[ Home] [ Tech] [ จิปาถะ] [ Cactus] Manager Online News
Group Blog
 
 
มกราคม 2548
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
17 มกราคม 2548
 
All Blogs
 
ขอโทษที !! มือใหม่หัดเล่น(เครื่องเสียง)

วันนี้ไปขุดหาบทความอ่านในเวป //www.overclockzone.com
ก็ไปเจอของดีเข้า อ่านทีน้ำตาแทบร่วงเลย ก็เอามาอวดเพื่อนกันครับ

ขอโทษที !! มือใหม่หัดเล่น(เครื่องเสียง)

ก้าวแรกที่เข้าสู่การเล่น การฟัง การเข้ามายุ่ง วุ่น มั่วๆตั้วๆ อยู่กับเครื่องเสียงนั้น ต่างคนต่างมีที่มาต่างกัน แต่ตราบใดที่จุดมุ่งหมายของการเล่นเครื่องเสียงเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน ก็คิดไปได้เลยว่าเรามาจากจุดเริ่มต้นเดียวกัน และมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน และขณะนี้กำลังเดินบนทางเส้นเดียวกัน ย้อนกลับไปถึงที่มา หรือจุดชักนำให้มาสนใจเครื่องเสียง บางคนเพื่อนฝูงชักนำ บางคนชอบฟังเพลง แต่บ้างก็บอกสาเหตุไม่ได้ว่าทำไม ! แต่สิ่งที่มักเกิดกับนักเล่นเครื่องเสียงมือใหม่ที่อาจจะทำให้การเริ่มต้นของการมาเล่นเครื่องเสียงซึ่งเป็นก้าวแรก แต่กลับเป็นก้าวที่ล้มเอาดื้อ ๆ ที่ก้าวแรกก็ได้ ...ทำไมถึงพูดแบบนี้ ??

โดยส่วนใหญ่แล้วนักเล่นมือใหม่ จะมีการฟังเพลง ออกไปในแนวทางที่ผิดมากทีเดียว ที่พูดแบบนี้ไม่ได้จะบอกว่าตัวเองเก๋าหรือเก่งมาจากไหนหรอกครับ แต่เกินครึ่ง (เกินไปเยอะด้วย)ของมือใหม่การฟัง(เพลง)ที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าผิดนั้น ก็ผิดจริง ๆ ครับ ก็เล่นซะเวลาฟังเพลงพยายามทำยังไงก็ได้มันส์เข้าไว้ก่อน โดยไม่เอาหลักของความเป็นจริงของเครื่องดนตรีนั้น ๆ หรือ เสียงนั้น ๆ เป็นที่ตั้ง เปิดกันเสียงดังสามบ้านแปดบ้าน เสียงแหลมเจี๊ยวจ้าว บาดหู ฟังไม่รู้เรื่อง เสียงกลางที่ถูกกดลงจนไม่ได้ยิน หรือฟังไม่รู้เรื่องว่าตกลงเค้ารองเพลงอะไรกัน เนื้อหาว่ายังไง ไม่เข้าใจ !! ไหนจะเสียงทุ้ม(เบส)เป็นที่เต็มบ้าน กระจกบ้านสั่นแล้วสั่นอีก กรอบรูปร่วงกราว จานชาม สังกะสี อยู่ไม่สุข..................นี่หละครับคือเสียงที่เรียกว่า " เกินจริง " ซึ่งหลักของการฟังหรือเล่นเครื่องเสียงจริง ๆ แล้ว คือการทำให้เสียงที่เราได้รับฟังใกล้เคียงกับเสียงจริงมากที่สุด นั้นคือ Hi-Fi ( Highfidelity ) เมื่อรับรู้จุดหมายกันแล้วก็ให้เลี้ยวกลับมาในทางที่ถูกต้อง แล้วมาเดินทางไปในทางเส้นเดียวกัน

ลำโพงในฝันของฉัน....อันไหน ???

เมื่อรับรู้แล้วว่าตนเองต้องการ หรือ อยากจะได้สิ่งที่เรียกว่าใกล้เคียงเสียงจริง แล้วอะไรหละที่จะให้เสียงแบบนั้นได้ ? อย่างไร ? สิ่งที่เราต้องการมาสร้างและให้เสียงที่ใกล้เคียงเสียงจริงมากที่สุด " ลำโพง " (ในที่นี้จะหมายถึงลำโพงคอมพิวเตอร์+ภาคขยายเสียงในตัว)คือสิ่งที่สร้างฝันของเรา ๆ ท่าน ๆ ให้เป็นจริงได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย ! ทำไมอย่างนั้น ลำโพงดี ๆ ก็มีเยอะ แต่ลำโพงห่วย ๆ ก็มีมิใช่น้อยเช่นกัน แต่อย่างไหนหละที่เรียกว่าลำโพงที่ดี แล้วอย่างไหนไม่ดี แล้วจะเลือกยังไงให้ได้ของดี ๆ ......นั่นซิ เลือกยังไง ?

การหาลำโพงในฝันไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก อ่าน ๆ แล้วมันอาจจะขัดแย้งกันบ้างแต่ก็เป็นเรื่องจริงที่ต้องเจอแน่นอน การหาลำโพงซักตัวเพื่อมาฟัง เพื่อให้ได้เสียงที่ดี เสียงเข้าใกล้เสียงจริงนั้น ลำโพงนั้นต้องไม่สร้างความทุกข์ทรมานเมื่อฟังไปนาน ๆ และไม่สร้างความลำบากในให้ผู้ฟัง

ยังไง ?..............?

ลำโพงที่เมื่อฟังครั้งแรกแล้วให้เสียงสดใส ระยิบระยิบ ใสกิ๊ง เสียงทุ้มหนักแน่น(มาก) กระแทกตึกตัก อึกอัก แน่นไปทั้งหน้าอก หรือลากยาวจนอื้อไปหมด ลำโพงที่ให้เสียงในแนวนี้ฟังแรก ๆ อาจจะดูดีในความคิดของหลาย ๆ ท่าน จริงอยู่เสียงแบบนี้ฟังช่วงแรกบอกเลยว่าน่าฟังจริง เพราะเสียง(น้ำเสียง)ฟังดูแล้วราวกับว่าทำให้มีชิวิตชีวา แต่นั้น " ผิด " และไม่ผิดธรรมดาด้วย แต่ผิดเป็นอย่างยิ่ง เพราะอะไร ? เพราะว่าเสียงที่ได้ยินนั้นจะทำให้หูล้า เมื่อฟังเป็นระยะเวลานาน แล้วทำไมหูถึงล้าหละ ก็เพราะเสียงนั้นเป็นเสียงที่เกินจริง เกินจริงมากด้วย เอากันง่าย ๆ ฟังกันง่าย ๆ เลย เสียง ส . เสือ ปกติคนเราออกเสียงไม่ได้เป็นแบบที่ได้จากลำโพงบางตัว ที่พอมี ส.เสือ เมื่อไรเสียงที่ออกมาแหลมบาดหู ลึกไปถึงทรวงเลย การเลือกลำโพงคู่กายนั้น อาจจะหายากจริงๆอย่างที่เกริ่น ๆ เอาไว้ เพราะว่าลำโพงที่ดีนั้นฟังครั้งแรก เสียงจะดูไม่เด่น แห้ง ๆ เหมือนไม่ค่อยมีชีวิตชีวา (อันนี้หมายถึงลำโพงดี ไม่ใช่ของห่วย) แต่นั้นเหมือนลางบอกว่ากำลังจะเจอลำโพงคู่กายในอีกไม่นานนี้ ที่บอกแบบนี้เพราะลำโพงพวกนี้ให้เสียงไม่ผิดไปจากเสียงจริงไม่มาก ฟังดูตอนแรกลำโพงพวกนี้อาจจะไม่เพราะเท่าตัวก่อนหน้าที่เล่าให้ฟังไปแล้ว แต่ลำโพงแบบนี้แหละต่อให้ฟังไปนานๆก็ไม่ทำให้หูของเราล้า เมื่อย หรือ ปวดเศียรเวียนเกล้าคนฟัง การเลือกลำโพงขอให้เลือกเสียงกลาง ๆ ไว้ก่อน ไม่เด่นไปด้านใดด้านหนึ่ง หรือเสียงใดเสียงหนึ่ง(เดินทางสายกลาง) แต่ว่าทั้งนี้และทั้งนั้นแล้วการไปลองฟังต้องแน่ใจแล้วว่าลำโพงเปิดฟังมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ไม่ใช่เพิ่งแกะกล่องออกมา เพราะจะไม่สามารถบอกได้เสียงที่ได้ยินนั้นจะเป็นยังไงต่อไปในตอนต่อไป แต่เพียงเท่านี้ท่านก็สามารถตัดตัวเลือกที่จะมาทำให้ไขว้เขวตอนซื้อลำโพงได้มากโขแล้ว นี่คือการตัดตัวเลือกที่ไม่จำเป็นออกเท่านั้น !!!

