Museum siaM
Museum Siam พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติเราไปตะลอนทัวร์บางกอกมาเมื่อต้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมานี้เอง จากคำแนะนำของน้องที่เคยไปมาก่อนหน้านี้ ว่ามันมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะเลย...Discovery Museum "เป็นพิพิธภัณฑสถานแนวใหม่ในยุคแห่งการเรียนรู้ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการชมพิพิธภัณฑ์ เน้นกระตุกต่อมคิด จุดประกายความอยากรู้สู่การค้นพบความคิดใหม่ๆ ด้วยตนเองตลอดเวลาอย่างไม่รู้ตัว เพื่อการเรียนรู้อย่างไม่รู้จบ" ของเค้าดีจริง ๆ Confirmสุดสายรถเมล์ สาย 12การเดินทางสู่พิพิธภัณฑ์แห่งการเรียนรู้ มิวเซียมสยาม นั้นไม่ยากเลย สำหรับคนที่สะพายกระเป๋าขึ้นรถเมล์ ก็สามารถขึ้นรถได้ที่อนุเสาวรีย์ชัยฯ สาย 12 สุดสาย ฝั่งตรงข้ามก็จะพบกับ Museum Siam แล้ว ส่วนรถส่วนตัวอาจหาที่จอดยากซักหน่อย เพราะจะมีรถทัวร์ของเด็ก ๆ ที่คุณครูพามาทัศนศึกษาจอดอยู่ค่อนข้างเยอะ ถ้าจะให้ได้ feel ของการเที่ยวก็แนะนำให้นั่งรถเมล์ไปดีกว่า...บริเวณรอบนอกพิพิธภัณฑ์จะเป็นสนามหญ้าสีเขียวขจี มีประติมากรรม อยู่หน้าตัวตึกสีครีม เราโชคดีที่วันที่ไปช่วงสาย ๆ แสงสวย ฟ้าเปิด ถ่ายรูปออกมาแล้วสีตึก กับสีท้องฟ้า และสนามหญ้าก็เลยดูสีสันสวยงามอย่างที่เห็นอัตราค่าเข้าชมเข้าฟรี : เยาวชนไทยและต่างชาติอายุต่ำกว่า 15 ปีส่วนสูงต่ำกว่า 150 ซม.พระภิกษุสงฆ์ ผู้พิการ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปเสียค่าบริการ : นักเรียน นักศึกษา อายุ 15 ปีขึ้นไป 50 บาทผู้ใหญ่คนไทย 100 บาทผู้ใหญ่ชาวต่างชาติ 300 บาทหมู่คณะ 5 คนขึ้นไป : นักเรียน นักศึกษา 25 บาทผู้ใหญ่คนไทย 50 บาทผู้ใหญ่ชาวต่างชาติ 150 บาทส่วนเราใช้บัตรนักศึกษา คนเดียว ราคา 50 บาท ผ่านประตูสู่ความรู้ "ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อคร้าบพี่น้อง เรายังใช้บัตรนักศึกษาได้อยู่ เพราะเค้าไม่จำกัดว่า ป.ไหน เราก็สบายไป"ตึกเก่าเล่าเรื่องสารพัดเรื่องราวที่ภายในตึกหลังนี้ ที่จะค่อย ๆ บอกเล่าเรื่องราวของความเป็นไทยให้เราเรียนรู้ และซึมซับสิ่งที่คนรุ่นหลังค่อย ๆ สร้างไว้ให้เราไทยแท้จำลองภาพถ่าย สีสันสดใส เข้ากับยุคก่อนที่ทั้งผู้คน ร้านค้า บ้านเรือนจะมีสีสันอยู่ตลอดเวลา "ศาลาเฉลิมไทย" ดูแล้วก็ยังคิดถึง โรงภาพยนตร์เก่า ที่เราเองก็ไม่เคยได้เข้าไปดูของจริงซักที