ถึงจะเขียนไม่เก่งแต่ก็ฝันอยากเป็นนักเขียนกับเค้าบ้าง อิอิอิ

 
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
29 ตุลาคม 2552
 

ตะลุยเคนยา ตามล่าบิ๊กไฟส์ ตอนที่6

แรดขาวผู้ยิ่งใหญ่แห่งนากุรู




ตามเส้นทางที่เป็นถนนลูกรัง ผมเห็นรถยนต์อยู่คันหนึ่งจอดอยู่ เจ้าหน้าที่อุทยานสองคนเรียกให้เราจอดรถเพื่อคุยกับคนขับรถ และเตือนพวกเราว่าอย่าลง จากรถเด็ดขาด เพราะเมื่อปีที่แล้วมีเจ้าหน้าที่อุทยาน 2 คนถูกสิงโตลากไปกิน ขณะตระเวณตรวจตราพื้นที่ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเรื่องจริงหรือว่าแค่คำขู่ แต่ยังงัยเราก็ไม่คิดจะลงไปอยู่แล้ว พวกเราบางคนแอบถ่ายรูปเจ้าหน้าที่ก็ดูเค้าไม่ค่อยพอใจ แถมยังจะเรียกเก็บเงินจากเราอีก พวกเราจึงแกล้งฟังไม่รู้เรื่อง (จริงๆก็ฟังไม่รู้เรื่อง) บังเอิญมองเห็นแรดขาวอยู่ข้างหน้า เลยให้คนขับรีบพาเราไปดู ส่วนรถของทีมงานขับแยกไปทางขวาเหมือนจะตามไปดูอะไรบางอย่าง



ห่างไปข้างหน้าประมาณ 100 เมตร มองเห็นแรดขาวสองตัวกำลังจะข้ามถนน พวกเราเสียงดังตื่นเต้นกันใหญ่ที่จะได้เห็นบิ๊กไฟว์ตัวที่สอง คือแรดขาวแบบใกล้ๆเป็นครั้งแรก เห็นได้ชัดว่าตัวแรกมีขนาดเล็กนิดเดียวแสดงว่ายังแรดไม่มาก ส่วนอีกตัวน่าจะเป็นแม่เพราะมีขนาดโตเต็มที่แล้ว เราทายได้เลยว่าโตขึ้นจะต้องแรดเหมือนแม่แน่นอน แค่เห็นแรดขาวก็ดีใจมากพออยู่แล้วเรายังได้มาเห็นลูกแรดขาวที่เกิดได้ไม่นานตัวนี้อีก แสดงว่าเจ้าหน้าที่ 2 คนนั้นคงมีหน้าที่จะดูแลความปลอดภัยของแรดแม่ลูกคู่นี้ ผมเห็นแรดขาวขนาดใหญ่อีก 4 ตัวเดินตามหลังกันมามา มีตัวหนึ่งมีนอที่มีขนาดยาวและสวยงามมาก อาจจะเป็นจ่าฝูงและพ่อของเจ้าลูกแรดน่ารักตัวนั้นก็ได้





ควายป่าฝูงใหญ่ก็เดินตามฝูงแรดมุ่งหน้าไปทางทะเลสาป บางตัวก็หยุดดื่มน้ำและลงแช่น้ำเล่นในแอ่งเล็กๆ นิโคลัสพยายามขับรถเข้าไปใกล้แรดขาวแม่ลูกให้มากที่สุดจนไปถึงระยะราว 50 เมตร บอกให้พวกเราเงียบเสียงลงหน่อยและห้ามใช้แฟรชโดยเด็ดขาด เพราะแรดแม่ลูกอ่อนจะหวงลูกมากและอาจพุ่งเข้าชาร์จรถของเราเมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อมันเห็นว่าลูกของมันไม่ปลอดภัย ลูกแรดขาวเริ่มเดินเข้ามาประชิดแม่ ตัวแม่ก็หันตรงมาทางเราก้มหัวลงต่ำ เอาปลายนอชี้มาทางพวกเราเหมือนเตรียมพร้อมจะสู้



