จะ สุข หรือ ทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่ คนอื่น ทำ แต่อยู่ที่ เรา เลือก ^ 0 ^

<<
มกราคม 2555
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
11 มกราคม 2555
 

► ►► . . . . .สรรพสิ่ง ล้วนเป็น เช่นที่ มันเป็น และ เป็น เช่นที่ เราปรุง . . . . .◄◄ ◄




อืม...อิป้าบัวป่องเคยแพล่มเรื่องนี้
ให้ไอ้เจ้าหลานชายนอกไส้ฟังไว้เป็นอุทาหรณ์ เมื่อ นานมาแร้วอ่ะจร้าาา
อนึ่ง คืนนี้อิป้า มันนึกครึ้มอกครึ้มใจ
เรยหอบเอา ตัวหนังสือที่เคยเขียนไว้
มา เล่นเกมส์ บอกต่อข่าวลือ ในบล็อกนี้ต่อ เจ้าค่ะ อิอิ

ลองอ่านดูน้าาาาาาา




ตุลาคม 07, 2011, 10:07:41 PM
มดเอ๊กซ บ่น





เป็น อะไร ยากที่สุด
เป็น คนธรรมดา ยากที่สุด

คนธรรมดา นี่แหละ ยากจัง โครตยากกกกกกก เลย

ยิ่งมา สัมผัสกับธรรม ยิ่งต้องย้ำว่า ธรรมดา ธรรมดา ธรรมดา

เป็น ชาวบ้านทั้วไป ที่ พยายาม จะทำ จะธรรม น่ะ

เมื่อผมแบกคำว่า ผู้มีธรรม คนดี คนปฏิบัติ คนบุญ คนเก่ง
เวลา แสดงธรรม กลาย เป็นแสดงกิเลส ทุกที

งั้น ไม่ ขอเป็น อะไรทั้งสิ้น ที่สูง ส่ง ๆ แม้เป็น คนเจริญธรรม ก็ ยัง เป็นอัตตา อยู่ดี

อัตตาที่สูงส่ง ก็ยัง แบก

ขอ เป็นคนมีกิเลส ที่ พยายามจะทำดี กะเขาบ้าง พอแล้ว

เป็น ชาวบ้านธรรมดา โกรธได้ เกลียดได้ ร้องไห้ได้ หลงได้ และ ไม่อายที่ผมจะบอก

ผมมีกิเลส ผมทำเว็บธรรม อย่างคนมีกิเลส

เวลา ผมปล่อยอะไร ออกไปเป็น คำ เปล่า ผมไม่ได้แสดงธรรม

ผมแสดงกิเลส สำรอกกิเลส กองโต เลย

ทุกคำของ ผม คือ กิเลส ออกจากใจ ปุถุชน ล้วน ๆ

ถึงแม้ อาภรณ์ผมเป็นพุทธะ แต่ ข้างในมันเป็นเป็นมาร ครับท่าน

ถ้ามันจะ พอมีดี ก็ สาธุ
ถ้ามัน ร้าย เกิดจากใจ ไร้สติ ไม่ระวัง มีอัตตา ขอโทษครับ ท่าน

จบ



ที่มา //www.tairomdham.net/index.php/topic,68.msg26325.html#msg26325





###################################################


ธันวาคม 12, 2011, 01:17:47 AM

ป้าบัวป่อง แพล่ม

อืม...ป้าชอบ อ่านถ้อยคำ สำอกกิเลสของ คุงหลานนะจ๊ะ
เพราะรู้สึกว่า คนเขียน ซื่อสัตย์ต่อ อัตตา ของตัวเองดีอ่ะ
อะไรที่ แบกแล้ว มันหนักนัก หลานก็วางมันลง ซะดิ
มันเป็น ตรรกะ ที่ง่าย แต่ทำยากส์ บรรลัย เรยเน๊าะ




นี่แหน่ะ เจ้าผ้าขะม้าฯ หลานชายคนโปรด ของป้า
เอ็ง รู้ป่ะ ว่าทำไม


เมื่อเอ็งแบกคำว่า ผู้มีธรรม คนดี คนปฏิบัติ คนบุญ คนเก่ง
เวลา แสดงธรรม กลาย เป็นแสดงกิเลส ทุกที


รู้ป่ะ ว่า แสดงธรรม ต่างจาก ปฏิบัติธรรม อย่างไง ?



อืม...ในสายตาของป้า
ผู้แสดงธรรม นั้น ส่วนใหญ่ มักจะคาดหวัง ออสการ์
แต่ผู้ ปฏิบัติธรรม นั้น มันจะไม่คาดหวัง อะไร ง่ะ


อิอิ ถ้า เอ็ง เป็น ป้า เอ็งจะเลือก ออสการ์ เอ๊ย แสดงธรรม หรือ ปฏิบัติธรรม ล่ะ
เฮ้ออ ไม่รู้สินะ ตั้งแต่ ปฏิบัติธรรม มานี่
สิ่งที่ ป้า พยาม หลีกเลี่ยง และ ระมัดระวัง เสมอ
ก็คือ การแสดงธรรม นะ


แต่ไม่ใช่ เป็นเพราะ กลัวว่า
เมื่อ แสดงธรรม แล้ว จะ กลาย เป็นแสดงกิเลส
จน ป้า อดได้ ออสการ์ หรอกน้าาาาาาาาาาา


ป้าก็แค่ ไม่ต้องการ ให้คนรอบข้าง
เขาต้องมารู้สึกผิด อึดอัด แล้ว ไม่สบายใจ กับ กิเลสของเขา
เมื่อ เขา พยาม เอา ตัวเอง มาเปรียบเทียบกับเรา ตะหาก


และ สิ่งที่น่ากลัว กว่า การเปรียบเทียบ ก็คือ ความคาดหวัง นะ
ไม่ว่าจะเป็น ความคาดหวัง ต่อ ตนเอง หรือ ผู้อื่น
การเป็น ไอดอลทางธรรม น่ะ มันง่ายนิดเดียว จะเป็นเมื่อไรก็เป็นได้
แค่ มีคารี้คารม แหล่ม ๆ รู้จัก ก๊อป ธรรมะ เท่ห์ ๆ
มาแปะไว้ ในที่ที่ควรแปะ เด๋ว ก็มี แฟนคลับเยอะแยะ แระ
แหม ? พูดแร้วจาหาว่าคุย ฝีปาก ระดับ ป้าป่อง อ่ะนะ
ถ้าจะทำจริง ๆ สาริกาเรียกพี่ อิอิ )


แต่การต้องมา แบก ความคาดหวัง ของมหาชนไว้บนบ่า นี่มันน่ากลัวนะ
เพราะตราบใดที่ เรายังเป็น ปุถุชน โอกาสที่จะพลั้งเผลอ มันก็มีมาก
ป้าเคยเห็น ไอดอทางธรรมหลายคน ร่วงหล่น ลงมาจากหิ้ง
แล้ว ถูก บรรดา แฟนคลับ ที่ กลายมาเป็น แฟนขับ(ไล่ )
เข้ามา กระทืบซ้ำจนแทบจมธรณี คาเวบบอร์ดเลยนะ
เล่นเอา ตรู ไม่ลู้จะ สงสาร ไอดอลตกอับ หรือ แฟนขับผู้ผิดหวัง ดีว่ะ


เฮ้ออออ แต่ก็เข้าใจเรยนะ
ว่าทำไม ทั่นจี้กง ถึงได้ เป็นเช่นที่เห็น
ท่านก็คงแค่ ไม่ต้องการให้ ใครมาคาดหวัง อะไร กับท่านล่ะมั้ง
เมื่อ ไม่มีการคาดหวัง แรงยึดมั่นถือมั่นแห่งจิต ก็จะไม่มี
ความผิดหวัง เจ็บปวด และ ปฏิฆะ ต่าง ๆ ก็จะไม่เกิดตามมา


ป้า เชื่อ ว่า คนเราทุกคน ล้วน ต้องการ จะเป็นคนดี
แต่บางที โควต้า รัฐมนตรี เอ๊ย โควต้า คนดี มันก็มีจำกัด อ่ะนะ
ดังนั้น ป้าจึง ชอบที่จะ เจ้ากี้เจ้าการ และ เข้มงวด แต่กับ ตัวเอง เท่านั้น
ส่วน คนรอบข้าง จะเป็นยังไง หรือทำอะไร ไม่ถูกใจไหม ?
อันนี้ ก็ ช่างแมงมัน เต๊อะ





อืม...ถามยอดฮิต ที่เหล่าพุทธมามกะจ๋า
ชอบปุจฉาถาม ชาวบ้านร้านตลาด คือ

ธรรมมะ คือ ธรรมชาติ หรือ คือ สิ่งที่อยู่ เหนือ ธรรมชาติ


จากนั้น ก็มักจะมีบรรดาสานุศิษย์
จำขี้ปากอาจารย์ ของตน มาพร่ำบ่น
จนเกิด สงคราม อาจานกูคูบาเมิง
ฟังแล้วก็ขำดีอ่ะเฮ้ออออ สงสัย สาวกสมณะโคดม
นี่ท่าจะว่างมากว่ะ เรยชอบเล่นเกมส์ปริศนาธรรม อะไรเอ่ย ?



วิถีเซน เคยกล่าวไว้ ว่า

ก่อน บรรลุธรรม ตักน้ำ ผ่าฟืน ถางหญ้า
หลัง บรรลุธรรม ตักน้ำ ผ่าฟืน ถางหญ้า


ก่อน บรรลุธรรม เห็น ภูเขา ไม่ใช่ ภูเขา เห็น แม่น้ำ ไม่ใช่ แม่น้ำ
หลัง บรรลุธรรม เห็น ภูเขา เป็น ภูเขา เห็น แม่น้ำ เป็น แม่น้ำ


ส่วน วิถีเจ้ บอกว่า

สรรพสิ่ง ล้วนเป็น เช่นที่ มันเป็น และ เป็น เช่นที่ เราปรุง


ดังนั้น ถ้าอยากรู้ ว่า ธรรมะ คือ อาราย
พวกเมิง ก็ลอง ปฏิบัติ ดูสิคะ


ถ้า รู้จัก ทำมะ ก็จะ รู้จัก ธรรมมะ นะเธอว์ เหอ...เหอ...







Create Date : 11 มกราคม 2555
Last Update : 11 มกราคม 2555 0:07:29 น. 100 comments
Counter : 4189 Pageviews.  
 
 
 
 
ส่วนอันนี้แถมจร้าาาาาาาาาาาาาาาา
แบ่บ ว่า เรทติ้ง บล็อกนู้น มันม่ะค่อยวิ่งเยยอ่า
เรยต้อง สวมวิญญาณ เจ๊ดัน ซะหน่อย โฮ่ ๆ


The Letter : จม. เปิดผนึก จาก...อีสมทรง
ถึง...ทั่นผู้ยิ่งหญ่ายยย แห่งศาลไคฟง !


https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&month=10-2011&date=19&group=2&gblog=13




 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 11 มกราคม 2555 เวลา:0:05:17 น.  

 
 
 
อ่ะเอามาฝาก จร้าาาา

//www.tairomdham.net/index.php/topic,7725.msg33526/topicseen.html#msg33526

อืม...โดนด่าว่า โคตรโง่ นี่ยัง เฉย ๆ ชิล ๆ อ่ะนะ
แต่ เห็น คนบางคน ใช้ ตรรกะทะแม้ง ๆ เป็นมะพร้าวห้าว มาขายสวน
แถมยัง กระบิดกระบวน เอา พระพุทธเจ้า ก๊ะ ตะกร้า 3 ใบ มาเป็นไม้กันหมา โดยไม่พิณาให้ถ่องแท้ถึง กาลามสูตร


แล้วเอียนแทบอ้วก จนเจริญสติปัฏฐานแทบไม่ทันเลยวุ้ย
ไม่น่า ไปเปลืองน้ำลาย ก๊ะ อิพวกนีเลยตรู เฮ้อออ - - "



1 comments
Counter : 143 Pageviews.

6850
 
 

โดย: นู๋บี IP: 110.77.138.136 วันที่: 25 เมษายน 2556 เวลา:0:17:24 น.  

 
 
 
อืม....นาน ๆ ที ญิ๋งแม่ จะยอม อนุยาด
ให้เก็บกระทู้ ไว้ที่กระท่อน้อยปลายนา อ่ะจร้าาาา
เลย เอามา แปะ ที่นี่ เพื่อเป็น สิริมงคล ให้กับ สุสานโบราณ หุหุ

//pantip.com/topic/30410254

2 comments
Counter : 152 Pageviews

6962
 
 

โดย: น้องพจมาร สว่างโร่ โฮ่...โฮ่.... IP: 110.77.138.136 วันที่: 25 เมษายน 2556 เวลา:23:08:38 น.  

 
 
 
กระทู้โดนเก็บไปซะแระ คิคิ...
กระทู้นี้ถูกลบเนื่องจาก กระทู้นี้ถูกลบโดยระบบอัตโนมัติทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาบรรยากาศการสนทนา ของเพื่อนสมาชิกโดยรวมค่ะ

อีกลิ้งค์นึงเข้าไม่ได้ ง่ะ

8284
*.*
 
 

โดย: vbvb IP: 124.120.46.243 วันที่: 29 เมษายน 2556 เวลา:13:50:52 น.  

 
 
 
อ่ะ เอามาฝาก อิเจ้รองสันขวาน
มามะ มาเล่นเกมส์ ปริศนาธรรมมะ อะรัยเอ่ยกัน
ว่า แต่ เจ้ เรียงลำดับคำ เหมียนกันไหมเอ่ย ? ^ 0 ^

คุณคิดว่า ๑๐คำนี้ คำไหนควรมาก่อน มาทีหลัง ตามลำดับ

//pantip.com/topic/30429932/comment8


4 comments
Counter : 168 Pageviews

7981
 
 

โดย: คุงหลานมะขามป้อมจอมเฮี้ยวววววววววว IP: 110.77.138.136 วันที่: 1 พฤษภาคม 2556 เวลา:8:23:37 น.  

 
 
 
มาแระ ลองดูปริศนาธรรมมะ กัน ^.^
ก่อนอื่น ต้องหาความหมายของคำก่อน ถ้าแปลไม่ตรงกัน
ก็คงจะตอบไปคนละทาง เนอะ แต่ก็นะ แล้วแต่ว่าใครจะ
ตีความเข้าข้างไปทางไหน ก็ได้ทางแบบนั้น
ไม่มีผิด ไม่มีถูกนิ มีแต่มันก็เป็นเช่นนั้นเอง ^.^

วินัย - ระเบียบ
วิมล - ปราศจากมลทิน ไม่มีตําหนิ ใส สะอาด บริสุทธิ์ กระจ่าง งาม
วิมาน - รถหรือยานบนสวรรค์, ทิพยอาสน์
ปราสาทหรือที่อยู่เทวดา, เมืองฟ้า.
วิมุติ - ความหลุดพ้น
วิโมกข์ - สภาพที่จิตพ้นจากกิเลสและอาสวะทั้งปวง การพ้นจากโลกีย์
วิศาล - พิศาล, ไพศาล, กว้างขวาง, แผ่ไป.
วิเศษ - ยอดดีหรือยอดเยี่ยมในทางใดเป็นพิเศษ
วิสัย - การมีคุณสมบัติเหมาะแก่การจัดทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้
วิหาร - ที่อยู่ของพระสงฆ์ การพักผ่อน

อิอ่อน มันเรียงแบบนี้ ง่ะ
วินัย วิสัย วิมาน วิมล วิศาล วิเศษ วิโมกข์ วิมุติ วิหาร
เหตุผลก็คือ ต้องมีวินัยก่อน ถึงจะเกิดวิสัยได้วิมาน วิมล วิศาล วิเศษ ไปสู่สภาพของ วิโมกข์ เกิดวิมุติ และมีวิหารเป็นเครื่องอยู่ในที่สุด

แหะ แหะ
3769
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.122.171.170 วันที่: 3 พฤษภาคม 2556 เวลา:10:39:01 น.  

 
 
 
อ่าว ขาดวินิจ ไปซะงั้น เอาใหม่นะ แหะ แหะ

วินิจ - พิจารณา พินิจ ไตร่ตรอง

เรียงใหม่ก็ได้แบบนี้

วินิจ วินัย วิสัย วิมาน วิมล วิศาล วิเศษ วิโมกข์ วิมุติ วิหาร
เหตุผลก็คือ ต้องมีการพินิจพิจารณาไตร่ตรองก่อน แล้วค่อยฝึกให้มีวินัย ถึงจะเกิดวิสัยได้วิมาน วิมล วิศาล วิเศษ ไปสู่สภาพของ วิโมกข์ เกิดวิมุติ และมีวิหารเป็นเครื่องอยู่ในที่สุด

แหะ แหะ
7809
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.122.171.170 วันที่: 3 พฤษภาคม 2556 เวลา:10:45:41 น.  

 
 
 
ตามไปอ่านเฉลยที่แปะลิ้งค์ไว้ ก็ได้ใกล้เคียงวุ้ย!!!

แหะ แหะ
9747
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.122.171.170 วันที่: 3 พฤษภาคม 2556 เวลา:12:46:37 น.  

 
 
 
เลขจ๋วย อีกแระ

6668
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.122.171.170 วันที่: 3 พฤษภาคม 2556 เวลา:12:47:20 น.  

 
 
 
มะอยากจะเซดดดด *.*
อิอ่อน นะมันทำข้อสอบทฤษฎีทีไรได้คะแนนสวยตลอด
ถึงไม่ได้ถูก 100% ก็ได้ใกล้เคียง หุหุ
แต่พอสอบภาคปฏิบัติ กลับล่องจุ๊นเป็นกิจวัตร
มะผ่านเข้ารอบกะเขาซักที แหะ แหะ

6039
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.122.171.170 วันที่: 3 พฤษภาคม 2556 เวลา:12:50:31 น.  

 
 
 
อ่ะ เอามาฝาก นานทีปีหน กระทู้ และ อมยิ้ม
จะทนมือทนตรีน อยู่ได้ข้ามคืน หุหุ

//pantip.com/profile/813584


10 comments
Counter : 199 Pageviews

2230
 
 

โดย: น้องพจมาร สว่างโร่ โฮ่...โฮ่.... IP: 110.77.138.136 วันที่: 9 พฤษภาคม 2556 เวลา:9:05:56 น.  

 
 
 
ได้ตามไปอ่านแระ โนคอมเม้นท์ อะจ่ะ ^.^
มีเรื่องมาบอก...
ป๋าโจ ได้มีโอกาสไปบวชผ้าขาวถือศีลแปด5 วัน
ช่วง21-25 เมย.ที่ผ่านมา
บวชอยู่วัดคนเดียวด้วยนะเออ
ก็ทำได้สำเร็จอยู่ตลอดรอดฝั่ง ไม่สึกกลางคัน *.*
นับว่าเกินฟามคาดหมาย อิอิ
พอกลับมาอยู่บ้านก็ฝึกทำสมาธิเหมือนเดิม
แล้วก็อยู่ดีๆดันไปเปิดยูทูบ เรื่อง ชีวิตร่ำไห้
ดูจบก็บอกว่าจะเลิกกินเนื้อสัตว์แว้วววว!!!
แถมเอาให้ลูกเมียดูด้วย อิน้องฮาร์ทดูไปร่ำไห้ไป ซะงั้น
อิน้องแองเจิล ก็ดูไปเอามือแกะริมฝีปากไป
อิอ่อนดูไปก็ออกอาการหวาดเสียว+สยดสยองตามไปด้วย
หลังจากดูจบแล้ว ก็ทำความตกลงกันจากสมาชิกใน
ครอบครัวว่าจะเลิกกินเนื้อสัตว์แว้ววว*.*
มากินมังสวิรัติแทน และขอกินไข่+นม ไปก่อนเน้อ!!!
ชีิวิตก็เปลี่ยนแปลงไปตามสมควร แหะ แหะ
วันที่ป๋าแกตั้งสัจจะว่าจะเลิกกินเนื้อสัตว์ เห็นป๋าบอกว่า
พวกปลา+เต่าที่เลี้ยงไว้มันมองเขาแปลกๆไป ง่ะ!!!
แกก็เลยเหมือนได้มีกำลังใจจากอิพวกปลา+เต่าที่เลี้ยงไว้ว่าคิดถูกทำถูก *.*
อิน้องฮาร์ทมันรู้เรื่องแล้วมันก็ไม่อยากกินเนื้อสัตว์ก็
ยอมเลิกกินของชอบอย่างไส้กรอก ไก่ทอด มากินแต่ไข่
กับนมแทน ส่วนอิน้องแองเจิลก็ยังไม่รู้เรื่องแม่ให้กิน
อะไรก็กินไป แต่จะมาขอกินไก่ทอดแม่ก็บอกไม่มีไป
แหะ แหะ
เวลาอยู่ รร. ก็แล้วแต่เขาจะกินอะไร เพราะไม่อยากให้
เขาแปลกแยกจากคนอื่น หรือเป็นภาระกับคุณครู
เรื่องที่บ้านก็มีประมาณนี้ ก็หนุกหนานวุ่นวายกันไป

1887
*.*



 
 

โดย: อิอิ IP: 124.122.162.154 วันที่: 10 พฤษภาคม 2556 เวลา:9:42:28 น.  

