มกราคม 2567

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
19
20
21
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
ไข้เลือดออก ครั้งแรกในชีวิต (27 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2566)
ยัง..ยังไม่จบค่ะ ปี 2566 ปีแห่งโรครุมเร้า ช่วงที่เราเป็นโรคไข้เลือดออก เราไม่รู้ตัวเองเลยว่าเป็นโรคนี้ นึกว่าตัวเองอาหารเป็นพิษเพราะทานแกงถุงที่มีรสเปรี้ยวไป มีอาการอยู่ 1 อาทิตย์แต่ไม่ได้เอ๊ะใจว่านี้คืออาการของไข้เลือดออก (ขอเล่าคร่าวๆ ก่อน รายละเอียดจะลงให้ในตอนท้ายค่ะ) วันแรกที่เป็นหนาวสั่น ทั้งคืน ห่มผ้านวม 2 ผืนใหญ่ก็เอาไม่อยู่ หนาวมาก แต่ก็ไม่ได้ทานยาไทลินอลนะ คิดว่าตัวเองอาจเป็นไข้ทับฤดู เพราะช่วงนั้นมีประจำเดือนพอดี พอวันรุ่งขึ้นมีไข้ อาการหนาวสั่นทุเลาลง แต่ท้องเสีย ถ่ายเหลว อ่อนเพลีย มึนหัว ไม่อยากอาหาร ทานข้าวได้มื้อละ 3 ช้อนโต๊ะ ก็อิ่ม (เราก็คิดว่าอาการแบบนี้อาหารเป็นพิษชัวร์ ไปซื้อยาฆ่าเชื้อและเกลือแร่มาทานอีก) อาทิตย์นั้นที่ไม่สบายเราไปทำงานปกติ แต่ก็มีนอนซมบ้าง ไม่อยากอาหารเลยทั้งอาทิตย์ แต่ต้องทานเพราะต้องกินยาฆ่าเชื้อ หนาวเป็นบ้างช่วง 

จนวันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2566 พี่ที่ทำงานทักว่าทำไมตัวเราแดงๆ บวมๆ อาการป่วยเราก็ยังไม่หาย อ่อนแรงกว่าเดิมอีก เลยตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาลดีกว่า เราไปหาหมอตอนประมาณ 13.00 น. มาแบบไร้วิญญาณมาก ดีที่ยังมีแรงเดิน แต่ไม่มีแรงเขียนหนังสือ (เขียนหนังสือไม่เป็นตัว ยังกะเด็กหัดเขียน งงตัวเองมาก แบบเกิดไรขึ้นวะเนี่ย)ระหว่างนั่งรอพบหมอ เราสังเกตเห็นว่ามือแดง บวมนิดๆ 



ที่ขามีจุดจ้ำเลือด ยังคิดว่าตัวเองเป็นไข้เลือดออกหรือเปล่า น้ำหนักลงเหลือ 89 กิโล จาก 93 กิโล (แอบดีใจ 555)



ตอนเข้าไปพบหมอ เราก็เล่าอาการและรายละเอียดต่างๆ ให้ฟังว่ามีอาการอ่อนเพลีย อยากนอนทั้งวัน ไม่อยากอาหาร ถ่ายเหลวเป็นสีน้ำตาลเข้ม เขียวๆ เหลืองๆ  อาเจียนนิดๆ เป็นสีน้ำตาลบางครั้งก็มีเสมหะใสๆ ออกมา ก่อนมาหาหมอสัก 2-3 วัน มีเลือดออกในโพรงจมูก แต่ไม่มาก (ซึ่งเราก็นึกว่าอาการเย็น อากาศแห้ง ทำให้โพรงจมูกเราแห้งเป็นแผลเวลาแคะขี้มูกเหมือนเช่นที่เคยเป็น) เราบอกหมอเป็นมาตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 แล้ว กว่าจะมาหาหมอที่โรงพยาบาลก็ 7 วัน เข้าไปแล้ว หมอยังบอกว่าโอ๊ย...ถ้าคุณเป็นไข้เลือดออก มาหาหมอป่านนี้ก็คงหายไปแล้วแหละ เพราะนี้ก็ผ่านมา 5-6 วันแล้ว และหมอก็ส่งเราไปเจาะเลือด เพื่อตรวจดูผลเลือดว่าเป็นอะไรกันแน่



