นับเวลาถอยหลัง 5 4 3 2 1 อีก 2 เดือนจะแต่งงาน
 
กรกฏาคม 2549
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
31 กรกฏาคม 2549
 
 
คำแนะนำจากกัลยาณมิตร....เรื่องชีวิตคู่

คำแนะนำเรื่องชีวิตคู่ดีๆจากกัลยาณมิตร

ขอมาให้กำลังใจน้อง jellynim ครับ เห็นด้วยกับคุณ Mayrin หลังแต่งมีทั้งสุขและทุกข์

ทุกข์ที่เกิดให้กำหนดรู้และแก้ เวลาได้ยินที่ไม่ชอบให้ตั้งสติ อย่ามีปฏิกิริยาทันที สงบไว้ก่อน และแก้ด้วยปัญญา สุขมีบางเวลาครับ เมื่อเราพอใจ ที่เขาทำถูกใจเรา

หลักคือน้องต้องตั้งใจว่า จะมีสุข แม้ไม่ต้องถูกใจ เพราะฝึกจิตดีแล้ว มีสุขโดยไม่มีอามิส

อ่านดูแล้ว น้องเป็นคนน่ารักมากครับ ขี้งอนและขี้ใจน้อย แบบเด็กๆ แฟนก็ดูเป็นคนดีนี่ครับ ความกังวลในการแต่งงาน มีได้เสมอครับ ขอให้กำลังใจให้ต่อสู้และชนะอุปสรรคได้ครับ

มีประเด็น คือ ความเข้าใจกันกับแฟนและครอบครัวแฟน
อย่าได้ถือสาคนที่พูดไม่ถูกใจเราครับ ให้น้องแยกเป็น 2 ส่วน

1. เขาพูดถูกต้องหรือไม่ ถ้า เขาพูดถูกต้อง ตาม 1.หลัก วิชาการ 2. ตามหลักธรรม เราต้องฟังเขา และขอบคุณเขาที่เตือนเรา เขาจะได้เตือนเราอีก คนที่พูดแต่เอาใจ ต้องระวัง

2. เจตนาเขาเป็นเช่นไร ถ้า เขาไม่มีเจตนา ทำให้เราเสียใจ เราควรไม่โกรธเขา เพราะการตักเตือนในสิ่งที่ดี ย่อมทำให้ชีวิตเราไม่ผิดพลาดง่ายครับ

ในกรณี ของคนที่เขียนมาในนี้ บางคน หรือ ของแฟนน้อง เท่าที่ เล่ามา

บางครั้งแฟนก็มีเหตุผลครับ เช่น พื้นหินอ่อน อาจต้องระวัง ถ้าเราเห็นว่า จริง เกิดประโยชน์ เราก็บอกเห็นด้วย แต่เมื่อเราเหนื่อยก็ไม่ต้องทำต่อครับ

ต่อไปเมื่อน้อง สนทนากับแฟน ให้บอกเขาไป หรือตกลงในการพูดคุยกัน ไม่ให้โกรธกัน เช่น

น้องเป็นผู้หญิง ให้พูดกับน้อง ด้วยความนุ่มนวล ไม่ตำหนิหรือปฏิเสธก่อน ให้แสดงความเห็น เป็นประโยคบอกเล่าหรือถามความเห็นของน้องก่อนทุกครั้ง ก่อนทำการตัดสินใจ

การถามก่อน ย่อมทำให้น้องรู้สึกได้รับเกียรติ น้องก็เช่นกัน ให้ถามก่อนย่อมทำให้เขาชอบ

ถ้าน้องงอน ตกลงกับเขาให้ เริ่มมาง้อก่อนทุกครั้ง และให้น้องให้อภัย อย่าเกิน 1 วัน

2.ความสัมพันธ์กับพ่อแม่พี่น้องของเขา
ครอบครัวคนจีน บางครั้งค่าใช้จ่ายรวม การดูแลการเงินของครอบครัว จะไม่ใช่น้อง เช่นค่าน้ำไฟ อาหาร ฯลฯ

เงินที่ได้จากแฟน จากน้อง จะทำอย่างไร ควรปรึกษากันดู หลักการพูดจาคือ ถามความเห็นเขา มีหลักคือ บริสุทธ ยุติธรรม ครอบครัวน้องจะช่วยกองกลางเท่าไร เก็นเท่าไร ใครเก็บ ผมแนะนำให้น้องเป็นคนเก็บเงินในครอบครัวของน้อง ถ้าไม่ได้ให้เก็บส่วนของเรา

ขอให้น้องมีน้ำใจ อ่อนโยน ไม่งอน ไม่ขี้โกรธ กับพ่อแม่เขา โดย ซื้อขนมมาฝาก พูดเพราะ ดูแลป่วยไข้ งานบ้าน ต้องทำตามควร ทำอาหาร ตามควร

3.การตรวจโรคก่อนแต่ง เช่น ตับอักเสล thallassemia เอดส์ ทำทั้งคู่ การวางแผนครอบครัว การคุมกำเนิด วางแผนการใช้เงิน การวางแผนการลงทุน น้องย่อมต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากครับ

4.การศึกษาการทำงานของน้อง ขึ้นกับการวางแผน ที่ปรกติควรวางไว้จนแก่ การทำประกันต่างๆ การเก็บเงินต่างๆ สุขภาพ การออกกำลังกาย การซื้อบ้านในอนาคต ก็อาจต้องวาง จดทะเบียน สมรส แม้มี การซื้อควรมีชื่อน้องด้วย

ขอเอาใจช่วยให้มีครอบครัวที่มีความสุข มีลูกที่ดี และขอให้มีโอกาศมาศึกษาและปฏิบัติธรรมทั้งคู่ ปัญหาจะค่อยๆแก้ไปเองครับ

สาธุ จากคุณ : มโนเกษม
.......................................................................

คิดว่าคุณเจลลี่นิ่ม/เจลลี่นิ้ม คงได้ข้อคิดหลากหลายจากท่านต่างๆที่อาจจะช่วยทำให้คุณเห็นทางออกกับเรื่องนี้มากขึ้น แต่สรุปแล้วการตัดสินใจคงขึ้นอยู่ที่ตัวคุณเองว่าจะเลือกทางไหน

ตอนนี้คุณยังไม่ได้แต่งงาน ยังสามารถเดินหน้าถอยหลังได้ว่าจะแต่งงานหรือว่ากล้าหาญชาญชัยตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่แต่งงาน โดยไม่สนใจว่าภายหลังตัดสินใจไม่แต่งงานแล้วจะมีผลลัพธ์ตามมาอย่างไรบ้าง

มนุษย์เผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนในชีวิตเสมอ เพราะความไม่แน่นอนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเพราะนี่เป็นกฎธรรมชาติที่เหมือนกันทั่วโลกและไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ทุกครั้งเวลามนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจ...มักมีทางเลือกมากกว่า ๑ ทางเสมอ คนเราเมื่อถูกต้อนเข้ามาอยู่ในมุมอับมักมองว่าไม่มีทางออกอย่างอื่นแล้ว แต่ความจริงการที่ตัดสินใจไม่ทำอะไรเลยก็เป็นหนึ่งในทางเลือกนั้นด้วย

ผมชอบแนวคิดของ ฌอง ปอล ซาร์ท เจ้าของแนวคิด "เอ็กซิสท์ตองเชียลลิสซึ่ม" (Existentialism) เขากล่าวไว้ว่า

"มนุษย์เกิดมาพร้อมกับเสรีภาพและการตัดสินใจ มนุษย์มีเสรีภาพในการตัดสินใจเลือกทุกอย่างในชีวิต แต่การมีอิสระในการตัดสินใจเลือกต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ"

คุณสามารถตัดสินใจเลือกจะทำอะไรก็ได้ ไม่มีข้อห้ามตรงนั้น แต่การตัดสินใจเลือกของคุณนั้น..ตัวคุณเองเป็นคนรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่ตามมาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นผลดีหรือผลเสีย คุณไม่มีสิทธิ์มาโทษการตัดสินใจนั้นหรือโทษว่าเป็นความผิดของคนอื่นที่ชี้นำคุณ

คุณคงต้องถามตัวคุณเองว่า คุณแต่งงานครั้งนี้เพื่ออะไร?

