Never cease

Nikko…….. ที่สุดแห่งช่างฝีมือญี่ปุ่น

Nikko…….. ที่สุดแห่งช่างฝีมือญี่ปุ่น

ชาวญี่ปุ่นเองก็ได้กล่าวถึงนิกโกะไว้น่าฟังว่า


“ ผู้ใดไม่เคยเห็นนิกโกะ ผู้นั้นยังไม่พานพบความงดงาม ”
“Do not say ‘kekko' [magnificent] until you've seen Nikko.”

ซึ่งครั้งแรกๆที่ได้มาเยือนนิกโกะ รุ้สึกไม่เห็นด้วยกับประโยคดังกล่าวเลย อันนี้ ตอบตามความรู้สึกจริงๆจากใจ แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้ที่มาเห็น…อาวว ...ยังไงกันเหรอ???
ก็ในเมื่อทุกอย่างที่นิกโกะก็เหมือนเดิม แต่แล้วทำไมจึงรู้สึกต่างไป…

หรือ…เป็นไปได้ ที่ผ่านมา เรามาแค่มอง มันจึงไม่เห็น??
หรือ…เป็นไปได้ที่ เรามาแค่ทำแต้มเก็บคะแนน ว่าเคยมา…จนละเลย ที่มาที่ไป ที่งดงามของมัน
แน่นอน ประวัติศาสตร์มันสามารถแปรเปลี่ยน หินธรรมดาอันไร้ค่าก้อนหนึ่ง ให้เป็นวัตถุล้ำค่าได้ เสมอ




ลองเดินให้ช้าลง…. .Slow Life @ Nikko
ให้เหมือนกับปรัชญาของท่านอิเอะยาสุ (Ieyasu Tokugawa) โชกุนผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคเอโดะ ที่ว่าเอาไว้ว่า
“ชีวิตก็เหมือนการเดินทางไกล ที่ไม่ควรรีบเร่ง ”

มาลองเที่ยวนิกโกแบบพิจารณาดูกันน่ะ มันน่าจะสนุกกว่าแค่มามองผ่านๆ



ภาพจากหนังสือท่องเที่ยวนิกโก

########-------#######

เมื่อก้าวลงป้าย Nishi Sando จากรถบัส Tobu ที่วิ่งมาจากน้ำตกเคง่อน ก็เดินฝ่าเปลวแดดยามเที่ยงวัน ไปที่ขายตั๋ว เลือกตั๋วแบบ Combination Ticket อันหมายถึง การเข้าชมวัดรินโนจิ ศาลเจ้าโทโชกุ(Toshogu), Taiyuinbyo และ Futarasan Shrine ในสนนราคา หนึ่งพันเยนถ้วนต่อคน

พูดถึงเรื่องตั๋วที่นิกโกะ ก็มีหลายท่านบอกว่าซื้อแบบ 1,300 เยนดีกว่า เพราะแบบพันเยนก็ต้องเสียอีกห้าร้อยยี่สิบเยนเพื่อไปมองไม้แกะสลักรูปแมวนอนหลับ พูดไปก้อจริง ประหยัดกว่าเห็นๆ
แต่ตีตั๋วมาญี่ปุ่นก็ยังทำได้ …แค่ซื้อตั๋วเข้าวัด จะมาถามหาความประหยัดแถวนี้….ก็หากไม่มีเวลามาก แนะนำที่พันสามร้อยเยน ที่ไปจะที่ศาลเจ้าโทโชกุอย่างเดียวพร้อมเที่ยวดูแมวหลับ ก็คุ้มดี




แต่อย่างว่า เราไม่ได้เที่ยวที่ศาลเจ้าโทโชกุที่เดียว ก็เลย พันเยน ดีกว่า ตามconcept : Slow Life@Nikko
หลังจากมีตั๋วในครอบครองแล้ว จุดแรกที่ไปคือวัดรินโนจิ (Rinnoji)ในฐานะที่เป็นจุดเริ่มแรกของวัดในพุทธศาสนาของนิกโกหลังจากมีการเปลี่ยนชื่อไปมา จนมาจบที่ชื่อปัจจุบัน

ก้อต้องบอกว่า วัดนี้มีประวัติมากว่าพันปีแล้ว ตั้งแต่ท่าน Shodo Shonin ได้นำพุทธศาสนาเข้ามาเผยแผ่ตั้งแต่ปี ค.ศ.766 และมีการเผยแพร่นิกายเท็นไดซึ่งเป็นลัทธิหนึ่งในพุทธศาสนาของญี่ปุ่น อย่างแพร่หลายในยุคต่อมา




ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า พุทธศาสนาในญี่ปุ่นนั้นมาที่หลังความเชื่อความศรัทธาใน ชินโต ของชาวญี่ปุ่น ซึ่งชินโตจะคล้ายกับการบูชาผีของเราสมัยก่อน แต่ชินโตจะมุ่งบูชาศรัทธาในเทพเจ้าที่สถิตในรูปธรรมชาติ อย่าง ลม ฝน ภูเขา ฟ้าร้องฟ้าผ่า โดยที่เห็นได้ชัดคือการบูชาภูเขา เช่นการนับถือภูเขาไฟฟูจิเป็นหนึ่งในเทพเจ้าตามความเชื่อแบบชินโต เพราะความเชื่อที่ว่า ภูเขา เป็นต้นกำเนิดแห่งฝน พายุ สายลม ซึ่งหมายรวมถึงความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ จึงมีการเคารพบูชาตามความเชื่อดั้งเดิม และยึดถือจนทุกวันนี้