เราโดนเจาะเลือด 4 จุด เพราะวันนั้นตัวบวม หาเส้นเลือดได้ยาก ตอนโดนเจาะเจ็บระบมไปหมด เจาะที่ข้อพับไม่ได้ ก็มาเจาะที่โคนนิ้วหัวแม่มือซ้ายตรงที่เห็นเส้นเลือด เจาะที่หลังมือบริเวณนิ้วก้อยด้ายซ้าย ปวดมาก สรุป...ผลเลือดออกมาเราเป็นไข้เลือดออกจ้า เกล็ดเลือดเหลือแค่ 10,000 จากที่คนปกติต้องมีเกล็ดเลือด 150,000-450,000 และจุดจ้ำเลือดนั่นคือภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เรายังไม่รู้เลยว่าไปโดนยุงกัดตอนไหน แต่ช่วงที่บ้านมีต้นไม้ยุงก็เยอะอยู่บินเข้าบ้านบ่อย

(ขอบคุณข้อมูลจาก : คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล)



พอรู้ผลหมอยิ้มไม่ออกเลย สั่งให้เราแอดมิดด่วน หมอบอกว่าโหคุณ..เกล็ดเลือดต่ำขนาดนี้ยังสามารถมาหาหมอเองได้ โชคดีมากนะ หมอห้ามเดินเร็ว เดินแรง ห้ามไปกระแทกอะไร ภาวะเกล็ดเลือดต่ำมากขนาดนี้ หมอบอกว่าเลือดสามารถออกจุดไหนก็ได้ตลอดเวลา มีเลือดออกตามไรฟันหรือเปล่า ช่วงนี้ห้ามแปรงฟันเลยนะ สรุปเย็นวันนั้นเราต้องนอนโรงพยาบาลเลย หมอไม่ให้ออกไปไหน เราต้องรีบโทรหาคนที่ทำงานให้เขียนใบส่งตัวเข้าโรงพยาบาลด่วน โทรบอกครอบครัวซึ่งทุกคนก็ตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าเราจะเป็นไข้เลือดออก เราแจ้งหมอว่าต้องการแอดมิดที่อาคารเดิม ชั้นเดิม คือที่อาคาร 1 ชั้น 5 ได้ห้อง 508 ห้องราคา 2,100 ต่อคืน




ตอนเย็นขึ้นมาที่ห้องผู้ป่วยหมอให้น้ำเกลือ ให้เราทานเกลือแร่แทนน้ำเปล่า และให้ปัสสาวะบ่อยๆ โดยที่หมอสั่งให้ปัสสาวะใส่ขวดน้ำ หมอจะดูปริมาณน้ำเข้า-ออกในร่างกาย ระหว่างที่เป็นไข้เลือดออก เราจำได้เลยว่าวันแรกปัสสาวะสีเหลืองเข้มจนเกือบเป็นสีชาจีน พอวันรุ่งขึ้นปัสสาวะค่อยๆ สีจางลง ที่ไม่ชอบสำหรับเรามากที่สุดคือ หมอสั่งเจาะเลือดไปตรวจทุก 8 ชั่วโมง (โครตเจ็บ เจ็บจนน้ำตาไหล เพราะตอนที่ไม่สบายพยาบาลหาเส้นเลือดเรายากมาก แขนและมือทั้งซ้ายขวาโดนเข็มเจาะจนพรุนไปหมด กลางคืนพยาบาลเข้ามาวัดไข้ได้ 38 องศา มีไข้ต่ำๆ เลยให้เราทานพารา 2 เม็ด



เช้าวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 สภาพหน้ายังบวมแดง และเบลออยู่ รอยจ้ำเลือดก็ยังอยู่ หมอมาตรวจเยี่ยมบอกว่าค่าเกล็ดเลือดเพิ่มขึ้นเป็น 40,000 (จากเมื่อวานค่าเกล็ดเลือดเราแค่ 10,000) หมอบอกว่าคนเป็นไข้เลือดออกจะไม่สามารถให้ยารักษาอะไรได้ ให้ได้แต่น้ำเกลือและคนไข้ต้องดื่มน้ำเกลือแร่แทนน้ำเปล่า พยายามปัสสาวะบ่อยๆ และต้องรอให้ร่างกายฟื้นตัวเอง หมอให้สังเกตด้วยว่าอาเจียน และถ่ายเหลวเป็นสีดำหรือไม่ เพราะหากมีสีดำเป็นไปได้ว่ามีเลือดออกภายในร่างกาย (โอ้ว...พระเจ้า ไข้เลือดออกนี้มันภัยเงียบ)

