นายพัชรพล แน่นกระโทก
Phatcharaphon Neankrathok
|
|||
นายพัชรพ แน่นกระโทก 🥺สวัสดีเพื่อนๆ กันทุกท่านครับ หรือ Phatchacaraphon Naenkrathok ได้มีโอกาสปรับปรุงและเล่าเรื่อง สมุนไพรไทยกันครับ อย่างไรก็รบกวนให้น้องไปใช้วิจารณญาณ และการพิจารณาในอ่านครั้งนี้ เพื่อผู้อ่านใช่ประโยชน์จากงานบทความสมุนไพรนี้ให้มันถูกต้องตามหลักฎหมายกำหนด .................................................................................. 😂พี่ขอแนะ สมุนไพรไทย เชิญไปกันได้เลย 😊 พืชสมุนไพรเป็นพืชที่คนไทยรู้จักกันมานาน และมีการนำมาใช้เป็นเครื่องยา อาหาร เครื่องสำอาง และอื่น ๆ การประกอบอาหารมีการใช้พืชสมุนไพร เครื่องเทศ และผักสวนครัว มาใช้ในชีวิตประจำวันจำนวนหลายชนิด เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด กะเพรา โหระพา ใบแมงลัก การปลูกพืชสมุนไพรที่เป็นไม้ล้มลุกหรือผักสวนครัว ทำได้เช่นเดียวกับการปลูกพืชทั่วๆ ไป แต่สิ่งสำคัญคือ สรรพคุณที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันและเป็นภูมิปัญญาไทยที่มีความสำคัญ และมีเทคนิคการใช้ ผู้เขียนหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์พอสมควรต่อผู้อ่านซึ่งเป็นผู้บริโภคที่ได้ใกล้ชิดกับต้นไม้ใบหญ้า พืชสมุนไพรใกล้ตัวที่จะนำเสนอมีดังนี้ กระเจี๊ยบแดง กระเจี๊ยบแดง มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น กระเจี๊ยบเปรี้ยว (ภาคกลาง) ส้มพอเหมาะ ผักเก็งเค็ง (ภาคเหนือ) ส้มพอดี (ภาคอีสาน) ส้มตะเลงเครง (ตาก) ใบส้มม่า (ระนอง) ส้มปู (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) สรรพคุณ : - เมล็ด เป็นยาแก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ดีพิการ ขับปัสสาวะ - ทั้งต้น เป็นยาฆ่าตัวจี๊ด เตรียมโดยนำมาใส่หม้อต้ม น้ำ 3 ส่วน เคี่ยวไฟให้งวดเหลือ 1 ส่วน ผสมกับน้ำผึ้งครึ่งหนึ่ง รับประทานวันละ 3 เวลา หรือรับประทานน้ำยาเปล่าๆ จนหมด - กลีบเลี้ยง ชงกับน้ำรับประทานเพื่อลดความดัน ลดไขมันในเส้นเลือด ทำแยม 2. กระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียว มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น มะเขือทวาย มะเขือมอญ  สรรพคุณ : - ผลแห้ง ป่นนำมาชงกับน้ำ กินบำบัดโรคกระเพาะอาหาร มีเพคตินและสารเมือกช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร แก้ไอ บำรุงกำลัง - ผลอ่อน เป็นยาหล่อลื่น ใช้ในโรคหนองใน - ดอก ลดไขมันในเลือด ลดอุณหภูมิในร่างกาย แก้กระหายน้ำ 3. กระชาย กระชาย มีชื่ออื่นๆ เช่น ว่านพระอาทิตย์ (กรุงเทพฯ) ละแอน (ภาคเหนือ) กะแอน ขิงทราย (แม่ฮ่องสอน) จี๊ปูชีพู (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) เป๊าะสี่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) สรรพคุณ : - เหง้า เป็นยาแก้โรคปากเปื่อย ปากเป็นแผล ปากแห้ง ขับระดูขาว ขับปัสสาวะ รักษาโรคบิด แก้ปวดมวนท้อง - ราก (นมกระชาย) มีรสเผ็ดร้อน ขม มีสรรพคุณคล้ายโสม