|
|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เมื่อพี่ชายผมเป็นมะเร็ง
เมื่อเอ่ยถึงมะเร็ง หลายคนรู้ว่าคือโรคร้ายที่เมื่อเป็นกับใครแล้ว เปรียบเหมือนการเริ่มนับถอยหลังของนาฬิกาชีวิตในชาตินี้ได้เลย แต่ใครที่ยังไม่เคยได้เฉียดใกล้โรคร้ายนี้ ก็คงไม่ได้นึกถึงความน่ากลัวของมันอย่างแท้จริง
ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวใหญ่มีพ่อแม่ และลูกๆอีก 8 คน ตัวผมเป็นน้องชายคนเล็กมีพี่ชาย3คน และพี่สาว4คน โดยที่บ้านประกอบอาชีพค้าส่งสินค้าเบ็ดเตล็ด ซึ่งลูกๆทุกคน ก็คือคนงานของกิจการในบ้านโดยมีคุณพ่อเป็นเถ้าแก่ ซึ่งฐานะการเงินของที่บ้านก็ไม่มีปัญหาอะไร ลูกๆทุกคนก็รักใคร่กันดี เพราะอยู่กันอย่างใกล้ชิดไม่มีใครนอกลู่นอกทาง สมัยที่คุณพ่อยังหนุ่มๆท่านก็เป็นหนึ่งในจำนวนซินตึ๊งที่เดินทางจากแผ่นดินใหญ่ทางเรือ เพื่อเข้ามาทำงานและตั้งรกรากในประเทศไทย ซึ่งงานส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานที่ใช้กำลัง หาเช้ากินค่ำ และในยามว่าง บุหรี่ก็เป็นหนึ่งในสินค้ายอดนิยมที่ใช้ผ่อนคลายอารมณ์ตลอดจนการเข้าสังคม ผมจำได้ว่าตอนหนุ่มๆ คุณพ่อสูบบุหรี่จัดมาก เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีการรณรงค์ห้ามสูบบุหรี่ แต่กลับคิดว่าการสูบบุหรี่เป็นความโก้เก๋ทางสังคม ซึ่งจะเห็นทางภาพยนต์สมัยก่อนว่า ผู้ชายหรือกระทั่งผู้หญิงจะทำท่าโก้คาบบุหรี่ไว้ในปาก เหมือนสมัยนี้ที่จะโชว์มือถือหลากหลายรุ่น ลูกเล่นมากมายจนห่างไกลความเป็นโทรศัพท์ไปทุกที
เมื่อพี่ๆเริ่มโตขึ้นเป็นวัยรุ่น ก็เริ่มสูบบุหรี่กันแทบทุกคน ประกอบกับที่บ้านก็ขายบุหรี่เองด้วย จึงเปรียบเหมือนชูชกตกถังอาหาร สูบได้ไม่อั้น ไม่ว่าบุหรี่จะขึ้นราคาหรือขาดตลาด แต่พวกพี่ๆก็ไม่เดือดร้อนตามสถานะการณ์ ถ้ามองในแง่ดีก็คือมันทำให้ผมเหม็นควันบุหรี่ตั้งแต่เด็กและไม่สูบบุหรี่
เฮียกุ่ย คือลูกคนที่6 เป็นพี่ชายคนเล็กของผมเป็นคนตลก ชอบพูดคุย จึงเป็นคนที่มีเพื่อนฝูงมาก แกสูบบุหรี่ตั้งแต่ยังเรียนชั้นมัธยม พอจบชั้นม.3 ก็เลิกเรียนออกมาช่วยงานที่บ้าน ซึ่งเหตุผลจริงๆแล้วไม่ใช่เพราะต้องการแบ่งเบาภาระทางบ้าน แต่เป็นเพราะแกขี้เกียจเรียนและต้องการใช้ชีวิตอิสระมากกว่า ซึ่งเฮียกุ่ยเป็นพี่ชายที่ค่อนข้างสนิทกับผมมากเพราะวัยที่ใกล้เคียงกัน(ห่างกัน6ปี) ชอบเที่ยว เล่นเกมส์ ดูหนัง กินข้าว เหมือนกัน แต่เฮียกุ่ยจะมีกลุ่มเพื่อนของแกต่างหาก ซึ่งแกมักจะไปเล่นสนุกเกอร์ ในวันหยุดบางทีแกจะไปเล่นทั้งคืนจนเช้าจึงกลับมานอน เวลาทำงานบางครั้งจึงมักไม่ค่อยสดชื่นทำให้ชอบดื่มเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อให้กระชุ่มกระชวย สลับกับการสูบบุหรี่ ทำให้เห็นภาพของเฮียกุ่ยที่ชินตาในท่ามือขวาถือเครื่องดิ่มชูกำลัง และมือซ้ายคีบบุหรี่ หลายคนเตือนเฮียกุ่ยเรื่องการใช้ชีวิต แต่แกมักจะตอบสั้นๆว่า แกไม่กลัวตาย