 
 
 
ลูกถีบหลวงพ่อชา
: อย่าฝากหัวใจไว้กับคนอื่น

พระอาจารย์ฟิลลิป ญาณธมฺโม
วัดป่ารัตนวัน อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา


อาตมาอาจจะเป็นพระองค์เดียวในวงลูกศิษย์หลวงพ่อชา
“ที่โดนท่านถีบ” แต่ว่าซาบซึ้งที่ท่านถีบอาตมา
และเพราะความซาบซึ้งนั้นจะมาเล่าให้ญาติโยมฟัง

คือตอนนั้นอาตมาบวชใหม่ๆ พรรษาแรกอยู่ที่วัดหนองป่าพง
ปีนั้นพระเณร ๗๐ กว่ารูป พระเยอะ ญาติโยมเข้าวัดกันมาก
วันนั้นได้ไปบิณฑบาต ตอนกลับจากบิณฑบาตมีพระองค์หนึ่งมาคุยด้วย
และพระองค์นั้นก็เพิ่งบวชใหม่เหมือนกัน ทั้งสององค์ต่างยังมีนิสัยแบบฆารวาส
และพระองค์นั้นก็ได้ไปตำหนิติเตียนพระที่อยู่ในวัดที่ไม่ถูกใจ

อาตมาฟังแล้วคิดในใจว่า บวชเป็นพระทำไมมาจับผิดกัน
ทำไมท่านตำหนิพระองค์นั้นองค์นี้ ก็เลยเดินหนีไม่อยากคุยด้วย
แต่ไม่ได้เดินหนีอย่างเดียว เดินหนีตำหนิท่านในใจ ยังคิดเรื่องท่าน

พอดีเดินเข้ามาในวัด เดินก้มหน้าคิดถึงเรื่องพระองค์นี้องค์นั้นอยู่
ได้ยินเสียงหลวงพ่อชาพูดขึ้นมาว่า “กูดมอนิ่ง”

ก็มองขึ้นไป เห็นหลวงพ่อชาก็อยู่ใกล้ๆ ท่านยิ้มใส่เรา
พูดภาษาอังกฤษ “กูดมอนิ่ง” แปลว่า สวัสดีตอนเช้า

เราก็ดีใจ ไม่เคยได้ยินหลวงพ่อพูดเป็นภาษาอังกฤษ
ก็เลยยกมือไหว้ท่านและตอบท่านว่า “กูดมอนิ่ง หลวงพ่อ”

หลวงพ่อชาท่านพูดภาษาอังกฤษได้ ๒ คำ “กูดมอนิ่ง” สวัสดีตอนเช้า
กับ “ดู ยู ว้อน อะคัพ ออฟ ที” แปลว่า คุณต้องการน้ำชาไหม
เพราะหลวงพ่อท่านเคยไปประเทศอังกฤษ
ชาวอังกฤษเขากินน้ำชากันทั้งวันทั้งคืน
และเขาจะถามตลอดเวลา “ดู ยู ว้อน อะคัพ ออฟ ที”

หลวงพ่อเลยท่องไว้จำไว้ เพราะท่านว่ามันจำง่ายดี
เพราะว่าเหมือนพระสวดให้พร ยถาวริวะหา อุปปะกัปปาติ
แต่ท่านไม่ได้ถามอาตมา “ดู ยู ว้อน อะคัพ ออฟ ที”

เรายกมือไหว้ท่านรู้สึกดีใจ อารมณ์เปลี่ยน ฉันเสร็จก็กลับกุฏิ
เดินจงกรมนั่งสมาธิถึงหกโมงเย็น ก็คิดว่าเดี๋ยวจะไปกุฏิหลวงพ่อชา

ถ้าใครเคยไปวัดหนองป่าพง จะเห็นกุฏิเก่าของท่านข้างๆ โบสถ์
ซึ่งหลวงพ่อมักจะนั่งบนเก้าอี้หวาย อาตมาเข้าไปก็กราบท่าน
ขอนวดเท้าเพราะเราเคยฝึกนวดเท้า บางครั้งท่านจะให้เราไปนวด

วันนั้นพระเณรเยอะ ประมาณทุ่มหนึ่งเขาตีระฆัง
ท่านก็ไล่พระเณรขึ้นโบสถ์หมด พระเณรประมาณ ๗๐ รูป

ท่านบอกว่า ท่านญาณอยู่นี่ ก็นั่งสองต่อสองกับท่าน ก็จับเท้าท่านไว้
ท่านก็ไม่ได้พูดท่านนั่งหลับตาภาวนา เราก็นวดเท้าท่าน อากาศเย็นสบายช่วงฤดูหนาว

พระ ๗๐ รูปเริ่มสวดมนต์ทำวัตรเย็น เราฟังพระสวดมนต์ ๗๐ รูป
เหมือนเทวดา เหมือนเทพกำลังจะโปรดเรา เราก็นั่งคิด
เรากำลังนั่งกับพระอรหันต์ กำลังสร้างบุญกุศล ถวายการนวดแก่พระอรหันต์อยู่
เทวดากำลังสวดอนุโมทนาด้วย จิตใจขึ้นสวรรค์เลย พอดีจิตใจขึ้นสวรรค์

หลวงพ่อใช้เท้าถีบหน้าอกอาตมาจนหงายหลัง
หัวกระแทกพื้น เราก็ช็อกอยู่ งงเลย...!!!

หลวงพ่อชี้หน้า นั่นตอนเช้าพระองค์หนึ่งพูดไม่ถูกใจเรา เราก็เสียใจ
อีกองค์หนึ่งพูดแค่ “กูดมอนิ่ง” ดีใจทั้งวัน อย่าไปดีใจ เสียใจกับคำพูดคนอื่น
อย่าไปฝากหัวใจไว้กับคนอื่น ต้องฝากหัวใจไว้กับพระธรรม

ทีนี้ท่านก็เทศน์กัณฑ์ใหญ่ เราก็ยกมือไหว้ท่าน น้ำตาไหล
เพราะอะไร ซาบซึ้งในเมตตากรุณาของท่าน ท่านก็คงเห็นเราตอนเช้า
ว่าพระองค์นี้ตกนรก จิตเป็นทุกข์ เพราะคำพูดคนอื่น

ท่านก็เลยพูดแค่ “กูดมอนิ่ง” ให้ดึงเราขึ้นจากนรก
และตอนเย็นท่านก็ปล่อยให้เรานวดเท้าท่านให้ขึ้นสวรรค์
ขึ้นสวรรค์แล้ว ต้องถีบลงมาถึงแผ่นดิน
เพราะเทวดาสอนธรรมไม่ได้ ต้องมนุษย์ เพื่อให้จดจำไว้

“อย่าฝากหัวใจไว้กับคำพูดของผู้อื่น เพราะเราจะผิดหวัง
ต้องฝากหัวใจไว้กับพระธรรม
ก็เลยได้จดจำคำพูดหลวงพ่อ...”
จากเว็บพันทิบ
ที่มา : //www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=39882

1957
*.*
 
 

โดย: vbvb IP: 124.122.148.125 วันที่: 14 พฤษภาคม 2556 เวลา:16:07:16 น.  

 
 
 
“อย่าฝากหัวใจไว้กับคำพูดของผู้อื่น เพราะเราจะผิดหวัง"
*.*โดนอย่างจัง *.*
"ต้องฝากหัวใจไว้กับพระธรรม"
*.*โอเค เรยยยย*.*

6682
*.*
หุหุ
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.122.148.125 วันที่: 14 พฤษภาคม 2556 เวลา:16:09:53 น.  

 
 
 
อาจารย์ที่แท้จริง
ท่านชาคโรถูกหลวงพ่อส่งไปอยู่ประจำวัดสาขาแห่งหนึ่ง
เมื่อมีโอกาสหลวงพ่อได้เดินทางไปเยี่ยม
"เป็นไงบ้าง ชาคโร ดูผอมไปนะ" หลวงพ่อทัก
"เป็นทุกข์ครับหลวงพ่อ" ท่านชาคโรตอบ
"เป็นทุกข์เรื่องอะไรล่ะ"
"เป็นทุกข์เพราะอยู่ไกลครูบาอาจารย์เกินไป"
"มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอาจารย์ทั้งหก
อาจารย์ฟังให้ดี ดูให้ดี เขาจะสอนให้เราเกิดปัญญา

นั่งมาก
วันหนึ่งหลวงพ่อนำคณะสงฆ์ทำงานวัด
มีวัยรุ่นมาเดินชมวัดถามท่านเชิงตำหนิ
"ทำไมท่านไม่นำพระเณรนั่งสมาธิ ชอบพาพระเณรทำงานไม่หยุด"
"นั่งมากขี้ไม่ออกว่ะ" หลวงพ่อสวนกลับ ยกไม้เท้าชี้หน้าคนถาม
"ที่ถูกนั้น นั่งอย่างเดียวก็ไม่ใช่ เดินอย่างเดียวก็ไม่ใช่ ต้องนั่งบ้าง
ทำประโยชน์บ้าง ทำความรู้ความเห็นให้ถูกต้องไปทุกเวลานาที
อย่างนี้จึงถูก กลับไปเรียนใหม่ ยังงี้ยังอ่อนอยู่มาก
เรื่องการปฏิบัตินี้ถ้าไม่รู้จริงอย่าพูด มันขายขี้หน้าตนเอง"
^.^
ศักดิ์ศรี
หลวงพ่อเคยปรารภเรื่องภิกษุสะสมเงินทองปัจจัยส่วนตัวว่า
"ถ้าผมสิ้นไป พวกท่านทั้งหลายค้นพบ หรือเห็นปัจจัยเงินทองอยู่ในกุฏิผม
โอ๊ย...เสียหายหมด เสียศักดิ์ศรีพระปฏิบัติ"

พูดถึงหลวงพ่อชาเลยนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่งครับ

ผมสังเกตเห็นพระวัดหนองป่าพงของหลวงพ่อชา
กับพระวัดสวนโมกข์ของหลวงพ่อพุทธทาสไปมาหาสู่สนิทสนมกันดีมากเหมือนเป็นสำนักเดียวกัน ดูๆไปท่านจะสนมกันมากกว่าพระสายพระอาจารย์มั่นเสียอีกด้วยซ้ำไปครับ

เลยไปถามหลวงพ่ออิสระมุนี (อดีตพระเลขาหลวงพ่อชา) ถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสองสำนักนี้ ท่านเล่าให้ฟังว่า เดิมทีเดียวมีคนนำเทปธรรมะหลวงพ่อพุทธทาสเรื่อง "สุญญตาปริทัศน์" มาให้หลวงพ่อชาฟัง (ตอนนั้นหลวงพ่อชาท่านอายุมากพอสมควรจนเป็นอาจารย์ใหญ่แล้ว)
ท่านฟังแล้วชอบอกชอบใจมาก รับรองว่านี่แหละธรรมะที่ถูกต้อง แล้วท่านก็ชอบฟังทุกๆคืนก่อนนอน ท่านชมว่าหลวงพ่อพุทธทาสเทศน์ได้ไพเราะจับใจน้ำเสียงสงบถึงใจดีนัก หลวงพ่ออิสระมุนีถึงกับต้องเตรียมเทปให้ท่านฟังตอนกลางคืนแทบทุกคืนเพราะท่านชอบมากๆ

ด้วยกิตติศัพท์นี้จึงทำให้พระหนองป่าพงหลายรูปเดินทางไปนมัสการหลวงพ่อพุทธทาสถึงสวนโมกข์ และนับแต่นั้นมาศิษย์สองสำนักนี้ก็สนิทสนมกันจนแทบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ส่วนหลวงพ่อพุทธทาสก็นิยมชมชื่นในธรรมะของหลวงพ่อชาไม่แพ้กันทีเดียว


วันหนึ่งท่านอาจารย์สุเมโธ (พระฝรั่ง) ได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนสวนโมกข์ เห็นพระที่นั่นทำตัวสบายๆไม่เคร่งครัด จึงนึกดูถูกอยู่กลายๆว่าคงสู้สำนักหนองป่าพงไม่ได้ พอสบโอกาสจึงถามหลวงพ่อพุทธทาสว่าทำไมไม่กวดขันเรื่องวินัย? ท่านอาจารย์พุทธทาสนิ่งเฉยไปครู่ใหญ่ ส่ายหน้าช้าๆแล้วตอบเนิบนาบว่า "เรื่องวินัย มันเป็นเรื่องของเด็กๆ " แล้วนิ่งเสีย

ท่านอาจารย์สุเมโธ ไม่ชอบใจเลย หงุดหงิดกับคำตอบท่านมากๆ

หลังจากนั้นก็กลับหนองป่าพง ต่อมาไม่นาน หลวงพ่อชาให้ท่านไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดป่าแห่งหนึ่ง(เข้าใจว่าวัดป่านานาชาติ) ท่านต้องรับภาระปกครองพระภิกษุมากมาย ท่านก็กวดขันวินัยเคร่งครัดมากๆ

อยู่มาวันหนึ่งท่านเทศน์ในที่ประชุมสงฆ์ว่าการขบฉันของพระต้องสำรวม
ไม่ให้มีเสียงดัง ต้องเรียบร้อย เทศน์จบรุ่งเช้าพอถึงเวลาฉัน มีพระฝรั่งเกเรรูปหนึ่งคงอยากลองดี เลยฉันอาหารต่อหน้าญาติโยมเสียงดังมาก สูดปาก ซูดๆ ดูดนิ้วด้วย เคี้ยวดัง จับๆ แบบว่าเอาเต็มที่เลย

ท่านอาจารย์สุเมโธโมโหมาก แต่จะทำอะไรก็ไม่ได้ ญาติโยมเต็มศาลา
ก็ได้แต่อดใจข่ม ทันใดนั้นเลยนึกถึงคำหลวงพ่อพุทธทาส "อ๋อ นี่มันเด็ก
ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้อะไรดี อะไรไม่ดี ธรรมวินัยเขาเอาไว้ใช้กับพวกเด็กๆคงเป็นอย่างนี้เอง" ท่านซาโตริขึ้นมาทันที เลยหายโกรธ สบายใจได้
นับแต่นั้นมาท่านเลิกดูถูกภูมิปัญญาหลวงพ่อพุทธทาสไปเลยครับ

ทุกวันนี้ไปสวนโมกข์ หรือวัดชลประทาน ก็จะเห็นหนังสือธรรมะของหลวงพ่อชาวางจำหน่ายปนๆกับธรรมะของหลวงพ่อพุทธทาสและหลวงพ่อปัญญาครับ

//pantip.com/topic/30474010
ที่มา : //th.watthainorway.no/Artikler/forside/neste-liv
1442
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.122.148.125 วันที่: 14 พฤษภาคม 2556 เวลา:16:23:57 น.  

 
 
 
ชาติหน้ามีจริงหรือ ?...หลวงพ่อชา สุภัทโท
จะต้องให้รู้ด้วยตนเอง ธรรมะที่แท้จริงเหมือนรสของแอ๊ปเปิ้ล
เรื่องรสของแอ๊ปเปิ้ล เราฟังดูเฉยๆก็ไม่รู้ จะไม่รู้ว่ามันหวานหรือมันเปรี้ยวอย่างไร?
นอกจากเราลองชิมแอ๊ปเปิ้ลนั้นแล้ว นั่นแหละ... จึงจะรู้แจ้งว่า รสของมันเป็นอย่างไร?
อร่อยไหม? ไม่ต้องไปถามใครอีกแล้ว ปัญหามันจบที่ตรงนั้นเอง "

ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาถามปัญหาท่านอาจารย์ชา
(หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี) เรื่องชาติหน้าภพหน้า
เขาสงสัยว่า คนตายแล้วเกิดหรือไม่?

ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ชาติหน้ามีจริงไหม?

ท่านอาจารย์ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ?

ผู้ถาม : เชื่อ

ท่านอาจารย์ชา : ถ้าเชื่อ......คุณก็โง่

ผู้ถาม : คนตายแล้วเกิดไหม?

ท่านอาจารย์ชา : จะเชื่อไหมล่ะ? ถ้าเชื่อ......คุณโง่หรือฉลาด?

แล้วท่านจึงสอนต่อไปว่า

หลายคนมาถามอาตมาเรื่องนี้ อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่า
ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม? ถ้าเชื่อคุณก็โง่
เพราะอะไร ก็เพราะมันไม่มีหลักฐาน-พยานอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้
ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น
คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป
ที่นี้ถ้าอาตมาตอบว่า คนตายแล้วเกิดหรือว่าชาติหน้ามี
อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า ถ้ามี พาผมไปดูหน่อยได้ไหม?
เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้
เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด
ที่นี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม? อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม?
ถ้ามีพาไปดูได้ไหม? อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้
ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่ แต่ก็พาไปดูไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น
ถ้าวันนี้มี พรุ่งนี้ก็ต้องมี
แต่สิ่งนี้เป็นของที่จะหยิบยกเอามาเป็น วัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้

ความจริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น
ไม่ต้องสงสัยว่าชาติหน้ามีหรือไม่มี
ไม่ต้องไปถามว่า คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด
อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา
หน้าที่ของเราคือ เราจะต้องรู้จัก เรื่องราวของตัวเองในปัจจุบัน
เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม? ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร?
นี้คือสิ่งที่เราจะต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง
เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต
คือถ้าวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้
นี่เรียกว่าอนาคตคือพรุ่งนี้ มันจะมีได้ก็เพราะวันนี้เป็นเหตุ
ทีนี้อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน หมายความว่า
ถ้าวันนี้ผ่านไป มันก็กลายเป็นเมื่อวาน นี้เสียแล้ว
นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน เท่านี้ก็พอแล้ว
ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี อนาคตมันก็จะดีด้วย
อดีตคือวันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย
และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว
อนาคตคือชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง

คนหนึ่งพูดว่า : กลัวว่าชาติหน้าจะไม่ได้เกิด

ท่านอาจารย์ชา : นั่นแหละยิ่งดี กลัวมันจะเกิดเสียด้วยซ้ำไป

ในครั้งพุทธกาล สมัยที่พระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่
มีพราหม์คนหนึ่งมีความสงสัยว่า คนตายแล้วไปไหน? คนตายแล้วเกิดหรือไม่?
ถ้าพระองค์ตอบได้ก็จะมาบวชด้วย
แต่ถ้าตอบไม่ได้หรือไม่ตอบ แกก็จะไม่บวช แกว่าของแกอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าจึงตอบว่า มันเป็นเรื่องอะไรของฉันเล่า
พราหม์จะบวชหรือไม่บวช นั่นเป็นเรื่องของพราหม์ ไม่ใช่เรื่องของฉัน
พระองค์ตรัสว่า ถ้าตราบใดที่พราหม์ยังมีความเห็นว่า
มีคนเกิดหรือมีคนตาย คนตายแล้วเกิดหรือคนตายแล้วไม่เกิด
ถ้าพราหม์ยังมีความเห็นอยู่อย่างนี้
พราหม์ก็จะเป็นทุกข์ทรมานอยู่อีกหลายกัลป์
ทางที่ถูกนั้น พราหม์จะต้องถอนลูกศรออกเสียบัดนี้
พระพุทธเจ้าท่านว่า ความจริงแล้วไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย
พราหม์คนนั้นฟังไม่รู้เรื่อง และจนกว่าแกจะได้เรียนรู้เรื่อง
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เข้าใจถ่องแท้เสียแล้วนั่นแหละ
จึงจะเข้าใจคำพูดของพระองค์ได้
นั่นจึงจะเรียกว่า การรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา
เป็นการเชื่อด้วยปัญญา พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้
ไม่ได้สอนว่า ให้เชื่อว่าคนตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด ชาติหน้ามีหรือไม่มี
อย่างนั่นไม่ใช่เรื่องเชื่อหรือไม่เชื่อ จะถือเอาเป็นประมาณไม่ได้
จะถือเอาเป็นหลักเกณฑ์ไม่ได้
ดังนั้น ที่คุณถามว่า ชาติหน้ามีไหมนั้น
อาตมาจึงถามคุณว่า ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม?
ถ้าเชื่อ โง่หรือฉลาด? อย่างนี้เข้าใจไหม? ให้เอาไปคิดดูเป็นการบ้านนะ
จากเว็บพันทิบ
ที่มา : //www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=26161

5467
*.*
 
 

โดย: vbvb IP: 124.122.148.125 วันที่: 14 พฤษภาคม 2556 เวลา:16:32:12 น.  