ส่วนเท็นได , เซน(Zen) เป็นหนึ่งในลัทธิของพุทธศาสนา โดยเซนแตกมาจากนิกายเท็นไดอีกที เมื่อพุทธศาสนาเข้ามา แน่นอนต้องมีการต่อต้านขัดแย้ง แต่ในที่สุดคนญี่ปุ่นก็ทำให้พุทธศาสนากับชินโต เชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้

ที่วัดรินโนจินั้นเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมในแบบเท็นได(Tendai) ซึ่งมีจุดที่ต้องชมที่สำคัญคือ โถงซานบุซึโด(Sanbutsu-do) เป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในนิกโก ภายในมีพระพุทธรูปไม้แกะสลักปิดทับด้วยทอง สามองค์ ที่เค้าห้ามถ่ายภาพ…..ภายใน แต่เอารูปจากหนังสือท่องเที่ยวนิกโกมาให้ชมกัน




บ้านเรา..พระพุทธรูปนิยมใช้ปูนหรือสำริดในการปั้น จะมองหาพระพุทธรูปที่ทำด้วยไม้ชิ้นใหญ่ ก็ไม่ใคร่จะได้พบกันง่ายๆ แต่ที่นี่…พระพุทธรูปเป็นไม้แกะสลักที่วิจิตร อันเป็นหนึ่งในความ amazing ที่จะได้เห็นเป็นบุญตา

เมื่อใช้ตาในมองเข้าไป จะเห็นความกลมกลืนของความเชื่อที่ยืนยันแนวคิดอันศรัทธาของชาวญี่ปุ่นระหว่างพุทธศาสนากับชินโต ด้วยเพราะพระพุทธรูปแกะสลักทั้งสามองค์จะเป็นเสมือนความศรัทธาต่อเทพเจ้า(Kami=เทพเจ้าในชินโต)แห่งภูเขาทั้งสามแห่งในนิกโก คือ Mt. Nantai, Mt. Nyohou และ Mt. Tarou
เมื่อเทพเจ้าแห่งภูผา เป็นแนวศรัทธาแห่งชินโต และการแกะสลักรูปพระเป็นวิถีพุทธะ มันจึงเป็นการสอดประสานของความเชื่อทั้งสองแบบ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างที่ตานอกมองไม่เห็น

ว่าไปแล้วพุทธกับชินโต ไปด้วยกันด้วยดีมากๆในช่วงเอโดะ ตั้งแต่โชกุนคนแรกของเอโดะคือท่านอิเอะยะสุ โทกุงาวะที่รวมญี่ปุ่นเป็นปึกแผ่น ช่างคล้ายกับบ้านเรา ซึ่งอยู่ในช่วงของพระนเรศวรมหาราช ที่ว่ายุคนี้เป็นช่วงรุ่งเรืองก็ด้วยแนวคิดอันเป็นกลยุทธ์ในการปกครองสมัยนั้น ที่เรียกว่ารัฐทหาร (Bakufu) แน่นอนการปกครองจะราบลื่นย่อมต้องมีกุศโลบายในการหาแนวร่วมในการปกครอง เพื่อเป็นฐานในการครองเอโดะอย่างมั่นคง และพระก็ถือเป็นกลุ่มชนที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดของคนสมันนั้น ดังนั้นการสนับสนุนอัดฉีดทั้งเงินและ คนให้แก่ วัดก็มีมามหาศาล เพื่อแลกกับการชวนเชื่อแนวคิดรํฐทหารของเอโดะ รวมทั้งเป็นหูเป็นตาให้รัฐในการปกครอง อย่างว่า "There is No Such Thing As A Free Lunch," แน่นอน ผลก็คือ win-win ทั้งผู้ให้และผู้รับ ไม่งั้นเอโดะไม่รุ่งเรืองเป็นร้อยๆปี





จนสิ้นยุคเอโดะในช่วงปฎิวัติเมจิจึงเกิดฟ้าผ่า อะไรที่อิงกับอำนาจเก่าต้องเช็คบิล แน่นอนมีการตัดเงินสนับสนุนพุทธศาสนา เพราะวัดเป็นจุดที่มีศักยภาพในการต่อต้านเมจิ ตามมาด้วยการแก้กฎหมายแยกพุทธแยกชินโต แล้วจับชินโตเป็นฐานหนุนแนวคิดจักรพรรดิลูกพระอาทิตย์ ด้วยการสนับสนุนของรํฐ
ยุคเอโดะ จักรพรรดิเป็นเหมือนหุ่นเชิด ส่วนโชกุนถือดาบกุมอำนาจ แต่ยุคเมจิ อันตรงกับรัชสมัยรัชกาลที่ห้า เป็นการคืนพระราชอำนาจกลับมาที่องค์จักรพรรดิ เพราะเป็นจุดเปลี่ยนทางสังคมเมื่อวัฒนธรรมตะวันตกเริ่มมีอิทธิพล การจบสิ้นของเหล่าซามูไร ด้วยการตั้งกองกำลังของชาติแบบตะวันตกที่ใช้ปืนแทนดาบ ดูหนัง The Last Samurai จะเข้าใจเวลาตรงนี้ได้(นิดหน่อย)
ในช่วงที่มีการส่งเสริมชินโตเพื่อเป็นฐานของการปกครอง ก็มีการลดความน่าเชื่อถือของพุทธด้วยหลายวิถีทาง หนึ่งในนั้นคือ การให้พระมีเมียได้ แต่ปรากฏว่าสิ่งเหล่านี้ กลับเป็นตัวกระตุ้นให้คนเป็นพระมากกว่าเดิมอีก ช่างไม่น่าเชื่อ…สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง พุทธก็ยังไม่ดับสูญ ง่ายๆ

นี่เอง…เป็นที่มาของพระญี่ปุ่นมีเมียได้ แม้จะมาจากแนวคิดประทุษร้ายก็ตาม

จนกระทั่งจบสงครามโลกครั้งที่สองที่ญี่ปุ่นแพ้สงคราม ญี่ปุ่นถูกบังคับให้ยกเลิกแนวคิดชินโตที่มีความเชื่อว่าจักรพรรดิเป็นเชื้อสายลูกพระอาทิตย์ เพราะเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่แสดงการฝักใฝ่สงคราม ด้วยวลีการกล่าวยอมแพ้สงครามขององค์จักรพรรดิที่ลบล้างความเชื่อของชาวญี่ปุ่น จนทำให้คนญี่ปุ่นบางคนทำใจยอมรับไม่ได้ด้วยน้ำตา แต่ถึงอย่างไร พุทธกับชินโตก็ยังกลมกลืนกันได้ในสังคมญี่ปุ่นปัจจุบัน



เดินออกจากวัดรินโนจิ…มุ่งหน้าไปที่ศาลเจ้าโทโชกุโดยเส้นทางเดินที่เป็นถนนหลักโอโมเตะซานโด๊ะ ข้างทางทั้งสองฝั่งจะมีต้นสนที่สูงใหญ่ปลูกเรียงรายไปตลอดทาง สนที่ปลูกนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์แสดงการนำไปสู่ความยิ่งใหญ่ของศาลเจ้า ที่ไม่ใช่ปลูกแค่ที่เราเห็นแต่มีการปลูกเป็นแถวเป็นแนวมานับๆเป็นหลายกิโลเมตร ตั้งแต่เมือง Imaichi ที่ห่างนิกโกประมาณสิบกิโลเมตร ที่เมืองนี้จะมีจุดท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อคือ Cedar Avenue Park ก็คือการปลูกต้นสนซีดาร์เป็นแถวเป็นแนว มาจนถึงนิกโก ถึงถนนที่เรายืนอยู่ตรงนี้เลย
การปลูกสนซีดาร์เป็นแนวอย่างนี้ คงคล้ายกับการปูพรมแดง ซึ่งสะท้อนความสำคัญและยิ่งใหญ่ของศาลเจ้าโตโชกุได้เป็นอย่างดี พิจารณาดูกันครับ…นี่แหละ สนซีดาร์ที่ปลูกกันมาแต่ครั้งศตวรรษที่ 17

แต่ใครจะไปคาดคิดว่า เจ้าต้นสนพวกนี้ ได้เป็นเจ้าตัวร้ายสำหรับคนญี่ปุ่นบางคน ถ้าเราสังเกตุคนญี่ปุ่นจะเห็นว่าเค้าติดใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกกันเยอะมาก ก็ไม่ใช่เป็นแฟชั่นอะไรหรอก ….
แต่เป็นผลมาจากโรคภูมิแพ้ ซึ่งหนึ่งในสาเหตุก็มาจากละอองเกสรของต้นไม้พวกนี้ ใครที่ไปนิกโกให้ลองสังเกตละอองเกสรของสนพวกนี้ จะเห็นมันเป็นคล้ายหมอก ยังไงยังงั้น…ไอ จาม กันจ้าละหวั่น
งั้นใครที่เป็นภูมิแพ้ละอองเกสร หากมานิกโก อย่าลืมที่ปิดปากปิดจมูก กับยาแก้แพ้ ก็จะดี…มั๊กมาก

แล้วก็เดินมาถึงโทริที่ทำจากหินแกรนิต นับเป็นโทริที่ไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยนัก เพราะปกติโทริ มักทำมาจากไม้ ตรงนี้…โทรินี้ นับเป็น หนึ่งในสามของสุดยอดโทริที่ทำมาจากหิน ขอบอกว่ามันก็ไม่ธรรมดาเพราะเป็นโทริที่สร้างแบบมีสลัก เพื่อป้องกันแผ่นดินไหวไม่ให้มันพังง่ายๆ ไม่อยากเชื่อว่า นี่เป็นภูมิปัญญาเมื่อหลายร้อยปี ที่คนญี่ปุ่นได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติ

ข้างๆโทริ จะเห็นเจดีย์สีแดงสูงห้าชั้นตั้งอยู่ ปากทางเข้าสู่ศาลเจ้า ไอ้เจ้าเจดีย์ที่เราเห็นกันชินตาในญี่ปุ่นเหล่านี้ ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะสถาปัตยกรรมที่สร้างเจดีย์เหล่านี้ไม่ใช่แค่สร้างออกมาเป็นรูปเป็นทรงธรรมดา แต่ต้องบวกวิศวกรรมการสร้างที่ดี เพื่อรองรับการสั่นไหวของเหตุการณ์แผ่นดินไหวด้วย แน่นอนสร้างแบบธรรมดาไม่ได้




เจดีย์ห้าชั้นนี้ที่แต่ละชั้นสื่อในความหมายของ ดิน น้ำ ลม ไฟ และสวรรค์ที่เป็นชั้นสุดท้ายนั้น มีการสร้างแบบไม่มีพื้นชั้นภายในระหว่างชั้น จุดประสงค์เพื่อเอาตุ้มถ่วงน้ำหนักแขวนถ่วงเอาไว้ ให้เกิดสมดุลหากมีแผ่นดินไหว เป็นภูมิปัญญาที่เอาชนะภัยธรรมชาติแบบหนึ่งของคนญี่ปุ่น

ผ่านประตูเข้าไป ประตูชั้นแรกนี้(Omotemon)จะมีท่านนี้เป็นผู้พิทักษ์ประตู เห็นปิดปากอย่างนี้ จริงๆคือกำลังออกเสียงพูดพยัญชนะตัวสุดท้ายในภาษาสันสกฤต




ผ่านประตูเข้าไปซ้ายมือ ก็จะพบโคมตะเกียงมากมาย ทั้งที่มาจากต่างชาติเช่น จีนโปรตุเกส และในญี่ปุ่นเอง โดยบางโคมก็เป็นหิน บางโคมก็สัมริด ที่ปรากฏร่องรอยของดาบซามูไร ด้วยว่ายามค่ำคืนจะมองเป็นคล้ายเงาปีศาจจนบางคนเรียกมันว่า โคมปีศาจ




ตรงนี้ เราจะเริ่มมองเห็นประกายความรุ่งเรือง ของสถาปัตยกรรมในสมัยนั้นได้ อย่างไม่ต้องจินตนาการอะไรมากเลย เป็น แนวอาคารที่เป็นอาคารศักดิสิทธิ์สามหลัง โดยมีแนวสนซีดาร์เป็นพื้นหลังสูงตระการตา






อาคารที่เรียกกันว่า Sanjinko -Three Sacred Warehouses นี้จะมีอยู่หนึ่งหลัง ซึ่งเป็นหลังที่ตรงข้ามกับอาคารที่มีลิงสามตัว อาคารนี้จะมี รูปแกะสลักช้างอยู่คู่หนึ่ง เป็นช้างสีขาวและสีดำ หันหน้าเข้าหากัน




ดูยังไง…ก็ไม่ค่อยจะเหมือนช้าง ก็เหตุเพราะช่างผู้แกะสลักนั้นแกะสลักตามจินตนาการที่บอกเล่ามา ตัวเค้าเองนั้นไม่เคยเห็นช้างหรอก นี่แหละ…ช้างในจินตนาการ แต่ยกนิ้วให้…เก่งมาก แกะออกมาจนได้
ช้างคู่นี้ ใครมานิกโกไม่เห็นมัน ก็ช่างเสียหายจริงๆ


ชมช้างแล้ว ก็กลับหลังหัน ไปดูอาคารที่อยู่ตรงข้าม เค้าเรียกที่นี่ว่า อาคารที่เก็บม้าศักดิสิทธ์ ม้านี้ก็เป็นม้าสีขาวตัวเป็นๆ ตรงนี้แหละ ที่นิกโกโด่งดังไปทั่วโลก ก็เจ้าภาพแกะสลักลิงสามตัวนี้เป็นจุดขาย




คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าลิงจะช่วยให้ม้าแข็งแรงไม่มีโรคภัยได้ จึงแกะสลักภาพลิงจำนวนแปดชุดประดับไว้รอบอาคาร ใครที่มาดู ก็ควรดูให้ครบทั้งแปดชุดเลยน่ะครับ อย่าดูแค่ลิงปิดหูปิดตา แค่นั้น

