|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
สิบที่สุดของชีวิตในปี 51
เฮ้ออ ...นี่ตูตื่นมาทำไมฟะเนี่ย เพิ่งจะตีสี่กว่าๆ แทนที่จะนอนเยอะๆจะได้ไม่ไปง่วงตอนกลางวันซึ่งเป็นเวลาทำงาน (เป็นมาสองวันแล้ว ทั้งๆที่ช่วงนี้งานก็เข้าเยอะ)
ไม่ได้มาคิดถึงใคร เพราะไม่มีใครให้คิดถึง เลยตีความได้ว่าเพราะเมื่อคืนนอนเร็วและยังไม่ได้อาบน้ำ แถมทีวีและไฟรวมถึงโนตบุคนี่เปิดทิ้งไว้ ก็เลยตื่นมากระมัง
ตาสว่างเสียแล้วไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยคิดว่ามีไรอย่างนึงที่ยังไม่ได้ทำนี่หว่า
นั่นก็คือมานั่งนึกว่าปีนี้ทั้งปี ตูเจออะไรไปบ้างกับชีวิต อย่ากระนั้นเลย แม้จะยังไม่หมดปีแต่ก็คงไม่มีอะไรอีกแล้วมั้ง ...ถ้ามีก็จะเพิ่มเป็นสิบเอ็ดและสิบสองแล้วกัน
ขอเรียงตามเวลาที่เจอ ไม่ได้เรียงว่าอะไรที่เป็นที่สุดของที่สุด (ของแจ้) แต่อันไหนที่เป็นที่สุดของที่สุดของที่สุดของที่สุด ก็จะบอกไว้ในแต่ละอันแล้วกัน ซึ่งก็คงต่างกับปีก่อนที่เขียนเรียงลำดับตามความประทับใจมากหรือน้อย
เขียนเรื่อยๆ ถ้ามีอารมณ์ก็จะเอารูปมาลงเองแหละ เขียนแบบสบายๆไม่สร้างภาพอะไรมาก เพราะจะเขียนไว้อ่านเอง จึงไม่เน้นความสวยงาม
ปล.ถ้านึกเรื่องอื่นๆออกได้อีกก็จะกลายเป็นสิบเอ็ดสิบสองสิบสามสิบสี่ไปเรื่อยๆแล้วกัน
.........................
1. ชีวิตช่วงสุดท้ายในคูเวต
นี่คงเป็นประสบการณ์ที่มีค่าสุดในชีวิต แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่อยากจะลืมมากที่สุดเช่นกัน
ไม่ใช่ว่ามันจะแย่หรืออะไรหรอกนะ แต่มันไม่ใช่โลกในความเป็นจริงของเราหรอก ตัวตนของเราเองก็สูญเสียไปแทบจะหมดสิ้น ตัวเราเองกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้เมื่ออยู่ที่นั่น อันนี้เปรียบเทียบได้เลยกับชีวิตเมื่อกลับมาอยู่เมืองไทย และยิ่งเห็นเด่นชัดยิ่งเมื่อเทียบกับชีวิตปัจจุบัน ที่สลัดคราบเงาและรอยแผลที่เกิดจากการใช้ชีวิตที่คูเวตที่นั่น
แต่ก็ยอมรับว่าชีวิตช่วงสุดท้ายที่คูเวต เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่อยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอากาศที่เย็นจนถึงขั้นหนาว ความเป็นเพื่อนที่ดีของเรากับยัยปอย เรากับพวกคุณตั้ม เรื่องงานที่เริ่มจะเข้าที่เข้าทาง และชีวิตของตัวเองที่แท้จริงแล้ว เริ่มจะปรับตัวให้เข้ากับที่นั่นได้ทุกทีๆ เริ่มจะชินจะคุ้นกับอะไรหลายๆอย่างที่คูเวต