 
 
 
เสียงปืนสนั่นป่าเทือกบรรทัด! อดีตขุนโจรเรียกค่าไถ่ใต้นำชาวบ้านปะทะขบวนการมอดไม้
พัทลุง - “เอียด เส็งเอียด” อดีตขุนโจรชื่อก้องแห่งภาคใต้ ที่วันนี้หันมานำชาวบ้านพิทักษ์ป่าเทือกเขาบรรทัดถวายในหลวง และราชินี ประกาศขอโทษชาวบ้านที่ทำให้เกิดเสียงปืนลั่นพงไพร เหตุเพราะปะทะกับขบวนการมอดไม้ที่มีนายทุนหนุนหลัง แถม จนท.ป่าไม้รู้เห็นเป็นใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.พัทลุง ว่า วันนี้ (15 พ.ค.) ที่บริเวณป่าต้นน้ำเหนืออ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใส ท้องที่ ม.5 ต.ลานข่อย อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง ภายหลังนายเอียด เส้งเอียด หรือที่รู้จักในนามจอมโจรเรียกค่าไถ่ชื่อดังของภาคใต้ อายุ 61 ปี ซึ่งวันนี้ได้ผันตัวเองมาเป็นประธานชมรมกองทุนรักษาป่าเทือกเขาบรรทัด อยู่บ้านเลขที่ 10 ม.4 ต.ป่าพะยอม อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง ได้พาสมาชิกในชมรมกว่า 20 คน ออกลาดตระเวนพื้นที่ป่าต้นน้ำ ซึ่งเป็นสวนป่าเฉลิมพระเกียรติ และหลังจากออกตรวจพบว่า ต้นไม้ขนาดเส้นรอบวง 100-150 ซม. ยาวประมาณ 7-10 ม. ถูกตัดโค่นล้มเรียงรายเต็มพื้นที่ป่าจำนวนกว่า 100 ต้น บ้างถูกแปรรูป และชักลากด้วยควายออกไปแล้ว ส่วนที่เหลือยังเป็นท่อนรอการแปรรูปเพื่อส่งจำหน่ายนายทุน

ทั้งนี้ ขบวนการมอดไม้ได้ทำการลำเลียงไม้เถื่อนออกจากป่า โดยใช้เส้นทางผ่านหน้าหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า บ้านห้วยน้ำใส นอกจากนี้ ยังพบการจุดไฟเผาต้นไม้ให้ยืนต้นตายเพื่อรอทำการตัดโค่นต่อไป ส่วนไม้ที่ถูกตัดโค่นไปแล้ว ได้แก่ ไม้แก่นหิน หลุมพอ พิกุลป่า และไม้แดง ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นไม้เศรษฐกิจที่บรรดาเหล่านายทุนต้องการเป็นอย่างมาก

นายเอียด เส้งเอียด ประธานชมรมกองทุนรักษาป่าเทือกเขาบรรทัด เปิดเผยว่า การออกลาดตระเวนพื้นที่ป่าครั้งนี้ สืบเนื่องมากจากการที่นายทุนได้เข้าไปทำไม้เถื่อนอยู่นานร่วม 6 เดือน และตนได้เข้าไปแจ้งป่าไม้ในพื้นที่รับผิดชอบให้ทราบแล้ว แต่ยังเพิกเฉย แถมยังรู้เห็นเป็นใจกับกลุ่มนายทุนอีกด้วย จึงได้ตัดสินใจนำสมาชิกออกลาดตระเวนเองในที่สุด และการยิงปืนในวันนี้ (15) เป็นการประกาศศึกกับกลุ่มมอดไม้ที่ฮึกเหิม และไม่เกรงกลัวกฎหมาย ตายเป็นตาย ชีวิตนี้ขอปกป้องป่า เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

นายเอียดยังกล่าวอีกว่า สำหรับการยิงปืนปะทะกันนั้น ตนต้องกราบขอโทษพี่น้องประชาชนด้วย แต่ด้วยสถานการณ์ที่ป่าไม้กำลังอยู่ในขั้นวิกฤต จึงจำเป็นต้องขู่ชนกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่อย่างเฉียบขาด เพื่อให้ผืนป่าอยู่คู่กับลูกหลานสืบไป

ความคิดเห็นที่ 19 +115

องคุลีมารยังเป็นพระอรหันต์ได้ ไม่ว่าพวกพี่จะเป็ยยังไงมาก่อน แต่ตอนนี้พวกพี่ทั้งหมดหล่อมากครับ

//www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9560000058387

*.* แปะ แปะ *.*
3768
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 58.11.139.76 วันที่: 16 พฤษภาคม 2556 เวลา:9:59:07 น.  

 
 
 
“สวาซิแลนด์” ออกกฏหมายการบินใหม่ จ่อเอาผิด “แม่มด” หากขี่ไม้กวาดสูงจากพื้นดินเกิน 150 ม. คิดค่าปรับอ่วมเป็นล้าน

“หน่วยงานของเราได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว และเห็นว่าถือเป็นเรื่องที่ดี ที่มีการออกกฏหมายจำกัดเพดานบินของพวกแม่มดขี่ไม้กวาดทั้งหลายไม่ให้บินสูงเกินกว่า 150 เมตร ผมขอยืนยันว่าถ้าพวกเธอเดินทางด้วยไม้กวาดในความสูงต่ำกว่า 150 เมตร พวกเธอก็จะไม่ถูกตั้งข้อหาใดๆ แต่ถ้าฝ่าฝืนก็ต้องถูกดำเนินการตามกฏหมายทันที” ดลามินีกล่าว

//www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000058695

*.* ^.^ *.* 555
2415
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 58.11.139.76 วันที่: 16 พฤษภาคม 2556 เวลา:16:10:34 น.  

 
 
 
อืม....แวะมา อนุโมทนา ก๊ะ ป๊ะป๋าโจคร้าาาาา
หูย ป๋าเจ๋ง ว่ะ เลิกกินเลือดกินเนื้อ ได้ซะที
นี่ ๆ ฝากบอก ป๋าหั้ยทีน้าาาา ว่า

ป๊ะป๋าโจเนี่ย ชักจะทำอะไร เกินหน้าเกินตา ลูกไป๊ ซะแระ
( นู๋บี ยังลุ่มหลงใน เนื้อหนังมังสา และ ท่อนขาอันอวบอิ่มนิ่มนวล
ของ น้อง หมู น้องไก่ และ น้องกุ้ง หอย ปู ปลา อยู่ เลยอ่ะ แหะ...แหะ... )


เออ แต่ไงก็ระวัง น้องแองเจิล ก๊ะ น้องฮาร์ทจัง
ขาดสารอาหารบางตัว ด้วยเด้ออออออ
เด็ก ๆ วัยนี้ เค้ากำลัง เจริญเติบโตจร้าาาา

ปอลิง

ช่วงนี้ กะลัง เอนจอย ก๊ะ การทำสงครามน้ำลาย อยู่ที่ ห้องศาสดา อ่ะ
ไม่รู้เกิดไรขึ้นวุ้ย พี่พัน ไฟเขียว ไม่เจี๋ยน อมยิ้ม น้องนู๋บีซะที อิอิ
อ้อ ชอบ เรื่องของ ลพ.ชา ก๊ะ คำพูดที่ว่า

ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม?
ถ้าเชื่อ โง่หรือฉลาด? อย่างนี้เข้าใจไหม?
ให้เอาไปคิดดูเป็นการบ้านนะ

จังเรยอ่ะ ^ ^

อ้อ แล้วไง เด๋วครึ้ม ๆ จะมา ฉะเหลย ปริศนาธรรมโม๊ะ
เรื่อง ถ้าตำนานพุทธอวตาร มนเป็นเรื่องจริง

และ เรื่อง ก้วยเจ๋ง ก๊ะ สัมมาทิฏฐิ จร้าาาาาา

ไม่ได้ลืมหรอกน้าาาาา แต่ว่า มัวไปตบตีก๊ะชาวบ้านเพลินไปหน่อย
เนี่ย ขนาดโปรเจค ที่จะเขียนเรื่อง

"เมื่ออิฉันเริ่มเห็นความงดงามตามวิถีอิสลาม เพราะเปลี่ยนใจหันไปปฏิบัติธรรม"

ยังดองเค็มไว้ ข้ามปีเยยยยย แหะ....แหะ...




18 comments
Counter : 238 Pageviews

4590


 
 

โดย: น้องพจมาร สว่างโร่ โฮ่...โฮ่.... IP: 110.77.138.136 วันที่: 16 พฤษภาคม 2556 เวลา:19:56:11 น.  

 
 
 
อะจร้า....รับแซ่บ ^.^
ตอนนี้อิอ่อนมันกำลังโยนิโสเรื่องรู้ชัด กับรู้ไม่ชัด อยู่
แหะ แหะ ก็ว่ากันไปเนาะ
ตอนนี้ ป๋าโจแกอุส่าโหลดบิทพระไตรปิฎกเสียงอ่าน
ที่เป็นเอ็มพี3มาให้ก็เลยฉลองศรัทธาให้แกหน่อย
ฟังทุกวันไปเรื่อยๆ ตอนอยู่บนรถเมล์
ไม่อยากขัดศรัทธาเขา อิอิ

เรื่องกินมังสวิรัตินี่ จะว่าไปก็ดีเหมือนกันนะ
ฝึกให้เป็นผู้กินง่ายอยู่ง่าย มีอะไรก็กินไปอย่างนั้น
ข้อดีคือ กินไข่ นม ผักและผลไม้กินมากขึ้น
ซื้อแต่ของมีประโยชน์ติดตู้เย็นไว้ไม่ขาดแคลน
เมื่อก่อนมีแต่ไส้กรอก + น่องไก่ เต็มตู้เย็น แหะ แหะ
จริงๆอิน้องแองเจิ้ลกะอิน้ิงฮาร์ท กินเนื้อสัตว์อยู่2อย่าง
คือไส้กรอก กะน่องไก่ทอด นอกนั้นก็ไม่กินเลย
เนื้อหมู-ไก่-ปลาที่ใส่ผัดต้มแกงทอด ก็ไม่กินเลย
เขี่ยทิ้งหมดยอมกินข้าวเหยาะซีอิ๊ว ซะงั้น
อาหารหลักก็กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม กล้วยไข่ สาลี่ ชมพู่
แ้ก้วมังกร นม ไข่ เต้าหู้หลอดไข่ สาหร่าย ขนมปัง
โอวัลติน นมเปรี้ยว โยเกิร์ต ฮะจิบังราเมนไม่ใส่หมู
ซารุราเมน และ ฮะจิคามะ(อันนี้ของโปรดอิน้องแองเจิ้ล
ก็ไม่ใช่มังฯซะทีเดียวมันเป็นแป้งที่มีกลิ่นปลา
แต่เค้าชอบ ก็หยวนๆให้ อิอิ สั่งให้เธอว์ต้องมี2ชุด)
ก็เยอะเหมือนกันนะ หุหุ

9091
*.*



 
 

โดย: vbvb IP: 124.122.127.214 วันที่: 17 พฤษภาคม 2556 เวลา:12:58:08 น.  

 
 
 
มีข่าวมาฝาก อิอิ
“อุปมาเสียงวิจารณ์ดั่งผู้ชี้ขุมทรัพย์” พระแจ๊สทิ้งอดีตเข้าร่มกาสาวพัสตร์ มุ่งมั่นตามรอยพระตถาคต

//www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9560000059015

^.^
7212
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.122.127.214 วันที่: 17 พฤษภาคม 2556 เวลา:12:59:33 น.  

 
 
 
อ่านข่าวนี้แล้วเศร้าใจแทนคนจนและบุคลากรการแพทย์ในระบบ
นู๋บีเป็นบุคลลากรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง มีความเห็นเป็นไง อะ
ถ้าเป็นอิอ่อน นะ มันคงลาออกไปทำงาน รพ.เอกชนแระ รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดชะนี แหะ แหะ
คัดมาบางส่วน เนาะ

สปสช.อยู่ในวิกฤต-เอื้อเอกชน-ประชาชนสุดช้ำ

นพ.วิชัยกล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากคือ สปสช.ที่ขณะนี้การเมืองได้ส่งคนของตัวเองไปยึดได้เกือบหมดแล้ว ส่วนหมอชนบทที่ยังเหลืออยู่ ก็เหมือนคนที่กำลังนั่งดูการข่มขืนประชาชน เพราะไม่นานหลังจากการเมืองส่งคนของตัวเองเข้ามาในบอร์ด สปสช. ได้มีมติให้เก็บเงินประชาชน 30 บาท จากเดิมไม่มีการเก็บเงิน แต่ต้องเข้าใจก่อนนะว่า การไม่เก็บเงินนี้ไม่ใช่ว่าประชาชนไม่ได้จ่าย ประชาชนเขาจ่ายไปแล้วในรูปแบบภาษี และไม่ใช่แค่คนที่ทำงานในระบบ เพราะคนที่เป็นเกษตรกร หรือพ่อค้า หรือคนอื่นๆ ก็ต้องจ่ายภาษีในรูปภาษี VAT ในการซื้อสินค้าอยู่ดี

เรื่องต่อมาที่ชี้ให้เห็นถึงการครอบงำ สปสช. ก็คือการเพิ่มตำแหน่งใหม่ มีการตั้งรองเลขาฯ เพิ่มถึง 2 ตำแหน่ง จากเดิมมีอยู่แล้ว 3 คน ก็เป็น 5 คน เพื่อขยายตำแหน่ง เอาคนของตัวเองเข้ามาเป็นเสียงในการโหวตเรื่องต่างๆ

นพ. “อ.” และ นพ. “ส” คือ 2 คนนั้น

อีกเรื่องคือการประชุมเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา การเมืองก็เอาเรื่องของ Co-pay เข้ามาโดยผลักดันผ่านเลขาธิการ สปสช.

Co-pay จะเป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กลายเป็นระบบแยกคนรวยออกจากคนจน และคนจนจะกลายไปเป็นผู้ป่วยอนาถาเหมือนสมัยก่อน

“ความจริงแล้ว Co-pay ทำได้หลายวิธี แต่หลักการคือมันไม่เป็นธรรม หลักการใหญ่ของระบบประกันสุขภาพที่ดีคือความเป็นธรรม แต่ถามหน่อย ข้าราชการต้อง Co-pay ไหม ไม่ แถมรัฐจ่ายให้แพงกว่า Co-pay 5 เท่า”

ขณะที่ข้าราชการ 5 ล้านคนและครอบครัว ได้ใช้เงินงบประมาณดูแลสุขภาพไปปีละ 70,000 ล้านบาท ขณะที่คนที่ใช้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามีถึง 48 ล้านคน มีเงินงบประมาณส่วนนี้ประมาณ 1 แสนล้านบาทต่อปี แต่ต้องมีการหักเงินเดือนประจำของเจ้าหน้าที่ออกมาด้วย

“ทำไมไม่ให้ข้าราชการทำ Co-pay แต่มา Co-pay ที่บัตรทอง นี่เป็นการเลือกปฏิบัติ 2 มาตรฐานหรือไม่ Co-pay อย่างเดียวก็แย่แล้ว เดี๋ยวนี้โรงพยาบาลที่ไม่มีคุณธรรมมีเยอะ แพทย์หลายคนก็เหมือนกัน รู้ไหม Co-pay ถูกนำมาใช้จะเกิดอะไรขึ้น แพทย์จะดูแลดีเฉพาะคนที่มีตังค์ร่วมจ่าย แต่คนจนจะกลายเป็นระบบอนาถาเหมือนสมัยก่อน”

แถมจะเกิดกรณี ยาที่ไม่ควรจะต้องจ่าย ก็ต้องจ่าย

“สมมติยามะเร็ง การรักษาแบบมาตรฐานใช้ยาตัวนี้ก็พอ แต่หมอบางคนอาจจะบอกว่า มียาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนบัญชียาหลักนะ แต่ผ่านการวิจัยมาแล้ว คนไข้จะเอาไหม ญาติจะเอาไหมยาตัวนี้ แต่ต้องจ่ายเองนะ คนไข้หรือญาติก็ต้องตอบว่า เอา สุดท้ายกินยารักษาในสิ่งที่ไม่ควรรักษาหรือเปล่า”

แค่นั้นยังไม่พอ ยังต่อด้วยโครงการ P4P หรือ Pay for performance การจ่ายตามปฏิบัติงานที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่กับระบบสาธารณสุขไทย เพราะจะเป็นการทำให้แพทย์ และบุคลากรด้านสาธารณสุข ทำงานเหมือนหุ่นยนต์ และการรักษาคนไข้ด้วยใจจะค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไป

โดยแต่เดิม ระบบตอบแทนที่มีอยู่จะเป็นแบบ 3 เหลี่ยมที่ชั้นล่างสุดคือเงินเดือน ชั้นต่อมาคือการเหมาจ่าย และยอดบนสุดเป็นระบบ P4P ที่มีการทำมาอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ระบบที่รัฐบาลจะนำมาใช้ คือ P4P ปะปนกับเงินเหมาจ่าย ซึ่งจะกระทบต่อระบบจูงใจแพทย์ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยลง

“ผอ.โรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง ออกมาพูดว่า ที่โรงพยาบาลใช้อยู่ P4P โดยให้คนที่ทำงานหนักอย่างห้องฉุกเฉินได้รายได้เพิ่มขึ้นมา จะได้มีกำลังใจในการทำงานหนัก ตรงนี้จริงๆ มันเป็นเงินเหมาจ่าย ไม่ใช่ P4P ที่รัฐบาลจะทำ P4P ของรัฐบาลคือการคิดการทำงานเป็นแต้ม อย่างพยาบาลถ้าพลิกตัวคนไข้คนหนึ่งได้ 0.3 แต้ม ถ้าไปเยี่ยมไข้ครั้งหนึ่งได้ 0.5 แต้ม อย่างนี้มันไม่ใช่ มันกำลังทำคนให้เป็นเครื่องจักรได้คะแนนแต่ไม่มีใจ”

โดยข้อเท็จจริงคือมีโรงพยาบาลที่กำลังนำร่องทำเรื่อง P4P อยู่ในต่างจังหวัดอยู่แล้ว แต่ก็เป็น P4Pเฉพาะบางงาน เฉพาะการจูงใจให้คนขยันขึ้น ไม่ใช่เหมารวมทั้งโรงพยาบาล เพราะกำลังทำคนเป็นเครื่องจักร

“มีอยู่แล้ว P4P กับ on top แต่ไม่ได้เอามาปะปนกับงบเหมาจ่าย เพราะ P4P ที่ถูกต้องต้อง Win-Win-Win ทั้ง 3 ฝ่ายคือ คนไข้-เจ้าหน้าที่-โรงพยาบาล ต้องได้ประโยชน์ทั้ง 3 ส่วน ไม่ใช่คนไข้เสียประโยชน์อยู่คนเดียว”

แถมการที่หมอชนบทออกมาคัดค้านรุนแรงนั้น ก็เป็นการตอกย้ำว่า Win ที่ 2 มีปัญหาแล้ว

เมื่อหมอชนบทออกมาค้าน ฝ่ายการเมืองก็มีการไประดมกลุ่มหมอโรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลศูนย์ออกมาทำม็อบสนับสนุนฝ่ายการเมือง ตอนนี้ก็เลยทะเลาะกันไปหมด

เป็นยุคที่เรียกว่าความขัดแย้งระหว่างหมอที่เป็นฝ่ายปฏิบัติแตกแยกรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ และยากที่จะประสานรอยร้าวเสียด้วย

ดังนั้น ผู้ที่ได้ประโยชน์จริงๆ จากการออกนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนี้นั้นไม่ใช่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ หรือคนในประชาคมสีขาว แต่เป็นการรุกคืบของกลุ่มทุนเข้าสู่ธุรกิจสุขภาพอย่างน่ากลัว โดยอาศัยนโยบายศูนย์กลางการรักษาพยาบาล หรือ Medical Hub ที่โรงพยาบาลสายป่านยาว ทุนหนา บรรษัทยาข้ามชาติ เตรียมรอรับผลประโยชน์แบบลุ้นสุดตัวอยู่แล้ว

//www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000064207

ปล.อิอ่อนมันโชคดีหน่อยไม่ต้องไปใช้สวัสดิการส่วนนี้
เพราะบริษัทฯที่ทำงานมีสวัสดิการดีเหมาจ่ายให้ทั้งครอบครัว เลยรอดตัวไป แหะ แหะ แต่สงสารคนไข้กับคนทำงานในระบบนี้นะ เมื่อก่อนตอนจบใหม่ก็ไปทำงานใน รพ. เกี่ยวกับ x-ray น่ะ ทำได้ไม่นานก็ต้องหนี ไม่ไหว งานหนัก ผักผ่อนน้อย เงินเดือนไม่พอใช้แหะ แหะ เลยหนีไปเรียนคอมพิวเตอร์แล้วไปทำงานโปรแกรมเมอร์ ค่อยมีฟามสุขกับงานหน่อย ถ้าอยู่ทำงานต่อแล้วมาเจอระบบนี้ คงอายุสั้นตายก่อนหมดอายุขัยแน่นอน หุหุ ถ้าเป็นห้อง x-ray แล้วมีเบี้ยเสี่ยงภัยรังสีให้ก็ดีนะ แต่นี่ไม่มีเลยสงสารบุคลากรทำด้วยใจเสี่ยงตายก็ต้องอดทนไปปิดทองหลังพระไม่มีใครเห็น สมัยนั้นเขาก็มีเรื่องฟิล์มวัดแสงติดตัวพนักงานนะ แบบว่าถ้าสะสมรังสีเกินค่ามาตรฐานก็ให้หยุดงานได้ระยะหนึ่งแต่เชื่อไหม ไม่เคยมีใครได้หยุด ฟิล์มที่ใช้วัดไม่เคยบอกว่าเกินกำหนด หุหุ ไม่รู้ว่ามันวัดถูกหรือวัดผิด ถ้าถ่ายแค่ x-ray มันก็ยังหลบๆข้างกำแพงได้ แต่พวกกลืนแป้ง ตรวจกระเพาะลำไส้นี่ โดนเต็มๆแบบ ก็ยังไม่เคยมีใครได้รับสังสีเกิน เลยสงสัยระบบตรวจวัดซะงั้น ว่า งานในแผนกมันปลอดภัยจากรังสีจริงๆหรือ คนทำงานก็ไม่เคยได้หยุดพัก รับรังสีกันทุกวัน ถ้าท้องก็ไม่รู้เค้าทำกันยังไง เพราะตอนนั้นยังไม่เจอเคส อิอิ

8405
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.243.149 วันที่: 29 พฤษภาคม 2556 เวลา:13:56:28 น.  

