กลาก (Dermatophytosis , Ringworm) หรือ ที่บางคนเรียกกันว่าขี้กลาก เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อราพวก Dermatophyte เชื้อเหล่านี้สามารถย่อย Keratin ได้ และต้องอาศัยสาร Keratin เป็นอาหารในการเจริญเติบโตและสภาพอับชื้นที่เหมาะสม ชอบเจริญอยู่เฉพาะในผิวหนังชั้นนอกสุด รวมทั้งเส้นผมและเล็บ จึงสามารถทำให้เกิดโรคได้แทบทุกส่วนของร่างกาย โรคกลากเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายทางการสัมผัสโดยตรง หรือใช้ของร่วมกัน เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ถุงเท้า รองเท้า หวี หรือติดมาจากร้านตัดผม ร้านเสริมสวย หรือติดมาจากสัตว์เลี้ยงที่เป็นโรค เช่น สุนัข แมว
อาการ จะเป็นผื่นแดง วงกลม มีขอบเขตชัดเจน รูปร่างคล้ายวงแหวน มีสะเก็ดลอกขุยที่ขอบ วงนี้จะลุกลามขยายออกไปเรื่อยๆ และอาจขึ้นเป็นวงติดๆ กันหลายวง หรือเป็นวงซ้อนกัน ซึ่งจะยิ่งเห็นรูปร่างวงแหวนชัดเจนยิ่งขึ้น ที่สำคัญมักจะมีอาการคัน
ตำแหน่ง โรคกลากสามารถเกิดขึ้นได้ตามบริเวณต่างๆ ของร่างกาย ลักษณะของผื่นจะขึ้นกับบริเวณที่เกิดโรค และมีชื่อเรียกแตกต่างกัน ดังนี้
1. โรคกลากที่หนังศีรษะและเส้นผม (Tinea capitis) พบมากในเด็กเล็ก และเด็กวัยเรียนช่วงก่อนวัยรุ่น สามารถติดต่อกันได้ง่ายจากการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น ผ้าปูที่นอน หมอน หมวก หวี เป็นต้น มีอาการผมร่วงเป็นหย่อมๆ ลักษณะเป็นวงกลม มีสะเก็ดลอก เส้นผมเปราะหักง่าย และมักมีอาการคัน ถ้าเป็นมากจะกลายเป็นตุ่มหนอง มีน้ำเหลืองเยิ้ม เรียกว่า "ชันนะตุ" 2. โรคกลากที่ลำตัว แขน ขา (Tinea corporis) เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด ลักษณะเป็นผื่นชัดเจนที่มีรูปร่างคล้ายวงแหวนสีแดง มักมีตุ่มน้ำใสเล็กๆ หรือขุยขาวๆ อยู่รอบๆ วง อาจมีอาการคันหรือไม่คันก็ได้ ถ้าไม่รักษาผื่นจะลามออกไปเรื่อยๆ 3. โรคกลากที่ขาหนีบ (Tinea cruris) มักเรียกว่า "สังคัง" ส่วนมากจะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เกิดจากการอับชื้นของบริเวณขาหนีบ ลักษณะผื่นเริ่มแรกจะเป็นตุ่มแดงๆ ที่ต้นขาหรือขาหนีบ แล้วลุกลามเป็นวงไปที่ต้นขาด้านใน และอวัยวะเพศภายนอก เป็นผื่นสีแดง มีสะเก็ดและขอบชัดเจน มีอาการคัน โดยมากจะรับเชื้อมาจากการใช้ผ้าเช็ดตัว ชุดชั้นใน และเสื้อผ้าร่วมกับผู้ที่เป็นโรคเชื้อรา หรือมักเป็นในช่วงหน้าร้อนเพราะมีเหงื่ออับชื้น 4. โรคกลากที่เท้า (Tinea pedis) เรียกว่า "ฮ่องกงฟุต" มักพบในผู้ชายที่ใส่ถุงเท้าและรองเท้าเป็นระยะเวลานานทำให้เกิดการอับชื้น เพราะมีเหงื่อออกมาก นอกจากนี้ยังพบในคนที่ทำงานที่เท้าต้องโดนน้ำบ่อยๆ หรือลุยน้ำ และคนที่มีนิ้วเท้าบีบชิดกันตามธรรมชาติ ทำให้ง่ามนิ้วเท้าอับชื้นง่าย มักจะขึ้นเป็นขุยขาวๆ และยุ่ย ต่อมาลอกเป็นแผ่นหรือสะเก็ด แล้วแตกเป็นร่อง มีกลิ่น และมีอาการคันยิบๆ ร่วมด้วย 5. โรคกลากที่เล็บ (Tinea unguium) เรียกว่า โรคเชื้อราที่เล็บ มักพบในผู้ใหญ่ โรคกลากชนิดนี้จะติดมาจากโรคกลากที่มือและเท้า ถ้าเป็นที่เล็บเท้ามักเกิดจากโรคฮ่องกงฟุตที่เป็นเรื้อรัง ถ้าเป็นที่เล็บมือ มักมีอาการของโรคเชื้อราที่บริเวณอื่นมาก่อน หรือได้รับเชื้อมาจากร้านเสริมสวย เล็บจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือดำคล้ำ มีลักษณะขรุขระและยุ่ย เล็บจะหนาขึ้น ถ้าเป็นมากเล็บจะผุกร่อนทั้งเล็บ |
|
การรักษา
การรักษากลากที่เป็นเฉพาะที่อาจใช้ยาทา มียาทาหลายกลุ่มให้เลือกใช้ เช่น โคลทรัยมาโซล ไมโคนาโซล คีโตโคนาโซล ไอโซโคนาโซล เป็นต้น ยาบางชนิดทา 2 ครั้ง บางชนิดทาวันละครั้งก็เพียงพอ ส่วนยารับประทานควรใช้ในรายที่เป็นผื่นบริเวณกว้าง เช่น กริซิโอฟูลวิน คีโตโคนาโซล ไอตราโคนาโซล ซึ่งแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสมของผื่นแต่ละราย และควรใช้ยาอย่างต่อเนื่องตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
หลังจากกินยาหรือทายาไปประมาณ 5-7 วัน ผื่นอาจจะยุบและหายคัน แต่ยังหยุดยาไม่ได้ เพราะเชื้อยังไม่ถูกกำจัดออกไปหมด ควรกินยาและทายาต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นอีก ถ้าเป็นที่ผิวหนังต้องใช้ยานานประมาณ 4-6 สัปดาห์
การรักษาเชื้อราที่เล็บต้องใช้เวลานาน เนื่องจากเล็บจะยาวออกมาช้ามาก ถ้าเป็นที่นิ้วมือจะต้องใช้เวลารักษานานประมาณ 4-6 เดือน ส่วนที่เล็บเท้าต้องใช้เวลารักษาเป็นปี บางครั้งอาจต้องถอดเล็บและใช้ยาฆ่าเชื้อราทา ดังนั้น การป้องกันไม่ให้เป็นเชื้อราที่เล็บเป็นวิธีที่ดีกว่า ซึ่งทำได้โดยระมัดระวังไม่ใช้อุปกรณ์เสริมสวยเล็บร่วมกับผู้อื่น
การป้องกัน
1. รักษาความสะอาดของร่างกาย โดยอาบน้ำทุกวันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และควรเช็ดตัวให้แห้ง ระวังอย่าให้เกิดความอับชื้นบริเวณต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณซอกพับต่างๆ เช่น รักแร้ ใต้ราวนม ขาหนีบ ที่เท้า
2. ทำความสะอาดเสื้อผ้า ถุงเท้า รองเท้า ควรตากแดดให้แห้ง
3. หลีกเลี่ยงไม่สัมผัส คลุกคลี หรือใช้ของร่วมกับคนที่เป็นโรคกลาก
ข้อแนะนำ
1. ควรทายาและกินยาอย่างสม่ำเสมอ
2. รักษาทุกคนในบ้านที่เป็นโรคกลาก
3. ถ้ามีผื่นผิวหนังที่มีอาการคันและสงสัยว่าจะเป็นโรคกลาก ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง ควรจะไปรับการตรวจและวินิจฉัยที่ถูกต้อง