เมื่อเฮียกุ่ยอายุได้30ปี แกเริ่มบ่นว่ามีอาการเจ็บที่ต้นคอด้านซ้าย และมีอาการบวมเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ไปหาหมอ เนื่องจากคิดว่าปวดเนื่องจากตกหมอน จนเวลาผ่านไปได้หลายเดือนก็ยังไม่ดีขึ้น จึงได้ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจรักษา ซึ่งหมอได้ทำการ Xray และสรุปว่า เฮียกุ่ยเป็นมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองซึ่งเป็นระยะเริ่มต้น....
คำตอบที่ได้เปรียบเหมือนคำตัดสินประหารชีวิตของเฮียกุ่ย เพราะคำว่ามะเร็งเป็นอะไรที่เราไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับสมาชิกของครอบครัวเราเช่นนี้ แต่จริงๆแล้ว มันอยู่ใกล้กับเรามากเพราะเราประมาทในการใช้ชีวิตนั่นเอง
ในขั้นแรก เราได้เริ่มเข้ารับการรักษาที่รพ.จุฬา โดยการรับเคมีบำบัดควบคู่กับการฉายรังสีในบริเวณที่เป็นมะเร็งซึ่งอยู่บริเวณโพรงจมูก ซึ่งทำให้เฮียกุ่ยมีอาการข้างเคียงคือต่อมน้ำลายไม่ทำงาน ทำให้มีปัญหาในการทานอาหารเนื่องจากในช่องปากและลำคอจะแห้งจนทำให้เคี้ยวและกลืนอาหารได้ลำบาก แต่เราทุกคนก็มีความหวังว่าต้องหาย
หลังผ่านการทำเคมีบำบัดและการฉายรังสีแล้ว ทุกๆ2เดือน แพทย์เจ้าของไข้จะนัดเจาะเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อว่ายังมีอยู่หรือไม่ โดยในการตรวจช่วงปีแรกแพทย์แจ้งว่าไม่มีการพบเชื้อมะเร็ง ซึ่งทำให้เราทุกคนมีความหวังว่าเฮียกุ่ยคงจะสามารถหายขาดจากมะเร็งได้ โดยในระหว่างนี้ตัวเฮียกุ่ยเองก็พยายามรักษาสุขภาพโดยการออกกำลังกายและหลีกเลี่ยงอาหารปิ้งย่างที่เคยชอบ เพราะกลัวว่าจะกลับไปเป็นมะเร็งอีกครั้ง
ในช่วงปีที่2 เฮียกุ่ยเริ่มมีอาหารเจ็บที่ด้านหลัง ซึ่งเริ่มเจ็บมากขึ้นโดยในตอนแรกก็คิดว่าอาจเจ็บเนื่องจากการทำงาน แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นมะเร็ง เพราะยังมีการตรวจเลือดทุกระยะ โดยที่ผลตรวจไม่พบเชื้อมะเร็งเช่นเดิม แต่เมื่อเฮียกุ่ยเริ่มมีอาการเจ็บมากขึ้นจนต้องอาศัยยาแก้ปวดและเริ่มมีอาการขาอ่อนแรง จึงได้ทำการขอเปลี่ยนแพทย์เจ้าของไข้คนใหม่ซึ่งได้ทำการตรวจพบมะเร็งที่กระดูกสันหลังบริเวณที่เจ็บและได้ลุกลามจนกดทับเส้นประสาทบริเวณกระดูกสันหลัง จนเป็นสาเหตุที่ทำให้ขาอ่อนแรงและมีอาการชา โดยในครั้งนี้แพทย์ได้แจ้งว่ามะเร็งได้ลุกลามไปที่ตับ คนไข้มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน4เดือน