 
 
 

หวัดดีคร้าา อิหม่ามี๊ ช่วงนี้ นู๋บีมัวแต่ไป ตบตี ก๊ะชาวบ้าน ซะเพลิน
เลย ม่ะค่อย ได้ แวะเข้ามาฝอยใน สุสานโบราณเท่าไร
แถม ติดเนต จนไม่เป็นอันได้ ทวนศีลทวนจิต และ ปฏิบัติวัฏฐาน เล๊ยยย แหะ...แหะ....


อืม...กับ ประเด็น เรื่อง "สปสช.อยู่ในวิกฤต-เอื้อเอกชน-ประชาชนสุดช้ำ" เนี่ย
ถ้าถามมุมมอง ของคนที่คลุกวงใน เจอ ผลกระทบจากนโยบายนี้เต็ม ๆ อย่างอิฉัน อ่ะนะ

เก๊าะขอตอบ แบบสั้น ๆ ว่า ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร นิ
ยังนั่งเช้าชาม เย็นชาม จ่ายยา อยู่ในโรงบาลได้อย่าง ชิล ๆ
แถมว่าง ๆ ก็ ฉ้อราษฏร์ เบียดบังเวลาหลวงมาเล่นเนต ได้ด้วยนา 555


ส่วนไอ้เรื่อง Co pay 30 บาทเนี่ย
อิฉันฟังแล้ว ก็นั่งขำ ตั้งแต่ เจ้ปูแดง แกหาเสียงแล้วล่ะเข้าใจใช้คำพูด ได้แหล่มชะมัด
" ให้ประชาชนร่วมจ่าย จะได้ รู้สึกว่า ตัวเองมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 555 "


จิง ๆ อิฉัน คิดว่า ที่ พรรคไทยรักไทย ใช้แคมเปญ นี้ หาเสียง
ก็เพราะ ต้องการจะตบหน้า ปชป. ที่ เคยไป ล้ม ระบบ 30 บ. นะ
แถม พอถึงเวลา ทำตาม นโยบายจริง ๆ ก็เห็น รัฐบาล เปิดช่อง ไว้นิหน่า
ไม่ใช่ว่า บังคับจ่าย 30 บ. ซะหน่อยนิ แต่ เป็นการให้ร่วมจ่ายตามความสมัครใจ
( คือ ชาวบ้านจะจ่ายก็ได้-ไม่จ่ายก็ได้ เพราะไงคุณหมอก็รักษาเท่ากัน )


ฉะนั้น จึงขึ้นอยู่กับ การตีความของแต่ละโรงบาลเองอ่ะ
อย่างบางโรงบาล ก็ตัดสินใจแทน ชาวบ้านไปเลย
ว่า ไม่ต้องจ่าย เลยเพื่อตัดปัญหาโดนฟ้อง
ส่วนบางโรงบาลที่อยากได้เงินส่วนนี้มาใช้จ่ายเก็บเป็นเงินบำรุง ของโรงพบาล
เขาก็อาจจะ ถามคนไข้ ว่า จะร่วมจ่าย หรือไม่
( แต่บางที จนท.การเงิน เขาก็ไม่ได้ให้รายละเอียดส่วนนี้ กับคนไข้ )
เรียกคนไข้ปุ๊บ ก็เรียกเก็บ 30 บาทเลยมั้ง

แถมคนไข้ส่วนใหญ่ มาโรงบาล ก็มักจะเกรงใจหมอ
เลยหลับหูหลับตา จ่ายตามที่ จนท. เรียก
( เพราะกลัวว่า ถ้าไม่จ่ายจะ รักษาไม่ดี ฯลฯ )
แต่จริง ๆ แล้ว รักษา เท่าเทียมกัน อ่ะ


ซึ่งเรื่องนี้ บางที อิฉันก็ อิหลักอิเหลื่อ เหมือนกันนะ
เพราะว่า เวลาขึ้นเวรบ่าย ต้องเป็นคนถาม
+เก็บค่าใช้จ่ายในส่วนนี้แทน จนท.การเงิน
แต่ไม่ค่อยอากจะเก็นักหรอก เพราะ รู้สึกว่ามันเป็นการรีดเลือดกับปู
เพราะ เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เนี่ย ถ้าเป็นไปได้ คงไม่มีใครอยากจ่ายหรอกนะ


เลยต้องเปลืองน้ำลาย พยาม อธิบายให้คนไข้ เข้าใจในหลักการ ว่า
เมิงไม่ต้องจ่าย 30 บาท ก็ด้ายยนะ (ตรูเองก็ขี้เกียจออกใบเสร็จ เหมือนกัน 555 )
( แต่บางทีก็มี พวก ใจบุญสุนทานอยากช่วยโรงบาล และ พวก ทักกี้แฟนคลับ ยืนยัน ขอจ่ายนะ )
อันนี้ ก็ปล่อยกันไปตามใจปาดถะหนา 5555555


ส่วน ไอ้เรื่อง ยาที่ไม่ควรจะต้องจ่าย ก็ต้องจ่าย เนี่ย
ขอบอกว่า จริง ๆ โรงบาลส่วนใหญ่ ไม่มีนะ
(มันมี ระบบ ยานอกบัญชี มาคอย ควบคุม อยู่ )
พวกหมอส่วน ใหญ่จะรู้ ลิมิต ว่า ยาชนิดไหนควรจ่ายให้ คนไข้กระเป๋าหนัก
หมอโรงบาลรัฐส่วนใหญ่ รายได้จาก โอที ค่าเบี้ยเลี้ยงต่าง ๆ เขาแยะจะตาย
หมอเขาคงไม่ไป รีดเลือดกับปู หรอกมั้ง
นี่ที่โรงบาล ขนาด ยานอกบัญชี ราคาแพง
ถ้ามีเหตุผลจากหมอเฉพาะทาง สั่งมาว่า มีความจำเป็นต้องใช้
คนไข้บัตรทองก็ใช้ได้อ่ะจร้าาาาาาาาาาาาาาาาา


แล้ว อย่างเคสแนะนำ ยามะเร็ง ที่ยกตัวอย่างมา นั้นน่ะ
อันนี้ อิฉัน ใช้ สิทธิ ข้าราชการเบิกจ่ายตรง ก็เจอเหมือนกัน
ตอนที่ป๊ะป๋าเป็นมะเร็ง หมอ ก็แนะนำให้ จ่ายค่าเงินซื้อยาเอง เดือนละเป็นหมืน เลยมั้ง
แถมเอาค่าใช้จ่ายไปเบิกไม่ได้ด้วย ซ้ำ แต่อิฉันก็พร้อมที่จะควักกระเป๋าจ่ายนะ
แต่ เภสัช อย่าง อิฉัน ก็ไม่คิดว่า กำลังต้องกินยารักษาในสิ่งที่ไม่ควรรักษา ด้วยนะ
( ทว่า สุดท้าย ป๊ะป๋า ก็ ดั๊นไม่มีวาสนา จะได้กินยาราคาแพงหูฉี่มั้ง เลยตัดช่องน้อยไปเกิดใหม่ ซะงั้น 555 )

เฮ้อออของดีราคาถูก มันไม่มี หรอกนะ อิหม่ามี๊ ยา มันก็เหมือนกับ อาหาร นั่นแหล่ะ
ถ้าลูกค้าหิว เราก็มี ลาบข้าวเหนียว ไว้ให้คุณกิน
แต่ถ้าคุณอยากกินอะไรที่มันไฮโซ อาทิเช่น สเต๊กเนื้อสัน
คุณก็ต้องจ่ายเพิ่ม จาก แพคเกจมาตรฐาน ที่แจกฟรี
เรื่องนี้ จะว่า ไปก็คล้าย ๆ เกมส์ฟรีแวร์ กับ เกมส์ที่มีค่าสมชิก ล่ะมั้ง
โปรโมชั่นมัน ต่างกัน แต่ก็ พอจะเล่นได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับ ศักยภาพทางกการเงิน

ส่วนไอ้โครงการ P4P นี่ ก็ไม่ได้ทำให้ อะไรเปลี่ยนแปลง เลยมั้ง
อย่างมากก็แค่ ทำให้ หมอชนบท มีรายได้ลดลง
และ จนท.ในโรงบาล ต้อง ทำ เปเป้อ มากขึ้น แค่นั้นแหล่ะ
เพราะแต้มขั้นต่ำ ที่ผ่านเกณฑ์ การประเมินน่ะ มันน้อยมากนะ
บริหารจัดการดี ๆ ก็ ผ่านหมดแหล่ะ
ยิ่งถ้ามีโปรแกรมคอมมาช่วยเรื่องการทำเอกสารทางสถิติ
เมคแป๊บเดว...เอ๊ย...ประมวลผลแป๊บ ๆ ก็ได้เอกสารส่งส่วนกลางแระ


ส่วนไอ้ที่ วิตกจริตกันว่า ทำงานเหมือนหุ่นยนต์
และการรักษาคนไข้ด้วยใจจะค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไป นี่ ก็ไม่เห็นจะเจอ เลยว่ะ
สงสัย คนเขียนบทความจะมโนฯ มากไปมั้ง
อย่าไปจิ้น ตามมันเลยอ่ะเจ้ 55555


สรุป P4P นั้น ไม่ได้มีผลกระทบ อะไร กับคนไข้ เล๊ย
ถ้าจะมีก็มีผลกระทบกับ จนท.มากกว่า นะ
ประมาณว่า ตรูขี้เกียจ ทำงานเอกสารเพิ่ม เอิ๊ก ๆ
ส่วนงานประจำ ก็ยัง ก้มหน้าก้มตาทำเหมือนเดิม
( เพราะไง เกณฑ์ประเมินมันต่ำ ไม่เห็นจะต้องไปล่าแต้ม อะไรเลย )


ส่วนคนที่ มีผลกระทบจริง ๆ น่ะ แพทย์ ชนบท อ่ะมั้ง
เพราะ อาจจะต้องสูญเสีย รายได้บางส่วนไป เนื่องจาก เวิร์คโหลดน้อย



ปอลิง 1

นี่ ๆ อิหม่ามี๊ ช่วย ตอบ คำถามเรื่องการทำแท้งหน่อย ดิ


ไอ้เจ้าตัว "บาป" เนี่ย หน้าตามันเป็นยังไง ? แล้วการทำแท้ง นี่จัดว่าเป็น "บาปทุกกรณี" เลยเชียวหรือ ?

//pantip.com/topic/30548118


คุณจะฆ่า ลูกตัวเอง ลงไหม ? และ จะรู้สึก ว่ามัน ผิด - บาป หรือ ไม่ ?

//pantip.com/topic/30537325


การทำแท้งเสรี ! บาป หรือ ไม่บาป ? และ คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้ ?
//pantip.com/topic/30529783



อยากรู้อ่ะ ว่า คนสวยปัญญาดี อย่าง อิหม่ามี๊จะจะตอบยังไง
เพราะ เท่าที่ อ่าน ฟามเห็นของชาวบ้านมา ทั่นด็อก มันเบ้หน้า
บอกว่า หาที่ตอบคำถาม อย่างตรงไปตรงมา ตามเงื่อนไข ในกระทู้ ไม่ค่อยได้เล๊ยย พับผ่า
ทั่นด็อก เลย แนะนำให้ อาเหล่าม่า มา ปะเหล่า ถาม อิอ่อนคร้าา
เพราะ อยากรู้ว่า มันจา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ไตลอด รอดฝั่งไหม ? แผล่บ ๆ



ปอลิง 2

อ้อ อันนี้ เอามาฝากจร้าาาาาาาาา

//pantip.com/profile/846842

//pantip.com/profile/852584

//pantip.com/profile/846570

//pantip.com/profile/852602

//pantip.com/profile/852594

//pantip.com/profile/852194

//pantip.com/profile/852171


22 comments
Counter : 291 Pageviews

6836
 
 

โดย: อาเหล่าม่า อวตารของทั่นด็อก ฯ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 30 พฤษภาคม 2556 เวลา:23:39:41 น.  

 
 
 
อาเหล่าม่าชอบถามแต่เรื่องยากๆ อ่า... อิอ่อนมันปวดหัวทุกทีที่เห็น อิอิ

1.ตามความรู้สึกของท่านนั้น ไอ้เจ้าตัว "บาป" เนี่ย หน้าตามันเป็นยังไงเจ้าคะ ?
และ นิยามของ คำว่า "บาป" สำหรับคุณ นั้น มันต้องมีลักษณะเป็นอย่างไร
และ การที่สิ่งใดจะจัดเป็น "บาป" นั้น มันต้องเกิดจาก "เงื่อนไข" อะไรบ้างหรือคะ
ช่วยยกตัวอย่างของ ไอ้เจ้าตัว "บาป "ให้เห็นเป็นรูปธรรม ได้ป่ะ ?

*.* ตอบตามฟามรู้สึกเรยน้า... บาปคือความรู้สึกตัวว่าทำผิดง่ะ มีผลทำให้เกิดเป็นความไม่สงบสุข ผิดปกติทางใจ เกิดเป็นอกุศลในจิตในใจ และทำให้อยู่เป็นสุขมิได้ทุกคืนวัน จนกว่าจะล้างมลทินแห่งบาปนั้นออกจากมโนได้ ประมาณนี้...อ่า *.* ตัวอย่างของบาป หรอ ก็ทำผิดศีล ไง ถ้าตกลงกับตัวเองไว้ว่าจะรักษาศีลเรื่องไหนแล้วทำผิด ก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ บาปก็เกิดเป็นความรู้สึกทุกข์ในใจ ส่วนคนที่คิดจะไม่มีศีลเลยก็เข้าเข้าข่ายมิจฉาทิฏฐิไง อิอิ ตัวเองนั้นแหละที่ไม่มีศีลคอยรักษาคือตัวบาป คือตัวอกุศลทั้งดุ้น บาปทั้งดุ้นแต่ไม่รู้สึกตัวว่าเป็นบาปไง กลายเป็น ตัวเองไม่รู้จักตัวเอง แต่คนอื่นที่เขารู้จักแยกแยะกุศล(บุญ)และอกุศล(บาป)ได้แล้ว เขาก็จะมองออก เข้าใจและถอยห่างจากบุคคลมิจฉาทิฏฐิ เพราะรู้ว่าคุยกันไปคนละภาษา ดังนั้นถ้าจะช่วยใครให้เข้าใจเรื่องบาปบุญคุณโทษ ก็ต้องทำความเข้าใจเรื่องศีล คุณของศีล และเรื่องของมิจฉาทิฏฐิและผลของบาปก่อน ถ้าเขาไม่เข้าใจตรงกันกับเราแต่แรก คำนิยามของบาปและบุญก็คงจะหลงทางกันไปใหญ่ อะ คนทำบาปแต่ไม่เห็นว่าเป็นบาป เขาเรียกว่าคนเห็นบิดเบือนเห็นไม่ตรงกับสัจธรรมความเป็นจริงของโลกในตัวเขาเอง แล้วใครจะไปบอกให้เขาเข้าใจให้ตรงความจริงของสัจธรรมนั้นได้ มันเป็นปัจจัตตังของเขา ง่ะ มีแต่ตัวเองที่สอนตัวเองได้และพอตัวเองตั้งต้นก็เห็นบิดเบือนเองแล้ว ใครๆก็ช่วยมะได้ ง่ะ *.*

2.ตามความรู้สึกของท่าน....
ที่ การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจัดว่าเป็น "บาป" นั้น มันเป็นเพราะเหตุผลใด
( รบกวนช่วยตอบคำถาม โดยใช้ความรู้สึก และ เหตุผลของตัวเอง
โดยไม่ต้องอ้างอิง คำสอนในตะกร้า 3 ใบ มาเป็น Reference ด้วยค่ะ ! )
*.* โดยส่วนตัวเราไม่ชอบให้ใครมาตัดรอนชีวิตและทำให้เราบาดเจ็บ ดังนั้นการที่เราไม่ชอบอะไรที่ใครทำกับเรา เราก็ไม่ควรจะไปทำอย่างนั้นกับคนอื่น ถ้าเผลอขาดสติทำไปแล้วก็มารู้ตัวทีหลังมันก็ไม่สบายใจ ไม่สงบสุข บาปมันก็แสดงตัวทำให้เราเป็นทุกขังกะมังรั่วไง เกิดอกุศลในใจตัวเอง จนกว่าวิบากมันจะส่งผลหมดไป ง่ะ ถึงวางบาป อกุศลนั้น ลงได้ ตัดออกจากใจได้

3.แล้ว "การทำแท้ง" ซึ่งถือว่า เป็นการ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต นี่
มันจัดว่าเป็น "บาปทุกกรณี" เลยเชียวหรือ ?
*.* อิอ่อนมันคิดว่าเป็นบาป ง่ะ เพราะเห็นว่าส่วนใหญ่คนที่ทำลงไป เขาก็ติดคิดเรื่องทำแท้ง ไปตลอดชีวิต ไม่เห็นมีใครลืมได้เลย ว่าตัวเองเคยทำแท้ง แต่อาจจะมีนะ บางคนที่เป็นโรคความจำเสื่อม หรือคนที่เป็นบ้าสติแตก หลงลืมตัวเองและคนรอบข้าง ง่ะ ถ้าว่ากันตามสัจจธรรมความจริงนะ ไม่มีใครเป็นเจ้าของชีวิตคนอื่นได้หรอก เด็กในท้องนั้นเขาก็เป็นอิสระของเขา ไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ของแม่ที่จะชี้เป็นชี้ตายให้เขาได้ แต่เพราะเด็กนั้นเขาอาศัยอยู่ในท้องหญิงนั้น เขาเกิดจากการกระทำของหญิงนั้น ทีนี้พอเกิดมาแล้วหญิงนั้นไม่รับผิดชอบ จะแคนเซิลยกเลิกโปรแกรมก็ฆ่าตัดตอนเสียก่อนที่เด็กจะเกิด ก็เป็นสิทธิ์ของหญิงที่เป็นแม่นั้น แต่แม่จะมาเรียกร้องว่า แม่ไม่ได้ทำบาป แม่ไม่ได้ทำบุญ แม่ทำแต่กรรมที่เป็นการกระทำเท่านั้น ก็แล้วแต่ใครจะเห็นบิดเบือนกันไปยังไงก็ได้ แต่สัจจธรรมความจริงมันไม่ได้ถูกบิดเบือนไปตามความเห็นของคนเป็นแม่ ทุกอย่างมันก็เป็นไปตามกรรม ง่ะ แม้แต่คนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่ไม่เชื่อเรื่องบาปกรรม เห็นบิดเบือนไม่ตรงตามสัจธรรมความจริง และไม่เชื่อเรื่องศีล ก็ยังต้องอยู่ใต้กฏแห่งกรรมอยู่ดี ต้องรับผลของบาปนั้นแต่เวลาที่บาปส่งผลอยู่เขาก็ไม่รู้ตัวไงเป็นผลจากการเห็นบิดเบือน ทีนี้มาพูดถึงหญิงเคราะห์ร้ายที่ถูกข่มขืนหรือไม่ได้ยินดีในการกระทำที่เป็นผลให้เกิดเป็นเด็กในท้อง อันนั้นก็ต้องว่ากันไปตามเคราะห์กรรม เหมือนเราเดินตกเขาขาหัก เราไม่ได้อยากให้เกิดแต่มันเกิดเพราะอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งเราหลีกเลี่ยงไม่รับกรรมนั้นไม่ได้ ก็ต้องทำใจยอมรับชะตากรรม และเราผู้เป็นมนุษย์ใจประเสริฐก็เลือกทำตามวิจารณญาณของใครของมันละกัน เพราะผลกรรมมันขึ้นอยู่กับการกระทำนั้นๆ วิบากก็เกิดจากกระทำนั้น บาปและบุญมันก็เกิดจากกระทำนั้น เราเลือกว่าทำนี้แล้วเป็นบาป ทำนี้แล้วเป็นบุญเราเลือกตามใจเราไม่ได้ เพราะบาปบุญมันเป็นสัจธรรมตามนั้นของมัน เราเลือกทำได้แต่กรรมที่เป็นการกระทำของเรา และผลของการกระทำนั้นเราก็เลือกไม่ได้ ได้แต่เสวยผลวิบากไปตามแต่กรรมที่เราเลือกทำ *.*

4. และภายใต้ เงื่อนไข ของ สถานการณ์ ดังต่อไปนี้ ล่ะเจ้าคะ ?