มาถึงตรงนี้แล้ว ก็พอที่จะได้แนวทางในการเลือกลำโพงกันบ้าง แต่ที่บอกไปนั้นการเปรียบเทียบลำโพงต้องเป็นเกรดเดียวกัน ชนิดเดียวกัน หรือจะว่าไปง่ายๆก็เลือกในกลุ่มที่ราคาไล่เลี่ยกันไป ระบบเดียวกัน ไม่ใช่ว่าเอาลำโพงราคา 499 บาทไปเทียบเสียงกับราคา 3,000 บาทก็ไม่ใช่แนวทางที่ใช่ หรือจะเอา 2.1 ไปเทียบกับ 5.1 หรือ 6.1 ก็ไม่ใช่แนวทางอีกนั่นแหละ เอาเป็นว่าในช่วงราคาประมาณนึง จะให้เสียงประมาณนึง อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกราคาประมาณไหน แล้วมาเปรียบเทียบกันในช่วงราคาเดียวกัน จะช่วยให้การเลือกง่ายขึ้นประมาณนึงครับ.....

นักเล่นมือใหม่ + นักขายมือเก่า(และเก๋า)

หลังจากลองฟังลำโพงอยู่หลายตัว จนตัดตัวเลือกที่ไม่ใช่ออกไปได้แล้วก็มาควักกระเป๋าซื้อลำโพงที่คิดว่าใช่ แต่อย่าเพิ่ง.......ยังมีอะไรต้องรู้เกี่ยวกับการซื้อลำโพงอีกมากพอสมควรเหมือนกัน เพราะคนขายไม่ได้ซื่อไปซะทุกคน / ทุกร้าน แน่นอนว่าต้องการเล่นไม่ซื่อกับคนฟังอยู่บ้าง ......ไม่ซื่อยังไง ? ลองคิดง่าย ๆ ขนาดซื้อ cd-rw ตัวละไม่เกิน 2500 ยังเอาโน่น เอานี่ออก เพื่อตัดราคากันก็เห็นกันทั่วไป แล้วนับประสาอะไรกับลำโพง....ร้านบางร้านเล่นตุกติกได้เนียนมาก เดี๋ยวจะค่อย ๆ ไล่เล่ห์เหลี่ยมของร้านขายลำโพงให้ จะเริ่มแบบเบาะ ๆ ไล่ไปเรื่อย ๆ

เล่นไม่ซื่อที่แหล่งจ่าย อันนี้เห็นบ่อยและเกือบทุกร้าน ส่วนใหญ่ร้านขายลำโพงคอมฯ จะใช้เครื่อง vcd + mp3 บ้านหม้อเป็นแหล่งจ่ายสัญญาณ โดยผ่านสวิทช์เลือกลำโพงอีกที แต่รู้กันหรือปล่าวว่าเค้าไปเอา output ที่ไหนของเครื่องมาเข้าลำโพงให้เราฟังกัน โดยทั่วๆไปแล้วเครื่อง vcd บ้านหม้อจะมี output 3 ชุดด้วยกัน คือ แบบ rca / ช่องหูฟัง / ขั้วลำโพง ส่วนใหญ่ก็จะเอา output จาก ช่องหูฟังหลังตัวเครื่อง ซึ่งอยากจะบอกว่าช่องนี้ก็เป็นสัญญาญชุดเดียวกันกับ ขั้วลำโพงหลังเครื่อง นั่นก็หมายความว่าผ่านการขยายมาแล้ว แค่เพียงใช้ตัวต้านทานลดขนาดของสัญญาณเท่านั้น แล้วไง ? ก็สัญญาณเหล่านี้ไม่บริสุทธิ์พอ นั้นก็คือผ่านการปรับอีควอไลเซอร์มาเรียบร้อยแล้ว จะบูตกันเท่าไร ปรับกันยังไงก็ไม่มีใครรู้นี่ เพราะไม่มีอะไรบอกได้ หน้าปัดก็ไม่แสดงอะไรทั้งนั้น ......เป็นอย่างงี้ !!!

เล่นไม่ซื่อที่แหล่งจ่าย + เล่นไม่ซื่อที่ตัวลำโพง เท่านั้นยังไม่พอหากฟัง ๆ แล้วเสียงฟังดูดีเป็นพิเศษ อย่าลืม ไปก้ม ๆ เงย ๆ หน้า และ หลังลำโพง ทำไม ? เพราะร้านส่วนใหญ่ ถ้าหากเป็นลำโพง 2.1 ขึ้นไป ซึ่งจะมีตู้ซับ ตัวนี้แหละหากไม่มองกันให้ดี ๆ ก็จะดูเหมือนกับว่า เออ....เบสดีนะ ลึก แน่น แต่ถ้าสังเกตดี ๆ ก็จะพบว่าโวลุ่มของลำโพงซับอยู่ที่ MAX !!!!! อย่างนี้เอง เแหล่งจ่ายก็ปรับมาแล้ว ลำโพงปรับอีก บางร้านไม่เฉพาะตู้ซับ อะไรปรับได้พี่แกปรับเกลี้ยง ปรับกันสุด มิดโวลุ่ม แต่ที่ไม่น่าให้อภัยเป็นอย่างยิ่งคือ เปิดลำโพงตัวอื่นคลอไปด้วย อันนี้ร้ายมาก ๆ จากประสบการณ์ตรง ลำโพงราคาประมาณ 1000 บาทต้น ๆ แต่คุณเอ้ย เสียงเบสอลังการล้านแปด แน่นลึก เกินตัว เลยไปก้ม ๆ เงย ๆ อยู่พักนึง เอามืออัง ๆ ลำโพง(ซับ) ตัวอื่น ๆ .....เฮ้ย !! ทำไมลมออก ?? คุณเอ้ย .... ที่เสียงเบสได้ขนาดนั้น ก็เล่นเปิดซับของลำโพงตัวอื่นคลอกันไปประมาณ 3 ตัว นี่ไม่นับตัวที่ฟังอยู่ !!! และเปิดโดยไม่ได้เปิดตัว sat ด้วย......ร้ายกาจมากๆ

