Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
4 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 
คีโมกับมะเร็งและการออกกำลังกาย‏




ตั้งแต่หม่าม้าเสีย จะไม่อยากรู้ไม่อยากได้ยินอะไรเกี่ยวกับ "มะเร็ง" อีกเลย ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งที่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่รู้เป็นยังไง หลังๆมานี่จะเห็นป้ายโฆษณา fwdเมล์ เกี่ยวกับเจ้าตัวร้ายนี่เยอะเหลือเกิน ที่โดนสุดๆ.. ก็ตอนไปรพ.นี่แหละ จะมีป้ายpackageตรวจ "มะเร็งตับ" โดนซะจริงๆ!!

แต่ไหนแต่ไรมา มักจะคิดเสมอว่า "มะเร็ง" เป็นเรื่องไกลตัว บ้านเราไม่น่าจะเฉียดโรคนี้เลย จนมารู้ว่าหม่าม้าเป็น "มะเร็งตับ" ขั้นร้ายแรงแล้ว เป็นไปได้ไง.. ไม่จริง ผลเลือดerrorหรือเปล่า เปลี่ยนหมอ ตรวจเช็คร่างกายแทบทุกอณู
สุดท้าย.. ความจริงมันก็คือความจริง!

วันก่อนได้รับ fwdเมล์จากคุณสามี หัวเรื่องว่า "คีโมกับมะเร็งและการออกกำลังกาย‏" ไม่เปิดเลย ไม่อยากอ่าน พอคุณเธอกลับมาจากที่ทำงานถามว่าได้อ่านรึยัง ก็ตอบไปตามตรงว่าไม่อยากอ่าน ไม่อยากรู้.....
เพราะอ่านแล้ว -- คิดถึง --

คุณสามีเลยบอกคร่าวๆว่ามันไม่ใช่สาระสำคัญ เนื้อหาซีเรียสอะไร แค่แนะนำว่า มะเร็งหลักๆมันจุดฉนวนมาจากอะไร ง่ายๆสั้นๆ ลองอ่านดู..
วันนี้เลยลองเปิดดู ก็ยังอ่านผ่านๆอยู่ดี ไม่ลงละเอียดทุกตัวอักษร ยังไม่กล้าจะอ่าน ยังไม่แน่จริง.. แต่ก็คิดว่ามีประโยชน์ดีนะ สำหรับคนที่อยากดูแลตัวเองให้ไกลจากเจ้าวายร้ายนี้ เลยเอามาแปะไว้ในนี้ดีกว่า เผื่อใครผ่านไปผ่านมา ได้เก็บไว้เป็นเกราะป้องกันโรคได้บ้าง


คีโมกับมะเร็งและการออกกำลังกาย

ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์

1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น

2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง

3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร้งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก

4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต

5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ

7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ

8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก

9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย

11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว

อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง

a. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น ' นิวตร้าสวีต ' ' อีควล ' ' สปูนฟูล ' ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ ' แบรก อมิโน ' หรือเกลือทะเลแทน

b. นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร

c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแงดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง

d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมทราบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)

e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง

12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น

13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น

14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป

15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต

16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆจะช่วยให้่ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง

( กรุณาช่วย Forward ไปยังบุคคลที่คุณรักและห่วงใย)
นี่คือเรื่องที่คุณควรส่งออกไปให้คนที่มีความสำคัญกับชีวิตคุณได้รับรู้รับทราบ






--------------------------------------------------------------------**

fwdเมล์อันนี้ลงท้ายได้ดีจริงๆ.. เชื่อว่าถ้าหม่าม้ายังอยู่แล้วเราเอาบทความพวกนี้ไปบอกเล่าให้ฟัง (ตอนยังสบายดี) หม่าม้าก็คงบอกว่า หม่าม้าก็ทำตามทุกอย่างนี่

ใช่.. หม่าม้าเป็นคนที่ดูแลตัวเอง 'พอสมควร' ยิ่งอายุมากขึ้น ก็จะเริ่มระวังเรื่องอาหารการกิน ยิ่งใครบอกว่าอะไรที่เสี่ยงกับการเป็นมะเร็ง หม่าม้าจะไม่กินเลย แต่ก็คงมีสักอย่างแหละ..ที่พลาดไป คุณหมอก็บอกไม่ได้ว่าเกิดมาจากอะไร สันนิษฐานได้อย่างเดียวว่า.. อาจจะเป็นเพราะ "ยาจีน" ทั้งยาเม็ด และ สมุนไพรที่หม่าม้าชอบกินเวลาไม่สบาย (เป็นหวัด เวียนหัว ท้องผูก ท้องเสีย..) หลายๆคนมักจะบอกว่ายาจีนมันไม่มี อย. ไอ้ที่สมัยก่อนเคยกินแล้วดี กินแล้วหาย สมัยนี้ไม่รู้มีสเตอรอยด์ผสมหรือเปล่า..?

หม่าม้าเป็นคนไม่ชอบยาแผนปัจจุบัน ด้วยเหตุผล.. "มันหายเร็วเกินไป" ไม่ก็ "กินแล้วมึนๆ ง่วงนอน" (อย่างพวกยาแก้หวัด ลดน้ำมูก) ทำให้ไม่เคยหา & ไม่เคยหยิบจับมากินเอง ถ้าลูกไม่คะยั้นคะยอ หรือ เป็นหนักจนต้องไปหาคุณหมอสั่งยามากิน

แต่มันก็ไม่ใช่ข้อสรุป ไม่มีคุณหมอท่านไหนยืนยัน และพวกเราก็ไม่ได้ไปติดใจอะไร เพราะห่วงแต่วิธีรักษาและยืดเวลาให้นานที่สุดเท่านั้น!