รุ่นพ่อแม่เราหล่ะถึงจะทัน เข้ามาในห้องนี้ ก็จะรู้ว่าโซนไทยแท้ก็คือห้องเล็ก ๆ ที่บอกเราเรื่องราวที่เป็นของไทยแท้แต่โบราณ"ไปรษณีย์ไทย i love u"โถงทางเดิน มีตู้ไปรษณีย์ใบจิ๋ว ๆ เรียงราย อยู่ในห้อง ประดับด้วยไฟสวย ๆ ของแสดงอื่น ๆ เช่น ระฆัง ปั๊มน้ำโบราณ และตู้ไปรษณีย์โบราณ ฯลฯโคมไฟลวดลายสวยงาม ตรงทางเดิน แสงสวย โคมสวย สีสวย ชิวมาก ๆลูกปัดโบราณ ก็เป็นส่วนหนึ่งซึ่งสะท้อนความเป็นมาของวิถีไทยโบราณ การพัฒนาความคิด การประดิษฐ์ประดอยของคนโบราณ (เก่งเนอะ) ตอนเราไปอ่ะ เสียดายที่มีข่าวลูกปัดหายซะก่อน ไม่งั้นคงได้ดูลูกปัดสวย ๆ อีกเยอะเลย แต่แค่ 2-3 ตู้ ที่โชว์อยู่ก็นับว่าดีพอแล้วนอกจากลูกปัด แล้วก็ยังมีตู้ผ้าไทยที่จัดวางไว้อย่างสวยงาม...Model จำลองวิถีไทย เรือพระราชพิธี เรือสำเภา และข้าวของต่าง ๆ กลางห้องเป็นเรือจำลองรูปแบบต่าง ๆ แขวนระโยงระยาง เรือสวยนะ แต่เสียดายเส้นเชือกมันเยอะไปนิดนึงถ่ายรูปออกมาแล้วเลยดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย แต่โมเดลจำลองสีขาว ก็สวยดีนะช่อง 4 บางขุนพรม เป็นฉากห้องประกาศข่าว และรายการทีวีสมัยโบราณ ใจจริงอ่ะอยากไปแอ๊คทำเป็นผู้ประกาศข่าวบ้างอ่ะ แต่ไปคนเดียวแล้วโซนห้องจัดแสดงก็ไม่อนุญาตให้เอาขาตั้งกล้องเข้าไปด้วย เลยได้แต่ถ่ายภาพฉากมาฝากเท่านี้เองทางเดินด้านริมระเบียงด้านนอก เชื่อมต่อไปยังส่วนจัดแสดงส่วนอื่นๆ ของพิพิธภัณฑ์ โล่ง โปร่ง สบาย...ขออีกแอ๊คกะรูปริมระเบียงนิทรรศการหมุนเวียน "ผ้าไทย"เราโชคดีตรงที่ช่วงวันที่เราไปมีนิทรรศการหมุนเวียน 2 นิทรรศการจัดพร้อมกันเลย คือนิทรรศการผ้าไทย และ นิทานหุ่นมือ "อาหรับราตรี"จากฝ้าย กลายมาเป็นเส้นด้าย และถูกถักทอเป็นผืนผ้าหลากสี ... ห้องนี้จะมีเรื่องราวให้เรียนรู้เพิ่มขึ้นอีกมากมายเกี่ยวกับผืนผ้าของไทย และภูมิปัญญาไทยแท้แต่โบราณ ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ด้วยที่อุตส่าห์สละเวลามาอธิบายและสอนเราทอผ้าโดยใช้กี่ ฟังไปดูไปและได้ลองทอผ้าด้วย จะรู้ว่ามันยากมากเลยนะ กว่าจะเอาด้ายแต่ละเส้นเข้ากี่ทอผ้า กว่าจะขึ้นลาย กว่าจะต่อด้ายแต่ละเส้น เห็นแล้วเหนื่อยแทนเลยอ่ะ คนโบราณเค้าเก่งกันจริง ๆ ผ้าที่โชว์อยู่ในตู้พวกเนี๊ยะอ่ะ เจ้าหน้าที่บอกว่า บางผืนหน่ะราคาเป็นแสนเลย เพราะความเก่า เข้าไปดูแล้วก็ขนลุกอ่ะ ยิ่งเห็นชุดทรงของสมเด็จพระราชินีที่ทรงพระราชทานมาให้อ่ะ สวยมาก ๆ เลย ใช้ดิ้นทองปักทั้งตัว