แก้กามตายด้าน บำรุงความรู้สึกทางเพศ ทำให้กระชุ่มกระชวย โดยใช้นมกระชายตำและหัวดองสุรา จากการทดลอง พบว่าใช้สารสกัดแอลกอฮอล์และคลอโรฟอร์มมีฤทธิ์ต้านเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังและแผลในปากได้ดีพอสมควร 4. กระถิน  กระถิน มีชื่ออื่นๆ เช่น กระถิ่น (ภาคกลาง) บุหงาอินโดนีเซีย (กรุงเทพฯ) กระถินหอม ดอกคำใต้ คำใต้มอนคำ (ภาคเหนือ) มอนคำ (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) ถิน (ภาคใต้) บุหงาเซียม (มลายู-ภาคใต้) บุหงาละสะมะนา (มลายู-ปัตตานี) เกากรึนอง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) สรรพคุณ : - ราก มีรสเฝื่อนฝาด กินเป็นยาอายุวัฒนะ ทาแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ต้มน้ำอมแก้ปวดฟัน แก้อักเสบ - ยาง เข้ายาแก้ไอ บรรเทาอาการระคายคอ - ใบอ่อน ตำพอกแก้แผลเรื้อรัง - ดอก ชงดื่ม แก้อาหารไม่ย่อย ดองเหล้าดื่ม แก้ปวดท้อง 5. กล้วยน้ำว้า กล้วยน้ำว้า มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น กล้วยมะลิอ่อง (จันทบุรี) กล้วยใต้ (เชียงใหม่,เชียงราย) กล้วยอ่อง (ชัยภูมิ) กล้วยตานีอ่อง (อุบลราชธานี)  สรรพคุณ : - ผลดิบ ใช้รักษาอาการท้องเสียและบิด - ผลสุก เป็นยาระบายอ่อน ๆ - หัวปลี เป็นยาแก้ร้อนใน กระหายน้ำ โรคโลหิตจาง บำรุงน้ำนม แก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ ลดน้ำตาลในเส้นเลือด 6. กะเพรา กะเพรา มีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น กะเพราขน กะเพราขาว กะเพรา (ภาคกลาง) กอมก้อ กอมก้อดง (เชียงใหม่) อีตู่ไทย (ภาคอีสาน) สรรพคุณ : - ใช้ทั้งต้น เป็นยาขับลม แก้ปวดท้อง และคลื่นไส้อาเจียน  - รากและต้น มีรสเผ็ดร้อน แก้พิษตาซาง แก้ไข้สันนิบาต แก้ท้องขึ้น ท้องอืด ท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ - ใบ มีรสเผ็ดร้อน บำรุงไฟธาตุ แก้ปวดท้อง ขับผายลม ทำให้เรอ แก้จุกเสียด แก้คลื่นไส้อาเจียน น้ำคั้นจากใบกินขับเหงื่อ แก้ไข้ ขับเสมหะ ทาผิวหนัง แก้กลากเกลื้อน ใบสดหรือแห้ง ชงกับน้ำร้อน ดื่มบำรุงธาตุ ขับลมในเด็กอ่อน - เมล็ด มีรสเผ็ด กินบำรุงเนื้อหนังให้ชุ่มชื้น 7. ขมิ้นชัน  ขมิ้นชัน มีชื่ออื่นๆ เช่น ขมิ้น (ภาคกลาง, ภาคใต้) ขมิ้นแกง ขมิ้นหยวก ขมิ้นหัว (เชียงใหม่) ขี้หมิ้น (ภาคใต้) สรรพคุณ : - เหง้าสด เป็นยารักษาโรคเหงือกบวมเป็นหนอง รักษาแผลสด แก้โรคกระเพาะ แก้ไข้คลั่งเพ้อ แก้ไข้เรื้อรัง ผอมเหลือง แก้โรคผิวหนัง แก้ท้องร่วง แก้บิด พอกแผล แก้เคล็ดขัดยอก ขับผายลม คุมธาตุ หยอดตา แก้ตาบวม ตาแดง ทาแก้แผลถลอก แก้โรคผิวหนังผื่นคัน แก้ท้องอืดเฟ้อ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร - เหง้าแห้ง บดเป็นผงเคี่ยวกับน้ำมันพืช ทำน้ำมันใส่แผลสด ผสมน้ำ ทาผิว แก้เม็ดผดผื่นคัน สารสกัดจากเหง้าแห้ง ป้องกันออกซิเดชั่น ชะลอความแก่ของผิวหนัง ทำครีมทาผิว 8. ข่า ข่า มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น