เล่นไม่ซื่อที่แหล่งจ่าย + เล่นไม่ซื่อที่ตัวลำโพง + เพลงที่เปิด เมื่อครบ 3 อย่างนี้แล้วถ้ารู้ว่าร้านไหนทำแบบนี้ก็ห่าง ๆ ไว้จะดีกว่า เคยสังเกตกันมั๊ยว่าทำไมร้านขายลำโพงถึงชอบกันจังเลยกับเพลงแนว dance ก็เพราะเพลงแนวนี้เสียงที่ให้เกินจริงอยู่แล้ว จริง ๆ จะว่าเกินจริงก็ไม่ถูกนักเพราะถ้าไม่ไปปรับอะไรมัน มันก็อยู่ในระดับธรรมดา(สายกลาง) แต่เมื่อครบ 3 อย่างเหมือนหัวข้อก็ไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมร้านลำโพงนั้นจึงกระหึ่ม ฟังแล้วดูมีชีวิตชีวามาก เลยดึงเอาคนที่เดินผ่านไปมาให้สนใจได้ไม่ยาก และอีกอย่างที่จะพบได้น้อยมากคือร้านขายลำโพงที่จะเปิดเพลงบรรเลง หรือ แนวฟังสบาย (easy listening) ....หายากมากๆ !!!

แล้วจะทำยังไงดี..??

จะเห็นได้ว่าหากเรา ๆ ท่าน ๆ ไม่มีความรู้ไม่รู้ทันเกมส์ของนักขาย ก็เสร็จเค้าแน่ ๆ และหนทางที่จะหลบหลีกขั้นตอนตามที่กล่าวมาแล้วก็เห็นมีวิธีนี้ที่พอจะทำได้ไม่ยากและสะดวกที่สุด คือ เอาแหล่งสัญญาณไปเอง ที่บอกนี่ไม่ได้ให้ยกพวกเทปใบ้ หรือ ซีดีใบ้ไปร้านขายลำโพงหรอกนะครับ ในที่นี้จะหมายถึงพวก walkman หรือ discman อะไรประมาณนี้ เพราะอย่างน้อย ๆ เราก็เชื่อได้ว่าสัญญาณไม่ได้มาจากแหล่งอื่นได้ นอกจากของที่เราเอาไปเอง และอีกอย่างนึงคือเพลงที่จะลองก็ขอให้เอาไปเอง เพราะอย่าง ๆ น้อย ๆ ก็เป็นเพลงที่เราคุ้นอยู่แล้ว จับจุดได้แล้วว่าเพลงนี้เป็นยัง และมันก็เป็นแนวที่เราชอบฟัง มาถึงตรงนี้ก็ลดการเอาเปรียบของคนขายมาได้มากพอสมควรแล้ว ต่อมาก็ลองฟังกันว่าจะเลือกลำโพงตัวไหนกลับบ้านดี .....

ก็ให้เอาอุปกรณ์ที่เอามาเป็นตัวช่วยในการเลือกซื้อต่อเข้าโดยตรงกับลำโพงตัวนั้นเลย อย่าเอาไปต่อจากจุดเดิมที่ร้านเคยต่อไว้(เพราะเราจะไม่รู้เลยว่าเค้าจะโกงอะไรเราอีก) แล้วก็ไปปรับลำโพงให้โวลุ่มทุกอย่างอยู่ที่ 12 นาฬิกา ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อความเป็นกลางของเสียงที่ออกมาจากลำโพงตัวนั้น ๆ จริง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ลำโพง 2.1 ชุดหนึ่งจะประกอบด้วย sat 2 และ sub 1 ก็ให้ปรับ Sub Level ไปที่ 12 นาฬิกา ถ้ามีพวกทุ้มแหลม ก็ให้ปรับไปที่ 12 นาฬิกาเช่นกัน และถ้าลำโพงตัวไหนมีตัวปรับ surround ก็ขอให้ปิดครับ แล้วที่แหล่งจ่ายที่เรานำมาให้ปรับ EQ ในตัวเครื่องไปที่ normal หรือ ปิดไปเลยถ้าปิดได้ โวลุ่มปรับไปที่ 1/2 ของค่า max แล้วก็นำไปต่อกับลำโพงที่ละชุดที่เราต้องการฟัง (ถึงตรงนี้ไม่ต้องไปเกรงใจคนขายหรอกครับ เพราะเป็นสิทธิ์ของเราที่มีสิทธิ์ฟังก่อนที่จะจ่ายเงิน) ให้ลองฟังลำโพงแต่ชุดประมาณ 3 เพลง หรือมากกว่าถ้าทำได้ ภายใน 3 เพลงของการลองฟัง หากเกิดอาการอึดอัด ก็บอกลาลำโพงตัวนั้นไปได้เลย และให้ลองฟังจนกว่าจะเจอลำโพงที่ทำให้เราเป็นสุขที่สุด เหนื่อยน้อยที่สุด และนั้นคือลำโพงที่คุณจะเอากลับมาฟัง

ฝาก : เลือกซื้อลำโพงอย่าดูแต่เพียงกำลังขับอย่างเดียว ถ้าจะดูกำลังขับeffective(RMS) และอย่าพิจารณาจากองศาของโวลุ่ม ถ้าคิดว่าลำโพงตัวที่บิดโวลุ่มนิดเดียวแต่เสียงดังมากกว่าลำโพงตัวอื่นจะให้เสียงที่ดีกว่าแล้ว คิดผิด !!

เฮ้ย !....นาย ไหนหละตัวตนของนาย burn in

และลำโพงที่เราจ่ายเงินไปก็เป็นลำโพงอีกตัวที่ไม่ได้ผ่านการเปิดฟังมาก่อน หรือยังไม่ burn - in นั่นเอง หลายคนยังไม่ทราบหรือยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับคำว่า burn in ทำไมต้อง burn in ..................นี่อาจจะเป็นคำถามของหลายๆคน มีหลายคนที่ซื้อมาลำโพงมาวันแรกแล้วโวยวายเป็นหมีกินผึ้ง ว่าทำไมลำโพงเสียงไม่ดีเลย เสียงไม่เห็นเหมือนกับตอนลองฟังที่ร้าน บางคนหาว่าร้านหลอกขายลำโพงห่วยก็มี จริงๆแล้วคือลำโพงยังไม่ได้รับการ burn in ....การ burn in คือการทำให้ลำโพงเข้าที่ก่อนที่จะใช้งานจริง เหมือนกับรถยนต์ป้ายแดงที่ซื้อมาใหม่ๆก็ต้องวิ่งไม่เกินความเร็วเท่านั้นเท่านี้ ต้องถ่ายน้ำมันเครื่องที่เท่านี้กิโลเมตร ลำโพงก็เช่นกันแต่ไม่ยุ่งยากมากมาย การ burn in ลำโพงทำโดยการเปิดลำโพงไว้ที่ระดับการฟังปกติ เพลงอะไรก็ได้ โดยนับระยะการเวลาให้ครบ 100 - 150 ชั่วโมงแล้วแต่ลำโพง หรือลำโพงบางตัวอาจจะต้อง burn in นานกว่านี้ และไม่จำเป็นว่าการ burn in ต้องเปิดต่อเนื่อง 100 ชั่วโมง ก็เปิดไปเรื่อย ๆ แล้วบวกไปจนครบ 100 ชั่วโมง เช่นเปิดฟังวันละ 5 ชั่วโมงก็ทำอย่างงี้ 20 วัน หรือวันนี้ 6 ชั่งโมง พรุ่งนี้ 2 ชั่วโมง แล้วบวกกันไปเรื่อยจบครบ 100 ชั่วโมง ก็จะให้ความกระด้าง เสียงที่บาดหู หายไปเรื่อย ๆ ตลอดระยะเวลา burn in จนเข้าสู่จุดสมดุล เท่านี้ก็คือตัวตนที่แท้จริงของลำโพงตัวนั้น ๆ

