท้ายใกล้จะมาถึงแล้ว ทุกคนในบ้านต่างรีบมาที่โรงพยาบาล พี่ๆบางคนเริ่มร้องไห้ ในขณะที่พี่สาวคนโตกระซิบที่ข้างหูบอกเฮียกุ่ยให้สวดมนต์และนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อหวังให้จิตของเฮียกุ่ยสงบและไม่กลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า ซึ่งเฮียกุ่ยก็ดูเหมือนจะสงบลงไม่มีอาการกระวนกระวายใดๆ

ในขณะนั้นลมหายใจของเฮียกุ่ยเริ่มเบาลง จังหวะการหายใจก็เริ่มแผ่วเบาและทอดยาวขึ้น จนในที่สุดก็หยุดนิ่งลง พร้อมกับเสียงสะอื้นของคนรอบข้างที่ดังขึ้นแทน .....




 

Create Date : 12 มิถุนายน 2551
18 comments
Last Update : 27 มิถุนายน 2553 10:23:16 น.
Counter : 2124 Pageviews.

 

เอาใจช่วยนะครับ

เรื่องร้ายๆ จะผ่านไป

มองในแง่ดี ก้อดีแล้วที่พบในระยะเริ่มต้นนะครับ ยังพอจะรักษาได้ทันเวลา

 

โดย: ปาจุมบ้า 12 มิถุนายน 2551 2:02:35 น.  

 

เราก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นโรคร้ายที่รักษาไม่หาย

แต่ก็อยู่ด้วยกำลังใจจากคนรอบข้าง คนรอบข้างสำคัญที่สุดค่ะ

เพราะคนรอบข้างทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น ไม่จมอยู่กับโรคที่เป็น

แล้วยิ่งเป็นระยะแรกด้วยแล้ว โอกาสในการรักษามันก็มีมากนะค่ะ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้อีกแรงนะค่ะ

ส่งกำลังใจให้พี่ชายคุณ ... จากคนแปลกหน้าค่ะ

 

โดย: ความเจ็บปวด 12 มิถุนายน 2551 2:43:12 น.  

 

ถ้าเป็นแค่ระยะเริ่มต้น ก็ยังมีทางรักษานะคะ

และที่สำคัญที่สุด คือกำลังใจค่ะ

ทั้งของคนไข้เองและคนรอบข้าง

อย่าคิดว่านี้เป็นการนับถอยหลังสำหรับชีวิตนะคะ

แต่ขอให้เป็นการเริ่มต้นสำหรับสิ่งดีที่จะทำร่วมกันในครอบครัว

การแสดงออกความรัก ความห่วงใย การเอาใจใส่

ที่ครอบครัวใหญ่อาจจะไม่ค่อยได้ทำ

หรือการทำอะไรก็ตามที่เป็นสิ่งดีต่อกันและกัน

มองวิกฤตให้เป็นโอกาสนะคะ

ขอพระเจ้าอวยพร

sunshine...

 

โดย: klint77 12 มิถุนายน 2551 7:58:37 น.  

 

ทราบมาว่า ทานผักผลไม้ที่มีสีสด จะช่วยชะลออาการได้ค่ะ เช่น มะเขือเทศ ฟักทอง เอามาปั่นทานเป็นน้ำผลไม้ 100% แบบนั้นน่ะค่ะ เพราะมีสารเบต้าเคโรตีน

ก็ลองดูนะคะ เพราะทานไปก็ไม่เสียหายอะไรค่ะ

 

โดย: iamsquid 12 มิถุนายน 2551 10:23:02 น.  

 

นับแต่นี้อยากให้พี่ชายของคุณรักษาตัวเองอย่างดี หยุดสิ่งชั่วร้ายทำร้ายชีวิต หยุดพฤติกรรมที่ทำให้ร่างกายเราต้องย่ำแย่ รักตัวเองและคนรอบข้างให้มากๆ
แล้วชีวิตของคุณอาจจะยืนยาวได้อีกเป็นสิบๆปีเลยค่ะ

 

โดย: มอลลี่ (Tukta21 ) 12 มิถุนายน 2551 12:46:58 น.  