ภาพแกะสลักลิงทั้งแปดชุดเป็นการสะท้อนการใช้ชีวิตของลิงตั้งแต่เกิดมามองหน้าแม่อย่างศรัทธาเชื่อมั่น มาเป็นลิงเด็กๆที่ถูกสอนให้อย่าไปฟัง ไปพูด ไปเห็นสิ่งที่ไม่ดี ตามคำสอนในนิกายเท็นได ซึ่งก็แกะเป็นรูปลิงสามตัวที่มีชื่อเสียง หลายท่านบอกว่าจริงๆแค่ See no evil ,Hear no evil ,Speak no evil ยังไม่น่าจะครบตามคำสอน เพราะขาด Do no evil ไป อันนี้..สงสัยช่างแกะสลักคงพอแค่ สามสหาย(Sansaru)หรือเปล่า ไม่รู้
ภาพแกะสลักลิงทั้งแปดชุด จะไปจบเรื่องราวที่ไอ้ลูกลิงตัวนั้น กลายเป็นแม่ลิงเมื่อมันตั้งท้อง ด้วยประการฉะนี้




ในบรรดาแปดชุดนี้ โดยส่วนตัวชอบชุดหนึ่งในภาพชุดแกะสลักนั้นคือภาพสองลิงได้ร่วมหัวจมท้ายกัน ด้วยการสร้างครอบครัวด้วยกัน

โดยมีการแกะสลักให้ลิงอีกตัว ไม่แน่ใจในเพศ จับเกลียวคลื่นไว้ โดยเปรียบเหมือนเกลียวคลื่นที่ถาโถมนี้เป็นดั่งเรื่องราวที่จะพัดพาเข้ามาในชีวิต ก็คงต้องให้กำลังใจกันว่า ขอให้มันร่วมฝ่าฟันคลื่นอุปสรรคปัญหาไปได้ด้วยดี

ดูภาพนี้แล้ว มันได้คะแนนของความรู้สึกของการลงเรือลำเดียวกัน ยังไงยังงั้น เป็นจินตนาการแห่งการแกะสลักที่ทรงความหมายต่อคนมีชีวิตคู่ได้ดี ….. ชอบครับ




จากนั้นไปชำระล้างกายให้สะอาดที่บ่อน้ำศักดิสิทธิ์ ล้างไม้ล้างมือ ตามความเชื่อกันก่อน จริงแล้วก็ต้องป้วนปากด้วยแต่ไม่กล้าทำ….กลัวอะไรก็ไม่รู้ ไวลงไวรัสอะไรพวกนี้ แต่แปลกคนญี่ปุ่นผู้ที่ได้ชื่อว่าสะอาดสุดๆ เค้ากล้าป้วนด้วยกระบวยเดียวกันกับคนแปลกหน้า…งง
สะอาดเสร็จ ก็เดินรอดโทริที่ทำจากบรอนซ์ สำคัญตรงที่ มันเป็นโทริที่ทำจากบรอนซ์อันแรกของญี่ปุ่น จะไม่เป็นอันแรกได้ไง ก็สร้างขึ้นมาพร้อมๆกับศาลเจ้าโตโชกุ
วกกลับมาที่โทริที่ทำจากบรอนซ์หน่อย ใครที่ไปเกาะเอะโนชิมา(Enoshima)แถบคามากุระ ก็จะเห็นว่ามีโทริก่อนเข้าถนนช๊อบปิ้ง นี่ก็เป็น โทริบรอนซ์เหมือนกัน สีจะออกเขียวๆเป็นตะไคร่น้ำหน่อยๆ ดูขลังดี

ก้าวผ่านขึ้นบันไดไป เบื้องหน้าก็คือ ชิ้นงานอันอลังการแห่งศิลปะ “ ประตูโยเมอิมง”(Yomeimon) อันวิจิตรบรรจงแห่งงานฝีมือช่างญี่ปุ่นทั้งประเทศ ประมาณ 15,000 ยอดช่างฝีมือในการสร้างศาลเจ้าลัทธิชินโต ศาลเจ้าโตโชกุ ที่ใช้เวลาสร้างแค่ 1 ปีกับอีก 5 เดือน ไม่นับรวมผู้ที่มีส่วนในการสร้างอีก เกือบเก้าล้านคน ย่อมแสดงให้เห็นถึงความมีอำนาจของตระกูลโตกุกาวา ตรงการใช้ความยอดเยี่ยมของช่างฝีมือทั้งเกาะญี่ปุ่นนี้เอง กระมั่งเค้าจึงว่าเอาไว้ว่า “Nikko is Nippon” อย่างไม่มีที่ใดเทียม

แต่ช้าก่อน ก่อนไปชมประตูโยเมอิมง ตอนนี้เป็นหนึ่งใน highlight ที่ไม่ควรพลาด นั้นคือ ภาพแกะสลักต่างๆรอบกำแพงที่เป็นแนวเดียวกับประตูโยเมอิมง ….ลงเดินดู กันครับ Amazing และงดงามตามากๆจนถึงที่สุดงาม




อีกจุดคือ อาคารไม้หลังใหญ่ ที่อยู่ซ้ายมือเรา หากเบื้องหน้าเราคือประตูโยเมอิมง ตรงนี้ตรงเข้าไปแล้วถอดรองเท้า เข้าไปดูภายในอาคารครับ จะมีไกด์ที่เป็นพระคุณเจ้าบรรยายเป็นภาษาท้องถิ่น ที่เข้าใจได้ว่า ภายใต้รูปวาดมังกรตัวนี้ที่วาดไว้ที่เพดาน มีความพิเศษตรงที่ มันเป็นมังกรที่คำรามได้