แนะนำเพื่อนเก่า....เข้าใจเพื่อนใหม่ set up

หลังจาก burn in เรียบร้อยแล้วก็ต้องจัดการเรื่องเสียงให้เข้ากันระหว่างลำโพง กับ soundcard หัวข้อตรงนี้อาจไม่มีผลมากกับ soundcard แบบไม่ on board แต่ก็ไม่ทั้งหมด เท่าที่ลองยังมี soundcard บางตัวมีผลพอสมควร เช่น X - Wave 7000 ซึ่งบนตัวการ์ดเป็นของ C - Media หรือง่าย ๆ ก็คือ chip ที่เป็น sound on board หรือว่ากันง่ายๆ คือ soundcard ที่ใช้ chip ตัวเดียวกันกับ sound on board ต้องปรับแต่ง ..... แล้วทำไม sound on board ถึงต้องปรับแต่ง ????? ....ก็เพราะผู้ผลิตเมนบอร์ดแต่ละรายใช้อุปกรณ์และเกรดในการผลิตเมนบอร์ดต่าง ๆ กันไป แล้วแต่ต้นทุน กลุ่มลูกค้าและอื่น ๆ ถ้ายังไม่หายสงสัยจะยกตัวอย่างอย่างนี้ละกันครับ เช่น เมนบอร์ดที่ใช้ chipset ตัวเดียวกันแต่ต่างยี่ห้อ หรือยี่ห้อเดียวกันแต่ต่างรุ่น แต่ทำไมเมื่อ benchmark คะแนนออกมาไม่เท่ากัน !!!! ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับเกรดของอุปกรณ์ การออกแบบ และการ benchmark ...พอจะมองเห็นภาพกันหรือเปล่าว่าขนาด hardware ยังมีผลจากการออกแบบ และ เกรดของอุปกรณ์ และเรื่อง sound on board จะไม่มีผลเชียวหรือ ...!! จริงอยู่ว่าหาใช้ ic ประมวลผลด้านเสียงตัวเดียวกัน เสียงที่ได้จากเมนบอร์ดแต่ละยี่ห้อย่อมต่างกันแน่ ขึ้นอยู่ว่าจะฟังกันออกหรือเปล่า แล้วอะไรคือจุดอ่อนของ sound on board หละ ??? หากว่ากันจริง ๆ แล้ว sound on board รุ่นมาตฐานทั่วไป(AC97) ให้เสียงที่ขาดๆหายๆในหลายช่วงความถี่ อย่างที่ชัดเจนที่สุดคือช่วง midbass ถึง bass เสียงในช่วงนี้เหมือนจะถูกลดทอนลง ฟังและเหมือนเบสขาดช่วง บางเพลงเบสบาง บางเพลงเล่นเอาลำโพงแตกพร่า ( กรณีที่ไม่ขึ้นกับคุณภาพการอัดเสียง )และอีกช่วงคือปลายเสียง ความใสของเสียงที่ได้ไม่พริ้ว ฟังดูตัน ๆ เหมือนกับไปไม่สุด ซึ่งช่วงที่ขาดหายไปนี้จะทำให้ความสุขในการฟัง ขาดหายไปพอสมควร(เป็นความบกพร่องของแหล่งสัญญาณ)

แล้วอะไรที่จะเอามาลดจุดอ่อน ?

สิ่งที่พอจะช่วยเยียวยาจุดอ่อนเหล่านี้หนีไม่พ้น equalizer (EQ) เป็นอุปกรณ์ที่สามารถช่วยชดเชยความถี่บางความถี่ที่หายไปได้ดีพอสมควร ( แต่นักเล่นระดับไฮเอ็นเกลียด EQ เป็นอย่างมาก ) จาก EQ ของ Winamp ถ้าเป็น sound on board ทั่ว ๆ ไปก็ขอแนะนำให้ปรับช่วงความถี่ 170 Hz และ 310 Hz ขึ้นประมาณ 2 - 4 dB และที่ 16 KHz ปรับไปที่ 5 - 13 dB และที่ความถี่ 14 KHz ปรับไปที่ 2 - 5 dB ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับลำโพง และลักษณะที่วางด้วย แต่ในลำโพงบางชุดอาจต้องปรับลง (cut) ซึ่งการปรับตรงนี้ไม่สามารถบอกให้แน่ชัดหรือมีสูตรตายตัว