ดีที่หม่าม้าตัดสินใจไม่ทำ 'คีโม' ทั้งๆที่ตอนแรกสองจิตสองใจ แต่หลังจากปรึกษากันตายาย (ป๊ากับม้าปรึกษากัน2คน) ป๊าบอกม้าว่า..
"เราอายุเท่านี้แล้ว อยู่มาได้ถึง70ปี ก็นับว่าคุ้มแล้ว เวลาที่เหลืออีกไม่รู้เท่าไหร่ก็ถือว่าเป็นกำไรชีวิตแล้วหล่ะ จะไปทำคีโมให้เหนื่อย ให้โทรม ให้ทรมานตัวเองทำไม ทำไปก็ไม่รู้จะหายหรือเปล่า ดีไม่ดีหนักกว่าเก่า สู้เราอยู่ของเราสบายๆไปไม่ดีกว่าหรือ............"

หม่าม้าโชคดีที่ไม่มีอาการเจ็บป่วยรุนแรงให้เห็น จะมีก็เรื่อง 'เท้าบวม' ที่ต้องฉีดยาขยายเส้นเลือดทุกวัน วันละ2เข็ม และเหนื่อยกายที่ต้องแวะเวียนไปให้คุณหมอตรวจนั่นตรวจนี่เพิ่มเติมบ้าง

ช่วงเวลา3เดือนที่รู้ว่าเป็น "มะเร็งตับ" ไม่มีใครคิดว่าเวลามันจะเหลือน้อยขนาดนี้ เพราะหม่าม้าไม่มีอาการหนักหนาสาหัสให้เห็นเลย
มีแค่อาทิตย์สุดท้าย.. ที่หม่าม้าเริ่มตัวเหลือง หนักมากขนาดตาก็เหลืองด้วย ปัสสาวะมีเลือด ทุกคนเริ่มตกใจ แต่ผ่านไป2-3วันก็ดีขึ้น มาเป็นหนักก็ 1วันก่อนเสีย จู่ๆก็เหนื่อย อยากนอน บ่นเจ็บ ปวดเมื่อยตามตัว นวดยังไงก็ไม่หาย พาไปรพ.คุณหมอก็ให้แต่มอร์ฟีน คงรู้ดีแล้วว่า.. ถึงเวลาแล้ว!

แค่ข้ามคืน.. หม่าม้าที่เคยชอบพูดคุยกับลูกๆก็เริ่มพูดไม่ได้ ช่วงเช้ายังมีเสียงบ่นปวดเมื่อยเบาๆให้เราได้รับรู้ แต่สายหน่อยก็เริ่มไม่มีเสียงแล้ว แค่ครึ่งวันที่พวกเราเฝ้าดูอาการหม่าม้าในรพ. แล้วหม่าม้าก็จากไปอย่างสงบ ไม่ทรมานใดๆอีกเลย



Create Date : 04 มิถุนายน 2552
Last Update : 4 มิถุนายน 2552 15:17:22 น. 3 comments
Counter : 1176 Pageviews.

 
ขอบคุณสำหรับความรู้ดีดีค่ะ
เป็นไวรัสตับอักเสบซีอยู่ ซึ่งจะกลายเป็นมะเร็งตับได้ในอนาคต ถ้าไม่รักษา หรือบางทีรักษาก็ไม่หาย
ตอนนี้ก็พยายามคิดในทางบวก ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

ปล.ขอแสดงความเสียใจกับหม่าม้าที่จากไปนะคะ ดูแล้วท่านเป็นคนดูแลสุขภาพดีมาก


โดย: noisri วันที่: 5 มิถุนายน 2552 เวลา:13:58:20 น.  

 
แวะเอาไอติมมาฝากคับผม


โดย: AM NUCH วันที่: 6 มิถุนายน 2552 เวลา:22:48:35 น.  

 
ขอบคุณมากมากนะค่ะ..กับความรู้เรื่องมะเร็ง
เป็นประโยชน์มากๆเลย

ส่วนคุณแม่ที่จากไป..ขอแสดงความเสียใจด้วยนะค่ะ


โดย: Mama Neng & Kenji IP: 125.27.42.211 วันที่: 18 มิถุนายน 2552 เวลา:13:56:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

MamyDD
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]









-‘•’- ยินดีต้อนรับทุกท่านจ้า -‘•’-

ณ ที่แห่งนี้..
คุณแม่ลูก2เขียนบันทึกเรื่องราว
ของลูกชายตัวดี..เดนเด้
- - และ - -
ลูกชายตัวน้อยๆ..ไดโอ

รวมถึงสาระต่างๆ
ที่แม่เก็บรวบรวมมาแบ่งปัน
เพื่อนๆทุกคน..
หวังว่าจะมีประโยชน์บ้างนะคะ

ღ ..ขอบคุณ.. ღ
ทุก Comment
ที่ฝากคำทักทาย & พูดคุย
ตลอดจนมิตรภาพดีๆที่มีให้แก่กันค่ะ





Friends' blogs
[Add MamyDD's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.