ซึ่งจริงๆถ้าหากมันไม่ถูกเบรคจากการที่เราต้องกลับมาพักร้อนที่เมืองไทยสองสัปดาห์ ไม่แน่อาจเป็นไปได้ว่าเราอาจจะอยู่ที่นั่นนานกว่านี้ก็เป็นได้
แต่ก็อีกนั่นแหละ กับโค้งสุดท้ายคือเมื่อเรากลับจากพักร้อนที่เมืองไทย สองสัปดาห์สุดท้ายที่นั่นก็เหมือนนรกดีๆนี่เอง
เราค้นพบความจริงว่าอั้ยคูเวตเนี่ย มันจะน่าอยู่หรือไม่น่าอยู่สำหรับเรามันก็ขึ้นอยู่กับผู้หญิงคนนึงเท่านั้นเอง เมื่อเขาทำตัวแย่ ที่นั่นมันก็ไม่น่าอยู่เสียแล้วสำหรับเรา
ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ตัวเขาคิดไปเองว่าจดหมายจากดากานดาคือตัวเขาเอง มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้สำหรับเรา ที่ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนที่ไปทำให้เขาคิดว่าดากานดาคือตัวเขา นั่นก็คงซวยเพราะจากคนที่เคยบอกเราบ่อยๆว่า "อย่าคิดอะไรไปเอง"
แต่ตัวเองกลับ"คิดอะไรไปเอง" แถมคิดไปโน่นจนไกลหลุดโลกไปเลย ...บ้าชิบหาย ตูยังไม่บอกเลยสักคำ
ดังนั้น... ลาทีคูเวต มึงทำลายชีวิตกูไปเยอะแล้วล่ะ พอกันที
...............
2. กลับมาพักร้อนที่เมืองไทย
เป็นการกลับมาพักร้อนที่รอคอยมานาน แต่ตอนที่ไปพักร้อนใหม่ๆคิดอยู่เสมอว่า จริงๆแล้วไม่อยากกลับมาเมืองไทยเท่าไหร่ เพราะเราน่าจะอยู่ที่คูเวตได้
แต่อย่างไรก็ดี อารมณ์ที่ได้กลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดอีกครั้งนั้น ต้องบอกว่าสุดยอดของสุดยอด
เมื่อวานผมนั่งฟังอาจานวีระ (ธีรภัทร) ในรายการคุยได้คุยดีตอนบ่ายสอง แกพูดสิ่งที่อยู่ในในผมอย่างนึงและผมอยากจะฝากบอกคนอื่นๆไปด้วย
แกบอกว่า "...ชีวิตนี้ แม้จะยากดีมีจนอย่างไร ก็จะขอไม่ไปอยู่หรือทำงานเมืองนอกเด็ดขาด เพราะเราเป็นคนไทย อยู่บ้านเราน่ะดีที่สุดแล้ว ให้เราลองคิดว่า ตอนอยู่เมืองไทยนั้น เราปฏิบัติหรือมอง คนพวกพม่าหรือเขมรอย่างไร เวลาเราไปอยู่ต่างประเทศ พวกฝรั่งหรือแขก ก็มองเราแบบนั้นไม่ต่างกัน" แถมขึ้นมาอีกหน่อย ก็พวกผู้หญิงไทยที่ไปอยู่ ตปท. ไม่เคยคิดบ้างหรือครับว่า พวก"มัน" คิดและมองผู้หญิงไทยอย่างไร