 

ขอเป็นกำลังใจให้นะค่ะ
ขอให้ครอบครัวผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ไปด้วยดี
กำลังเป็นสิ่งสำคัญสำหรับโรคนี้นะค่ะ
คุณก็ต้องเข้มแข็ง เพื่อพี่ชายคุณด้วยนะ

 

โดย: บางส้มเปรี้ยว 12 มิถุนายน 2551 14:16:45 น.  

 

เป็นกำลังใจให้นะค่ะ
ขอให้ผ่านเหตุการณ์ไปได้ด้วยดีนะค่ะ

 

โดย: whitelady 12 มิถุนายน 2551 16:49:02 น.  

 

ขอเป็นกำลังใจให้พี่ชายคุณและครอบครัวด้วยนะค่ะ

 

โดย: แมวขี้อ้อน 12 มิถุนายน 2551 21:25:33 น.  

 

ขอบคุณทุกๆความหวังดี ขอบคุณมากครับ....

 

โดย: narinph (Narinph ) 15 มิถุนายน 2551 21:06:02 น.  

 

เอาใจช่วยนะครับ
โรคภัยไข้เจ็บบางครั้งมันก็ไม่รู้จะหลีกเลี่ยงยังไง
เพราะเป็นผลของอดีตที่สะสมมาถึงปัจจุบัน

 

โดย: REX-REX 25 มิถุนายน 2551 0:51:46 น.  

 

เป็นกำลังใจให้นะคะ และขอบคุณที่แวะเข้าไปเยี่ยมบล๊อก ได้อ่านแบบนี้แล้ว เห็นว่า bebek คงต้องหันกลับมามองตัวเองบ้างแล้วล่ะค่ะ ทุกวันนี้ไม่ค่อยจะใส่ใจกะสุขภาพตัวเองซักเท่าไหร่ ทานแต่อาหารไม่มีประโยชน์ เช่น น้ำอัดลม เลิกไม่ได้ซักที เฮ้อ...

 

โดย: bebek 30 มิถุนายน 2551 12:44:19 น.  

 

ขอเป็นกำลังใจให้คุณ narinph และครอบครัวนะค่ะ
อยากให้เมืองไทยและโลกนี้ ไม่มีบุหรี่และเหล้าจังเลย

 

โดย: susanjoan 12 สิงหาคม 2551 15:54:51 น.  

 

ขออนุญาติตอบเรื่องในบล็อกผมก่อนนะครับ

เดี๊ยวกลับมาอ่าน (อีกที)

สวัสดีครับ คุณ Narinph

คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับผม... คุณป้าภรรยาของคุณสุเทพได้บอกกับผมว่า ฝรั่งเค้าเบื่อครับ เลยย้ายกลับประเทศเค้า แต่ก่อนป้ามีตัวแทนจำหน่ายอยู่หลายคนซึ่งเป็นฝรั่งทั้งสิ้น

ดังนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ ฝรั่งเขารำคาญและรู้สึกไม่ปลอดภัยครับ เลยย้ายกลับบ้านดีกว่า... อันนี้เป็นคำบอกเล่าที่สามารถตรวจสอบได้เลยครับ

ฝรั่งที่อยู่เมืองไทยมานานเค้าก็พอจะรู้เรื่องของประเทศไทยบ้างครับ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ผมว่าที่เค้างอนและรำคาญจนเลิกหากินกับคนไทยเห็นจะเพราะว่า ไม่เข้าใจ ด้วยล่ะครับ

ไม่เข้าใจ ในเหตุผล และ ไม่เข้าใจ ในสิ่งที่เห็น

แต่อย่างไรก็ดี มันก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่ฝรั่งไม่อยากค้าขายอะไรกับเรา ลองสังเกตุข่าวเก่า ๆ สิครับ เวลาเกิดม็อบใหญ่ ๆ หนึ่งครั้ง จะมีการลงข่าวเกี่ยวกับ ความไม่แน่ใจในการลงทุนจากต่างชาติเสมอ

ขอบคุณครับผม

 

โดย: พยัคฆ์ร้ายแห่งคลองบางหลวง 13 สิงหาคม 2551 17:40:24 น.  