โชว์อยู่ในตู้จัดแสดง เห็นของจริงแล้วจะอึ้ง ใครจะคิดว่าวันนึงจะได้ยืนดูชุดทรงของราชินีซึ่งท่านเคยใช้จริง ๆ ด้วยนี่แหล่ะ คุ้มจริง ๆ นะกับการมาเที่ยวครั้งนี้ เรียกว่าเป็นบุญตานิทาน อาหรับราตรีหุ่นมือที่ใช้ผู้เล่าเรื่องเพียงแค่ 2 คน แต่เชิดหุ่นมือ หลายๆ ตัวพร้อมพากย์เสียงด้วย ห้องโถงก็จัดแนวอาหรับ ผ้าม่าน ริบบิ้น โคมไฟ สีสวยดีฉากนึงในนิทาน อาหรับราตรี เด็ก ๆ สนุกกันใหญ่ คนเล่าใช้เสียง การแสดงอารมณ์ของหุ่น และซอดแทรกมุขตลกตลอดการเล่านิทานเลยกว่าจะออกจากพิพิธภัณฑ์ก็ปาเข้าไปเกือบสามโมงแล้ว แต่ก่อนออกก็ขอแวะถ่ายรูปกับหน้าตึกอีกซักรูปสองรูปน้อมิวเซียมสยาม เป็นแหล่งความรู้และสถานที่ท่องเที่ยวที่คนกรุงฯ ควรจะหาเวลาเพื่อลองไปศึกษาความเป็นมาของบรรพบุรุษของเรา หรือให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่ใกล้ๆ ตัวเราซักนิด แล้วเราอาจจะพบว่า จริง ๆ แล้วยังมีสิ่งสำคัญและน่าสนใจที่เราไม่เคยพบ หรืออาจเคยมองข้ามไปก็เป็นได้ออกจาก มิวเซียมสยาม ก็เดินเรื่อยมาตามถนนท้ายวัง เป้าหมายหลักจริง ๆ แล้วหน่ะอยากไปวัดพระแก้ว แต่มัวแต่เถลไถลอยู่ที่มิวเซียม เลยไปไม่ทันซะงั้นเราป้ายถนนท้ายวัง ถ่ายมาเพื่อให้รู้ว่าเราเดินผ่านถนนเส้นนี้จริง ๆ รถคันนี้ผ่านมาตอนเรากำลังเล็งจะถ่ายภาพรั้วข้างถนนพอดี ดูสภาพเด่ะ พี่แกจะรกไปไหนก็ไม่รู้อ่ะ เก็บให้เรียบร้อยหน่อยมันก็ไม่ดูรุงรังแบบที่เห็นแล้วอ่ะ แต่ก็ไม่รู้เนอะว่าพี่แกมีจุดประสงค์อะไรมั้ยที่ปล่อยให้มันรกรุงรังอยู่แบบนั้นอ่ะช่วงที่กำลังจะเดินไปศาลหลักเมืองฝนตกอยู่ซักพักนึงเลยหล่ะ ต้องหาที่หลบฝนกันจ้าหล่ะหวั่น ตัวเปียกไม่เท่าไหร่แต่กลัวกล้องพังนี่เด่ะเรื่องใหญ่กว่าจะได้เข้าศาลหลักเมืองก็ปาเข้าไปเกือบจะ 5 โมงหล่ะ เข้าไปไหว้ศาลหลักเมือง และไหว้พระซักพักนึงก็เดินออกมาข้างนอกแระภาพนี้ถ่ายตอนจะเดินหาป้ายรถเมล์กลับบ้านแล้วอ่ะ เมื่อยขามั่ก ๆ เดินทั้งวัน ทั้งกระเป๋ากล้อง ทั้งกระเป๋าถือ ทั้งขาตั้งกล้อง แบกเป็นบ้าหอบฝางอยู่คนเดียวเลยวันนั้นปิดท้ายที่ "ดอกไม้ริมทาง" ที่ตอนถ่ายก็ไม่คิดว่าจะสวย แต่เอามาลงคอมฯแล้วก็ดูดีเล็กน้อยถึงปานกลางอ่ะนะ แล้วก็จบทริปนี้ด้วยการเดิน ๆๆๆๆๆๆ ไปขึ้นรถถึงโน่น...หน้ากองสลาก เหนื่อยแต่สนุกจริง ๆ~THE END~
ได้อะไรกลับมาเหมือนกัน
อยากให้คนกรุงไปดูกันเยอะ ๆ
ทุกศุกร์สิ้นเดือน ยังมีงานหรือนิทรรศการให้ดูอยู่กันหรือเปล่า เมื่อครั้งนั้นได้ดูคอนเสิร์ตพี่จุ้ยด้วย