การตัดสินใจ ดังต่อไปนี้ บาป หรือไม่ เพราะเหตุใด ?

*.* เรื่องของเด็กพิการแต่กำเนิด ถ้าตัดสินใจไม่เอาเด็กไว้ ก็คือตัดรอนชีวิตเขามันก็เป็นบาป ง่ะ *.* แต่ถ้ามันเกิดจากการพิจารณาถี่ถ้วนของคนเป็นผู้ให้กำเนิดแล้ว ก็ยอมรับผลกรรมนั้นไป จะบอกว่าไม่บาปมันก็ผิดสัจธรรม เพียงแต่บาปรู้ว่าบาป บุญรู้ว่าบุญ และยอมรับผลแห่งบุญและบาป ตามจริงไม่บิดเบือน ก็คงไม่มีใครมาว่าอะไรใครได้ เพราะผลแห่งบุญและบาปนั้น มีแต่คนที่ทำกรรมนั้นต้องรับผลแต่ผู้เดียว คนอื่นเขาไม่ได้มารับผลนั้นด้วยถ้าไม่ได้เข้าไปข้องเกี่ยว เพียงแต่ทำกรรมใดแล้วรู้ตัว มีเหตุมีผล ยอมรับกรรมตามจริง ก็เป็นบุคคลที่น่านับถือแล้ว เห็นตามจริง ยอมรับความจริงได้ โลกนี้ก็ไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาให้ขัดแย้งกัน *.*

5. คุณจะรู้สึกยังไง คะ ถ้าต้องเกิดมา ทุกข์ทรมาน จากการพิการแต่กำเนิด
แถมผู้ที่ทำให้คุณเกิด ก็บอกกับคุณว่าประมาณว่า เขารู้ทั้งรู้ ว่า ...
*.* อันนี้ อิอ่อน มันว่า นานาจิตตัง ง่ะ คนพิการบางคนเขาก็รู้สึกยินดีที่ได้เกิดมา บางคนก็ไม่ยินดี กรรมใครกรรมมัน ง่ะ แต่ละคนก็เลือกทำกรรมที่ตนเห็นควรไปและยอมรับผลนั้นตามจริง อย่าไปบิดเบือนเข้าข้างตัวเอง ทุกอย่างในโลก ก็คงจะค่อยๆดีขึ้นเอง ปล่อยวาง ดีฝ่า ให้กรรมเป็นผู้ตัดสินการกระทำใดๆ อย่างตรงไปตรงมา คำร้องทุกข์กล่าวโทษ เรื่องใดถูกเรื่องใดผิด ในโลกนี้มันทำได้ยาก ง่ะ *.*

ต่อให้โต้เถียงกันจนได้ผลแพ้ชนะ ในเรื่องเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มันก็ไม่ได้มีผลให้เปลี่ยนสัจจธรรม ไปได้ แบบว่า ลมปากของปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆ มันเอาไปเปลี่ยนให้ขาวเป็นดำ ให้ดำเป็นขามตามใจไม่ได้ เพราะสัจธรรมความจริงมันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนตามลมปากคน นิ *.*

แหะ แหะ

8474
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.31.153 วันที่: 31 พฤษภาคม 2556 เวลา:15:06:39 น.  

 
 
 
อีก สองลิ้งค์ ขี้เกียจตอบ ว่ะค่ะ
แหะ แหะ

เอาเป็นว่า ที่ตอบๆไปเนี่ย ทั่นด๊อกฯ ก็คงจะรู้คำตอบของอิอ่อน แระม้างงงง!!! ว่าจะตอบ จั๋งใด *.*

- -"

*.*

ปล. ตอนนี้ฤาษีป๋าโจ กะลังฟิตจัด จะมาเคี่ยวเข็ญให้อิอ่อน ฝึกสมาธิฤาษีด้วยเนี่ย 666 ตรูจะบร้าก่อนแระ - -" แค่มาเคี่ยวเข็ญให้พาลูกๆ สวดมนต์ก่อนนอนก็แทบจะสิ้นชีวาวายแระ ตาฤาษีป๋าโจแกยังเป็นธุระจัดทำเล่มสวดมนต์และหาวีดีโอมาฝึกสวดมนต์ให้อย่างดีเลยแหละ - -" แค่นี้อิอ่อนก็แทบจะไม่มีเวลาจะหายใจละ ชาตินี้จะรอดได้ถึงขั้นแอ้มกระแสนิพพานกะเขาบ้างไหมเนี่ย ตรู - -" แต่ก็เอาวะ ทำเพื่อลูก *.*

4080
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.31.153 วันที่: 31 พฤษภาคม 2556 เวลา:15:19:18 น.  

 
 
 

อ่ะเอา เดอะลิง มาฝากจร้าาา อิอิ

//pantip.com/topic/30548118/comment77

//pantip.com/topic/30553636

7365
 
 

โดย: น้องพจมาร สว่างโร่ โฮ่...โฮ่.... IP: 110.77.138.136 วันที่: 31 พฤษภาคม 2556 เวลา:23:36:46 น.  

 
 
 
ตามไปอ่านแระจ้า อิอิ โนคอมเม้นท์ นานาจิตตัง ง่ะ - -"
สิ่งหนึ่งเราทำแล้วเป็นทุกข์ใจ อกุศลก็เกิด
แต่สิ่งหนึ่งนั้นสำหรับอีกคนทำแล้วไม่เป็นทุกข์ ไม่เห็นอกุศลเกิด
ก็ว่ากันไม่ได้ เนาะ เพราะภูมิศีล ภูมิธรรม ภูมิรู้มันต่างๆกัน

อิอิ *.*

ส่วนอีกลิ้งค์นึงก็เป็นงี้ไปแระ หุหุ

กระทู้นี้ถูกลบเนื่องจาก มีเนื้อหาเข้าข่ายไม่เหมาะสมอาจสร้างความขัดแย้งในเว็บบอร์ดทั้งนี้การลบเนื้อหานี้ออกไปนั้น มิได้เป็นการตัดสินความอย่างใดอย่างหนึ่งแต่เป็นไปเพื่อรักษาบรรยากาศการแลกเปลี่ยนความเห็นในเว็บบอร์ดให้กับเพื่อนสมาชิกค่ะ

*.* 555 *.*
6036
*.*
 
 

โดย: vbvb IP: 124.122.171.117 วันที่: 3 มิถุนายน 2556 เวลา:9:24:07 น.  

 
 
 
ขอย้อนอดีต จิ๊ดนุงนะ ที่ถามแล้วตอบไม่ตรงคำถาม อิอิ
แบ่บว่า อิอ่อนมันมะยอมให้ผ่าน เรยต้องย้อนกลับมาตอบใหม่ แหะ แหะ

5. คุณจะรู้สึกยังไง คะ ถ้าต้องเกิดมา ทุกข์ทรมาน จากการพิการแต่กำเนิด
แถมผู้ที่ทำให้คุณเกิด ก็บอกกับคุณว่าประมาณว่า เขารู้ทั้งรู้ ว่า ...

*.* อิอ่อนมันบอกว่ามันเคารพ การตัดใจของคนที่เป็นแม่ของเรา ง่ะ *.*
และยอมรับชะตาชีวิตนั้นๆ ไป เพราะไม่ใช่แต่เราที่ำลำบาก คนเป็นแม่ก็ลำบากและอาจจะต้องแบกทุกข์หนักหนาสาหัสกว่าเราอีกง่ะ เพราะต้องดูแลและช่วยเหลือเราไปตลอดอายุขัย ในเมื่อท่านรู้ว่าท่านต้องลำบาก แต่ก็ยังเลือกทางนี้เพื่อให้เราได้มีชีวิตมาหายใจบนโลก เราก็ขอยอมรับชะตากรรมนั้นๆ เผื่อการเกิดมาพิการอาจไม่ได้โชคร้ายเสมอไป อาจมีโชคดีซ่อนอยู่ก็ได้ ใครจะรู้อนาคตได้ง่ะ เราได้แต่เลือกทำปัจจุบันกรรมที่พิจารณาแล้วว่าดี ว่าเหมาะสมกับตนเองและคนที่เรารัก คนที่เราต้องร่วมรับผิดชอบชีวิตเขาให้ดีที่สุด *.*

*.* ทำชีวิตให้ง่ายๆ เข้าไว้ *.*
a simple life ให้แง่คิด สะท้อนจิตใจ ถึงจะเป็นเรื่องของคนแก่ แต่ก็พอจะเอามาเทียบเคียงกับคนพิการได้ในแง่ของการต้องอาศัยพึ่งพาคนอื่น ในการใช้ชีวิตประจำวัน

เขาไม่ละทิ้งในวันที่สังขารเธอง่อนแง่น
เขาไม่เพิกเฉยต่อความชราภาพของเธอ

ภาพความชราเป็นสิ่งที่น่ากลัวและไม่พึงประสงค์ต่อใครหลายๆ คน
แต่มันเป็นภาพที่สะท้อนความเป็นจริงของมนุษย์ได้อย่างดีที่สุด
เมื่อเราเกิดมานั้นย่อมช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และดำเนินชีวิตจนถึงจุดที่กลับไปตั้งต้นอีกครั้ง,
นั่นคือ ต้องพึ่งพิงอิงพาผู้อื่น

ใครๆ ก็ต้องแก่แม้จะไม่อยากแค่ไหนก็ตาม
จะดึงรั้งอย่างไรก็ต้องแก่เฒ่า
คนแก่เองก็อยากมีชีวิตอย่างเป็นปกติเหมือนในวัยที่ล่วงผ่าน
แต่สังขารไม่เอื้อ ร่างกายไม่อำนวยทำให้อึดอัดคับข้องใจ
โรครุมเร้า แต่ลูกหลานไม่รุมล้อมอีกต่อไป

ไม่มีคนแก่คนไหนที่อยากเป็นภาระ
พวกเขาแค่อยากเป็นภาระผูกพันธ์ทางใจกับใครสักคนในวัยใกล้ฝั่ง
พวกเขาแค่อยากมีตัวตน พวกเขาแค่ควบคุมร่างกายไม่ได้ พวกเขาแค่ต้องรอการประคับประคอง

ฉันชอบที่หนังเรียบๆ เรื่องนี้พาไปเจอเรื่องราวของวัยชราภาพ
มันเป็นเรื่องราวเล็กๆ ในมุมหนึ่งของสังคมยุคปัจจุบันที่อาจถูกมองข้าม
เราอาจไม่เคยเห็นชีวิตความเป็นอยู่ และสังคมเล็กๆ ของผู้คนในสถานสงเคราะห์คนชรา
เราอาจไม่เคยเห็นกระทั่ง…หัวใจที่ใกล้ริบหรี่

และที่ชอบที่สุด คือ หนังไม่ได้พยายามทำตัวเองให้เป็นหนังเศร้า
ไม่ได้กดดันให้เราบีบคั้นเค้นน้ำตาออกมาขณะที่ดู
แต่หนังทำให้เราได้คิด, คิดถึงเรื่องของคนแก่ที่บ้านที่เราควรต้องเอาใจใส่ให้มาก
และทำให้เราเริ่มคิดกังวลถึงตัวเองในอนาคตที่ต้องแก่ตัวลงบ้าง ซึ่งทางที่ดีที่สุดคงต้อง ปลง

หนังทำให้เรายังมีความหวัง,
ความหวังอันน่าตื้นตันว่าบนโลกวุ่นวายใบนี้ที่ทุกคนกำลังพล่านทุกวิถีทางในการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
กระทั่งเอาเปรียบ โกง หาผลประโยชน์บนหัวคนอื่น
ยังมีใครบางคน, และหลายๆ คนที่ไม่ได้หวังผลในทางใดๆ กับใคร เพียงแค่หวังดีและทำดีกับคนรอบๆ ข้างเท่านั้นเอง

A Simple Life สะท้อนภาพชีวิตที่ไม่ได้โหดร้ายแต่จริงจนบางทีเราก็จุกและจำอยู่ในหัวใจ

//topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2012/08/A12557660/A12557660.html

*.*
5375
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 110.168.72.67 วันที่: 4 มิถุนายน 2556 เวลา:8:54:00 น.  

 
 
 
แวะเอา เดอะลิง มาฝาก แควนขับอ่ะจร้าาาาา

//pantip.com/profile/864914#bookmarks

ปอลิง

อืม..ก็ ม่ะรู้ว่า แควน ๆ ยังสบายดี มีชีวิตอยู่กันไหม ?
อิตั้วเจ้นู๋บี ฉะบายดี มีแฮง เหมียนเดิม อ่ะจร้าาาา^ 0 ^

28 comments
Counter : 372 Pageviews

3518
 
 

โดย: แม่นางวาสิฏฐีไพรีเผ่น IP: 110.77.138.136 วันที่: 26 มิถุนายน 2556 เวลา:23:44:45 น.  

 
 
 
กะลังคิดถึงแม่นางวาฯ พอดิ๊ ตอนนี้มีแต่เรื่องน่าสนใจ อิอิ
อิอ่อน มันตั้งตารอดู หลวงพ่อเกษม สนทธนาธรรมกะหลวงปู่พุทธะอิสสระ
ที่กะลังฮอทในเว็บพี่พัน ง่ะ
//pantip.com/topic/30651656
//pantip.com/topic/30650683

อิอ่อน มันแอบโหวตในใจให้หลวงพ่อเกษม นะ
เพราะมันบอกว่าธรรมะของหลวงพ่อแปลกดี อิอิ ฟังไว้เปิดหูเปิดตา แต่ไม่ได้รู้เรื่องกะเขาหรอก ว่าไหนจริงไหนไม่จริง แหะๆ ฟังไปดูอัตตาตัวเองไป แหม่มันส์เจงๆ
แบ่บว่า แมทช์นี้ ถ้าได้ดูได้ฟังก็คงจะได้เป็นบุญตา เพราะฝั่งหนึ่งก็บอกว่าไม่มีตัวตนห่างไกลกิเลสแล้ว อีกฝั่งหนึ่งก็ได้ข่าวมาว่าท่านปรารถนาจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คนมีปัญญามาสนทนากัน คนโง่ๆอย่างเราก็ต้องตามไปดูเพื่อประเทืองปัญญาดิเนอะ แหะๆ

3282
*.*

 
 

โดย: หุหุ IP: 124.120.60.185 วันที่: 27 มิถุนายน 2556 เวลา:13:03:08 น.  

 
 
 
ตามไปอ่านแระ
ชอบเรื่อง นางพญาหงส์หลอน ฉบับอรหันต์ "ลุดวิก ฟอน วูล์ฟแกง" อีแร้งที่ไม่ยอมกินศพ กะ เต่าทะเลที่ไม่พอใจที่จะว่ายต้านกระแสน้ำในทะเล โดยพอใจที่จะลอยนิ่งๆ อิอิ

ส่วนอิอ่อนนี่ มันคงเป็นสปีชี่อิแร้ง ง่ะ แหะ แหะ แต่เป็นอิแร้งที่ชอบไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นจนลืมกินศพเป็นประจำ เอาแต่ดูจนลืมหิวลืมกิน หุหุ

แต่เรื่องป๋าหมาน มีคู่มือโอนบุญนี่ นับว่าเซอร์ไพร์ส อะ
อิอ่อนมันรู้จักหลวงพ่อเกษมจากในอินเตอร์เน็ตกะยูทูป เห็นว่าแปลกดี ก็เม็มโมรี่ไว้ อะไรจริงไม่จริงเราไม่รู้ ก็ไม่ได้ตัดสินท่าน มีแต่เวลาที่จะพิสูจน์ความจริงได้ ก็ว่ากันไปเรื่อย อย่างหลวงปู่เณรคำที่กะลังอื้อฉาวนี้ ตอนแรกๆที่ยังไม่ดังก็อ่านคำสอนเขาอยู่นะ มีคนแปะในเว็บเราก็อ่านไป ยังคิดว่าน่าจะดี แหะๆ มาเจอรูปที่อาเหล่าฮูเอามาแปะให้ดูอันที่เห็นในข่าว อะ เงิบเลย หุหุ เป็นประสบการณ์ว่าคำพูดกับการกระทำอาจต่างกันแบบฟ้ากะเหวก็เป็นได้ ก็ดีไปอย่างให้อิอ่อนมันรู้เองเห็นเองสัมผัสเอง ยอมรับเองว่า มันอ่อน ง่ะ โดนหลอกง่ายๆ เชื่อคนง่ายๆ ใครพูดอะไรก็เชื่อเขาไปหมด ยกเว้นปั๋วตัวเองที่มันไม่เชื่อเค้ามั่งเลย หุหุ - -"

มีเรื่องมาเล่าให้ฟัง มันคับอกคับใจมว๊ากกก แหะ แหะ
วันนี้รู้สึกตัวว่าพูดปดแล้วก็ยอมรับว่าตัวเองพูดปดว่ะ
ไปซื้อขนมถ้วย 20 บาท ให้แบ๊งค์พันกะแม่ค้า แม่ค้าถามว่ามีแบ๊งค์ย่อยไหม อิอ่อนมันบอกว่าไม่มี ทั้งๆที่มีแบ๊งค์ 20 อยู่ 1 ใบในกะเป๋ากุงเกง พอพูดไปแล้วก็ละอายใจว่ะ ที่เผลอพูดปดไปแระ รักษาศีล 5 ไม่อยู่ ทะลุซะงั้น โดนไป 1 ดอกส์ เด๋วคืนนี้ค่อยไปต่อศีลใหม่ มาคิดทีหลังคุ้มไหมเนี่ย อยากได้แบ๊งค์ย่อยจนต้องเผลอพูดปดซะงั้น อ่อน ง่ะ หุหุ

9081
*.*
 
 

โดย: หุหุ IP: 124.120.60.185 วันที่: 27 มิถุนายน 2556 เวลา:14:12:52 น.  