กฎุกโรหินี (ภาคกลาง) ข่าตาแดง ข่าหยวก ข่าหลวง (ภาคเหนือ) เสะเออเคย สะเอเชย (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) สรรพคุณ :  - เหง้าแก่สดหรือแห้ง มีรสเผ็ดร้อน ขม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และปวดท้อง ใช้รักษาโรคผิวหนัง (เกลื้อน) แก้โรคบิด แก้ปวดเจ็บเสียดท้อง แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้ไฟลวก น้ำร้อนลวก แก้ลมพิษ และโรคลมป่วง แก้สันนิบาตหน้าเพลิง ตำกับน้ำมะขามเปียกและเกลือให้สตรีกินหลังคลอดเพื่อขับน้ำคาวปลา - หน่อ มีรสเผ็ดร้อน หวาน แก้ลมแน่นหน้าอก บำรุงไฟธาตุ 9. ขิง  ขิง มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น ขิงแกลง ขิงแดง (จันทบุรี) ขิงเผือก (เชียงใหม่) สะเอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) สรรพคุณ : - ราก มีรสหวาน เผ็ดร้อน ขม แก้ลม บำรุงเสียง แก้พรรดึก แก้คอมีเสมหะ เจริญอาหาร - เหง้า มีรสเผ็ดร้อน ใช้เหง้าแก่ทุบหรือบดเป็นผง ชงน้ำดื่มแก้คลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ - เหง้าสด ตำคั้นน้ำผสมน้ำมะนาวและเกลือเล็กน้อย จิบแก้ไอ ขับเสมหะ ขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียดแน่นเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน แก้หอบไอ ขับเสมหะ แก้บิด และเจริญธาตุ - ต้น มีรสเผ็ดร้อน ขับลมในลำไส้ แก้ท้องร่วง จุกเสียด - ใบ มีรสเผ็ดร้อน แก้ฟกช้ำ แก้นิ่ว แก้ขัดปัสสาวะ แก้โรคตา ฆ่าพยาธิ 10. แคบ้าน แคบ้าน มีชื่อเรียกอื่นๆ ว่า แค แคบ้านดอกแดง แคขาว (ภาคกลาง) แคแดง (เชียงใหม่)  สรรพคุณ : - ราก น้ำคั้นจากรากผสมกับน้ำผึ้ง เป็นยาขับเสมหะ - เปลือกต้น มีรสฝาด ใช้รักษาท้องเดิน แก้บิด มูกเลือด คุมธาตุ ถ้ากินมากทำให้อาเจียน ใช้เป็นยาฝาดสมานทั้งภายนอกและภายใน ชะล้างบาดแผล - ใบ มีรสจืดมัน แก้ไข้เปลี่ยนฤดู ไข้หวัด ถอนพิษไข้ ดับพิษและถอนพิษอื่นๆ - ยอดอ่อน ใช้รักษาไข้หัวลม - ดอก มีรสหวานเย็น แก้ไข้เปลี่ยนฤดู 11. ชุมเห็ดเทศ ชุมเห็ดเทศ มีชื่ออื่นเรียกว่า ขี้คาก ลับมืนหลวง หมากกะสิงเทศ (ภาคเหนือ) ชุมเห็ดใหญ่ ตะสีพอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) สรรพคุณ :  - ฝัก มีรสเอียน แก้พยาธิ เป็นยาระบายขับพยาธิตัวตืด พยาธิไส้เดือน - ใบ เป็นยาถ่าย รักษาขี้กลากและโรคผิวหนังอื่นๆ - ใบและดอก ทำยาต้มรับประทาน ขับเสมหะในรายที่หลอดลมอักเสบ และแก้หืด - เมล็ด มีกลิ่นเหม็น รสเอียนเล็กน้อย ใช้ขับพยาธิ แก้ตาซาง แก้ท้องขึ้น แก้นอนไม่หลับ 12. ตะไคร้ ตะไคร้ มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น จะไคร้ (ภาคเหนือ) ไคร (ภาคใต้) ห่อวอตะไป่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) คาหอม (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) หัวสิงโต (เขมร-ปราจีนบุรี)  สรรพคุณ : - เหง้า มีรสหอมปร่า แก้กระษัย แก้เบื่ออาหาร บำรุงไฟธาตุ ขับลมในลำไส้ แก้ขัดปัสสาวะ แก้นิ่ว ดับกลิ่นคาว เจริญอาหาร - ใบ มีรสหอมปร่า แก้ไข้ ลดความดันโลหิต - ทั้งต้น มีรสหอมปร่า แก้ปวดท้อง หืด ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ และบำรุงธาตุ 13. ตำลึง ตำลึง มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น ผักแคบ(ภาคเหนือ) แคเด๊าะ(กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) สรรพคุณ : - ราก มีรสเย็น แก้ตาขึ้นฝ้า ดับพิษทั้งปวง แก้ไข้ แก้อาเจียน ต้มน้ำกินเป็นยาระบาย - หัว มีรสเย็น ดับพิษทั้งปวง - ใบ มีรสเย็น ปรุงเป็นยาดับพิษร้อน เช่น ยาเขียว ใบสดตำให้ละเอียด 14. ทับทิม ทับทิม มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า มะเก๊าะ(ภาคเหนือ) พิลา(หนองคาย) พิลาขาว มะก่องแก้ว(น่าน) หมากจัง(เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) เขียะลิ้ว(จีน) สรรพคุณ : - เปลือกผลแก่ ตากแห้งรักษาอาการท้องร่วง ฝนกับน้ำข้นๆ กินวันละ 1-2 ครั้ง กินมากเป็นอันตรายได้ หรือฝนกับน้ำทาแก้น้ำกัดเท้า - ราก ใช้ฆ่าพยาธิตัวตืด - น้ำทับทิม (จากเนื้อหุ้มเมล็ด) ใช้ลดความดันโลหิต ใช้ร่วมกับบัวบก ลดภาวะโรคเหงือก สะระแหน่ สรรพคุณ : - ทั้งต้นสด กินเป็นยาขับลม ขยี้ทาขมับแก้ปวดหัว แก้ปวดท้อง จุกเสียด แน่นเฟ้อ ดมแก้ลม ทาแก้ฟกช้ำ บวม 16. บัวบก บัวบก มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า ผักหนอก (ภาคเหนือ) ผักแว่น (ภาคใต้) สรรพคุณ : - ทั้งต้น มีรสหอมเย็น แก้ช้ำใน แก้อ่อนเพลีย ขับปัสสาวะ รักษาบาดแผล แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้โรคปวดศีรษะข้างเดียว (ไมเกรน) แก้โรคเรื้อน แก้กามโรค แก้ตับอักเสบ บำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง - ใบ มีรสขม เป็นยาดับร้อน ลดอาการอักเสบบวม แก้ปวดท้อง แก้บิด แก้ดีซ่าน ใบต้มกับน้ำซาวข้าวกินแก้นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ตำพอกหรือต้มน้ำกินแก้ฝีหนอง แก้หัด ต้มกับหมูเนื้อแดงกินแก้ไอกรน - เมล็ด มีรสขมเย็น แก้บิด แก้ไข้ แก้ปวดศีรษะ บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชนข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรรองศาสตราจารย์ ภญ. ยุวดี วงษ์กระจ่าง และ เภสัชกร วสุ ศุภรัตนสิทธิ ภาควิชาสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อ่านแล้ว 270,304 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 30/06/2558 อ่านล่าสุด 4 นาทีที่แล้ว ปัจจุบันสมุนไพรเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตมากขึ้นในการใช้รักษาโรคหรือการใช้เป็นอาหารเสริม เนื่องจากสังคมได้ตระหนักถึงคุณค่าและประโยชน์ของสมุนไพร แต่หากมีการนำสมุนไพรมาใช้อย่างไม่ถูกต้อง ไม่ถูกวิธี สมุนไพรก็อาจจะก่อให้เกิดโทษต่อผู้ใช้ได้ ดังจะเห็นได้จากในปัจจุบันเริ่มมีรายงานทางคลินิกเกี่ยวกับอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการใช้สมุนไพรมากขึ้น สมุนไพรที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ประกาศเตือนให้ระวังถึงความปลอดภัยจากการใช้ 9 ชนิดในปี ค.