และที่น่าทึ่งคือระบบของโรงพยาบาลคงลิงค์ไปที่สำนักงานเขตที่เราอยู่ พอวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 เจ้าหน้าที่เขตมาถึงหน้าบ้านเลย เพื่อจะมาฉีดพ่นยุงกันไข้เลือดออกให้ แต่ไม่มีใครอยู่บ้าน เพราะทุกคนอยู่โรงพยาบาลหมด เจ้าหน้าที่เลยใส่เอกสารและสารเคมีจำกัดยุงลายไว้ให้แทน (หลังจากที่เราหายป่วยผ่านไป 1 อาทิตย์ เรารื้อต้นไม้ออกหมด เคลียร์บ้าน และโทรไปหาเจ้าหน้าที่เขตเพื่อให้มาฉีดพ่นยุงลายได้ แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าหากไม่มีคนในบ้านเป็นไข้เลือดออกอีกก็ไม่จำเป็นต้องฉีดพ่น การฉีดพ่นทั้งในบ้านและนอกบ้านต้องรีบทำให้เร็วที่สุด ณ ตอนนั้นเลยเนื่องจากยุงลายที่เป็นพาหะนำโรคอาจยังอยู่)



วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 รอยจ้ำเลือดตามแขน ขายังมีอยู่ ช่วงสายหมอมาเยี่ยมและบอกว่าค่าเกล็ดเลือดเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสน ให้กลับบ้านได้ (โอ๊ย!! ได้ยินแล้วดีใจมาก อยากกลับบ้านแล้ว รำคาญสายน้ำเกลือที่เจาะมาก ทำอะไรก็ไม่สะดวก หยิบจับอะไรแรงไป หนักไป ก็เส้นเลือดพัง เคยเส้นเลือดพังจนพยาบาลต้องมาเจาะเข็มให้ใหม่) 



ได้ใบส่งตัวจากที่ทำงานเช้าวันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 ได้มาก็รีบส่งให้เจ้าหน้าที่เพื่อประกอบการเคลียร์ค่าใช้จ่าย





รักษาตัวตั้งแต่วันที่ 27-29 พฤศจิกายน 2566 รวม 3 วัน 2 คืน เสียค่าส่วนต่างเองทั้งหมด 612.50 บาท



ยังมีอาการมึนๆ เพลียๆ และยังมีสะเก็ดขี้มูกสีเหลืองปนเลือดอยู่บ้างในโพรงจมูก หมอเลยให้พักผ่อนต่อ



หมอให้วิตามินมาทาน



วันที่ 6 ธันวาคม 2566 หมอนัดมาเจาะเลือดเพื่อตรวจเกล็ดเลือดอีกรอบ



หลังจากเจาะเลือดเสร็จก็ขึ้นไปวัดความดัน ชั่งน้ำหนัก และรอพบหมอ




หมอบอกว่าใช้ชีวิตได้ตามปกติแล้วนะ เกล็ดเลือดเพิ่มเป็น 5 แสนกว่าแล้ว 





เสียค่าใช้จ่าย 140 บาท 





ภาพตอนคุณสามีเลี้ยงต้นไม้ มีอ่างปลา อ่างบัว อยู่หน้ารั้ว สามีเห็นว่าช่วงหน้าหนาวหน้าบ้านโดนแดดเต็มกลัวบ้านร้อนเลยซื้อต้นไม้มาวางกันแดด ทั้งๆ ที่เราก็ติดฟิลม์กันแดดที่กระจกทั้งหลัง (ตั้งแต่ซื้อบ้านแรกๆ เราตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ทำหลังคาหน้าบ้าน เราชอบแดดจะเอาแดดไว้ตากผ้า และเผื่ออนาคตหากไม่ผิดกฎหมายจะต่อเติมเป็นห้องแทน) เคยมีวันหนึ่งเราจับภาพหนูวิ่งออกมาได้ มันซุกอยู่ในมุมต้นไม้เป็นแหล่งหลับนอน ได้ยินเสียงมันร้องจี๊ดๆ ทะเลาะกันด้วยต้องมีหนูมากว่า 1 ตัวแน่นอน