 
 
 
อะไรคือสิ่งที่ทำให้ คุณ ประทับใจ และ เลื่อมใส ใน ตัวพระพุทธเจ้าคะ ?

ตอบว่า พระธรรมคำสอนของท่าน อะ

พฤติกรรม "เผยแพร่ความเห็นผิด" นี่...มันเป็นยังไงกันคะ ! แล้ว ข้อความนี้ล่ะ...? T ^ T
ตอบว่า อิอิ แอดมินเว็บฯ เขาก็เป็นปุถุชนบ่อได้เป็นพระอรหันต์ ดังนั้น ที่โสเครติส พูดว่า i cannot teach anybody anything, i can only make them think. ง่ะ ก็พอเอามากล้อมแกล้มตอบแม่นางวาฯ ได้ว่า แม่นางไปทำให้เขาคิดไปเองว่าข้อความเหล่านั้นเป็นความเห็นผิดแม่นบ่อ มันบ่อใจ้สัจจะความจริงแม่นบ่อ มันเป็นความคิดของแอดมิน แต่แอดมินเขาถืออำนาจบาตรใหญ่ควบคุมดูแลกิจการอยู่ไง เขาก็ทำตามความคิดนั้นตัดสินตามนั้น ถ้าแม่นางวาฯทำให้เขาเห็นสัจจะความจริงได้ เขาก็ไม่ต้องตัดสินด้วยความคิดที่ผิดมั่งถูกมั่งไง ทำได้ป่าว ล่ะ อิอิ ถ้าทำไม่ได้ ก็ make him think ตามที่แม่นางต้องการฯ ดิ เอ หรือว่าแม่นางก็ไม่ได้ต้องการอะไร แค่ทำไปงั้นๆ บ่นไปงั้นๆ ไม่ได้เดือดร้อนอะไรจริงจัง รอให้แอดมินเขาตาสว่างเห็นสัจจะความจริงได้เมื่อไร แม่นางก็เลิกโพสต์เรื่องแบบนี้ไปเอง อิอิ

ความคิดเห็นที่ 12
อืม...สำหรับ อิฉัน แล้ว " คนจริง " ที่เป็นลูกผู้ชายเพียงพอ
ต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับทุกขังกาละมัง และ....

[Spoil.] คลิกเพื่อซ่อนข้อความ

ต้องไม่หนีเมียไปบวช ทั้ง ๆ ที่ ลูกยังเป็นเด็กตัวกระเปี๊ยก อ่ะเจ้าค่ะ !

อันนี้ อิอ่อนมันขอเสดงฟามเห็นต่างนะเจ้าคะ
ตามที่อิอ่อนมันอ่านตามตำรา ก็เห็นว่าเจ้าชายสิทธัตถะ ก็รักลูกรักเมียมากเลยนะ และท่านก็เห็นภัยของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เห็นความทุกข์ที่ตัวท่านเอง รวมถึงลูกและเมีย และคนอื่นๆต้องพบเจอหนีไม่พ้น ท่านถึงต้องเสียสละความสุขในวังและเสียสละความสุขในครอบครัว ไปแสวงหาทางหลุดพ้นไง ไปลองผิดลองถูก ไปใช้ชีวิตที่ยากลำบาก พูดง่ายๆก็คือไปขอทานน่ะแหละ เสื้อผ้าเครื่องประดับก็ถอดทิ้ง ไปใช้ผ้าห่อศพ ที่คนเขาทิ้งแล้ว ไปฝึกทรมานร่างกาย จนถึงจะตายแหล่ไม่ตายแหล่ อยู่คนเดียวในป่าฝึกภาวนาไร้ญาติขาดมิตร เสี่ยงตาย ทำเพื่อพิชิตเป้าหมายตามที่ตั้งใจ ทำสิ่งที่สำเร็จได้ยาก จนเมื่อสำเร็จผลแล้วก็ช่วยให้ลูกเมียและคนอื่นๆ พ้นทุกข์ตามได้ด้วย สุดยอดอะ มีหลายเรื่องที่ำทำได้ยาก ที่ยากที่สุดคือการสร้างทานบารมีในสมัยพระเวสสันดร บริจาคลูกเป็นทาน บริจาคเมียเป็นทาน ถ้าเป็นคนชั่วไม่ได้รักลูกรักเมียไม่ได้รู้สึกผูกพันกันก็คงทำได้ง่ายๆไร้ความรู้สึกแบบมิจฉาทิฏฐิง่ะ แต่สำหรับคนดีที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นบัณฑิตรู้ดีรู้ชั่วรู้ควรไม่ควร มีความรักลูกรักเมียเป็นปกติ การต้องบริจาคลูกเมียเป็นทานโดยต้องมีใจวางอุเบกขาไม่โหยไห้คร่ำครวญเสียดายอาลัยอาวรณ์ เนี่ย ไม่ใช่จะทำกันได้ง่ายๆ แบบสัมมาทิฏฐิ ถ้าท่านไม่ทำแบบนี้ ท่านก็ได้แค่พ้นทุกข์ไปคนเดียว ช่วยเหลือลูกเมียและคนอื่นๆ ให้พ้นทุกข์ตามไม่ได้ ที่ท่านทำทั้งหมดก็เพื่อให้ลูกเมียและคนอื่นได้มีโอกาสพ้นทุกข์ตามท่านไปได้ คนที่เสียสละและต้องทำสิ่งที่ยากลำบากที่สุด ก็คือพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ถ้าจะถามว่ามีทางอื่นไม๊ที่ทำได้หมดจดงดงามกว่านี้ อันนี้ก็เกินปัญญาจะตอบได้ อาจจะมีก็ได้แต่ละท่านก็ทำตามปัญญาบารมีที่ท่านมี ก็ต้องถือท่านทำสำเร็จแล้ว เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เรื่องอื่นๆมันเกินความรู้ของเรา แต่ความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้ ความศรัทธาก็ห้ามกันไม่ได้ ความไม่ศรัทธามันก็ห้ามกันไม่ได้ ความคิดก็คือความคิด ความจริงก็คือความจริง เมื่อถึงเวลาของเรา เราก็เข้าถึงความจริงนั้นๆเอง ความคิดมันเป็นทิฏฐิหนึ่งในใจเรา ความจริงคือสัจจะของทุกสิ่งเป็นสากล ใครรู้จริงรู้สัจจะความจริงได้ ก็จะทำถูกคิดถูกได้ตามจริง ที่เหลือก็ไปตามกรรมง่ะ ถ้าพ้นทุกข์ได้แล้วก็พ้นจากกรรม พ้นทุกข์ชั่วคราว กะพ้นทุกข์ได้ถาวรมันก็ต่างกันอีก ใครจะรู้ความจริง???

ปล.นู๋บีไม่กลัวความจริง แต่คนอื่นกลัวแทนนู๋บี อิอิ
คำพูดที่ไม่ส่งผลดีต่อเราและคนอื่น งดได้ก็เป็นกุศล
อะไรที่เรายังไม่รู้จริงก็อย่าไปทุ่มหมดหน้าตัก อะไรเว้นได้ก็เว้น คนจริงไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเเองและผู้อื่น หรือทำเรื่องที่มีแนวโน้มจะให้โทษตนเองและผู้อื่น
มีบทหนึ่งในพระไตรปิฎก เรื่องอดีตชาติของพระพุทธเจ้า บาปของโชติปาละ
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑-หน้า 213
เราชื่อว่า โชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่า กัสสปะในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่งด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก(ทุกกรกิริยา)ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้น จึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เราก็มิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ เราอันบุรพกรรมตักเตือนแล้ว เราจึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด (บัดนี้) เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน พระชินเจ้าทรงบรรลุกำลัง แห่งอภิญญาทั้งปวงแล้ว ทรงพยากรณ์โดย ทรงหวังประโยชน์แก่ภิกษุสงฆ์ที่สระใหญ่อโนดาต ด้วยประการฉะนี้แล. ทราบว่า พระผู้มีพระภาคได้ทรงภาษิตธรรมบรรยายพุทธาปทาน ชื่อ ปุพพกรรมปิโลติ อันเป็นบุพจารีตของพระองค์ ด้วยประการฉะนี้แล.

6835
*.*
 
 

โดย: หุหุ IP: 124.120.60.185 วันที่: 27 มิถุนายน 2556 เวลา:15:57:28 น.  

 
 
 
ภิกษุแปลว่าผู้ขอ (เขากิน)
ไปใช้คำว่า ขอทาน ยังรู้สึกผิดเลย ง่ะ
เหมือนใช้คำไม่สมควร พูดไปแล้วก็เป็นทุกข์ ซะงั้น
เพราะอิอ่อนมันชอบคิดมาก+ฟุ้งซ่านมาก ก็เลยเป็นทุกข์บ่อยๆ แหะ แหะ พูดมากก็เป็นทุกข์มาก ไม่พูดก็อึดอัดเพราะมีเหตุปัจจัยมันก็เลยเกิดเป็นฟามไม่สงบ อิอิ

นี่แหละหนา ที่บอกว่าสำรวมกายวาจาใจ ได้จึงดี
พูดมากก็ผิดมาก พูดน้อยก็ผิดน้อย
ยิ่งเป็นการพูดบนเว็บเนี่ย เป็นสาธารณะเลย

2782
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.60.185 วันที่: 27 มิถุนายน 2556 เวลา:16:41:53 น.  

 
 
 
แท้งกิ๋ว สำหรับคำแนะนำ เจ้าค่ะ อิหม่ามี๊
อ้อ แวะ เอา ตัวหนังสือที่ญิ๋งแม่ อุ้มเอาไปนั่งยาง
มาฝากโตยคร้าาา คร้าาาาาา ^ 0 ^

+++++++++++++++++++++++++++++++++++
+++++++++++++++++++++++++++++++++++

อืม...ตอนแรกก็ว่าจะ เข้ามา ตัดริบบิ้นปิดกระทู้

[b]ถ้า "เจ้ากรรมนายเวร" ไม่ยอมอโหสิให้ คุณคิดว่าคุณมีสิทธิ์ จะทำความดี ได้หรือไม่ ?[/b]

แต่ ปรากฏว่า กระทู้นู้นของ อิฉัน ก็โดนลบทิ้ง
ทั้ง ๆ ที่ ยังไม่ได้ ตัดริบบิ้น ปิดกระทู้ อีกแระ- -"


ฉะนั้น เพื่อเป็นการรักษา[b][u] สัจจะ[/u][/b] ที่ให้ไว้
อิฉัน ขอ อนุยาด ตั้งกระทู้ใหม่เพื่อใช้ เป็นที่ ตอบคำถาม ของตัวเอง
[b][u]ตามที่เคย สัญญา กับ ท่านผู้อ่าน ในกระทู้นู้น[/u][/b] ดีกว่าแฮะ
จะได้รู้ กันไปเลยว่า อิพวกบัว 4 เหล่า ก๊ะ บัวหนีน้ำ อย่างตรู
ผู้ใดกันแน่ที่มันมี สัมมาทิฏฐิ ในระดับสากล !


เอาล่ะ เข้าคำถาม ที่เคย ปุจฉาถาม เลยแระกัน

1. ขอ อนุยาด ถาม "ปัญหาชีวิตคิดไม่ตก" ของอิช้าน
กับเพื่อน ๆ ผู้เป็นทั้งทรชน และ ปุถุชนในห้องศาลาประชาคม ทุก ๆ คนว่า

ถ้า "เจ้ากรรมนายเวรไม่อโหสิให้ คุณคิดว่า...
คุณมีสิทธิ์ จะทำความดีได้ หรือไม่ เพราะเหตุใด?

[spoil]

ถ้า "เจ้ากรรมนายเวรไม่อโหสิให้ อิฉันคิดว่า เรามีสิทธิ์ จะทำความดีได้
แต่ ทั้งนี้ทั้งนั้น นิยามของการทำดี ในที่นี้
มันก็ไม่ใช่หมายถึง การทำดี ในแบบที่มี อคติ 4 ปนเปื้อน นะเจ้าคะ
เพราะ การทำความดีตามคอนเซปต์ของ อิฉันนั้น
มันไม่ใช่ตื้นเขินแค่ระดับการ "สร้างบุญ" เท่านั้น
แต่ มันต้องครอบคลุม ไปถึง การสร้าง "กุศล" ด้วย

และ หากเป็นการ สร้างกุศล โดย แท้จริงแล้ว
ผลของการกระทำ ย่อมไม่ เกิดการกระทบคน-กระทบโลก
แล้ว ย้อน กลับมา กระทบเรา อย่างแน่นอน
ที่สำคัญ เงื่อนไข ของการ สร้างกุศล นั้น
มันไม่ต้อง รอ ให้เจ้ากรรมนายเวร มา อโหสิกรรม ให้ อ่ะ

เพราะ การทำความดี ก็คงคล้าย ๆ กับ การ หายใจเข้าออกละมั้ง
ถึง เจ้ากรรมนายเวร จะอโหสิ ให้ หรือไม่ เราก็ยังหายใจ ได้อยู่ดี
( เพียงแต่ว่า วิบากจากปฏิฆะ และ ความ อาฆาตพยาท ที่มีต่อกัน มันยังมีอยู่ )

[/spoil]



2.และขออนุยาด ถาม "เรื่องธรรมะธรรมโมและ วิถีปฏิบัติ"
กับ เหล่าสาธุชน ในห้อง ศาสดา ว่า

ถ้า "เจ้ากรรมนายเวรไม่อโหสิให้ คุณคิดว่า...
คุณมีสิทธิ์ จะ " บวช " ได้ หรือไม่ ?
[u][b]แล้วคุณ คิดจะใช้ "สิทธินั้น" หรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?[/b][/u]


[spoil]

ถ้า "เจ้ากรรมนายเวรไม่อโหสิให้ คิดว่า...
ใครก็มีสิทธิ์ จะ " บวช " ได้ ทั้งนั้น

แต่ถึงแม้จะ มีสิทธิบวชได้ [b][u]อิฉันก็คงจะใช้สิทธินั้น ไม่ลง หรอกเจ้าค่ะ [/u][/b]
เพราะ อิฉัน คงจะ " ตะขิดตะขวงใจ" พิลึก อ่ะเจ้าค่ะ
ถ้า รู้ว่า ตัวเอง ทำอะไรมักง่ายปราศจากความรับผิดชอบเช่นนั้ร
มีอย่างที่ไหน ยังเคลียร์ตัวเองกับ เจ้ากรรมนายเวร ได้ไม่กระจ่างแจ้งจนเลิกแล้วต่อกัน
แต่ก็ยังดันทุรังบวช เพราะ กระสันอยากจะเข้าถึง นิพานัง ปรมัง สุขขัง

ถ้าต้อง ก้าวสู่ให้ร่มกาสาวพัตร์ ทั้ง ๆ ที่ยังมีปัญหา ค้างคาใจกับเจ้ากรรมนายเวรงี้
ตรูไม่บวชว่ะ จะยอมเป็นคนสุก ๆ ดิบ ๆ ความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏ งี้ต่อไป
ดีกว่าที่จะ เอาเท้าสกปรกของตัวเอง ไปทำให้ร่มกาสาวพัตร์ แปดเปื้อนว่ะ
และตราบใดที่ ยังเคลียร์ตัวเองกับ เจ้ากรรมนายเวร ที่มีปฏิฆะต่อกัน ไม่จบสิ้น
อิฉันก็จะไม่ ละทิ้งความรับผิดชอบ ด้วยการ มักง่าย ตัดช่องน้อยแต่พอตัวหนีไปบวชเจ้าค่ะ


ถ้าอิฉัน ติดค้างหนี้กรรมหนี้เวรกับใคร ก็ต้องก้มหน้าก้มตา "รับผิดชอบ"
อยู่ในสถานะ ฆราวาส แก้ไขสิ่งผิด ให้ถูก เสียก่อนเจ้าค่ะ
อาทิเช่น เคยไปก่อกรรมทำเข็ญ สร้างเวรสร้างกรรมทำให้เขาอาฆาตเรา
เช่น ไปหลอกฟันผู้หญิงแล้วทิ้ง/ ไปกลั่นแกล้งแจ้งลบกระทู้ชาวบ้านโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
อิฉันก็จะไปหาทาง ไป "ขอโทษขอขมา" เจ้ากรรมนายเวร อ่ะคะ
และ ถ้า เจ้ากรรมนายเวร ไม่ อโหสิกรรม ให้
อิฉันก็จะใช้วิธี "ไถ่โทษ" ชดใชความผิด ให้
จนกว่า "เจ้ากรรมนายเวร" เขาจะพอใจจนยอม ยกโทษให้ เจ้าค่ะ


ช่วยไม่ได้ว่ะ ในเมื่อ กล้าที่จะทำ ระย้ำ แล้ว
อิฉัน ก็ต้อง กล้าที่จะรับผลของวิบากกรรม
และ พร้อมที่จะชดใช้ ให้ เจ้าทุกข์ แล เจ้ากรรมนายเวร ในชาตินี้ ด้วยเจ้าค่ะ
จะได้ เลิกแล้วต่อกัน ในชาตนี้ ไม่ พยาบาทกันข้ามภพข้ามชาติ
วงปฏิจฯ จะได้ "หยุด" อยู่แค่นั้น ไม่มีการขับเคลื่อน ต่อไป


ที่สำคัญ ก่อนที่จะเป็น มะเร็งตาย 5
ป๊ะป๋า หมาน เคยสอนไว้เสมอว่า

"คนดีชอบแก้ไข คน....ไร ชอบแก้ตัว" อ่ะเจ้าค่ะ

เพราะฉะนั้น อิฉัน ยอมที่จะ ละทิ้งโอกาสทอง ในการได้เข้าสู่มรรคผลนิพพาน
เพื่อมาชดใช้ให้ เจ้ากรรมนายเวร เจ้าค่ะ
ในเมื่อจะบวชทั้งที อิฉัน ต้องบวชเพื่อที่จะละ เท่านั้นเจ้าคะ
จะยอมละทิ้งโอกาสที่จะเอามรรคผลนิพพาน แบบด่วนได้
แต่ จะอยู่ ชดใช้ใช้ให้เจ้ากรรมนายเวรจนหมดสิ้น เลิกแล้วต่อกันเสียก่อน
ถึงจะ ยอมก้าวเท้าเข้าสู่ ร่มกาสาวพัตร์
นี่ คือ ปฏิปทา ตามประสา บัวเหล่าที่ 5 เจ้าค่ะ


ส่วนพวกคนพุทธถ้ามันอยากจะเป็น ปลาเน่าตัวนั้น
ที่ทำให้ปลาทั้งข้องพลอยเหม็นไปด้วย
ก็ปล่อยให้มัน ทำไม่รู้ไม่ชี้ แอบหนี เจ้ากรรมนายเวร ไปบวช แบบมักง่าย
แล้ว กอบโกย "บวชเพื่อที่จะเอา" ไปตามสบายเหอะคร้าาา
แต่ ถ้าจะบวช ตรู ก็จะ "บวชเพื่อที่จะละ" ตะหากว้อยยยย

[/spoil]




3.ขอ อนุยาด ถาม "คำถามเชิงปรัชญา "
กับ นักคิดนักปรัชญา ในห้องสมุด ตามสไตล์ ของ "โสเครติส" ว่า

ถ้าคุณเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ คุณจะ หนีไปบวช โดยทิ้งความรับผิดชอบ(ในฐานะ ผัว และ พ่อ )
ปล่อยให้ลูกเมีย ต้องหวานอมขมกลืน หน้าชื่นอกตรมอยู่ข้างหลังหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?
หรือว่า คุณจะไม่ยอมละทิ้ง "โอกาสทอง"ในการพ้นทุกข์ เด็ดขาด ล่ะเจ้าคะ (แบบว่า นิพพาน ต้องมาก่อน อิอิ )


[spoil]

ถ้า อิฉัน เป็น เจ้าชาย สิทธัตถะ อิฉันก็ไม่คิดจะหนีไปบวช
โดยทิ้งความรับผิดชอบ(ในฐานะ ผัว และ พ่อ ) หรอกเจ้าค่ะ
การละทิ้ง หน้าที่และความรับผิดชอบ " ณ ปัจจุบันขณะ"
เพื่อไปหวัง น้ำ บ่อหน้า โดยปล่อยให้ลูกเมียเป็นทุกข์นั้น
มิใช่ วิสัยของ ผู้มี สามัญสำนึก เฉกเช่น วิญญูชน พึงมี เจ้าค่ะ