เพียงแต่เอากรับไม้มาตีที่หัวมังกร มันจะเกิดเสียงสะท้อนเป็นเสียงคำรามอันน่าพิศวงของเจ้ามังกรตัวนี้ หลายคนบอกว่า ก็ไม่เห็นแปลกอะไร แค่เสียงสะท้อน แต่ช้าก่อน ความพิเศษของเสียงสะท้อนนี้ มันเกิดเฉพาะตรงส่วนหัวของมังกรเท่านั้น ใครไปเคาะกรับไม้ที่ท้องหรือหางมังกร แปลกแฮะ…มันไม่มีเสียงสะท้อน
โอว…อย่างนี้ มันก็เลย Amazing Nikko ซิ….แม่นแล้ว ฉะนั้นก็อย่าลืม ไปฟังมังกรคำรามที่นิกโกด้วยน่ะ

ถึงตรงนี้ ชักคุ้มแฮะ…ได้เห็นลิง เห็นช้าง ตรงนี้ก็เห็นมังกรคำรามอีก ใกล้ครบหลักสูตรแล้ววว




ก่อนเข้าไปยังชั้นในของศาลเจ้าโตโชกุ ก็จะมีเจ้าประตูโยเมอิมง ขวางอยู่ ขวางให้เราชื่นชม ชมจนบางคนเปรียบเปรยไว้ว่า ดูกันตั้งแต่เช้ายังเย็นยังไม่หมดแรงพิศชมความงามของประตูนี้ จนได้ชื่อไว้ว่า Sunset Door
ประตูแห่งนี้เป็นการผสมผสานศิลปะของจีนและญี่ปุ่นเอาไว้อย่างลงตัว จุดที่สำคัญคือ ลองมองหาเจ้าหัวมังกรที่ประตูนี้ มันเป็นมังกรที่หัวเราะ 48 หัว ที่เป็นตัวเลข 48 ก็เพราะเรื่องเดียวกับตัวเลขโค้งของถนนจากนิกโกไปที่น้ำตกเคง่อนที่เรียกว่า Irohazaka Winding Road
“ ตัวเลข 48 มาจากจำนวนอักษรของญี่ปุ่นโบราณที่มี 48 ตัว..”

ความพิเศษของมังกรหัวเราะ 48 หัวที่ประตูโยเมอิมง ก็คือ การไม่ซ้ำกันเลย ทั้งท่าทาง การลงสี รูปแบบ อันนี้ต้องไปดูเอาเองล่ะ……..




ที่ประตูนี้ นอกจากมังกรแล้วยังมีสัตว์ในนิยายเช่น อิกิ (Iki) จะคล้ายมังกรแต่มีเขี้ยว มีเครา และที่สำคัญมีรูจมูกที่ริมฝีปากบน ลองหาดูครับ….




ผ่านประตูเข้าไป สู่ชั้นในของศาลเจ้าโทโชกุ ศาลเจ้าแห่งความกตัญญูของหลานชาย โชกุนลำดับที่สามแห่งตระกูลโตกุกาวา ท่านอิเอะมิตสุ(Iemitsu) ที่สร้างให้คุณปู่ โชกุนลำดับที่หนึ่งแห่งตระกูลโตกุกาวา ท่านอิเอะยาสุ(Ieyasu)

ท่านอิเอะยาสุ(Ieyasu) มักจะเป็นที่รู้จักของคนอย่างกว้างขวางในฐานะโชกุนผู้รวบรวมอำนาจของญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่งเดียว เมื่อครั้งการล่มสลายของตระกูลโตโยโตมิ และการมีอำนาจที่ชัดเจนที่มากขึ้นเมื่อมีชัยชนะในการรบที่เรียกว่า เซกิงะฮารา ( The Battle of Sekigahara ) ที่เกิดจากความคิดที่แตกต่างเมื่อโชกุนฮิเดโยชิ โตโยโตมิ (Hideyoshi Toyotomi) ได้เสียชีวิตลง แล้วต้องการมีการสืบทอดอำนาจโดยบุตรชายท่านโชกุนยังอยู่ในเยาว์วัย ห้าขวบ แต่มีฝ่ายเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย จึงเกิดศึกที่เรียกว่า เป็นศึกที่ยิ่งใหญ่ศึกหนึ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น

แน่นอนว่าท่านอิเอะยาสุชนะ พร้อมกับขุนพลที่เป็นพันธมิตรอย่าง ไดเมียว ท่านดาเต้ มาซามูเน่(Date Masamune) ที่เรารู้จักกันว่าเป็นผู้สร้างเมืองเซนได