พวกเราเริ่มหายใจกันไม่ทั่วท้อง จะถอยก็ไม่ได้เพราะมีรถของทีมงานขับตามมาจอดขวางด้านหลังอยู่ ข้างหน้าเรามีรถของนักท่องเที่ยวคันหนึ่งกำลังขับมาทางด้านหลังแรดขาวแม่ลูก และเรียกความสนใจจากมันได้เป็นอย่างดี มันจึงหันหลังกลับทันที รถคันนั้นเกิดติดหล่มจึงเหยียบคันเร่งอย่างแรง ทำให้แรดและควายป่าทั้งฝูงตกใจวิ่งหนีไปทางทะเลสาป ทำเอาพวกเราโล่งอกไปตามๆกันที่ผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ แต่พวกเราก็ได้ภาพสวยๆของฝูงควายที่กำลังวิ่งฝุ่นตลบพอดี



ผมสอบถามทีมงานว่าที่แยกออกไปได้เจออะไรมั้ย เค้าบอกตอนแรกคิดว่าเป็นแรดดำ แต่ที่ไหนได้ดันเป็นแรดขาวชุปโคลนไปซะนี่
อากาศไม่ค่อยดีนักท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนทำท่าจะตกแล้ว เรารีบมุ่งหน้าไปที่ทะเลสาปเพื่อชมนกฟลามิงโก้ ระหว่างทางก็มองเห็นกวางทอมสันส์กาเซลล์เดินกินหญ้าอยู่กลางทุ่ง นกหัวโตหัวดำ (Black-Headed Plover) หลายตัวเดินหากินหนอนและแมลงตามพื้นดิน กวางน้ำก็มีให้เห็นบ้างตามริมบึง
เราวนมาเจอแรดขาวฝูงใหม่อีก 7 ตัวเดินเล็มหญ้ากันอยู่กลางทุ่ง



แรดขาว (White Rhinoceros) มันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่รองลงมาจากช้าง คือหนักราว 1,400-3,600 กิโลกรัม แต่เคยมีสถิติตัวใหญ่ที่สุดหนักถึง 4,500 กิโลกรัมเลยทีเดียว มันเป็นสัตว์ที่สายแต่แย่มาก แต่ธรรมชาติก็ได้สร้างประสาทการดมกลิ่นที่ไวมาให้มันแทน คำว่า White ตามชื่อของมัน เดิมเค้าเรียกว่า Weit มาจากภาษาดัทช์ที่แปลว่า Wide มีความหมายว่ากว้าง แต่เรียกเพี้ยนจนมาเป็น White

ชื่อดั้งเดิมที่ได้ก็เพราะแรดขาวมีปากที่กว้างกว่าแรดดำ ในดีตปีค.ศ.1969 เคยมีแรดขาวในแอฟริกาถึง 20,000 ตัวเลยครับ แต่โดนล่าเอานอและหนังไปขายเป็นจำนวนมาก ในบัจจุบันมีอยู่แค่ไม่ถึง 500 ตัว ถ้าจะโทษก็จะต้องโทษนายคนนี้ครับ เค้าคือ เจ. เอ. ฮันเตอร์ (John Alexander Hunter) ชาวสก็อตแลนด์ ที่ได้ชื่อว่าฆ่าแรดไปมากที่สุด จุดเด่นของเค้าคือคาแร็คเตอร์ที่นักล่าสัตว์หลายคนต้องการเลียนแบบ นั่นคือการยิงสัตว์ขณะที่มันกำลังพุ่งเข้าชาร์จ ทำให้คนที่อยากเลียนแบบเค้าต้องตายด้วยคมเขา และเขี้ยวเล็บไปเป็นจำนวนมาก ในสมัยก่อนเค้าจะฮิตมากคือถ่ายวีดีโอยิงแรดตอนที่มันกำลังวิ่งเข้ามาชาร์จ เพียงเพื่อเอาไปอวดเพื่อนเท่านั้นเอง