จริงอยู่ ที่มักจะมีคน บอกว่า ถึงจะหนีไปบวช ยังไง
ลูกเมียของ อิฉัน ก็มีปู่ย่าคอยดูแล ไม่ลำบากอะไร
แต่ พวกคุณคงลืมไปแล้ว มั้ง ว่า ทุกข์กายนั้นหายง่าย ทุกข์ใจ นั้นมันหายยาก
ผู้หญิงส่วนใหญ่ อ่ะนะ การที่ถูกผัวทิ้งไปบวช
โดยที่เธอไม่ได้ทำผิดอะไร ( แต่ ผัวเธอ กระสันอยากได้ มรรคผลนิพพาน เองเนี่ย )
มันเจ็บปวดและ อับอายขายขี้หน้า นะเจ้าคะ ไม่มีหมาที่ไหนมาเยียวยาให้ได้หรอก

ฉะนั้น ขอยืนยัน อ่ะ ว่า ถ้าอิฉันเป็น เจ้าชายสิทธัตถะ
ตรูก็จะไม่หนีไปบวช ว้อยยยยยย ชาตินี้ ไม่ใช่ ชาติสุดท้าย ก็ไม่เป็นไร
แต่ ตรูต้อง เป็น ทำปฏิบัติตามหน้าที่ ของ สามี ที่ดีตามพันธะกรณี
ที่ได้สร้างไว้กับผู้เป็นศรีภรรยาเสียก่อน หมดพันธะ เมื่อไร จึงจะบวช
การหนีออกบวชโดยการสร้างความเจ็บปวดให้คนที่อยู่ข้างหลัง ไม่ใช่ วิสัยของอิฉัน เจ้าค่ะ


ถ้าจะบวช อิฉันจะทำอย่างตรงไปตรงมา ด้วยการ ขออนุญาติ ผู้เป็น ศรีภรรยาเสียก่อน
และถ้า ฝ่ายหญิง ไม่สมัครใจให้ไปบวช อิฉันก็จะทน อยู่กับ อิปลาร้าค้างปี นี่ต่อไป เจ้าค่ะ
ช่วยไม่ได้ เจื๋อกโง่ เอามันมาทำเมียจนมีลูกมีเต้าแล้ว ก็ต้อง ก้มหน้าก้มตารับผิดชอบเจ้าค่ะ
ใครจะ มักง่าย ละทิ้งภาระหน้าที่แห่งตน เพื่อไปหาทางพ้นทุกข์ "ในอนาคต" ก็เชิญตามสบาย
ยังไงเสีย อิฉันก็ต้อง เคลียร์ ไม่ให้ตน เป็น ต้นเหตุแห่งทุกข์ "ณ ปัจจุบันขณะ" ของใครเสียก่อน
ถ้าทำไม่ได้ ก็ไม่สะเออะไปบวช ให้กลายเป็นขี้ปาก ของชาวบ้าน หรอกเจ้าค่ะ

การก้าวเข้าสู่ใต้ร่มกาสาวพัตร์นั้น
มันต้องเป็นไป ด้วยความหมดจด และงดงาม
ต้อง เคลียร์ตัวเอง ให้ถึงพร้อม ปราศจากซึ่งการเกิด ปฏิฆะ กับใคร
เป็นไปตามครรลองของ สัมมัปทาน 4 และ มหาปเทส 4 ถ้าทำไม่ได้ ตรูก็ไม่บวช !

ส่วนไอ้เรื่องที่ ใครจะมาอ้างว่า
อิฉันควรจะหนีไปบวชเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ และ มวลมนุษย์ชาติ
มากกว่า จะเห็นแก่ตัว นึกถึงแต่ ความสุขของศรีภรรยาตัวเอง

อิฉันก็จะขอบอกว่า การบวชที่จะเกิด กุศลจริง ๆ นั้น
มันจะ หมดจดและงดงาม ถูกต้องตามครรลองคลองธรรมจริง ๆ นั้น
มันต้องมีความเป็นกลาง ปราศจาก อคติ 4
มิใช่ เห็นแก่ประโยชน์ของ คนส่วนใหญ่
[b][u]โดย ละทิ้งให้คนส่วนน้อยต้องทนทุกข์กันไป ตาม ยถากรรม[/u][/b]


รู้ไหม อิฉันเห็น อะไรบ้าง ตอนที่ พวกคุณสนับสนุน
และ เห็นดีเห็นงาม กับการที่ เจ้าชายยอมหนีบวช
แล้ว แก้ตัวให้ เจ้าชายสิทธัตถะ อย่างเป็นตุเป็นตะ ว่า

"ท่านเห็น ประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ มากกว่า ลูกเมีย" น่ะ

นอกจากจะเห็น ฉันทาคติ และ โมหาคติ แล้ว
อิฉันยังเห็น กิเลสตัณหา และ วาระซ่อนเร้น
ที่ หมกเม็ด อยู่ใน อนุสัยของพวกคุณว่ะ
เป็นเพราะ "คนส่วนใหญ่"ที่จะได้ประโยชน์จากการ ออกบวชของเจ้าชายสิทธัตถะ
มีคุณเป็น "หนึ่งในนั้น " ที่มี "ส่วนได้ส่วนเสีย" กับการนี้ใช่ไหมล่ะ
คุณถึงได้ ให้ขมีขมันสนับสนุนอย่างแข็งขันกับการ หนีออกบวชครั้งนี้ ?


ส่วนไอ้เรื่องที่ ผู้หญิงคนหนึ่ง จะต้องทนทุกข์ใจเพราะถูกผัวทิ้ง
เด็กคนหนึ่ง ต้องเติบโตมาโดยขาดพ่อมาช่วยให้ความอบอุ่นในใจ นั้น
มันก็ไม่ได้ ทำให้พวกคนพุทธอย่างคุณ เกิดความรู้สึก "ตะขิดตะขวงใจ" อะไรเลยใช่ไหม
ขอเพียง เจ้าชายสิทธัตถะ ได้ค้นพบ อริยสัจ 4 มาให้พวกคุณได้ใช้ประโยชน์ ก็พอแล้ว ใช่ไหม ?


สุดท้ายโดยลึก ๆ แล้ว พวกคุณมันก็ นึกถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง เท่านั้นแหล่ะ
แถมยัง พยามที่จะ หาข้ออ้างที่สวยหรู มาทำให้ การกระทำของ พวกคุณดูชอบธรรมด้วย
แต่สำหรับ อิฉัน เชื่อมั่น เสมอนะ ว่า ถ้าเราเลือกที่จะเดินบนเส้นทางที่เป็นกุศล
หนทางที่เดินก็ต้อง ถึงพร้อมด้วยกุศลไปด้วย ไม่ใช่ เกิดจาการเอาใครไปบูชายัญ


และสิ่งที่พวกคนพุทธอย่างคุณกำลังทำอยู่
มันก็ไม่ต่าง อะไร กับการ พยามเอา ลูกกับเมีย ของ เจ้าชายสิทธัตถะ มาเป็น เหยื่อ
มา บูชายัญ เพื่อ เซ่นสังเวย กิเลสตัณหา ของพวกคุณนั่นแหล่ะ


แล้วก็ไม่ต้อมาทะลึ่ง อ้างว่า
สุดท้าย เมียและลูก ของ เจ้าชายสืธัตถะ
ก็ได้ บรรลุอรหันต์ ในบั้นปลาย นะ
ประเด็นมันไม่ใช่ อยู่ที่ พวกเขาจะ ได้ไปนิพพาน ในอนาคต
แต่ ประเด็นมันอยู่ที่ "ณ ปัจจุบันขณะ "
คุณกำลังสนับสนุนการกระทำของเจ้าชายสิทธัตถะ
ที่จะมีผล ทำให้ 2 ชิวิตต้อง เป็นทุกข์
เพียงเพราะว่า มันทำให้คุณได้รับประโยชน์
คุณก็เลยทำเป็น ไม่รู้ไม่ชี้ มองข้าม ประเด็นนี้ไป
โดยใช้ความหวังลม ๆ ใน อนาคต มาปลอบใจว่า
สุดท้าย 2 คนนั้นก็ได้ บรรลุ อรหัตน์

แต่ถามจริงเหอะ แล้ว "ณ ตอนนั้น"
คุณจะรู้ได้ไง ว่า เจ้าชายสิทธัตถะจะ ทำสำเร็จน่ะ
[b][u]คุณกำลัง เอาความเป็นความตายของ ผู้อื่น เข้ามาเสี่ยง เพื่อผลประโยน์ของตัวเองนะ[/u][/b]

[/spoil]

[img]//f.ptcdn.info/128/006/000/1371027151-9363156493-o.jpg[/img]
 
 

โดย: ตะละแม่วาสิฏฐีไพรีเผ่น ! IP: 110.77.138.136 วันที่: 27 มิถุนายน 2556 เวลา:22:50:32 น.  

 
 
 
การเคร่งครัดที่ตน ผ่อนปรนคนอื่น

//pantip.com/topic/30601002/comment19


++++++++++++++++++++++++++++++++++++


คนเรา "เอากัน" เพราะอะไร ? / "ทำลูก" ทำไม ? / การ "ทำลูก" นี่ มัน "บาป" หรือไม่



รบกวนช่วย [b][u] ตอบข้อถาม ตามประเด็น ทั้ง 6 ข้อนี้ [/u][/b] ให้ทีค่ะ !

1.ในทาง ปรัชญา/ศาสนา นี่ คนเรา "เอากัน" เพราะอะไร ?

ที่ พวกมัน ซั่ม กัน นั้น ก็เป็นเพราะ.....
ความใคร่+ความกระสันอยาก ( ราคะ - ตัณหา ) ใช่ไหม ?


[spoil]

หรือ ถ้าจะให้เหตุผล แบบ โลกสวย ฟังดูรื่นหู สักหน่อย ก็ คือ
คนเรา "เอากัน" เพราะ ความร้ากกกกก ใช่ป่ะ ?
( แหม๊ ? มิน่าล่ะ อิพวกผู้ชายทั้งหลาย ถึงชอบ ลงอ่างไป แจกความร้ากก ให้ น้อง ๆ นู๋ ๆ เอิ๊ก ๆ )

[/spoil]

[:เม่าเคาะซื้อ:][:เม่าเคาะซื้อ:][:เม่าเคาะซื้อ:]



2.ในทาง ปรัชญา/ศาสนา นี่ อิเจ้าตัว "บาป" หน้าตา เป็นยังไง ?
ถ้า อิฉัน ให้นิยาม ของคำว่า บาป เช่นนี้ ท่านเห็น ด้วย หรือ ไม่ ?

[spoil]

สำหรับ อิฉัน นิยามของ คำว่า บาป นั้น
คือ สภาวะจิตที่ ขุ่นมัว ไม่แจ่มใส
( จัดเป็น อกุศลจิต ที่ เต็มไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง กิเลส และ ตัณหา )


ฉะนั้น เงื่อนไข ของ สิ่งที่เป็นการกระทำที่ จัดว่าเป็น "บาป" ก็คือ
สิ่งนั้น จะต้องเป็น [b][u]การกระทำที่ ทำไปด้วยสภาวะจิตซึ่งเจือปนไปด้วยรัก โลภ โกรธ หลง กิเลส และ ตัณหา [/u][/b]

[/spoil]

[:เม่าหอยทาก:][:เม่าหอยทาก:][:เม่าหอยทาก:]



3. การ "เอากัน" ( ตลอดจนการ "ทำลูก" ) นั้น จัดว่า เป็นบาป หรือไม่ ?

[b][u]ขอคำตอบตามที่คิดจริง ๆ งดโลกสวย เจ้าค่ะ[/u][/b]

[:เม่าบัลเล่ต์:][:เม่าบัลเล่ต์:][:เม่าบัลเล่ต์:]



4.ท่านเห็นด้วยกับ ความเชื่อใน วิถีพุทธ ที่ว่า
การเกิด เป็น ทุกข์ หรือไม่ ?

[:เม่าตกใจ:][:เม่าตกใจ:][:เม่าตกใจ:]


5.แล้ว เคยสงสัยไหมคะ ถ้า หลายคนเชื่อว่า...
การเกิดเป็นทุกข์ / ถ้า การ"ทำลูก" เป็นบาป คนเหล่านั้น "ทำลูก" กันทำไม ?

[spoil]

พวกเขา สร้างเด็กคนหนึ่ง ขึ้นมาทำไม
ในเมื่อ รู้ว่า เขาเป็นคนหยิบยื่นชะตากรรม
ให้ เด็กคนหนึ่ง ต้อง เผชิญหน้ากับความทุกข์ ในภายภาคหน้า

อะไร คือ แรงขับเคลื่อน ผลักดันให้อยาก "ทำลูก"
ไอ้เรื่อง ทำรัก /ทำเสียว /ทำเซ็กส์ น่ะก็พอเข้าใจนะ ว่ามันก็หนุกดี

แต่ ไอ้เรื่องการ ทำเด็ก สักคนออกมาประคบประหงมเลี้ยงดู
แถมยังต้องมาคอยเป็นทุกข์เป็นยาก นั่งป้อนข้าวป้อนน้ำ
คอยลำบากลำบนเช็ดขรี้เช็ดเยี่ยวให้มัน นี่ดิ มันน่าสนุกตรงไหน หว่า


เด็กที่เกิดมา จะว่าไปแล้ว มันก็เหมือนตัวถ่วงความเจริญทางธรรม
ทำให้ต้อง พะว้าพะวง จนการปฏิบัติ ไม่ก้าวหน้า
ก็ ขนาด เจ้าชายสิทธัตถะ เอง ก็ยังเคยกล่าวเอาไว้ว่า


[i][b]" ราหุล ชาตะ พันธนะ " [/b][/i] เลยนิ
จากนั้นแล้ว พระองค์ก็ต้องเสียเวลา มานั่งเลี้ยงลูกตั้งหลายปี
กว่าจะได้ หนี.... ไปบวช จนค้นพบมรรคผล นิพพาน อ่ะนะ

[/spoil]

[:เม่านอนไม่หลับ:][:เม่านอนไม่หลับ:][:เม่านอนไม่หลับ:]


6. ใครเคยมีปัญหาชีวิตคิดไม่ตกจนเกิด ความค้างคาใจ กับ คนที่บ้าน
เพราะมี แนวคิดความเชื่อ ที่ขัดแย้งกัน ในเรื่อง ของ ธรรมะ ก๊ะ การ ทำลูก มั่งคะ

[spoil]

เห็นในทางพุทธศาสนา มักจะ กล่าวสนับสนุนและส่งเสริม
ให้ สาธุชนทั้งหลาย บำเพ็ญตนเป็น "ตาลยอดด้วน"


"...ดูกรราธะ เธอจงสละความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากในรูปเสีย ด้วยอาการอย่างนี้ รูปนั้นจักเป็นของอันเธอละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว [b][u]ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี[/u][/b]

ไม่ให้เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา เธอจงละความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยาก ในเวทนา...ในสัญญา...ในสังขาร...ในวิญญาณเสีย ด้วยอาการอย่างนี้ เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณนั้นจักเป็นของอันเธอละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว [b][u]ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน [/u][/b] ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา..." .

[/spoil]

ก็เลย เกิดความสงสัย อ่ะค่ะ
ว่า มีใคร เคยเจอปัญหา ทำนองนี้ บ้างไหม

[spoil]

อีกอย่าง เคยเจอ ปัญหาครอบครัว
กรณี ภรรยา อยากจะมี ลูกน้อยกลอยใจ
เอาไว้ เลี้ยงดูเพื่อให้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์
แต่ สามี ก็ดั๊นเป็นพวกธรรมมะธรรโม ชอบปฏิบัติธรรมมากมาย
แล้วไปปฏิบัติ อิท่าไหนก็ไม่รู้ เลย ปราถนา จะเป็น ตาลยอดด้วน
เห็นการเกิดเป็น ทุกข์ เลยไม่อยาก มีลูกให้ลูกต้องเกิดมาเผชิญความทุกข์ ไปซะงั้น - -"

ฝ่ายชายก็เลยไม่ให้ความร่วมมือ มาช่วย ปฏิบัติภารกิจ ทำลูก ให้ซะที
จนสุดท้ายฝ่ายหญิง ทนไม่ไหว ต้องไป ไหว้วาน ให้ พี่พยาบาลนักจิตเวช
มาช่วยพูดจาหว่านล้อม ชักแม่น้ำทั้ง 5 ให้สามีตัวเอง ช่วย she ทำลูก อ่ะค่ะ

[/spoil]

[:เม่าโศก:][:เม่าโศก:][:เม่าโศก:]


ส่วน อันนี้ แถม คร้าาา อิอิ [:อมยิ้ม16:]

//board.palungjit.com/f10/ไม่มีบุตรสืบสกุลถือเป็นกรรมของคนคนนั้นหรือไม่-229801.html

[img]//f.ptcdn.info/847/000/000/1357231440-abaamonkey-o.jpg[/img]



ปอลิง

อนึ่ง หลังจาก ตั้งกระทู้เปิดประเด็น เรื่องการทำแท้ง ฯ บาป บ่ บาป

//pantip.com/topic/30548118

แล้วเก๊าะ โดน ชาวบ้านชาวช่อง มัน ให้ศีลให้พร กันนัก
ตอนนี้ ก็เลยนึกครึ้ม เปลี่ยนมา ตั้งกระทู้ ถาม เรื่อง การ"ทำลูก" บาปไม่บาปแทน อ่ะคร้าาา
เฮ้อออ จะโดน ใครสวดชยันโต อีกไหมเนี่ย ? T ^ T

[img]//f.ptcdn.info/193/001/000/1358095475-1-o.jpg[/img]


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
3505
 
 

โดย: ตะละแม่วาสิฏฐีไพรีเผ่น ! IP: 110.77.138.136 วันที่: 27 มิถุนายน 2556 เวลา:23:00:44 น.  