คำตอบที่ได้ทำให้เราคิดว่า ทำไมการตรวจรักษาของแพทย์คนแรกจึงได้ขาดความสนใจต่อผู้ป่วยเท่าที่ควร ทั้งที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการบ่งบอกแต่แรก ซึ่งทำให้พี่สาวคนโตของเราซึ่งเปรียบเสมือนแม่คนที่สองของพวกน้องๆ ถึงกับไปต่อว่าแพทย์คนแรกถึงที่รพ.จุฬา ทั้งที่พี่สาวเราคนนี้โดยปกติจะเป็นคนที่ใจเย็นมาก เพราะสวดมนต์ทุกวัน แต่ว่าครั้งนี้มันเป็นอะไรที่ เกินไป.....
จากความผิดหวังของผลการรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบัน ทำให้เราตัดสินใจหันไปพึ่งการรักษาทางแพทย์แผนโบราณแทน เช่นยาหม้อสมุนไพร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเราก็จะไปหา จนเราได้ยินมาว่าที่วัดคำหยาด จ.อ่างทอง มีการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งโดยเฉพาะ ด้วยยาสมุนไพร ประกอบกับการฉีดยาปฏิชีวนะ โดยพระเจ้าอาวาสวัด ซึ่งมีอดีตเป็นแพทย์ทหาร (ตามที่ได้ยินพูดต่อๆกันมา) ซึ่งในการฉีดยาปฏิชีวนะนี้ เป็นขั้นตอนที่ทรมานมาก (จากคำบอกเล่าของเฮียกุ่ย) เนื่องจากเป็นการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อบริเวณสะโพก โดยคนไข้ที่พักที่วัดจะได้รับการฉีดยาทุกวันจนเนื้อบริเวณที่ฉีดยา มีอาการบวมและแข็งเป็นไต
ในตอนแรกก็โดยการเริ่มนำยาสมุนไพรของทางวัด มาต้มดื่มที่บ้านด้วยเตาถ่าน ซึ่งผมก็รับหน้าที่ต้มยาให้พี่ชาย จนสามารถติดเตาถ่านได้อย่างชำนาญ ซึ่งในช่วงแรกอาจเป็นเพราะอุปทานและกำลังใจที่ได้ยินจากคำบอกเล่าว่าทางวัดรักษาผู้ป่วยหายขาดไปหลายรายแล้ว ทำให้เฮียกุ่ยมีอาการดีขึ้น จนเราก็สบายใจขึ้นคิดว่ายานี้คงได้ผล แต่หลังจากนั้นไม่กี่อาทิตย์ ก็เริ่มมีอาการบวมและเจ็บตามตัวเหมือนเดิม เราคิดกันว่าอาจเป็นเพราะอยู่ห่างจากการดูแลของพระที่ทำการรักษา จึงสอบถามทางวัดว่าเราจะมาพักรักษาตัวที่วัดเลย เพราะที่วัดจะมีหัองพักที่เปิดให้ผู้มารักษาได้นอนรักษาตัว จึงเข้ารับการรักษาที่วัดตั้งแต่วันนั้นโดยไม่มีการเตรียมตัวมาก่อน ต้องหาซื้อเสื้อผ้าและเครื่องใช้ส่วนตัวที่ห้างแถวตัวเมืองจังหวัด ซึ่งมีผมอยู่เป็นเพื่อนที่วัดกับเฮียกุ่ย โดยมีหน้าที่คอยต้มยาและให้กำลังใจ เพราะทุกคืนเฮียกุ่ยจะมีอาการปวดอย่างรุนแรงเนื่องจากพิษของมะเร็ง จนบ่นอยากตายตลอดเวลา ซึ่งตัวผมต้องคอยปลอบและให้กำลังใจให้แกอดทนนึกถึงพ่อแม่ และความหวังว่าจะมีวิธีรักษาให้หายได้ ซึ่งลึกๆในใจแล้วมันเป็นความหวังที่มืดมนเหลือเกิน... หลังจากเข้าพักได้ประมาณอาทิตย์กว่า พี่ๆก็อยากให้เฮียกุ่ยได้บวชเผื่อว่าผลบุญอาจทำให้เฮียกุ่ยอาการดีขึ้น และเป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ด้วย ซึ่งตัวเฮียกุ่ยก็ตกลงใจที่จะบวชประมาณ1เดือน โดยมีข้อแม้ว่า ให้ผมเป็นคู่บวชด้วย ดังนั้นงานบวชของเราทั้งคู่จึงถูกจัดขึ้นที่วัดคำหยาดนั่นเอง โดยมีญาติและเพื่อนสนิทจากกรุงเทพมาร่วมงานกันอย่างมากมาย
ในวันแรกๆหลังจากเข้าสู่เพศบรรพชิต ผมยังต้องตื่นแต่ตี4 เพื่อติดเตาต้มยาให้เฮียกุ่ย ก่อนที่จะทำวัตรเช้าและออกบิณทบาตร ซึ่งคิดดูแล้วไม่รู้ว่าเหมาะสมหรือเปล่า แต่ที่นี่ไม่มีเด็กวัดที่จะฝากให้ทำหน้าที่นี้แทนได้ จึงเป็นเหมือนบททดสอบชีวิตของเราอีกแบบหนึ่ง แต่ไม่นานเราก็ปรับตัวเข้ากับชีวิตแบบนี้ได้ บางครั้งก็รับนิมนต์ฉันเพลงานทำบุญบ้าน สวดงานศพ ตลอดจนสวดบังสกุล สวดสะเดาะเคราะห์ ในบางวันก็ช่วยงานให้ห้องปรุงยา
ภาพที่เห็นจนค่อนข้างชินตาคือ ผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาที่วัด ซึ่งส่วนใหญ่มักมีอาการหนัก โดยตอนเข้ามารักษาใช้รถมาส่ง แต่ตอนออกไปเอาโลงมารับ บางครั้งก็เป็นญาติของผู้ป่วยแต่งชุดดำ นำหม้อยามาคืนวัด ซึ่งผมก็ต้องคอยปลอบเฮียกุ่ยซึ่งนานวันเข้า ก็ยิ่งมีอาการทรุดหนักขึ้นทุกทีทั้งทางร่ายกายและจิตใจ เนื่องจากเริ่มไม่เชื่อว่ายาที่รักษาจะได้ผล และเพราะได้ยินแต่ความล้มเหลวของผลการรักษาในคนไข้รายอื่นๆ และเพราะต้องอยู่ห่างจากพ่อแม่พี่น้องทางบ้าน โดยจะมาเยี่ยมได้ในวันหยุดเท่านั้น (ในความเป็นจริงแล้ว กำลังใจของคนใกล้ชิดสำคัญที่สุดสำหรับผู้ป่วย) ดังนั้นหน้าที่หลักของผมคือการปลอบใจเฮียกุ่ยไม่ให้คิดฆ่าตัวตาย ซึ่งเฮียกุ่ยจะบ่นถึงทุกครั้ง เมื่ออาการเจ็บปวดกำเริบ จนเวลาผ่านไปได้2อาทิตย์ เฮียกุ่ยก็ขอสึกจากการเป็นพระและกลับบ้านก่อน เหลือแต่ผมที่บวชต่อจนครบเวลา ตามที่รับปากไว้ ก่อนจะกลับบ้านตามเฮียกุ่ย
เมื่อเฮียกุ่ยกลับมาอยู่บ้านเราก็ไม่ได้ต้มยากินอีกต่อไปเนื่องจากอาการของเฮียกุ่ยไม่ดีขึ้น และเริ่มทรุดหนักขึ้นเรื่อยๆ ตลอดจนมีอาการท้องบวม หายใจหอบ เหนื่อยง่าย เราจึงได้ส่งเฮียกุ่ยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง โดยในครั้งนี้จุดประสงค์คือบรรเทาอาการเจ็บปวดของเฮียกุ่ย และให้เฮียกุ่ยรู้สึกทรมานน้อยที่สุด ตลอดช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ ดังนั้นการรักษาจึงเป็นการให้ยาบรรเทาปวด ตลอดจนมอร์ฟีน และยานอนหลับ โดยทุกคืน ทุกคนในบ้านจะไปเยี่ยมเฮียกุ่ยจนเต็มห้องผู้ป่วย ซึ่งในช่วงนี้เฮียกุ่ยดูจะมีความสุขมากขึ้น ไม่บ่นอยากตายเหมือนก่อนหน้านี้