ศ.1993 ได้แก่ Chaparral, Comfrey, Yohimbe, Lobelia, Germander, Willow Bark, Ma huang, Jin Bu Huan (ตำรับสมุนไพรจีน),ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีสมุนไพรกลุ่ม Stephania และ Magnolia species อันตรายที่เกิดขึ้นจากการใช้สมุนไพร สามารถจำแนกได้เป็น 7 กลุ่ม สมุนไพร 1 ชนิดอาจทำให้เกิดอันตรายได้มากกว่า 1 กลุ่ม โดยข้อมูลบางส่วนมีหลักฐานยืนยันแน่นอน บางส่วนอิงข้อมูลจากการทดลอง (สัตว์ทดลอง และ/หรือ หลอดทดลอง) และบางส่วนก็มีเพียงกรณีศึกษาเท่านั้น อันตรายจากการใช้สมุนไพรจำแนกเป็น 7 กลุ่ม ดังนี้
1. สมุนไพรที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาการแพ้ (Allergic reactions) จากการสำรวจการใช้ “นมผึ้ง” ปี พ.ศ. 2536-2540 พบการเกิดปฏิกิริยาตอบสนองไวเกิน จากการได้รับนมผึ้งเกือบ 40 ราย มีอาการคือ อาการหืด อาการหลอดลมหดเกร็ง หลอดเลือดบวม ความดันโลหิตต่ำ เยื่อบุตาอักเสบ ผื่นคัน และเมื่อทำการทดสอบทางผิวหนัง (skin test) พบว่าเกิดปฏิกิริยาเป็นบวกกับนมผึ้ง สรุปได้ว่าอาจเกิดจากโปรตีนในนมผึ้งไปกระตุ้นแอนติบอดี (antibody) ชนิด IgE และในปี พ.ศ.2537 มีรายงานจากประเทศออสเตรเลียว่านมผึ้งทำให้ตายได้เนื่องจากอาการหืดในเด็กหญิงอายุ 11 ปี หลังจากได้รับนมผึ้ง 500 มก. เพื่อรักษาต่อมทอมซิลอักเสบ เมื่อสืบประวัติพบว่าก่อนหน้านี้ผู้ป่วยรายนี้เคยมีอาการหายใจดังวี้ดหลังการได้รับนมผึ้ง และเมื่อได้รับอีกครั้งหนึ่งในครั้งนี้จึงเกิดอาการหืดเร็วมากและอาการรุนแรงจนถึงแก่ชีวิต ซึ่งอาจเกิดจากการไปกระตุ้น IgE ทำให้เกิดปฏิกิริยาไวเกินขึ้น 2. สมุนไพรที่ทำให้เกิดความเป็นพิษ (Toxic reactions)
3. สมุนไพรที่ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ (Adverse effects) การใช้สมุนไพร อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียง หรือฤทธิ์ไม่พึงประสงค์ได้ อาการไม่พึงประสงค์ซึ่งสัมพันธ์กับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่ต้องการ หรือไม่สัมพันธ์กับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่ต้องการ ดังตารางข้างล่างนี้ 4. การเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับสมุนไพร (Herb and drug reactions) การเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับสมุนไพร สามารถอธิบายได้ 2 รูปแบบ คือ ปฏิกิริยาทางเภสัชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetic interactions) โดยยาหรือสมุนไพรมีผลเปลี่ยนแปลงการดูดซึม การกระจายตัว เมแทบอลิซึม (Metabolism) และการขับถ่ายยาออกจากร่างกาย ซึ่งทำให้ปริมาณของยาหรือสมุนไพรที่ออกฤทธิ์เพิ่มขึ้นหรือลดลง และ ปฏิกิริยาทางเภสัชพลศาสตร์ (Pharmacodynamic interactions) โดยยาหรือสมุนไพรมีผลเปลี่ยนแปลงการออกฤทธิ์ของยาที่เนื้อเยื่อหรืออวัยวะเป้าหมาย