สามีทำเป็นมุมร่มเพื่อจอดมอเตอร์ไซด์ แดดส่องไม่ถึงในบ้าน ร่มรื่นดีนะ แต่ยุงเยอะ แถมต้องมาขัดตะไคร่ที่พื้นบ้านเกือบทุกเดือน เพราะสามีรดน้ำ เติมน้ำอ่างปลา เช้า/กลางวัน/เย็น ภาระที่ตามมาคือ ใบไม้ปลิวเข้าไปในเขตบ้านของเพื่อนบ้าน จนต้องสร้างตะแกรงเหล็กมาติดเพื่อกันใบไม้ปลิวเข้าบ้านเขา ค่าน้ำยาขัดตะไคร่ที่พื้น ค่าน้ำเพิ่ม ค่าไฟเพิ่มเพราะปั๊มน้ำเดิน



วันที่ 2 ธันวาคม 2566 นัดพ่อแม่สามีมาช่วยรื้อต้นไม้ออก ขนไปปลูกที่บ้านอยุธยาแทน ใช้รถกะบะ 2 คัน ถึงจะขนหมด คันของเราขนอ่างปลา อ่างบัวไปด้วยอย่างหนักรถ หน้าแอ่นเลย กลัวแหนบรถกับโช๊คพังมากๆ





ขี้ดิน ขี้โคลนเต็มไปหมด เละไปถึงกำแพงบ้าน โชคดีที่พ่อสามี และตัวสามีช่วยกันเคลียร์พื้นที่ ขัดทำความสะอาดบ้านให้เราจนโล่ง







เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2566 โรงพยาบาลส่งเอกสารเรียกเก็บเงินมาทางที่ทำงาน เนื่องจากเราทำหนังสือส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล และต้องจ่ายเงินส่วนเกินเอง โรงพยาบาลเรียกเก็บ 5,615.50 บาท บาท (เราจ่ายค่าส่วนเกินไป 612.50 บาท) รวมเงินค่ารักษาทั้งสิ้น 6,228 บาท 




สรุปอาการช่วงเป็นไข้เลือดออก ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน ถึง วันที่ 3 ธันวาคม 2566

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 
ตอนเย็นไข้ขึ้น ร้อนๆ หนาวๆ กินไทลินอลไปก็ดีขึ้น /กลางคืนหนาวสั่น ครั่นเนื้อครั่นตัว นอนหลับๆ ตื่นๆ ฉี่บ่อย พอเช้ามืดอาการหนาวสั่นทุเลาลง แต่ยังหนาวอยู่ (เราคิดว่าตัวเองเป็นไข้ทับฤดู)

วันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 
นั่งรถมาทำงานก็หนาวนิดๆ เวียนหัวไม่อยากอาหาร ไม่อยากน้ำ มานอนหลับๆ ตื่นๆ ที่ทำงาน ไข้ขึ้น หนาวมาก กลางวันกินข้าวแล้วกินยาไทลินอล /กลางคืนสระผมอาบน้ำ กินยาไทลินอล 8 ชม. หลับตั้งแต่ 1 ทุ่ม ไม่ค่อยหนาวสั่น ตัวรุมๆ เป็นบางครั้ง
 
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2566
ได้กลิ่นอาหารแล้วเหม็น เวียนหัว นั่งรถกระชากแล้วจะอ้วกเวียนหัว กินอะไรก็ขมปาก ขมคอ ไม่อร่อย ยังมีไข้นิดๆ แต่ดีกว่าเมื่อวาน ปจด.ออกมาเป็นลิ่มเลือดสีน้ำตาล ลื่นๆ กินยาไทลินอลเช้า /กลางวัน และนอนทั้งวัน /กลางคืนมึนหัวและมีไข้ตัวรุมๆ (เหมือนตอนนี้เริ่มมีเลือดออกภายในแต่เรายังไมารู้ตัว เพราะมันออกมาน้อยมาก จนคิดว่าเป็นประจำเดือนตามปกติ)

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566
เช้าอาเจียน และถ่ายเหลว/ถ่ายเหลวอยู่ครึ่งวันกินเกลือแร่ และกินยาธาตุอาการค่อยดีขึ้น มีเวียนหัวนิดๆ ไม่อยากอาหารขมปากขมคอกินอะไรไม่ค่อยได้/เย็นมีอาการอาเจียนเลยให้สามีไปซื้อยาร้านมะกอกยาฆ่าเชื้อและยาลดไข้ เพราะคิดว่าอาหารเป็นพิษ อาการมันคล้ายอาหารเป็นพิษมาก/อาเจียนทั้งคืนอาเจียนออกมาเป็นของเหลวสีดำๆ สีน้ำตาล 

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2566
เช้าก็อาเจียนยัน 11.00 น. เวียนหัวน้อยลงแต่ยังมึนๆหัวอยู่ไม่อยากอาหารยังเหม็นกินอาหาร/ตอน 5 โมงครึ่งถ่ายเหลว นอนทั้งวันอ่อนเพลียมีไข้นิดๆ /ตั้งแต่หัวค่ำยันเช้ามืดถ่ายเหลวเป็นสีน้ำตาลเขียวๆ มีอาเจียนเป็นเสมหะใสๆ อ่อนแรงต้องชงเกลือแร่กิน เริ่มรู้สึกว่าตัวแดงมีผื่นแต่ไม่คัน 

วันที่ 26 พฤศจิกายน 2566
นอนทั้งวันกินข้าวได้ไม่กี่ช้อน ยังมีอาการถ่ายเหลวทั้งคืนต้องกินยาเกลือแร่ อาเจียนไม่ค่อยมีแล้ว ตัวแดงมีผื่นแต่ไม่คัน  


วันที่ 27 พฤศจิกายน 2566
- เช้ายังอ่อนเพลีย และดูเหมือนมีผื่นขึ้น ตัวแดงไปทั้งตัวเหมือนมีเลือดออกใต้ผิวหนังเป็นจุดๆ จ้ำๆ กินอาหารได้น้อย ไม่ค่อยอยากกินอะไร กินยาฆ่าเชื้อไป 1 เม็ด
- ตอนบ่ายโมงมาหาหมอที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก หมอตรวจร่างกายแล้วส่งเจาะเลือดปรากฏเป็นไข้เลือดออก หมอให้แอดมิดด่วน เพราะเกล็ดเลือดต่ำมากเหลือแค่ 10,000 จากที่คนปกติเกล็ดเลือดต้องเกิน 100,000 ขึ้นไป
- ตอนเย็นกินโจ๊กได้มากขึ้น แต่ไม่ถึงครึ่งถ้วย นอนให้น้ำเกลือและเจาะเลือดทุก 8 ชั่วโมง เพื่อดูค่าเกล็ดเลือด ตอนกลางคืนฉี่บ่อย 5-6 ครั้ง สียังเข้มอยู่ สีเหมือนชาจีน กลางคืนไข้ขึ้น 38 องศา หมอให้กินยาพารา 2 เม็ด
 
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566
เช้ามาทานข้าวได้เยอะกว่าเดิม แต่ไม่ถึงครึ่งถ้วย ตื่นมาฉี่ 2 ครั้ง แล้วก็ถ่ายท้องยังถ่ายเหลว 1 ครั้ง / หมอบอกเกร็ดเลือดขึ้นมาเป็น 40,000
 
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566
- เช้ามาทานข้าวได้เยอะกว่าเดิม ยังมีอาการถ่ายเหลวนิดๆ ยังคงฉี่เกือบทุกชั่วโมงเป็นสีเหลืองเข้ม
- สายๆ หมอเข้ามาบอกว่าเกร็ดเลือดเพิ่มเป็นแสนนึงแล้วให้กลับบ้านได้ ออกจากโรงพยาบาลประมาณ 14:00 น
- ตอนเย็นยังมีอาการมึนหัวไม่อยากอาหารกินอะไรก็ไม่อร่อย อยากกินก็กินได้นิดเดียว
 
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566
ยังคงมีอาการมึนหัว อยากนอนเพลีย กินอะไรก็ไม่ค่อยอร่อย ไม่ค่อยรู้รสชาติ รับรสเค็มได้มากกว่ารสอื่น มีขี้มูกและมีเลือดออกจากโพรงจมูกเป็นลิ่มๆ เวลาสั่งน้ำมูกจะมีเลือดปนออกมา วันนี้กินแต่ข้าวต้มทั้งวัน 4-5 รอบกินได้ทีละนิด
 
วันที่ 1 ธันวาคม 2566
อาการเวียนหัวและเพลียดีขึ้นเริ่มกินอาหารได้มากขึ้น ไม่มีอาการถ่ายเหลวมีก็มีแค่นิดเดียวเริ่มถ่ายเป็นก้อน
 
วันที่ 2-3 ธันวาคม 2566
อาการดีขึ้น แต่ยังกินอาหารอะไรก็ไม่อร่อย การรับรสชาติของอาการเป็นอยู่เกือบ 1 อาทิตย์ ถึงหาย



Create Date : 22 มกราคม 2567
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2567 10:24:58 น.
Counter : 347 Pageviews.