เครื่องเสียง กับ ก๋วยเตี๋ยว การปรับแต่งแต่ละคนไม่ได้เหมือนกัน

หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อย ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไปได้ราบรื่น ไม่มีอะไรต้องปรับ ไม่มีอะไรต้อง set ที่เหลือคือการเลือกเพลงโปรดมาฟังให้สบายอารมณ์ แต่ในไม่ช้าก็จะเจอกับคำเหล่านี้จากเพื่อน หรือ ใครต่อใครที่มาฟังลำโพงของคุณ " เบสไม่ค่อยมีเลยนะ " " แหลมไม่สะใจเลย " และอื่น ๆ อีกสารพัด บางคนว่าไปจะเสีย ๆ หายๆเลยก็มี แต่อย่าไปสนใจใครครับ จริงอยู่ว่าเมื่อได้ยินคำเหล่านี้คนฟังเพลง คนเล่นเครื่องเสียงอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ อาจจะเขวได้เหมือนกัน แต่อยากจะบอกว่าถ้าเราพอใจกับเสียงที่ลำโพงที่เราซื้อมันมากับมือแล้ว คำต่าง ๆ เหล่านั้นลืมไปได้เลย ที่บอกไปแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะให้ย่ำอยู่กับที่ในเรื่องการฟังเพลง ไม่ได้หมายถึงไม่ให้มีการพัฒนาการฟัง แต่อยากให้เก็บคำเหล่านั้นที่ใครต่อใครพูดไว้ในใจก่อน แล้วค่อยดึงออกมาเมื่อเราไม่พอใจกับเสียงที่ได้จากลำโพงของเรา และต้องการหาลำโพงตัวใหม่นั้นเอง ความจริงก็คือคนเราแต่ละคนชอบสไตล์การฟังต่าง ๆ กันไป แนวเพลงที่ต่างกัน ไม่ต่างอะไรกับการกินก๋วยเตี๋ยว เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ยกตัวอย่างแบบนี้แล้วกันครับ ก๋วยเตี๋ยวสั่งเหมือนกันทุกอย่างยังปรุงไม่เหมือนกันเลย หรือปรุงเหมือนกัน แต่ปริมาณเครื่องปรุงยังไม่เท่ากันเลย แต่ก็มีบางคนที่ไม่ปรุงเลยก็มี จึงอยากให้เป็นตัวของตัวเองดีกว่า เรื่องเสียงก็เหมือนกัน ก็ในเมื่อเราพอใจที่จะฟังให้ขยับออกมาห่างจากความเป็นจริงสักหน่อย แต่ให้ความสุขกับเรามากขึ้น และไม่เดือดร้อนใครต่อใคร มันก็ไม่ผิดไม่ใช่เหรอ ??? .............................ถ้าฟังแล้วรู้สึกเหนื่อย ล้า ปวดหัว ไม่มีความสุขเอาซะเลย นั้นเป็นคำเตือนที่กำลังบอกว่าคุณว่ากำลังเดินออกจากเส้นทางของเสียงจริงมากเกินไปแล้ว กลับเข้าสู่แนวทาง เพื่อความสุขของการฟัง

ไม่สบาย !! เป็นอะไร ?.....หาหมอดีกว่า ซ่อม

ลำโพงก็เหมือนอุปกรณ์ทั่วไป มีอายุการใช้งานระยะเวลาหนึ่ง ไม่ได้อมตะ อายุการใช้งานขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม สภาพการใช้งาน โดยเฉพาะเมืองไทยที่ทั้งร้อน และเต็มไปด้วยฝุ่นละออง จึงไม่แปลกที่อายุของลำโพงในบ้านเราเมืองเราจะสั้นกว่าเมื่อเทียบกับประเทศที่มีภูมิอากาศอบอุ่น สภาพแวดล้อมมีผลต่อลำโพงโดยตรงโดยเฉพาะเมืองร้อน แน่นอนว่าความร้อนไม่ค่อยจะถูกกันอยู่แล้วกับของลำโพงที่เป็นยางหรือวัสดูจำพวกยางเช่น ยางชีลด์ขอบลำโพง หรืออาจจะมองย้อนไปถึงภาคขยายที่เกิดความร้อนขณะทำงาน สภาพอากาศที่ร้อนจะลดอายุการใช้งานของลำโพงลง แต่ที่พบกันบ่อยในบ้านเราคือภาคขยายภายในเกิดอาการไหม้เนื่องจากการระบายความร้อนที่ไม่ดีพอ หรือ ระบายความร้อนไม่ทัน ส่วนตัวลำโพง(Drivers)นั้นส่วนใหญ่แล้วจะเบื่อลำโพงไปซะก่อนที่ลำโพงจะเสื่อมหรือพัง ฝุ่นอีกตัวการที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติส่วนใหญ่จะส่งผลโดยตรงกับโวลุ่ม หรือ ตัวต้านทานปรับค่าได้ โดยเฉพาะตัวต้านทานปรับค่าได้ราคาถูก และจะพบได้บ่อยคือมีเสียงแปลกออกมาจากลำโพงขณะปรับระดับเสียง นั่นบ่งบอกถึงความไม่สะอาดของหน้าสัมผัสภาคในตัวต้านทานปรับค่าได้ อีกปัจจัยที่มีผลไม่แพ้กันคือผู้ใช้ หรือภาวะการใช้งานของแต่ละคนบางคนซื้อลำโพงมาไม่เท่าไรก็ไหม้ สาเหตุคือไม่ประมาณว่าลำโพงของตนทำงานได้แค่ไหน เอาแค่ว่ายิ่งดังยิ่งมันส์ ไม่สนใจว่าเสียงจะแตกจะพร่าไปถึงไหนแล้ว อัดอย่างเดียว หรือการจัดวางของแต่ละคนก็ส่งผลกับลำโพงทั้งนั้น ไม่ว่าจะ ความชื้น ฝุ่นละออง สัตว์เลี้ยง หรืออื่น ๆ

เมื่อเกิดแล้วจะทำยังไง !?!?