ทำให้ยาหรือสมุนไพรแสดงฤทธิ์เพิ่มขึ้น (Synergistic effects) หรือลดลง (Antagonist effects) จากรายงานเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่าสมุนไพรบางชนิด มีผลการศึกษารายงานว่าเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับสมุนไพร ส่งผลกระทบต่อการรักษาอย่างแน่นอน เช่น เซนต์จอห์นเวิร์ท (St.John’s Wort; Hypericum perforatum Linn) หรือ เกรปฟรุต (Grapefruit; Citrus paradisi Macfad) รายละเอียดอยู่ในบทความเรื่อง "สมุนไพรกับยาแผนปัจจุบันกินด้วยกันดีมั้ย" (https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/209/) 5. การใช้สมุนไพรผิดชนิด ผิดวิธี (Mistaken plants, Mistaken preparation) อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้สมุนไพรส่วนหนึ่งเกิดจากความเข้าใจผิดเกี่ยวกับชนิดของสมุนไพร เนื่องจากสมุนไพรบางชนิดมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน และมีความคล้ายคลึงกับพืชมีพิษบางอย่าง หากขาดความเชี่ยวชาญในการจำแนกชนิดของพืชสมุนไพรก็อาจนำมาซึ่งอันตรายต่อร่างกายได้จากการใช้สมุนไพรไม่ถูกชนิดได้ รวมทั้งการนำมาใช้โดยผิดวิธี ในประเทศไทยเคยมีรายงานถึงผลของการใช้มะเกลือในการถ่ายพยาธิซึ่งรับประทานโดยไม่ได้ผสมกับน้ำกระทิ แต่รับประทานโดยใช้ผลสด นำไปต้มหรือนำไปผสมกับน้ำปูนใสแทนที่จะเป็นน้ำกระทิตามวิธีโบราณ ผลคือทำให้เกิดความเป็นพิษต่อตา วิธีในตำรายาไทยซึ่งให้ใช้น้ำกะทิผสมนั้นเพื่อที่จะป้องกันการดูดซึมของสารที่เป็นพิษที่ปนเปื้อนพวก naphthalene การต้มหรือการผสมน้ำปูนใสทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีได้สาร diospyrol ซึ่งเป็น naphthalene และ สารพวก phenolic อื่นๆ อีกมาก ซึ่งสารเหล่านี้จะมีผลต่อประสาทตา ดูดซึมผ่านกระเพาะอาหารได้ดี ซึ่งการดูดซึมนี้จะมากหรือน้อยอาจขึ้นอยู่กับพยาธิสภาพของผู้ใช้ 6. การปนเปื้อนในสมุนไพร (Contamination) การปนเปื้อนที่เกิดขึ้นในผลิตภัณฑ์สมุนไพรไม่ว่าจะเป็นโลหะหนัก ยาฆ่าแมลง หรือเชื้อ จุลินทรีย์ต่างๆ ในผลิตภัณฑ์สมุนไพรเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น หรือหากมีก็ไม่ควรเกินปริมาณที่กำหนด เนื่องจากการปนเปื้อนของสารดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อร่างกายทั้งแบบเฉียบพลัน และสารบางอย่างอาจมีการสะสมและก่อให้เกิดอันตรายในระยะยาวตามมา จกการศึกษาของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 5 สมุทรสงคราม ที่ทำการสำรวจคุณภาพยาจากสมุนไพรในระหว่างเดือนตุลาคม 2550 ถึง กันยายน 2551 โดยเก็บตัวอย่างจากแหล่งผลิตและจำหน่าย จำนวน 205 ตัวอย่าง ดำเนินการตรวจวิเคราะห์ พบการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์เกินเกณฑ์มาตรฐานจำนวน 8 ตัวอย่าง และโลหะหนักเกินเกณฑ์มาตรฐานจำนวน 1 ตัวอย่าง และพบทั้งการปนเปื้อนโลหะหนักและเชื้อจุลินทรีย์เกินเกณฑ์มาตรฐานจำนวน 1 ตัวอย่าง