ในเขตแอฟริกาตะวันออก ไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อเสียงของ เจ. เอ. ฮันเตอร์ หรอกครับ เค้ามีผลงานเขียนชื่อว่า Hunter หรือ “พรานผิวขาวผู้นำซาฟารี” แปลโดย ไพโรจน์ พันธุมจินดา ในหนังสือเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเค้าเองที่ตระเวนพาลูกค้าออกไปล่าสัตว์ในเขตพื้นที่แอฟริกาตะวันออก เริ่มตั้งแต่เคนยา แทนซาเนีย จนถึงทะเลสาปวิคตอเรียในประเทศอูกานดา ทำสถิติเท่าที่บันทึกได้เค้าสังหารแรดไปมากที่สุดถึง 1,088 ตัว และที่ไม่ได้บันทึกอีกไม่รู้เท่าไหร่ นอกจากแรดแล้ว ก็มีช้างอีก 1,400 ตัว สิงโตกว่า 600 ตัว รวมถึงเสือดาวและควายป่าอีกจำนวนมาก แต่ก็ไม่เคยได้รับบาดเจ็บจากสัตว์เลยแม้แต่ครั้งเดียว (ไม่รู้เหมือนกันว่าห้อยพระวัดไหน)

หลังจากเป็นนายพรานมานาน ดีที่สำนึกทันเค้าได้เปลี่ยนอาชีพมาเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ในอุทยานเพื่อรับใช้รัฐบาล แต่ก็ไม่วายบางครั้งรัฐบาลก็ใช้ให้ออกไปปราบสัตว์เกเร เช่นสิงโตที่ไปกินสัตว์เลี้ยงและทำร้ายชาวมาไซ จะเห็นได้ว่านักอนุรักษ์ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะในเมืองไทยหรือต่างประเทศ ก็เริ่มมาจากการเป็นพรานล่าสัตว์ป่ามาก่อนแทบทั้งนั้นเลยครับ

ในบัจจุบัน เจ. เอ. ฮันเตอร์ถึงแม้เค้าจะเสียชีวิตไปแล้วในปี ค.ศ.1963 แต่ก็ยังมีชาวเคนยายกย่องให้เป็นพรานผู้ยิ่งใหญ่ ก่อนวาระสุดท้ายเค้าได้ปลูกบ้านอยู่กับภรรยาไว้ในที่แห่งหนึ่งในย่านมาคินดู ทางตอนใต้ของกรุงไนโรบี ใกล้เทือกเขาคิลิมันจาโร ชื่อว่าบ้าน Hunter House บัจจุบันได้กลายเป็นรีสอร์ตที่พัก ชื่อว่า Hunter Lodge Hotel



เรามาถึงทะเลสาปสีชมพูในตอน 18.00 น. กว่าจะได้ชมนกฟลามิงโก้บรรยากาศรอบตัวก็มืดลงแล้ว คนขับมองไปรอบบริเวณเห็นแรดขาวอยู่ห่างออกไปเยอะจึงอนุญาติให้พวกเราลงจากรถได้เป็นครั้งแรก เมื่อเดินลงมาก็แทบชักขากลับไม่ทัน เพราะเห็นอึนกกับซากนกเป็นจำนวนมาก ถึงจะขยะแขยงเท้าแต่ภาพข้างหน้าก็ดึงดูดให้พวกเรารีบเข้าไปดู เพียงแต่ต้องพยายามเดินไม่ให้ล้มเท่านั้นไม่งั้นหล่ะเรื่องใหญ่แน่ ผมลองเดินเข้าไปใกล้นกฟลามิงโก้ ก็รู้สึกว่ามันจะถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่างระหว่างเราเอาไว้ประมาณ 30 เมตร พอเราเดินถอยหลังกลับมามันก็เดินกลับมาที่เดิม มันส่งเสียงร้องคราง หึ่ง...หึ่ง... คล้ายอึ่งอ่าง เดินเรียงแถวขยับหัวขึ้นลงดูคล้ายกำลังเต้นระบำ

พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เรามีเวลาถ่ายรูปแค่นิดเดียวเพราะทางอุทยานกำหนดเวลาให้กลับเข้ารีสอร์ทก่อน 18.30 น. กำลังจะขึ้นรถกลับที่พัก ก็มีเรื่องหวาดเสียวนิดหน่อย เมื่อแรดขาว 7 ตัวที่เรามองเห็นเมื่อซักครู่เดินเล็มหญ้าขยับเข้ามาใกล้ห่างจากพวกเราแค่ไม่ถึง 150 เมตร นิโคลัสบอกว่านึกขอบคุณที่ลมไม่ได้พัดจากเราไปหามันพร้อมกับหยิบหญ้าแห้งโปรยให้ดู ไม่อย่างนั้นพวกเราอาจได้ออกกำลังกายวิ่งหนีแรดกัน ก่อนกลับที่พักระหว่างทางพวกเราก็ได้พบเห็นลิงโคโลบัสอีก 3 ตัวและควายป่าอีกหลายตัวเลยครับ



มื้อเย็นวันนี้เป็นมื้อที่ประทับใจมาก ทางรีสอร์ทมีการนำนักแสดงชาวพื้นเมืองเกือบ 30 คนออกมาเดินร้องเพลงประสานเสียงอย่างไพเราะในบริเวณห้องอาหาร ด้านนอกระเบียงก็เหมือนยกห้องครัวออกมาไว้ข้างนอกหมด เชฟกว่า 10 คนออกมาปรุงอาหารให้เราทานกันสดๆ มีอาหารสารพัดย่าง ทั้งบาร์บีคิวย่างหอมฉุยอยู่บนเตา ซี่โครงหมูเสียบไม้ชิ้นโต ซี่โครงแกะรมควัน ไส้กรอก เนื้อสเต็ก และปีกไก่ย่าง

ซักพักพ่อครัวก็หายหน้าไปหมดแล้วก็ออกมาพร้อมกับเค้กก้อนโต อวยพรวันเกิดตามแบบฉบับชาวพื้นเมือง เดินไปโต๊ะนู้ทีโต๊ะนี้ทีและวางลงตรงหน้าฝรั่งคนหนึ่งที่กำลังยิ้มแก้มปริ พวกเราร่วมกันร้องเพลงสากลแฮ๊ปปี้เบิร์ดเดย์ สร้างความประทับใจให้กับเจ้าของวันเกิดและพวกเราจริงๆ ก็เป็นอาหารอีกมื้อหนึ่งที่สนุกและอิ่มท้องมากๆ

กลับมาที่ห้องนอนของเรา พนักงานก็เข้ามากางมุ้งให้เราแล้วเรียบร้อย ก็นับว่าใส่ใจในรายละเอียดดีครับ เปิดหน้าต่างด้านนอกออกไปก็ตกใจ “แจมโบ้” เจ้าหน้าที่ร่างใหญ่ทักทายเรา เดินถือไฟฉายออกตรวจตราความเรียบร้อย ให้เรารู้สึกอุ่นใจในการรักษาความปลอดภัย ในคืนแรกที่เคนยาก็เป็นอะไรที่น่าประทับใจ ตั้งใจว่าในวันพรุ้งนี้เรามีเวลาเหลือเฟืออีก 1 วันเต็มๆในอุทยานนากุรู ก่อนที่จะเดินทางต่อไปอุทยานมาไซมาราในวันถัดไป ผมหวังว่าคงจะได้เจอสิงโต และเสือดาวบ้าง

ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงโทรศัพท์ปลุกตอน 6 โมงเช้า ด้วยความงงคิดว่าบ้านผมเปลี่ยนเสียงโทรศัพท์ตั้งแต่เมื่อไหร่ พอหายงงก็นึกขึ้นได้ว่าเรายังอยู่ในเคนยา ภารกิจก็ยังต้องตามล่าหาบิ๊กไฟส์กันต่อไปครับ เมื่อทำธุระอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยก็ออกมาหลังห้องพัก คว้ากล้องส่องทางไกลออกมาดูนกยามเช้า นกเยอะมากครับ ทั้งนกกระจิ๊บ สีแดง สีน้ำเงิน นกกระเต็น นกโพระดก และนกแก๊ก (นกเงือกขนาดเล็ก) ก็หาดูได้ไม่ยาก

เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จแล้วพวกเราก็รีบออกเดินทางกันแต่เช้า เพราะยิ่งเช้าเท่าไหร่โอกาสที่จะได้เห็นนักล่าอย่างสิงโตหรือไม่ก็เสือดาวกำลังออกมาล่าเหยื่อ ได้มากกว่าช่วงเวลาอื่นๆ อุณหภูมิตอนนี้วัดได้ประมาณ 14 องศาเซลเซียส อากาศค่อนข้างเย็นพอสมควร จนผมต้องหยิบเสื้อแขนยาวในกระเป๋าออกมาใส่ นิโคลัสพาเราตัดถนนออกมาอีกด้านหนึ่งไปทางทิศตะวันตก ก็พบเห็นฝูงม้าลาย กวางอิมพาลา และกวางทอมสันส์กาเซลล์อยู่ตลอดเส้นทาง ผ่านลิงบาบูนฝูงใหญ่พอเราจะจอดรถลงไปถ่ายรูปมันก็วิ่งหนีหายเข้าป่าไปหมด สุนัขจิ้งจอกแจ๊คเกิล (Common Jackal) คู่หนึ่งทำท่ากำลังวิ่งไล่หนูอยู่เมื่อเห็นรถของเราก็วิ่งหนีไป



เราก็มาถึงสุดรั้วอุทยานอีกด้านหนึ่ง ก็มองเห็นบ้านของชาวพื้นเมืองปลูกติดกับรั้วไฟฟ้า มีเด็กๆ 4-5 คนยืนโบกมือให้พวกเรา จากนั้นเราก็เจอควายป่า 3 ตัวอยู่ในระยะใกล้มีอยู่ตัวหนึ่งอยู่ห่างจากรถไม่ถึง 5 เมตรกำลังยืนเล็มหญ้ามองรถพวกเราอยู่ ควายป่าแอฟริกัน (African Buffalo) ปกติจะชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ราว 20-40 ตัว บางฝูงอาจพบเห็นถึงร้อยตัวอย่างในอุทยานมาไซมารา เมื่อมันเกิดมาตัวจะออกสีน้ำตาล โตแล้วถึงจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ควายป่าจะมีสายตาที่ไม่ดีนัก แต่ก็มีประสาทหูและจมูกที่ไว วันๆเอาแต่นอนแช่โคลนและกินหญ้า หากมีอันตรายก็มักจะหนี

บางคนอาจสงสัยว่าถ้ามันไม่ดุจะถูกจัดให้เป็นบิ๊กไฟส์ทำไม นั่นก็เพราะเพราะควายป่าไม่ค่อยจะชอบเผชิญหน้าน่ะซิครับ แต่ถ้าหากไปรบกวนมันมากๆหรือว่าทำมันเจ็บล่ะก็ได้เรื่องแน่ๆ เคยมีคนตายเพราะควายป่ามาก็เยอะนะครับ เพราะมันเป็นสัตว์ที่เดาใจได้ยาก หากมันหงุดหงิดก็จะไม่ลังเลเลยที่จะเข้าโจมตี

สมัยก่อนนายพรานที่เดินตามควายป่าที่โดนยิงบาดเจ็บก็เหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง เพราะมันมีความทรหดอดทนมาก มันจะค่อยซุ่มโจมตีอยู่เงียบๆและจะต่อสู้อย่างดุเดือด มันเลยถูกยกย่องให้ติดอันดับกับเค้าด้วย ควายป่าในแอฟริกาจะมีขนาดและน้ำหนักตัวเล็กกว่าควายป่าในบ้านเราเล็กน้อยคืออยู่ที่ราว 800 กิโลกรัม (ควายป่าในประเทศไทยหนักราว 900-1,200 กิโลกรัม)



กลางทุ่งโล่งเราพบเห็นนกชนิดหนึ่งกำลังเดินทำท่าทางแปลกๆคือมันใช้เท้ากระทืบไปกระทืบมาบนพื้น เค้าคือนกเลขานุการ (Secretary Bird) ซึ่งก็เป็นนกล่าเหยื่อจำพวกเหยี่ยว แต่แทนที่จะชอบบินโฉบลงมาจับเหยื่อเหมือนเหยี่ยวทั่วไปเค้าทำกัน มันกลับเลือกที่จะเดินตามพื้นเพื่อหาอาหาร อาหารจานโปรดของมันนั่นก็คืองู มันจะใช้วิธีย่ำเท้าไปตามพื้นดินหาเหยื่อที่ซ่อนอยู่ใต้ใบไม้แห้ง เมื่อเจอก็จะกระทืบให้เหยื่อตายก่อนนำมากิน ชื่อของนกชนิดนี้ก็มีที่มาจากขนที่ท้ายทอยยื่นออกมารูปร่างคล้ายปากกาขนนกที่เลขานุการสมัยโบราณใช้ เค้าจึงเรียกกันว่านกเลาขานุการ