ถ้าแต่งงานเพราะว่ารักแฟนคุณอยากจะใช้ชีวิตด้วยกัน...ดังนั้นภายหลังแต่งไปแล้วคุณได้ใช้ชีวิตร่วมกัน...ก็ถือว่าคุณบรรลุความตั้งใจ แต่ถ้าผลลัพธ์ตามมาภายหลังการแต่งมีสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา อันนั้นคุณก็ต้องยอมรับโดยไม่มีการมาตำหนิการตัดสินใจของตนเองภายหลัง

ถ้าแต่งงานเพราะว่ากลัวขายหน้าที่ตกลงกันแล้วสุดท้ายก็มายกเลิกแต่งงาน ภายหลังแต่งงานไปแล้ว ก็ถือว่าคุณไม่ขายหน้าที่ได้แต่ง แต่ชีวิตหลังแต่งงานจะดีหรือว่าไม่ดี คุณไม่มีสิทธิ์มาบ่นเพราะถือว่าคุณตัดสินใจเลือกแต่งงานเพราะรักษาหน้า คุณก็รักษาหน้าไว้ได้แล้ว

ถ้าแต่งงานเพราะกลัวอยู่คนเดียว คนรอบข้างแต่งงานกันหมดแล้ว....คุณก็ได้อยู่กับแฟนกับครอบครัวแฟน คุณไม่อยู่คนเดียวแล้ว...ได้ชื่อว่าผ่านการแต่งงานแล้ว ดังนั้นผลที่จะตามมาภายหลังการใช้ชีวิตแต่งงานไม่ว่าจะแย่ขนาดไหนถือว่าไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการแต่งงาน คุณไม่มีสิทธิ์มาต่อว่าการตัดสินใจเพราะถือว่าการแต่งงานบรรลุวัตถุประสงค์ในตัวของมันเองแล้ว

ถ้าแต่งงานเพราะอยากมีลูก...ได้ลูกแล้วก็ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์การแต่งงาน ดังนั้นสิ่งอื่นๆที่ตามมาภายหลังการมีลูกแล้วไม่ว่าดีหรือว่าไม่ดีคุณต้องกล้าที่จะยอมรับ

ถ้าแต่งงานเพราะคาดหวังว่าแฟนคุณ ครอบครัวแฟนคุณ เขาต้องปฏิบัติต่อคุณดี คุณมีความสุข อันนี้ต้องโทษความคาดหวังที่คุณตั้งขึ้นมาเองถ้าแต่งไปแล้วครอบครัวเขาไม่ดีต่อเรา เพราะว่าไม่มีใครเป็นอะไรอย่างที่เราคาดหวังได้หมด แม้แต่ตัวเราเองก็ยังไม่เป็นอย่างที่เราต้องการทุกครั้งเลย

มีตัวอย่างเปรียบเทียบการย้ายเข้าไปอยู่ในครอบครัวผู้ชายหรือว่าผู้หญิงที่ใกล้เคียงกันที่อยากจะยกขึ้นมาเพื่อทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น

....ลองนึกภาพดูว่าถ้าคุณต้องเดินทางไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ ประเทศที่มีวัฒนธรรม ความเชื่อ ความเข้าใจ แบบแผนของสังคมต่างจากเมืองไทยมาก สื่อสารกันด้วยภาษาที่คุณไม่เข้าใจ ก่อนคุณเข้าไปประเทศนั้นคุณอาจจะคาดหวังหลายๆอย่างในการใช้ชีวิตในประเทศนั้น แล้วก็คิดง่ายๆว่า..ไม่ถูกใจฉันก็กลับเมืองไทย แต่พอคุณเข้าไปอยู่....คุณพบว่ามีปัญหามากมาย คุณจะทำอย่างไร?