โดยส่วนใหญ่ยาดังกล่าวเป็นตัวอย่างที่ไม่มีเลขทะเบียนยาและไม่ทราบแหล่งผลิตซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับปัญหานี้และดำเนินการแก้ไขอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง 7. สมุนไพรที่มีการปลอมปน (Adulterants) สมุนไพรหลายชนิดที่มีการอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง จากการสุ่มตรวจสมุนไพรที่มีการกล่าวอ้างว่าสามารถรักษาโรคได้หลายชนิด หรือรักษาโรคได้หายรวดเร็วทันใจ หลายตัวอย่างจะพบการปนปลอมของสารที่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา โดยเฉพาะ ยาสเตียรอยด์ที่ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้หากใช้ไม่ถูกต้อง ระหว่างปี พ.ศ. 2548-2552 ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 5 สมุทรสงครามได้ทำการสำรวจคุณภาพยาจากสมุนไพร ทั้งหมด 626 ตัวอย่าง พบตัวอย่างยาจากสมุนไพรมีการปลอมปนสารสเตียรอยด์ (dexamethasone และ/หรือ prednisolone) จำนวน 136 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 21.7 โดยมีสเตียรอยด์เทียบเท่า dexamethasone ระหว่าง 0.010-1.119 มิลลิกรัม/กรัม และมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.319 มิลลิกรัม/กรัม และจากการสำรวจคุณภาพยาจากสมุนไพรจากแหล่งผลิตและจำหน่ายในระหว่างเดือนตุลาคม 2550 ถึง กันยายน 2551 จำนวน 205 ตัวอย่าง ดำเนินการตรวจวิเคราะห์ โดยพบการปลอมปนยาแผนปัจจุบันจำนวน 27 ตัวอย่าง พบว่าการปลอมปนยาแผนปัจจุบันอื่นนอกจาก ยาสเตียรอยด์ ได้แก่ paracetamol, diclofenac, indomethacin, chlorpheniramine และ diazepam สรุป จากการรวบรวมรายงานของการเกิดอันตรายจากการใช้สมุนไพรนี้พบว่าเกิดขึ้นเป็นจำนวนไม่มากนัก แต่ทำให้เกิดความตระหนักถึงอันตรายอันอาจเกิดได้จากการใช้สมุนไพร เนื่องจากการที่มีผลิตภัณฑ์สมุนไพรนั้นสามารถเลือกซื้อได้อย่างอิสระ การควบคุมไม่ค่อยเข้มงวดเท่าไร ต่างจากยาแผนปัจจุบัน มีทั้งผลิตภัณฑ์ที่เป็นสมุนไพรเดี่ยวๆ และที่เป็นตำรับ บางผลิตภัณฑ์ไม่สามารถทราบชนิดและปริมาณของสารออกฤทธิ์ที่แน่นอน ถึงแม้จะเป็นสมุนไพรชนิดเดียวกันก็ยังมีความแตกต่างกัน เนื่องจากสถานที่เพาะปลูก ฤดูกาล ส่วนของพืชที่นำมาใช้ วิธีการเก็บเกี่ยว และกระบวนการผลิต นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์บางตัวอาจมีการปนเปื้อนโลหะหนัก มีการปลอมปนสารที่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา หรืออาจมีการนำสมุนไพรผิดชนิดทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ และพบว่าประชากรจำนวนหนึ่งมีการใช้สมุนไพรร่วมกับยารักษาโรคแผนปัจจุบัน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับสมุนไพรขึ้นได้ ดังนั้นหากมีความประสงค์ที่จะใช้สมุนไพรนั้นควรที่จะ
เอกสารอ้างอิง
|
สมาชิกหมายเลข 2854914
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Group Blog |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |