Bloggang.com : Mickeytae

Cork, Ireland

Cork, Republic of Ireland

เมืองแรกที่เราจะไปเที่ยวกันคือเมือง Cork (ภาษาไอริช: Corcaigh) เป็นเมืองเล็กๆที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของสาธารณรัฐไอร์แลนด์ รองจาก Dublin (แต่ก็เล็กอยู่ดี) ไม่นับรวม Belfast ของ Northern Ireland นะ

ตั้งอยู่บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไอร์แลนด์ ประชากรประมาณหนึ่งแสนเศษๆ

ตัวเมืองมีแม่น้ำไหลผ่านคือ River Lee

River Lee เป็นแม่น้ำสายใหญ่ๆ และก็แยกออกเป็น 2 สาย ตัวเมือง Cork จะอยู่ตรงเกาะกลางระหว่าง River Lee ทั้งสองสาย

หลังจากแยกออกมาซักพักก็จะรวมกันใหม่เป็นแม่น้ำสายใหญ่สายเดียว และก็ไหลออกสู่ทะเลทางทิศตะวันออก

หลังจากลงเครื่อง ผ่าน ตม.อีกรอบ ปั๊มเข้าเมือง รอรับกระเป๋า (เร็วมากๆ ผิดกับที่ Heathrow เมื่อวาน)

ออกมาขึ้นรถบัสสาย 226A จากสนามบิน Cork เข้าสู่ตัวเมือง

ซื้อตั๋วจากตู้ขายตั๋วตรงที่รอรถบัสก็ได้ หรือจะซื้อกับคนขับก็ได้ ตั๋วเที่ยวเดียวราคา 5.80 ยูโร

ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็ถึงตัวเมือง

วันนี้พัก Hostel ชื่อ Bru Bar & Hostel นอนห้องรวม (Dorm) ห้องพอใช้ได้ อยู่ชั้นบนสุด ข้อเสียคือไม่มีลิฟต์ ต้องยกกระเป๋าขึ้นบันได สัญญาณ Wi-Fi ขาดๆหายๆ ต้องลงมานั่งเล่นที่ห้อง Common

แต่ข้อดีคือ เงียบสงบ ไม่มีเสียงรบกวนจาก Bar เลย และก็ใกล้ตัวเมือง ใกล้สถานีรถไฟ(เพราะหลังจากเที่ยว Cork เสร็จจะเดินทางไป Galway ด้วยรถไฟ)

และก็ Bar ที่ Hostel นี้ สามารถใช้บัตรคีย์การ์ดแสดงเพื่อรับส่วนลดเครื่องดื่มได้ (ยกเว้นคืนวันศุกร์-เสาร์)

เพื่อนร่วมห้องเป็นฝรั่งหมดเลย ไม่พูดไม่จากัน รู้สึกว่าคนละวัย ดูหน้าตาแล้ว คนนึงอายุน่าจะ 40+

อีกคนนึงน่าจะไม่เกิน 20 มี Generation Gap

หิวแล้ว ออกจากถ้ำมาหาอาหารกิน

กินเสร็จไปนั่งที่ Bar แถวนั้นต่อ ร้านนี้ ดูจากคนที่มานั่งแล้ว อายุ 60+ คุยกันอย่างสนิทสนาม เป็นสมาคมผู้สูงอายุชัดๆ ข้อดีคือพวกลุงๆป้าๆไม่ค่อยเปิดเพลงเสียงดัง คุยกันอย่างเดียว บรรยากาศสบายๆ ไม่มีรูปเครื่องดื่มให้ดู เซ็นเซอร์

วันต่อๆมา ถึงได้เริ่มสำรวจเมืองนี้อย่างจริงจัง

อนุสาวรีย์ Father Matthew

เป็นนักบุญคนสำคัญในคริสตศตวรรษที่ 19

ที่รณรงค์ให้ชาวเมืองดื่มแอลกอฮอล์ลดลง (ชาวไอริชขี้เมามาก)

หลังจากชาวเมืองดื่มแอลกอฮอล์ลดลง ทำให้อัตราการเกิดอาชญากรรมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ห้าง Merchants Quay Shopping Centre

บรรยากาศในตัวเมือง

English Market

เป็นตลาดสด สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1788

สาเหตุที่ชื่อ English Market เพราะเป็นตลาดที่สร้างขึ้นสมัยที่อังกฤษปกครองไอร์แลนด์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบอังกฤษ

สมัยก่อนชาวไอริชนั้นพูดภาษาไอริช แต่ที่ตลาดแห่งนี้การค้าขายนั้นจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก

ของที่ขายก็ ผัก เนื้อสัตว์ ขนม เช่น มาการอง ไอศครีม ฯลฯ

ชั้นบนมีร้านอาหารชื่อ Farmgate Cafe มีทั้งโซน Self-service และก็โซนแบบมีบริกรคอย service

Traditional Irish Lamb Stew นั่งกินที่โซน Self-service นะ ประหยัด

ถ่ายบนสะพานข้ามแม่น้ำ Lee และฉากหลังคือโบสถ์ St.Fin Barre Cathedral

Elizabeth Fort

ป้อมปราการอายุ 400 กว่าปี ชื่อของป้อมตั้งตามพระนามของราชินี Elizabeth I ของอังกฤษ ใช้เป็นสถานที่ป้องกันเมือง

ค่ายทหาร สถานีตำรวจ

และครั้งหนึ่งเคยเป็นคุกขังนักโทษก่อนที่จะเนรเทศไปออสเตรเลีย

ปัจจุบันเหลือแต่สถานีตำรวจอย่างเดียว

ตู้ไปรษณีย์ฝังอยู่ที่กำแพงป้อม

St Fin Barre's Cathedral

เป็นโบสถ์ของนิกายโปรเตสแตนท์ (Church of Ireland) ซึ่งปกติไอร์แลนด์จะนับถือนิกายคาทอลิก

ที่นี่ห้ามปล่อยน้องหมาอึ๊เรี่ยราดนะ มิฉะนั้นจะโดนโทษปรับ 150 ยูโร (ประมาณ 6,000 บาท)

University College of Cork

ข้างในสวยดี

Cork Public Museum เข้าฟรี ตั้งอยู่ใน สวนสาธารณะ Fitzgerald Park

แสดงประวัติศาสตร์สำคัญตั้งแต่ยุคหินจนถึงยุคปัจจุบัน

ไฮไลท์ก็คงเป็นประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อเป็นเอกราชจากอังกฤษ

Roy Keane ภูมิลำเนามาจากเมืองนี้นะ

พิณ ตราประจำแผ่นดิน

สนามเด็กเล่นในสวนสาธารณะ

เดินข้ามสะพานแม่น้ำ Lee

Cork City Gaol (Museum คุก)

ค่าตั๋ว 8 ยูโร ข้างในมี Guide tour ฟรีเป็นรอบๆ

เป็นคุกขังนักโทษสมัยเมื่อ 200 กว่าปีก่อน ช่วงแรกๆเป็นที่ขังนักโทษทั่วไป สมัยก่อนนั้นไอร์แลนด์เป็นประเทศที่เศรษฐกิจไม่ดี

ประชาชนยากจน อดอยากมากๆ บางคนยอมติดคุก ซึ่งสภาพความเป็นอยู่ในคุกแย่น้อยกว่าอยู่ข้างนอก

แต่ช่วงปี ค.ศ.1922-1923 เป็นที่คุมขังนักโทษการเมือง

และเคยเป็นสถานีวิทยุช่วงนึง แต่ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์อย่างเดียว

ห้องผู้คุม