11 comments
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณปัญญา Dh, คุณปรศุราม, คุณทนายอ้วน, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณกะว่าก๋า, คุณสองแผ่นดิน, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณSweet_pills, คุณหอมกร

  
มีต้นไม้เยอะ หรือแหล่งน้ำ ก็จะมียุงครับ
ดีที่เอาออกไปครับ
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 24 มกราคม 2567 เวลา:11:27:13 น.
  
ขอบคุณครับ
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 24 มกราคม 2567 เวลา:11:29:42 น.
  
ขอบคุณ​มาก​ครับ​😊😊
โดย: ปรศุราม วันที่: 24 มกราคม 2567 เวลา:11:31:10 น.
  
หายเร็วๆนะครับ


ที่บ้านมีต้นไม้เยอะ มีบ่อบัวด้วย ซื้อทราบอะเบสมาโรยทั้งที่ต้นไม้ ทั้งบ่อบัวเป็นประจำครับ ยิ่งถ้าช่วงที่ระบาดเยอะๆ โรยทรายอะเบสอาทิตย์เว้นอาทิตย์ครับ
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 24 มกราคม 2567 เวลา:11:51:16 น.
  
อ่านไปลุ้นไป ไข้เลือดออกนี่ภัยเงียบจริง ๆ
ดีที่รอดปลอดภัยนะคะ

ต้นไม้หายหมด โล่งเลย
แล้วจะไม่ปลูกอะไรเลยเหรอคะ
โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 24 มกราคม 2567 เวลา:11:59:36 น.
  
ขอบคุณมากครับ

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 มกราคม 2567 เวลา:12:40:09 น.
  
สวัสดีค่ะ

ยินดีกับรางวัลจากบล็อกแก็งด้วยนะคะ

ขอให้แข็งแรงๆนะคะ
โดย: tanjira วันที่: 24 มกราคม 2567 เวลา:14:34:01 น.
  
โรคนี้น่ากลัวมาก เป็นแล้วถึงแก่ชีวิตได้เลยค่ะ
หายป่วยหายไข้ไวไว ยิยดีกับสายสะพาย
รางวัลแห่งความพากเพียรในการอัพบล็อกจ้า

โดย: หอมกร วันที่: 24 มกราคม 2567 เวลา:16:55:29 น.
  

ยินดีด้วยเช่นกันครับ

ไข้เลือดออกสมัยก่อนเป็นเฉพาะเด็ก สมัยนี้เป็นทุกเพศทุกวัย
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 24 มกราคม 2567 เวลา:21:34:30 น.
  
ดีใจที่หายดีแล้วนะคะ
สุขภาพแข็งแรงค่ะ
โดย: Sweet_pills วันที่: 25 มกราคม 2567 เวลา:0:07:41 น.
  
อรุณสวัสดิ์ครับ

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 มกราคม 2567 เวลา:5:22:58 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Emmy Journey พากิน พาเที่ยว
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]



จับกล้องท่องเที่ยวไปกับการเดินทางของฉัน ด้วยการถ่ายภาพที่ใช้อารมณ์ และหัวใจ มากกว่าเทคนิคและกฏเกณฑ์ /Step by step with my journey.

Page : Emmy Journey พากิน พาเที่ยว
https://www.facebook.com/EmmyJourney

Blog : https://emilia0412.bloggang.com

** ขอสงวนสิทธิ์ ***
ข้อมูลทั้งหมด อันรวมถึงข้อความและรูปภาพที่ปรากฏอยู่บน https://emilia0412.bloggang.com ห้ามมิให้ผู้ใดเผยแพร่ ลอกเลียน ทำซ้ำ หรือแก้ไข ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับการยินยอมจากเจ้าของบล๊อก