 

ขอเบอร์โทรที่วัดหน่อยค่ะ

 

โดย: -*- IP: 124.120.216.107 15 พฤศจิกายน 2551 18:24:25 น.  

 

ตอนนี้คุณพ่อเราก็เริ่มทานยาที่วัดคำหยาดได้ 5 วันแล้ว

ต้องให้กำลังใจกับผู้ป่วยให้สู้กับมัน แล้วอย่าท้อ

เกิดแก่เจ็บตาย เป็นเรื่องต้องเป็นอยู่แล้ว

แค่เราทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุด

วัดคำหยาด อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง

ผู้แนะนำการใช้ยา ที่เราติดต่ออยู่
ชื่อคุณด้วย 086-125-8156

 

โดย: UI IP: 203.155.159.7 12 ธันวาคม 2551 15:12:52 น.  

 

เท่าที่อ่าน คุณน้องชายที่เสียใจในการจากไปของพี่ชายก็ไม่ได้กล่าวร้ายหลวงพ่อหรือทางวัดอย่างไร แถมยังมีบางความเห็นขอเบอร์โทรและรายละเอียดเพิ่มเพื่อไปรักษาหลังจากได้อ่านแล้ว ลูกศิษย์ของหลวงพ่ออย่างด่าและสาปแช่งเขาเลย
ประมาณ ร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่ไปขอความเมตตาจากหลวงพ่อนั้น คือหมดความหวังจากหมอและโรงพยาบาลแล้ว จึงมาหาหลวงพ่อเป็นที่พึ่งสุดท้าย ถ้าหากจะต้องนำโลงมารับก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนะคะ

 

โดย: ผู้เคยพบความเมตตาจากหลวงพ่อ IP: 124.121.224.241 24 สิงหาคม 2552 16:16:52 น.  

 

สวัสดีครับทุกท่าน ต้องขออภัยที่ไม่ได้มาตอบข้อสงสัยในหลายๆความเห็น เนื่องจากความจำเป็นในการประกอบวิชาชีพ

ข้อเขียนของผมบางตอนบางประโยค อาจจะทำให้ผู้อ่านบางท่านเกิดความรู้สึกที่ไม่ดี แต่สิ่งที่ผมเขียนนี้ผมรับรองว่า เป็นการแสดงความเห็นจากประสบการณ์ที่ผมประสบมาโดยปราศจากอคติ และผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้นครับ เพราะภายหลังจากที่พี่ชายผมเสียชีวิต ผมยังได้จัดผ้าป่าถวายให้กับทางวัดและยังได้ไปกราบเจ้าอาวาสที่ทำการฉีดยารักษาพี่ชายผม

แต่ข้อเขียนของผมเป็นการให้ข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจได้ไตร่ตรองให้ถ่องแท้เสียก่อน ถึงผลได้และผลเสียที่จะมีต่อผู้ป่วย เพราะอย่างหนึ่งซึ่งต้องคำนึงถึงคือ สุขภาพทางกายและใจของผู้ป่วย ถ้าหากคุณต้องได้ยินเสียงร้องด้วยความทุกข์ทรมานของผุ้ป่วยเวลาอาการกำเริบ คุณคิดว่าการยื้อเวลาของการมีชีวิต คุ้มหรือไม่กับความเจ็บปวดที่ผู้ป่วยได้รับ

ผมไม่ได้ห้ามไม่ให้ใครไปรักษาที่วัดแห่งนี้ และยินดีที่มีผู้ป่วยบางท่านสามารถพ้นกรรมและความทรมานจากโรคร้ายนี้มาได้

ดังนั้นสำหรับผู้ที่คิดว่าผมเขียนเรื่องนี้ด้วยใจอันมีอคติ ก็ขออโหสิกรรมด้วยครับ...

 

โดย: Narinph 21 กุมภาพันธ์ 2553 20:12:54 น.  

 

เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์
มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย
แต่ไม่มีคนตาย
นี่คือพุทธศาสนาตามอภิธรรม
วิธีที่ไม่ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือมัจจุราชนั้น มีอยู่
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ

 

โดย: endophine IP: 60.50.161.28 10 มิถุนายน 2553 10:39:45 น.  

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.