คุณด่าทอว่าสังคมประเทศนั้นเฮงซวย ไม่พยายามเข้าใจคุณ ทำไมคิดอะไรโง่ๆ มีกฎเกณฑ์บ้าๆบอๆมากมายให้คุณต้องทำตามด้วย คุณไม่มีความสุข คุณอยากกลับมาเมืองไทย คุณไม่อยากอยู่อีกแล้ว คุณได้ด่าทอได้ระบายแล้วคุณเปลี่ยนแปลงประเทศและสังคมนั้นได้ไหม? แต่ถามกลับว่าคุณเคยมองสังคมนั้นที่ต่างไปจากสังคมที่คุณเคยชินจากมุมมองของคนในสังคมนั้นไหม? หรือว่าคุณเรียกร้องให้เขามองจากมุมมองของคุณอย่างเดียว คุณจะทำอย่างไรให้ปรับเข้ากับสังคมใหม่นั้นได้โดยมีปัญหาน้อยที่สุด นี่คือสิ่งที่ท้าทายมากกว่าคิดง่ายๆว่าทนไม่ได้ก็เผ่นกลับบ้าน

ถ้าคุณเชื่อว่ามุมมองของคุณถูกต้องเสมอ...คุณตัดสินจากมุมมองของคุณ...อะไรที่ต่างไปจากที่คุณเคยชินมันใช้ไม่ได้เสมอ....ในโลกนี้คงมีคนน้อยคนนักที่ทำอะไรให้คุณถูกใจ

ความคิดว่าไปใช้ชีวิตในสังคมใหม่ไปเพื่ออดทน...นี่ก็ไม่ถูกนัก เพราะถ้ามันถูกต้องนักเรียนไทยในต่างประเทศคงเป็นโรคประสาทกันหมดเพราะต้องมีแต่ความอดทน การใช้ชีวิตในสังคมที่ต่างออกไป...ไม่ใช่ไปเพื่อไปอดทนอยู่...เพราะคุณไม่มีความสุขในการอดทนอยู่ในระยะนานๆ...ขีดจำกัดของความอดทนมนุษย์มีขีดจำกัดและนับวันจะน้อยลงไปเรื่อยๆ

ถ้าคุณรู้ว่าคุณต้องไปสังคมใหม่เพื่อที่จะไปอดทนใช้ชีวิตวันๆ คุณคิดว่าคุณสมควรไปไหม? คุณเปลี่ยนแปลงสังคมใหม่ไม่ได้ คุณเคยชินกับสังคมที่อยู่มานานๆ พอคุณย้ายไปสังคมใหม่....คุณพร้อมที่จะปรับและเปลี่ยนตัวคุณกับสังคมใหม่ไหม? ความคิดที่จะไปเปลี่ยนสังคมใหม่คงยาก แต่คุณจะมีความสุขมากที่รู้จักปรับตัวกับสังคมใหม่ มนุษย์จะอยู่รอดได้ก็เพราะมีการปรับตัว โดยเริ่มที่ใจของตนเองก่อน ถ้าจิตใจคุณมีความยืดหยุ่น...พร้อมที่จะปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เป็นดั่งใจ....ไม่ว่าจะสถานการณ์จะเปลี่ยนเป็นแบบไหนก็ไม่เป็นทุกข์

แล้วถ้าคุณตัดสินใจไม่แต่งงานเพราะถือว่าความสุขของคุณมาก่อนเรื่องอื่น แล้วมองว่าแต่งไปแล้วคุณไม่มีความสุขแน่ๆ ถ้าเกิดปัญหาหรือเสียงด่าทอตามมาภายหลังการตัดสินใจไม่แต่งงานแล้วคุณก็ต้องกล้ารับผิดชอบ เพราะคุณให้ความสำคัญกับความสุขของคุณมาก่อนเรื่องอื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าตาของพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย ความรู้สึกของแฟนคุณ
หรือแม้แต่ว่าจากนี้ไปคุณอาจจะไม่เจอใครอีก