อาการผิดปกติที่พบกันง่ายมากคือโวลุ่มสกปรก ทางแก้ที่ง่ายที่สุดคือน้ำยาล้างหน้าสัมผัสมีขายเป็นกระป๋องสเปรย์ ฉีดไปตรงโวลุ่มแล้วหมุนให้สุดทั้งซ้ายและขวาประมาณ 3 - 4 ครั้งแล้วฉีดซ้ำอีกครั้งเพื่อล้างสิ่งสกปรกออกมา ถ้าอาการนี้หายก็จะหายไปเลย แต่ถ้าไม่หายก็เปลี่ยนโวลุ่มได้เลย ส่วนว่าจะเปลี่ยนยังไง ถ้าพอมีความรู้ทางช่างอยู่บ้างอาจจะเปลี่ยนเองก็ได้แต่ถ้าจะให้ร้านซ่อมทำให้ก็หาร้านที่ไว้ใจได้นิดนึง เพราะบ้างร้านไม่รักษาของที่เราส่งไปให้เลย มีรอยงัด รอยถลอกให้ดูต่างหน้า อย่างนี้ก็น่ากลัวเหมือนกัน ส่วนถ้าภาคขยายไหม้หรือเสียงด้วยสาเหตุอื่น ๆ(แต่ส่วนใหญ่จะเสียเฉพาะ IC Power Amplifiers)ถ้าทำอะไรไม่ได้ก็ส่งร้านซ่อม(ที่ไว้ใจได้) หรือพอมีความรู้ติดตัวอยู่บ้างก็ถอด IC ตัวที่ไหม้ไปซื้อตัวใหม่มาเปลี่ยน แต่ IC บางตัวอาจจะไม่มีขายในบ้านเราก็ได้ ถ้าคุณเสียดายน้ำเสียงจริง ๆหละก็ คุณสามารถสั่ง IC เบอร์นั้นมาจากต่างประเทศก็ได้ ซึ่งบ้านหม้อเค้ามีบริการเหล่านี้อยู่ ระยะเวลาไม่น่าจะเกิน 2 สัปดาห์ก็จะได้เห็น IC ตัวใหม่แล้ว แล้วถ้าลำโพงมีปัญหาหละ เช่น กรวยเบียด ขอบลำโพงฉีกขาด voice coil ขาด อันนี้ต้องลองไปเดินดูแหล่งซ่อมลำโพงต่าง ๆ ถ้ามีอะไหล่ก็ไม่มีปัญหา แต่ลำโพง(คอมฯ)ส่วนใหญ่จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่เล็กจึงหาอะไหล่ยาก แต่ถ้าพิจารณาค่าซ่อมแล้วไม่อยู่ในจุดคุ้มก็หาเพื่อนคู่ในคนใหม่เถอะครับ

............นายทำดีที่สุดแล้ว ขอบใจนายจริง ๆ ลำโพงของฉัน


บทความโดย POD overclockzone ครับ
สามารถอ่านบทความอีกมากมายได้อีกที่//www.overclockzone.com


Create Date : 17 มกราคม 2548
Last Update : 17 มกราคม 2548 15:01:17 น. 2 comments
Counter : 2806 Pageviews.

 
DVD คอนเสิร์ตต่างประเทศ ต้องนี่เลย

dvd คอนเสิร์ตต่างประเทศคุณภาพสูงราคาย่อมเยาว์ จัดส่งฟรีทั่วประเทศ !!

//www.dvdconcertshop.com


โดย: dvdconcertshop IP: 222.123.209.113 วันที่: 11 กันยายน 2551 เวลา:7:09:07 น.  

 
แล้วผมจะเล่นเครื่องเสียง จะมีอะไรแนะนำบ้างครับ ขอที่ราคากลางๆนะครับ ของคนไทยก็ได้นะครับ ผมไม่ได้เลือกยี่ห่อหรอกนะครับ ช่วยแนะนำด้วยนะครับ ช่วยแนะนำแล้วตอบเป็นเมลมาก็ขอบคุณมากๆครับ
manop_tai@hotmail.com


โดย: ต่าย IP: 124.121.162.55 วันที่: 18 สิงหาคม 2553 เวลา:11:37:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แมวอุณหภูมิห้อง
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




loading...

free counters

New Comments
Friends' blogs
[Add แมวอุณหภูมิห้อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.