เราพบเห็นควายป่าตัวหนึ่ง ที่ขาหลังบาดเจ็บจนบวมเบ่งเดินเขยกอยู่ อาจจะเกิดจากโดนสิงโตไล่กัดมาหรือไม่ก็เดินตกหลุมบาดเจ็บเอง ไม่ใช่หมอดูฟันธงก็บอกได้เลยครับ ว่าในอนาคตอีกไม่นานมันก็จะต้องจบชีวิตโดนนักล่าอย่างสิงโตจัดการแน่ เมื่อมันบาดเจ็บสัตว์นักล่าจะมองเห็นและรู้ด้วยสัญชาติญาณโดยทันที

พวกเราเข้าสู่พื้นที่ป่าทึบอีกครั้ง พบหน้าผาหินใหญ่มีป้ายบอกว่าชื่อ Magalia Waterfall แต่ตอนนี้แห้งแล้งจนไม่มีน้ำให้เห็น จุดนี้จะเห็นเป็นลานกว้าง เป็นที่พักสำหรับกางเต็นท์ที่ดีและสวยที่สุดของอุทยานนากุรู มีห้องน้ำเอาไว้บริการพร้อม ว่าแล้วก็ลองเดินไปสำรวจห้องน้ำดูซะหน่อย มีประตูปิดมิดชิดดีครับ แต่เมื่อลองเข้าไปก็เห็นเป็นส้วมซึมที่กลิ่นร้ายกาจใช้ได้ เสียงกวางร้องดังลั่นเหมือนตกใจอะไรบางอย่าง ไม่รู้ว่าตกใจเราหรือตกใจสัตว์นักล่าบางชนิด ผมจึงต้องรีบทำเวลาแล้ววิ่งกลับขึ้นมาบนรถทันที
นั่งรถไปอีกนิดก็เจอเข้ากับพวกม้าลาย กวาง นกกระจอกเทศ ไก่ต๊อกและยีราฟ เห็นนกแปลกชนิดหนึ่งชื่อว่านกช้อนหอย (Hadada Ibis) ราว 4-5 ตัว ลำตัวมีสีเขียว ตัวใหญ่กว่าไก่ต๊อกเล็กน้อย ปากยาวสีดำแดงคล้ายช้อน ตามข้างทางเราก็เห็นลิงอีกชนิดหนึ่ง เค้าคือลิงเวอร์เว็ต (Vervet Monkey) ครับ





มันจะชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็กๆ นิสัยไม่ค่อยกลัวคน บางทีก็ชอบขโมยของนักท่องเที่ยวเป็นประจำ ลิงชนิดนี้ตามร่างกายมีสิ่งที่แปลกและเด่นสะดุดตาดีครับ คือตัวผู้จะมีไข่สีฟ้าสดใสสวยงาม พวกเราชี้ชวนให้ดูไข่ของมันกันใหญ่

รถของเราทั้ง 2 คันก็ต้องแยกกันไปคนละทาง เหตุผลเพื่อจะได้มีโอกาสเห็นสัตว์มากขึ้น รถคันของผมก็ยังคงเจอยีราฟบ้างประปราย นิโคลัสพาไปที่แอ่งน้ำเพื่อหวังจะเจอสิงโตลงมากินน้ำ แต่ก็เห็นแต่อึกับรอยเท้าสิงโต หลังจากนั้นก็เป็นการเดินทางแบบยาวๆไม่เจออะไรอีกเลย



Create Date : 29 ตุลาคม 2552
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2552 11:45:37 น. 0 comments
Counter : 1868 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

Devilkae
 
Location :
ตาก Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




กำลังศึกษาปริญญาโทด้านรัฐศาสตร์ แต่รักการถ่ายภาพการเขียน และการท่องเที่ยว อยากให้เพื่อนมีเวลาว่างๆมาจับกล้องถ่ายรูปกันครับ
[Add Devilkae's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com