ผมได้ยินหลายคนบอกว่า การแต่งงานเหมือนการซื้อล็อตเตอร์รี่ ผมไม่เห็นด้วย เพราะถ้าคิดแบบนั้นเท่ากับว่าคุณรู้อยู่แล้วว่ากำลังจะเล่นการพนัน แล้วโอกาสเสียสูงกว่าโอกาสที่จะได้ (โอกาสถูกล็อตเตอร์รี่มีน้อยกว่าโอกาสเสียมากๆ) แต่คุณก็ยังเลือกที่จะเล่น ถ้าคิดแบบนั้นไม่น่าจะแต่งงานครับ...เพราะผู้คนที่คิดแบบนั้นไม่ฉลาดเลยที่ยอมเล่นทั้งๆที่รู้ว่าเสียแน่ๆ

เสียเงินจากล็อตเตอร์รี่มันไม่กี่บาทไม่กี่วันก็ลืมได้ แต่การตัดสินใจแต่งงานแล้วผิดพลาด คุณเรียกอะไรคืนมาไม่ได้เลย สภาพจิตใจหลังหย่าร้างกันมันเจ็บปวดมากกว่า ทุกครั้งที่คุณนึกถึงมันเป็นแผลที่ติดค้างอยู่ในใจ หย่าร้างกันแล้วก็ไม่สามารถกลับมาได้ชื่อว่าคนโสดอีก(ตามหลักภาษาไทยที่ถูกต้อง) เพราะคนที่ผ่านการแต่งงานแล้วไม่มีใครเรียกว่า คนโสดอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น พ่อม่าย หรือว่าแม่ม่าย ถึงคุณจะกลับมาใช้ชีวิตอิสระตามเดิมโดยไม่มีพันธะผูกพันใดๆก็ตาม

เท่าที่อ่านมา...ก็ดูเหมือนทราบจากมุมมองของคุณฝ่ายเดียว ทางฝ่ายผู้ชายและครอบครัวเขาไม่มีโอกาสมาแสดงความคิดเห็นในมุมมองที่อาจจะต่างไปจากคุณ ดังนั้นผมคิดว่าพวกเราในฐานะผู้อ่านอาจจะยังไม่ทราบเหตุผลและปัจจัยต่างๆและข้อเท็จจริงทั้งหมด ดังนั้นอย่าพึ่งรีบสรุปอะไรแทนคุณเจลลี่ครับ ก็แนะนำอะไรให้คุณเจลลี่นิ่ม/เจลลี่นิ้มเท่าที่คิดว่าน่าจะทำได้ แต่ตัวคุณเองเป็นคนตัดสินใจแล้วกันว่าจะเลือกทางออกอย่างไร

ตัดสินใจดีๆ ใช้สติมากหน่อย เลือกเอง และยอมรับผลทั้งหมดที่จะตามมาจากการตัดสินใจของตนเอง อย่าโทษใครถ้าตัดสินใจไปแล้ว ชีวิตของคุณครับจะทุกข์หรือสุขก็อยู่ที่ตัวของคุณครับ

ขอให้โชคดีและเลือกทางออกที่ดีที่สุดครับ
จากคุณ : ชาคโร
.......................................................................



Create Date : 31 กรกฎาคม 2549
Last Update : 31 กรกฎาคม 2549 23:57:57 น. 0 comments
Counter : 410 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 

jellynim
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ธรรมะสำหรับฆราวาส ....
ถ้าจำได้แต่หลักการเพียงอย่างเดียวก็เท่านั้น
เหมือนท่องสูตรคูณ แม่ 1-12 เพียงอย่างเดียว

พยายามนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันให้ได้สำคัญกว่า
[Add jellynim's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com pantip.com pantipmarket.com pantown.com