แม้ตัวเราจะไม่ใช่ แต่มาถามผมสิ ว่าฝรั่งหรือแขกน่ะ พอรู้ว่าผมเป็นผู้ชายไทย คำแรกที่มันจะถามผมน่ะ มันถามว่าอะไร
ใครอยากรู้ก็ถามมาแล้วกัน บางทีอะไรๆที่คิดๆกันว่าดีน่ะ จริงๆแล้วมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ อย่ามองโลกนี้ในแง่ดีกันเกินไปนัก
เฮ้ยหลุดมาเรื่องนี้ได้ไงเนี่ย พูดถึงพักร้อนอยู่นี่หว่า
ตอนที่กลับมาพักร้อน ความรู้สึกที่ได้เจอหน้าแม่ พี่สาว พี่เขย และหลานชายนั้น เป็นความรู้สึกตื้นตัน อย่างมากๆ ความรู้สึกว่าการอยู่เป็นครอบครัวนั้นมันอบอุ่นแค่ไหน
แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่สั้นมากๆ ดังนั้นจึงใช้เวลาหมดไปกับการท่องเที่ยว และพบปะผู้คน
ซึ่งหลายๆคนก็ไม่ได้ไปพบ เพราะเวลาไม่มี แต่ก็มีเรื่องประทับใจหลายๆอย่างในช่วงเวลาสิบสี่วันนั้น
ไม่ว่าการได้ไปไหว้พระกับครูนุชชี่ตอนสี่ทุ่มกว่าๆถึงเกือบเที่ยงคืน ตั้งแต่วันแรกที่เราเหยียบเมืองไทย ตัวเราก็แทบจะยังไม่ได้พักผ่อนเลย เหนื่อยมากๆ แต่ก็เป็นความเหนื่อยที่สนุก และประทับใจ เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นคนที่รอจะเจอหน้าตลอดหนึ่งปีที่ผ่านไป แม้ความรู้สึกจะเปลี่ยนไปก็เหอะ
แล้วเมื่อได้ออกเดินทางไปเที่ยว ก็เป็นการเที่ยวที่สนุก ไม่ว่าจะเป็นการไปภูเก็ต หรือสิมิลัน และพีพี ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกเบื่อไปกับทะเลได้เลยเหมือนกัน 555 โดยเฉพาะสิมิลันเนี่ย ไปมาสี่ครั้งแล้วมั้ง
หรือการกลับมาเจอญาติๆที่ระยอง และการได้กลับไปเดินอยู่ในระยอง ก็ทำให้เรารู้สึกว่า ชีวิตที่เมืองไทยนี้ แสนจะมีคุณค่ากับตัวเรามาก และไม่มีอะไรจะสวยงามเท่ากับเมืองไทยอีกแล้ว
แถมอีกนิด ก็คือก่อนจะกลับคูเวต เที่ยวบินที่ไปคูเวตเที่ยวสุดท้าย ก็เจอเรื่องดีๆบนเครื่องบินด้วย จนถึงทุกวันนี้ก็ยังหาแอร์คนนั้นไม่เจอ ต้องมานั่งเสียดายอยู่ทุกวันนี้ว่า "กูไม่น่าเลย ทำไมไม่ถามชื่อไม่ถามเบอร์ติดต่อ"
เพราะความรู้สึกเดียวแท้ๆเลยว่า ไม่อยากจะคิดนอกใจความรู้สึกของตัวเองเวลานั้น
ไม่น่าทำแมนเลย ขอๆเบอร์ไปก็คงจะดีไม่น้อย ...เฮ้อ
..................................