หากคนไทยเรากล่าวไว้เกี่ยวกับผู้ชายว่า “ชีวิตเริ่มที่อายุ 40ปี” เห็นที จะใช้ไม่ได้กับท่านอิเอะยาสุ(Ieyasu Tokugawa) เพราะกว่าจะเป็นโชกุน เวลาตอนนั้น ท่านอายุปาเข้าไปวัยเกษียร 60 ปีไปแล้ว แต่ท่านอยู่ในตำแหน่งโชกุนแค่ 3 ปีก็หลีกทางให้รุ่นลูก น่าศึกษาครับ….ทำไมกัน บ้างก็ว่า ท่านไปจัดระเบียบระบบการปกครอง ในฉากหลังม่าน เรียกว่าเป็นกุนซือให้รุ่นลูก เพื่อวางรากฐานในการปกครองให้แข็งแกร่ง

และรุ่นลูกก็หลีกทางให้รุ่นลูกอีกที นั้นก็คือ หลานของท่านอิเอะยาสุ(Ieyasu Tokugawa) ที่ชื่อว่า ท่านอิเอะมิตสุ(Iemitsu Tokugawa) ที่เป็นผู้สร้างศาลเจ้าโตโชกุที่นิกโก นี่เองง ตามความประสงค์ของท่านปู่ที่ต้องการเอาอัฐิตัวเองมาไว้ที่นี่ ที่ๆเป็นทิศเหนือของโตเกียวหรือเอโดะ เพื่อปกป้องลูกหลานและเอโดะตามความเชื่อที่ทิศเหนือเป็นทิศต้องห้าม ที่ภูตผีปีศาจจะมาในทิศนี้ เรื่องนี้ใครเคยอ่าน หนังสือของ ส.พลายน้อย ที่เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น จะบอกไว้ว่าทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นทิศที่ไม่ใคร่ที่คนญี่ปุ่นจะหันหน้าบ้านไปทิศนั้น ตามความเชื่อ




สำหรับท่านอิเอะมิตสุ(Iemitsu Tokugawa) ผู้เป็นโชกุนลำดับที่สามของตระกูล นับว่าเป็นท่านหนึ่งที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ และมีคุณูปการต่อญี่ปุ่นจนถึงทุกวันนี้

ท่านเป็นโชกุนคนแรกของตระกูลที่เสียชีวิตในตำแหน่ง
ท่านเป็นโชกุนที่มีศักด์เป็น ลุง ของจักรพรรดินี
ท่านเป็นโชกุน ที่อยู่ในช่วงการปิดประเทศ ด้วยมุมมองที่ยาวไกล เพราะไม่เช่นนั้น การลุกลามของอิทธิพลตะวันตกจะเป็นภัยคุมคามต่อความมั่นคงของญี่ปุ่นเอง เหมือนหลายประเทศในเอเชียเกิดขึ้น ในช่วงนี้เราก็จะเริ่มเห็นความเหี้ยมของญี่ปุ่น ในการไม่ต้อนรับต่างชาติเว้นบางชาติเช่นโปรตุเกตุ จนเป็นเรื่อง Xenophobia ในสังคมญี่ปุ่น มิชชั่นนารีถูกสังหาร ขับออกนอกประเทศ แม้บางชาติส่งทูตมายังตายกลับไป จนเป็นที่ขยาดไปทั่ว




ถึงตรงนี้ก็เข้าไปในศาลเจ้า ซึ่งตรงนี้ บรรยายไม่ถูก…ดูลึกลับ และเข้มขึงในบรรยากาศภายใน ในสภาพแสงไฟแค่พอเห็นทาง ดูขลังดี….เคยถามหลายท่านที่ไปนิกโก กลับไม่ได้เข้าไปเพราะแค่ต้องถอดรองเท้า หรือไม่ก็รีบไปดูรูปแมวแกะสลัก จนลืมดู….

ผมว่าตรงนี้แหละ หัวใจนิกโก ที่เราข้ามทะเลมาดู…..




แล้วก็ถึงเวลาไปดูภาพแกะสลักอันเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว ภาพแกะสลักรูปแมวนอนหลับ แต่เพราะมีตั๋ว 1300 เยนก็ต้องซื้อตั๋วเพิ่มอีก 520 เยนเพื่อเข้าไปดูรูปแกะสลักนี้ และเมื่อเราก้าวผ่านใต้รูปแมว ก็เป็นเส้นทางขึ้นเขาไปยังที่เก็บอัฐิท่านอิเอะยะสุ




ตรงภาพแกะสลักแมวนอนหลับนี้ นับเป็นงานชิ้นเอกของช่างฝีมือ ฮิดาริ จินโกโระ ( Hidari Jingoro) ผู้เป็นยอดฝีมือที่มีความถนัดด้านมือซ้าย

ลองสังเกตรูปหน้าแมว ก็จะหันใบหน้าด้านซ้ายออกมา ที่สะท้อนไปยังตัวของช่างแกะสลักด้วย เหตุผลที่ต้องแกะเป็นรูปแมวนอนหลับ ก่อนเข้าทางขึ้นไปยังสถานที่ที่ท่านอิเอะยะสุพักผ่อนอยู่ ก็น่าจะมาจากวิถีชิวิตของคนญี่ปุ่นที่มีความเชื่อต่อแมวในการที่แมวมักมีสัมผัสรู้ว่าใครไปใครมา เป็นหน้าด่านของบ้าน เพื่อเฝ้าดูความเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นเชิงสัญลักษณ์ต่อการที่ใครจะเข้ามาคารวะท่านโชกุน ให้ได้รู้ว่าท่านกำลังเข้ามาสู่เขตแดนแห่งความสงบที่เป็นนิรันดรของท่านปู่ อิเอะยาสุ