ในเช้าวันที่8 หลังจากเฮียกุ่ยเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล เฮียกุ่ยเริ่มมีอาการละเมอ และบ่นว่าตามองไม่ค่อยเห็น เป็นเหมือนสัญญาณว่าเวลาสุดท้ายใกล้จะมาถึงแล้ว ทุกคนในบ้านต่างรีบมาที่โรงพยาบาล พี่ๆบางคนเริ่มร้องไห้ ในขณะที่พี่สาวคนโตกระซิบที่ข้างหูบอกเฮียกุ่ยให้สวดมนต์และนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อหวังให้จิตของเฮียกุ่ยสงบและไม่กลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า ซึ่งเฮียกุ่ยก็ดูเหมือนจะสงบลงไม่มีอาการกระวนกระวายใดๆ
ในขณะนั้นลมหายใจของเฮียกุ่ยเริ่มเบาลง จังหวะการหายใจก็เริ่มแผ่วเบาและทอดยาวขึ้น จนในที่สุดก็หยุดนิ่งลง พร้อมกับเสียงสะอื้นของคนรอบข้างที่ดังขึ้นแทน .....
Create Date : 12 มิถุนายน 2551 |
|
18 comments |
Last Update : 27 มิถุนายน 2553 10:23:16 น. |
Counter : 2124 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ปาจุมบ้า 12 มิถุนายน 2551 2:02:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: klint77 12 มิถุนายน 2551 7:58:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: iamsquid 12 มิถุนายน 2551 10:23:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: มอลลี่ (Tukta21 ) 12 มิถุนายน 2551 12:46:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: narinph (Narinph ) 15 มิถุนายน 2551 21:06:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: REX-REX 25 มิถุนายน 2551 0:51:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: bebek 30 มิถุนายน 2551 12:44:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: -*- IP: 124.120.216.107 15 พฤศจิกายน 2551 18:24:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: UI IP: 203.155.159.7 12 ธันวาคม 2551 15:12:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: ผู้เคยพบความเมตตาจากหลวงพ่อ IP: 124.121.224.241 24 สิงหาคม 2552 16:16:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: Narinph 21 กุมภาพันธ์ 2553 20:12:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: endophine IP: 60.50.161.28 10 มิถุนายน 2553 10:39:45 น. |
|
|
|
|
|
|
เรื่องร้ายๆ จะผ่านไป
มองในแง่ดี ก้อดีแล้วที่พบในระยะเริ่มต้นนะครับ ยังพอจะรักษาได้ทันเวลา