3. การใช้ชีวิตที่พญาไท
เมื่อกลับมาเมืองไทยในรูปแบบของการตัดขาดจากคูเวตอย่างถาวร ชีวิตช่วงนั้นเป็นเหมือนชีวิตของการพักผ่อนอีกครั้ง ซึ่งก็คงดีขึ้นอีกไม่น้อยถ้าหากจิตใจสามารถสบัดหลุดจากพันธนาการได้
ชีวิตที่ไปอยู่บ้านญาติที่พญาไท เป็นชีวิตที่สนุกเพราะอยู่กับอั้ยเจ้าเอิร์ท ยัยแนท และเจ้าไม้ เป็นช่วงชีวิตที่ทำให้เรารู้สึกว่าได้กลับไปใช้ชีวิตวัยรุ่นกะเขาบ้าง คงเป็นเพราะได้อยู่กับหลานๆซึ่งอยู่ในช่วงวัยรุ่นกระมัง 555
การได้ออกไปเดินเที่ยวเดินเล่นที่สยามเกือบจะทุกวัน ได้พบเจอผู้คน และได้ดูหนังเกือบจะทุกวันอีกแหละ เป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนอันเป็นสุขจริงๆ
ชีวิตตอนนั้น ตื่นมาก็ออกไปหาไรกิน กลับมาทำนู่นทำนี่ แล้วก็เตรียมตัวออกไปส่งเจ้าเอิธหรือยัยแนท แล้วก็เดินเที่ยวมองดูหญิงที่สยามหรือพาราก้อน
เย็นก็มาวิ่งออกกำลังกาย ก่อนจะไปซื้อข้าวที่ร้านน้องเมย์ทุกวันๆ เหตุผลก็แค่อยากเจอหน้าน้องเมย์เท่านั้นแหละ 555
จะเซ็งก็เรื่องที่มันว่างงานนี่แหละ ก็เป็นช่วงเวลาที่ว้าวุ่นใจเรื่องงานอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
กลับมามองจากจุดนี้ในช่วงเวลานั้นอีกครั้ง รู้สึกอย่างเดียวว่า กรูอยากกลับไปอยู่ในช่วงเวลานั้นอีกจังเลย เพราะตอนนี้ทำงานทุกวัน 555
ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาที่สบายมากๆ
........................
4.การไปเรียนติวเพื่อสอบเข้าป.โท ของจุฬาและไปเรียน 3D MAX9
5. ช่วงเวลาที่พันธมิตรฯชุมนุม และการที่เราไปมีส่วนร่วมด้วย
6. เอสบีเฟอร์นิเจอร์
7. เรื่องเล่าจากมหากาพย์มหาภารตะ
8. การปลดพันธนาการ จากชีวิตที่ถูกครอบงำจากคนที่คูเวต และการหยุดชีวิตของตัวเองเพื่อปลดพันธนาการนั้นๆ
สี่เรื่องนี้จั่วหัวไว้ก่อน ขี้เกียจเขียนแล้ว เมื่อย วันหลังมีอารมณ์จะมาเขียนใหม่
9. ภาพยนต์เรื่อง ONCE นี่คือหนังที่กลายเป็นหนังอันดับหนึ่งในดวงใจของผมไปแล้ว
หนังเล็กๆแต่สุดๆของความประทับใจเรื่องนี้ มีดีอะไร เด๋วจะมาร่ายให้ฟัง
ส่วน -10 ยังนึกไม่ออก ไว้นึกออกแล้วจะกลับมาเขียนอีกทีแล้วกัน
Create Date : 17 ธันวาคม 2551 |
|
6 comments |
Last Update : 17 ธันวาคม 2551 22:36:32 น. |
Counter : 434 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: d_regen 17 ธันวาคม 2551 7:59:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: นะโม (ทานะ ) 17 ธันวาคม 2551 12:21:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: นะโม (ทานะ ) 17 ธันวาคม 2551 12:22:38 น. |
|
|
|
| |
|
|
1) อยากรู้ค่ะว่าฝรั่งหรือแขก พอรู้ว่าคุณเป็นผู้ชายไทย คำแรกที่เค้าถามคุณคืออะไรคะ [ตอบหลังไมค์ก็ได้นะคะ]
2) จริงๆแล้ว พระพุทธองค์ทรงสอนว่า อย่าไปสนใจการติฉินนินทา ซึ่งมีมาตั้งแต่พุทธกาล ถึงปัจจุบันนี้ และจะยังคงมีอีกต่อไปในอนาคต
ใครจะว่าเรา คิดว่าเราเป็นอย่างไร ก็ช่างเค้า เราไม่ได้ไปขอข้าวเค้ากินนี่นา (ไม่ได้มองโลกแง่ดีอะไรนะคะ แต่อุเบกขา ดีกว่าค่ะ ... พวกฝรั่งไม่รู้จักเรา เราไม่รู้จักคุณ อยากนึก อยากว่า อะไรก็ช่าง)
3) ขอให้สอบเข้าเรียนที่จุฬาได้นะคะ