อีกความหมายหนึ่งที่ตรงๆคือ ด้านหลังภาพแมวนอนหลับนี้ คือภาพแกะสลักรูปนกกระจอก เราจะเห็นเมื่อตอนลงจากเขาที่เก็บอัฐิโชกุน โดยปกติแล้วแมวมักจับนกกระจอกกินหรือไม่ก็ตะปบเล่นจนนกตาย ซึ่งมันก็สะท้อนว่าแมวกับนกอยู่กันในระนาบเดียวกันได้ อันสื่อในนัยยะว่า การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขระหว่างผู้ล่ากับผู้ถูกล่าได้เกิดขึ้นแล้ว ศานติเริ่มเปล่งแสงแห่งภราดรจนนิรันดร

สอดคล้องกับภาวการณ์ปกครองในยุคนั้น การทำให้เกิดการปรองดองของการแบ่งขั้ว ที่มีมาก่อนหน้านั้นที่เป็นสงครามกลางเมือง ควรถึงจุดเอกฉันท์ในการสร้างชาติร่วมกัน
นับว่ารูปแกะสลักแมวนอนหลับนี้ เป็นงานแกะสลักที่มีความหมายมากในงานศิลปะ จนถึงปัจจุบัน




เวลาที่เหลือของวันนี้ ก็คงไปตามศาลเจ้าที่เหลือ แต่คงไม่สามารถนำเที่ยวได้ เพราะวันนี้เหนื่อยเหลือเกิน แต่อย่างว่านิกโกในป่าสนที่สวยงามและศักดิ์สิทธ์ เป็นที่สุดความอลังการของงานฝีมือช่างญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นเค้าก็ถึงว่าไว้

"See Nikko and die"





 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2551
6 comments
Last Update : 27 พฤษภาคม 2551 21:57:45 น.
Counter : 7877 Pageviews.

 

พึ่งไปนิกโก้มาเมื่ออาทิตย์ก่อน
ไปตอนงานมัตซึริพอดี คนเยอะมาก ๆ
แต่วัดสวยดีนะคะ อยากไปเที่ยวอีก

 

โดย: ssachiy IP: 122.29.12.62 27 พฤษภาคม 2551 19:47:47 น.  

 

ถ่ายภาพสวยมากค้ะ ดูมีชีวิตชีวา และคำอธิบายก็ดีมาก เคยไปมาครั้งหนึ่งตอนมาอยู่ญี่ปุ่นใหม่ๆ
อยากไปอีก สามียังไม่พาไปเลย ปีหน้าต้องไปให้ได้

 

โดย: พนอจัน IP: 218.230.58.213 27 พฤษภาคม 2551 19:55:08 น.  

 

ดูอลังการมากนะคะ รายละเอียดต่าง ๆ ฝีมือจริง ๆ สวยค่ะ

 

โดย: fulgurant 28 พฤษภาคม 2551 5:07:56 น.  

 

นิกโก้ สุดยอดค่ะ
เล่าเรื่องได้ดีมากๆ อ่านแล้วเห็นภาพพร้อมได้ความรู้ไปด้วย
ยิ่งทำให้อยากไป~

ขอบคุณสำหรับรีวิวดี มีสาระอย่างนี้ค่ะ

 

โดย: tee IP: 125.24.100.104 27 มกราคม 2553 16:27:07 น.  

 

ขอบคุณมากครับ ถือเป็นกำลังใจที่ดีมากครับ

 

โดย: the fivedog 1 กุมภาพันธ์ 2553 21:48:48 น.  

 

ขอบคุณสำหรับการเล่าเรื่องที่บอกรายละเอียดต่างๆของนิโกให้เข้าใจและเพลิดเพลินคะ พึ่งได้ไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ไปแบบไม่รู้ข้อมูลอะไรมาก ประกอบกันมีในตกในวันนั้นด้วยทำให้ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดอะไรมาก พอกลับมาอ่านถึงเข้าใจหลายๆอย่างที่คนญี่ปุ่นได้ซ่อนไว้ ยอดเยี่ยมจริงๆคะ นับถือความคิดเค้าเล ^^

 

โดย: หมูตอน IP: 133.130.49.172 9 พฤศจิกายน 2558 22:20:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


the fivedog
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




การได้อยู่กับคนที่เรารัก ก็ดีพอแล้ว
แต่การได้เดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน มันสุดยอดมากกับชีวิตคู่ ของคนธรรมดาคนหนึ่ง

คนที่เชื่อมั่นในการให้ การแชร์สิ่งดีๆให้แก่กันและกัน เพื่อสังคมดีๆ ที่น่าอยู่ต่อไป
New Comments
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2551
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
27 พฤษภาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add the fivedog's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.