Dedicated to my cat, who passed away.
วาดไว้เป็นที่ระลึกให้ "ยายเหมียว" ยายเหมียวที่เป็นทั้งแม่ แม่บุญธรรม ยาย ย่า..ของเด็กๆ ในบ้านและสำหรับเรา ยายเหมียวเป็นมากกว่าแมว มากกว่าสัตว์เลี้ยงแมวเวลามีอาุยุจะนิ่งสงบมากขึ้น .. เวลาได้กอดเขา จะรู้สึกอบอุ่นเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง (จริงๆ นะ)ยายเหมียวมาอยู่ด้วยเมื่อโตเต็มวัยแล้ว เดาอายุไม่ถูกแต่คงราวปีถึงสองปีเป็นอย่างน้อยสิบเอ็ดปีที่อยู่กันมาไม่เคยป่วยหนัก แม้กระทั่งท้องเสียก็คงจะหนเดียวอ้อ..เคยตะกละกินก้างปลาจนแก้มปลาติดคอ กินอะไรไม่ได้ไปเกือบสองวันสุดท้ายก็ใช้วิธีป้อนเจลระบายขนให้หล่อลื่น จนหลุดออกมาแบบละมุนละม่อมแล้ววันหนึ่ง จู่ๆ ยายเหมียวก็อ้วกออกมาเป็นสีคล้ำๆ (หมอบอกนั่นคือเลือดออกในกระเพาะ)พาไปเช็คเลือดผลเลือดก็ปกติทุกอย่าง ทั้งตับไต และอื่นๆกลับมาบ้านเริ่มไม่กินข้าว แล้วเหมียวก็ทรุดลง ดูเหนื่อย อ่อนแรงได้แต่นอนนิ่งๆ บนพื้นเย็นๆ เบาะนิ่มๆ อุ่นๆ ที่เคยชอบก็ไม่ยอมนอนได้แต่พาไปให้น้ำเกลือเพื่อระบายของเสียที่ร่างกายเริ่มขับเองไม่ได้ จะได้สบายตัวขึ้น แต่ก็รับกลับมานอนบ้านทุกคืนอีกสามวันตรวจเลือดซ้ำ และฉุกใจคิดให้หมอตรวจน้ำตาลในเลือดที่แท้เบาหวานเธอขึ้นไปทะลุเครื่องวัด .. ผลเลือดออกมา ตับไต เริ่มวายที่บ้านต้องให้ยายเหมียวต้องนอนอีกห้อง (มีกระจกบานเลื่อนกว้างๆ กั้นไว้)เพราะกลัวเด็กๆ ติดเชื้อ ..ตั้งแต่ป่วยคืนแรกก็นอนไม่หลับ ต้องลุกไปดูเป็นระยะทุกคืน คอยไปอุ้มให้นอนตักอย่างที่เคยชอบ..แต่สักพักก็จะตะกายลงจากตักด้วยสภาพอ่อนแรงเลยต้องปล่อยให้นอนบนพื้นเย็นๆ .. ในตัวคงจะร้อนจัดเนอะคืนที่สี่ เหมียวนอนบนตักนานมาก เงยหน้าขึ้นสบตาร้องเบาๆ แบบไม่มีแรงลูกๆ หลานๆ พากันมามุงดูที่ประตูกระจกเหมียวพยายามเงยหน้ามองสบตาเด็กๆ ทุกตัว แว่บนั้นรู้สึกเหมือนจะสั่งลาเลย...วันรุ่งขึ้นพาไปให้น้ำเกลืออย่างเคย เจาะเลือดวัดน้ำตาลแทบไม่ได้ แรงดันเลือดแทบไม่มีเหมียวร้องเบาๆ เหมือนจะบอกว่า ทรมานจังเลย ในใจเราก็บอกว่า ถ้าทรมานนักก็หลับไปเถอะนะแล้วก็ได้แต่หอมหัวเหม่งและลูบหัวเบาๆ พาไปนอนในกรงเตรียมให้น้ำเกลือและตอนบ่ายของวันนั้น หมอบอกว่าเธอลุกมานั่งร้องในกรงที่ร้านได้แต่สักพักก็หลับ..และจากไป ~ขอบคุณมากนะ ที่อยู่เป็นเพื่อนกันมาถึงสิบเอ็ดปี
ชอบภาพวาดนะคะ ดูแล้วยิ้มได้เลย