 
 
 
มันคันปากยิบๆ อิอิ
มาต่อประเด็นเจ้าชายสิทธัตถะ เนาะ
เรื่องของเจ้าชายสิทธัตถะนั้นจะดูแต่ชาติปัจจุบันไม่ได้ ง่ะ มันต้องย้อนกลับไปดูเหตุปัจจัยในชาติก่อนๆด้วย (ตามตำราแระกันนะ)
ก่อนจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
http:book.dou.us/doku.php?id=gl204:4
อดีตชาิติพระนางพิมพา
//angkarn.siamtapco.com/book/book02-06.htm

ส่วนเรื่องราวที่เกิดตามนั้นจะไม่ถูกใจใคร ก็เป็นปกติของโลกที่จะมีคนชอบและไม่ชอบ มันบังคับกันไม่ได้ แต่อิอ่อน มันคิดเองเออเองว่าถ้าเจ้าชายสิทธัตถะไม่ทำอย่างนี้ จะเป็นโทษต่อพระนางพิพามากกว่าอีกไหม จะรอให้ทุกคนในครอบครัวเห็นดีเห็นงามกับการกระทำที่พระองค์ตั้งใจไว้ก็อาจจะล้มเหลวหรือเหลือเวลาเผยแพร่พระธรรมน้อยลง คนอื่นๆที่รอท่านมานานในสมัยพุทธกาลจะเสียโอกาสหรือเปล่า คนที่เสียสละความสุขส่วนตัวและความสุขของคนในครอบครัวเพื่อเห็นแก่สาธารณะประโยชน์อิอ่อนมันยกย่องเขานะ หรือจะทำให้เรื่องมันงดงามกว่านี้เพื่อไม่ใครมาติเตียนไปเพื่ออะไร ทุกอย่างที่ทำไปเพราะมีเป้าหมายกำหนดมาไว้แล้ว ถ้าจะบอกว่าท่านไม่รับผิดชอบครอบครัว ในอดีตชาติท่านเกิดเป็นชายปั้นหม้อ พระนางพิมพาเป็นภรรยาช่างปั้นหม้อ มีบุตร1ธิดา1 นางได้ฟังธรรมจากพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วเกิดปิติอยากออกบวชประพฤติพรมจรรย์ก็ขอสามีออกบวช แต่สามีก็นิ่งเงียบอยู่ นางรู้ว่าสามีไม่ยอมจึงออกอุบายให้สามีดูแลลูก นางจะไปตักน้ำแล้วจึงหนีไปบวชเป็นปริพาชกในสำนักดาบส นายช่างปั้นหม้อรู้ว่าภรรยาหนีไปแล้ว ท่านก็ดูแลลูกจนโตเลี้ยงตัวเองได้แล้วจึงออกบวชบ้าง ต่อมาทั้งสองได้มาเจอกันนางปริชาชกถามถึงลูกทั้ง2 ปริพาชกนายช่างปั้นหม้อตอบว่าบุตรทั้งสองโตแล้วอย่าได้เป็นห่วงเลย พวกเราจงบวชกันต่อไปเถิด ท่านทั้งสองไม่มีการกล่าวโทษกัน มีแต่ขอขมากัน อย่างเช่นตอนที่พระนางพิมพาจะลาไปนิพพาน ก๊อปมา...
“ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าพระบาทพิมพามีวาสนาสิ้นสุดจักขอพระบรมพุทธานุญาตทูลลาดับขันธ์เข้าสู่นิพพานเพราะสิ้นชนมายุสังขารในวันนี้แล้วพระเจ้าข้า”
พิมพาภิกษุณีกล่าว
“ดูกร เจ้าพิมพาที่เคยมีคุณแก่ตถาตคเอ๋ย หากเจ้ากำหนดกาลอันควรแล้วก็จงเคลื่อนแคล้วดับขันธ์ เข้าสู่ปรินิพพานอันเป็นอมตสุขเถิด เราอนุญาต”
“ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาคอันงามกาลเมื่อพระองค์ทรงสร้างพระพุทธบารมีเพื่อพระโพธิญาณท่องเที่ยวอยู่ในกระแสวัฏฏสงสารกับพิมพาข้าพระบาทนี้ด้วยกัน
มาตั้งแต่ครั้งศาสนา สมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า จนถึงกาลปัจฉิมชาตินี้จะขาดไมตรีสักชาติก็หาไม่ พระองค์เสวยพระชาติเป็นอะไรพิมพาข้าพระบาทนี้ก็เสวยชาติเป็นเช่นนั้นด้วยเมื่อเป็นเช่นนี้ จะเป็นการสมควรที่พิมพาข้าพระบาทจักถือโอกาสขอขมาทษานุโทษต่อพระองค์เสียในครั้งนี้ขอพระองค์ทรงพระกรุณารับขอขมาโทษ อันพิมพาข้าพระบาทนี้ได้เคยมีความผิดต่อพระองค์มาแต่บุพชาติที่แล้วมาด้วยเถิดพระเจ้าข้า”
ชาติหนึ่ง “ข้าแต่พระองค์ ครั้งศาสนาพระพรหมเทวสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเกิดในตระกูลทุคตะเข็ญใจมีนามว่า “อติทุกขมาณพ” ข้าพระบาทนี้ก็ได้เกิดเป็นกุมารีรักใคร่เป็นสามีภรรยาอยู่ในชนบทตามประสายากกาลวันหนึ่ง “อติทุกขมาณพ” เข้าป่าเพื่อตัดฟืนมาขายได้พบพระอัครสาวกแห่งพระพรหมเทวสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่งอยู่ใต้ต้นไม้แห่งหนึ่งจึงเกิดยินดีเป็นหนักหนา รีบกลับมาบ้านเรียกข้าพระบาท ซึ่งเป็นภรรยามาปรึกษาพร้อมในกันแล้ว ก็นำข้าพระบาทไปขายฝากไว้ได้ทรัพย์มาไปซื้อไม้และเสาทั้งอุปกรณ์อื่นๆไปปลูกสร้างกุฏิถวายพระอัครสาวกนั้นด้วยน้ำใจเลื่อมใสศรัทธา เดชะผลานิสงส์ครั้งนั้นจึงบันดาลให้”อติทุกขมาณพ”มีโชค ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีฝ่ายข้าพระบาทผู้เป็นภรรยาก็ดีอกดีใจตั้งตนเป็นใหญ่ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายเกิดขึ้นได้เพราะบุญของข้าเหตุว่านำข้าไปขายจึงได้ทรัพย์มาทำกุฏิถวาย จนได้เป็นเศรษฐี “ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทจงทรงกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า”

“ข้าแต่พระองค์ ครั้งศาสนาพระพรหมเทวสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นกันกาลครั้งนั้นพระองค์เสวยพระชาติเป็น พระเจ้านันทราช” ส่วนข้าพระบาทเป็นอัครมเหสีมีนามว่า”พระนางสุนันทาเทวี”กาลวันหนึ่งขณะเสด็จพระราชดำเนินไปชมสวนอุทยานครั้งนั้นข้าพระบาทเห็นดอกรังงามตระการตาจึงปรารถนาจะได้ดอกรังมาเชยชมแต่ข้าพระบาทจะสั่งหมู่อำมาตย์ราชเสนาผู้หนึ่งผู้ใดก็มิได้กลับเจาะจงกราบทูลขอให้พระองค์ผู้เป็นสวามีเสด็จขึ้นต้นรังเลือกเก็บเอาดอกรังลงมาพระราชทานให้แก่ข้าพระบาทได้ชมเล่นในกาลบัดนั้นพระองค์ซึ่งเป็นพระเจ้านันทราชนั้นทรงมีความเสน่หารักใคร่ในพระมเหสีเป็นนักหนา มิได้รอช้าทรงรีบป่ายปีนขึ้นไปบนต้นรังตามที่ผู้เป็นที่รักปรารถนา“ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเคยเป็นสวามี โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทในกาลครั้งนั้น
โดยใช้พระองค์ขึ้นไปนำดอกรัง ซึ่งเป็นการลำบากพระองค์แล้วไซร้ขอจงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า”

มาครั้งในศาสนาพระสยัมภูสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็น”ฤๅษี”ส่วนข้าพระบาทเป็นหญิงสาวชาวบ้าน นามว่า “นาคีกุมารี”กาลวันหนึ่ง พระองค์ผู้ทรงเป็นฤๅษี ผู้มีฌานแก่กล้าได้เหาะมาในเวหาอากาศมาพบข้าพระบาทในกาลครั้งนั้นกำลังเก็บผักหักฟืนและร้องรำทำเพลงไปตามประสาฤๅษีเกิดความรักใคร่ในสาวแรกรุ่นดรุณี ฌานที่เคยแก่กล้าก็เสื่อมถอยลงทันทีทำให้ตกลงมาตรงหน้า”นางนาคีกุมารี” พอดี กำเริบรักที่มีต่อนางเพิ่มทวีขึ้นเป็นทวีคูณ แล้วก็เอ่ยวาจาขอผูกพันจนได้เป็นสามีภรรยากันในชาตินั้น “ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้หากจักพึงมีในชาตินั้นโดยการทำลายพระองค์ผู้ทรงเป็นฤๅษีให้เสื่อมจากฌานสมาบัติแล้วไซร้ ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า”

“ข้าแต่พระองค์ ผู้ทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตว์ทั้งหลาย ครั้งศาสนาสมเด็จพระสุมนสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นพระองค์เสวยพระชาติเป็น “พญาปลาดุก” ฝ่ายข้าพระบาทนี้เกิดเป็นปลาดุกตัวเมียได้สมัครรักใคร่ผูกพันเป็นสามีภรรยากัน กาลวันหนึ่งเมื่อฝนตกใหญ่ นางพญาปลาดุกก็ถึงคราวมีครรภ์ให้มีความอยากกินหญ้าอ่อนๆเขียวขจีพญาปลาดุกผู้เป็นสามีด้วยความรักใคร่ภรรยา ก็อุตส่าห์เที่ยวแสวงหาไปในที่ต่างๆ จนมาถึงแดนมนุษย์พวกเด็กเลี้ยงควายทั้งหลายเห็นเข้าก็ชวนกันไล่ตีด้วยไม้ใคร่จะได้เป็นอาหารพญาปลาดุก นั้นถูกตีหางจนขาด โลหิตไหล ได้รับความทุกขเวทนาแสนสาหัสแต่ก็อดทนคาบหญ้าอ่อนมาให้ภรรยาจนได้ แต่เพราะบาดแผลฉกรรจ์นักพญาปลาดุกทนไม่ไหว ก็ถึงแก่ความตายในเวลานั้น“ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้โดยทำความลำบากยากเย็นเป็นสาหัสให้เกิดแก่พระองค์เพียงประสงค์จะได้กินหญ้าอ่อนในขณะตั้งครรภ์ขอพระองค์ จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน ในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า “ครั้งศาสนาของสมเด็จพระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เสวยพระชาติเป็น “ชฏิลเศรษฐี” มีทรัพย์ พิมพาข้าพระบาทนี้ก็ได้เป็นภรรยาของเศรษฐีนั้น มีนามว่า “อนิมิตตา” เศรษฐีครองสมบัติเป็นความสุขตลอดมา วันหนึ่ง ชฏิลเศรษฐี สามีเกิดปัญญาเห็นความสุขนี้ไม่เที่ยงแท้ จึงออกบวชเป็นดาบสประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในป่า นางอนิมิตตาผู้เป็นภรรยาก็ติดตามไปคอยปฏิบัติรับใช้นำเอาอาหารไปถวายแด่พระดาบสผู้สามีมิให้ลำบาก ด้วยปัจจัยสี่โดยตั้งใจจะสนับสนุนเกื้อกูลให้ท่านดาบสรีบเร่งบำเพ็ญให้สำเร็จโดยไวกาลครั้งหนึ่งยังมีนางกินรีตนหนึ่งเกิดความเลื่อมใสในองค์ดาบสจึงมาถวายนมัสการซึ่งบาทแห่งดาบส บังเอิญนางอนิมิตตามาเห็นเข้าก็เกิดเข้าใจผิดน้อยใจตัดพ้อสามีไปต่างๆนานา โดยไม่ยอมฟังคำชี้แจงของดาบสผู้สามีเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่นั้นมานางก็ไม่นำพาสามีอีกเลย ปล่อยให้อดๆอยากๆด้วยขาดปัจจัยสี่ “ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้ ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า”

ข้าแต่พระองค์ ยังมีชาติหนึ่ง ครั้งศาสนาแห่ง พระปทุมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ เป็นมาณพหนุ่ม รูปงามนามว่า “อัคคุตรมาณพ” ฝ่ายพิมพาข้าพระบาทนี้เกิดเป็นกุมารี นักเต้นรำ นามว่า “ปทุมากุมารี” ต่อมาเราทั้งสองได้ผูกสมัครรักใคร่เป็นสามีภรรยากัน อยู่มาวันหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าสังคราชบพิตร รับสั่งให้มีการเล่นมหรสพขึ้นท่ามกลางพระมหานคร เจ้าปทุมากุมารี ก็สมัครเข้าไปเล่นเต้นรำตามอัธยาศัยครั้น อังคุตรมาณพ ผู้เป็นสามีตามฝูงชนเข้าไปดูคนทั้งหลายซึ่งอยู่ในที่นั้นต่างพากันล้อเลียนเย้ยหยันว่า บุรุษผู้นี้เป็นสามีของนางบำเรอผู้นี้แล้วก็ร้องบอกต่อกันไป ทำให้ อังคุตระ ผู้เป็นสามีได้รับความอับอายเป็นอันมาก “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเคยเป็นสวามีโทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทในกาลครั้งนั้น ทำให้พระองค์ได้รับความอับอายต่อหน้ามหาชนขอจงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า”

ครั้งศาสนา พระตัณหังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เสวยพระชาติเป็น พญาวานร ฝ่ายพิมพาข้าพระบาทนั้นเกิดเป็น วานรตัวเมียและเป็นสามีภรรยากันกับพญาวานรอาศัยอยู่ในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง กาลวันหนึ่ง ข้าพระบาทนางพญาวานรอยากกินผลมะเดื่อสุกเป็นยิ่งนักด้วยความรักในภรรยาพญาวานรก็อุตสาหะไปเที่ยวเสาะแสวงหาผลมะเดื่อสุกในที่สุดได้พบต้นมะเดื่อต้นหนึ่งจึงปีนขึ้นไปเก็บผลมะเดื่อฝากภรรยาทันที่ ครั้งนั้นยังมีเสือโคร่งตัวหนึ่งแอบซุ่มอยู่ที่พงหญ้าใกล้ต้นมะเดื่อมีพญาวานรไต่ลงมาก็ถูกเสือร้ายตะปบจนถึงแก่ความตายภายในเวลานั้น ฝ่ายภรรยาก็เฝ้ารอคอยจนตะวันตกดินสามีก็ยังไม่กลับมาก็ออกตามหาตลอดทั้งคืนก็ไม่พบ ในใจก็คิดหวาดระแวงว่าสามีคงพบกับนางวานรสาวตัวใหม่แล้วก็พากันไปสู่ที่สำราญสบาย ปล่อยให้นางระทมทุกขเวทนา ภรรยาวานรร้องไห้คร่ำครวญอยู่เป็นเวลาเนิ่นนานจนขาดใจตายไป ณ ที่นั้น “ข้าแต่พระองค์โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้โดยทำให้พระองค์ต้องถึงแก่ความตายเพราะเสือร้าย อีกทั้งยังคิดระแวงต่างๆนานา ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า”

“ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งแห่งสัตว์โลกทั้งหลาย ครั้งศาสนา พระตัณหังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็นกุมารหนุ่มน้อยได้บรรพชาเป็นสามเณรในบวรพุทธศาสนา นามว่า”เจ้าธรรมรักขิตสามเณร” ฝ่ายตัวพิมพาข้าพระบาทนั้นเกิดเป็นกุมารีที่หมู่บ้านใกล้อาราม มีนามว่า “ปัญญากุมารี” วันหนึ่งที่วัดมีการบำเพ็ญเนื่องในงานเทศกาลสงกรานต์ชาวบ้านทั้งปวงล้วนแต่เป็นพุทธศาสนิกชนจึงชวนกันไปบำเพ็ญกองการกุศลคือ สรงน้ำพระพุทธปฏิมากรและพระเจดีย์พระศรีมหาโพธิ์ตลอดจนสรงน้ำพระสงฆ์ สามเณร ด้วยเลื่อมใสศรัทธา”เจ้าปัญญากุมารี” มีความรักใคร่ใน “เจ้าธรรมรักขิตสามเณร” มานาน จึงกระทำมายาให้สามเณรรู้ว่าตนเสน่หาถือขันน้ำเจาะจงสรงน้ำสามเณรผู้เป็นที่รักเจ้าธรรมรักขิตสามเณรก็จับมือนางด้วยความยินดีรักใคร่ เป็นเหตุให้ถูกจับสึกในวันนั้นแล้วก็มาอยู่กินกันเป็นสามีภรรยาได้เจ็ดวันก็กลับไปบวชเป็นภิกษุได้หนึ่งพรรษาครั้งปวารณาแล้วก็รีบสึกออกมาครองเรือนเป็นสามีภรรยากับปัญญากุมารีด้วยอานุภาพแห่งความรัก “ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแต่การทำลายพระองค์ให้ขาดจากเพศบรรพชิตไม่มีโอกาสได้ประพฤติพรหมจรรย์ในครั้งนั้น ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า”

ในอดีตชาติล่วงแล้วแต่ครั้งพระศาสนาพระโกณฑัญญสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เสวยพระชาติเป็น”พญานกดุเหว่า” ฝ่ายพิมพาข้าพระบาทก็ได้เกิดเป็น นางนกดุเหว่ามีความรักใคร่เป็นสามีภรรยากัน มีความสุขสำราญตามวิสัยเดรัจฉานมาวันหนึ่ง พญานกดุเหว่าผู้ภัสดาไปเที่ยวหาอาหาร ได้ไปพบผลมะม่วงสุกเหลือเดนกากินอยู่ครึ่งลูกก็อุตส่าห์คาบมาสู่รังเพื่อให้นางนกที่เป็นภรรยาด้วยความรักใคร่ ฝ่ายนางนกที่เป็นภรรยาเมื่อเห็นสามีคาบมะม่วงที่เหลือครึ่งลูกดังนั้นก็โกรธมิทันได้ไต่ถามให้แจ้งในความเป็นไปก็จิกหัวสามีด้วยจะงอยปากทันทียังไม่หน่ำใจเอาเท้าตีที่หน้าอกของพญานกดุเหว่าสามีอีกสองสามทีแต่พระองค์ก็หาได้โกรธเคืองภรรยาแม้แต่สักนิด “ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้ที่ลุแก่โทสะทำร้ายพระองค์ซึ่งทรงพระกรุณาขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า”

ย้อนไปในชาติครั้งศาสนาพระธรรมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เสวยพระชาติเป็นพระบรมกษัตริย์แห่งพระนครกุมภวดี ทรงพระนามว่า”สมเด็จพระเจ้าวังคราช”ฝ่ายข้าพระบาทถือกำเนิดเป็น นางกินรี อยู่ที่สุวรรณคูหา ถ้ำทองอันประเสริฐ ณ หิมวันตประเทศ กาลวันหนึ่งเจ้ากินรีสาวโสภาออกไปท่องเที่ยวเก็บดอกไม้ บังเอิญไปหลงติดอยู่ในตาข่ายที่นายพรานดักไว้วันนั้นสมเด็จพระเจ้าวังคราชเสด็จประพาสป่ามาเจอเข้าพระองค์จึงทรงเข้าช่วยทำลายตาข่ายนั้นจนหลุดออกมาได้แล้วทั้งสองก็ผูกสมัครรักใคร่ด้วยอำนาจแห่งบุพเพสันวิวาสพระองค์พานางกินรีไปพระนครแล้วทรงแต่งตั้งเป็น อัครมเหสี สร้างตำหนักให้อยู่ในอุทยานอันเต็มไปด้วยพฤกษานานาพรรณมีทั้ง ดอกไม้ ใบไม้แล้วยังมีพระราชโองการให้นำดอกไม้ไปถวาย มเหสีทุกวันอย่าให้ขาดจนดอกไม้ในพระนครหมดสิ้นพระองค์จึงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติพานางกินรีกลับสู่หิมวันตประเทศอยู่กินกับนางตราบเท่าถึงกาลสิ้นชนมายุสังขาร “ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”

มีอยู่ชาติหนึ่ง ในศาสนา พระสุมนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติ เป็นนาคาธิบดี มีนามว่า “พญาอดุลนาคราช” ฝ่ายข้าพระบาทได้เกิดเป็นมเหสีสุดที่รักของพระองค์ นามว่า วิมลาเทวี กาลวันหนึ่ง สมเด็จพระมิ่งมงกุฏสุมนสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงพระสัทธรรมเทศนากึกก้องกังวานแผ่ไปไกลได้ยินจนถึงนาคพิภพ พญาอดุลนาคราชทรงเลื่อมใสศรัทธายิ่งนักจึงชวนเจ้าวิมลาเทวีขึ้นมายังโลกมนุษย์เข้าสู่สำนักสมเด็จพระสุมนสัมมาสัมพุทธเจ้า ถวายนมัสการแล้วสักการะบูชาด้วยข้าวตอกดอกไม้พร้อมตั้งใจที่จะสมาทานเบญจศีลไปจนตราบเท่าชั่วอายุขัยสมเด็จพระสุมนสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพุทธฎีกา พยากรณ์ว่า พระอดุลนาคาธิบดีจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งในอนาคต ได้ฟังดังนั้นพญานาคาก็พระทัยโสมนัสยิ่งนักฝ่ายเจ้าวิมลาเทวีอัครมเหสีก็เกิดปิติยินดี ในพุทธฎีกา ถึงกับคายพิษแห่งนาคาออกมาจนสิ้นแล้วก็กรายร่ายรำเพื่อกระทำสักการะบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามวิสัยนาคี ขณะฟ้อนรำถวายอยู่นั้น บังเอิญนิ้วพระหัตถ์ของพระนางไปโดนพระเศียรแห่งพญาอดุลนาคราชผู้สวามีเข้าหน่อยหนึ่ง “ข้าแต่พระองค์โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้โดยความประมาท ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”

แล้วครั้งศาสนาพระพุทธรังสีสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เสวยพระชาติเป็น มาณพหนุ่ม ผู้ปรารถนาจะประพฤติ พรหมจรรย์ จึงกล่าวคำขออนุญาตภรรยาซึ่งชื่อว่า “กัลยาณีกุมารี” ออกบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนามีนามปรากฏว่า “พระอัญญาโกณฑัญญภิกขุ” ข้าพระบาทซึ่งเป็นภรรยาก็จำใจอนุญาตแล้วนึกโทมนัสขัดเคืองระคนน้อยใจในสามีเป็นนักหนา โดยคิดว่าสามีเป็นคนเห็นแก่ความสบายไม่นึกถึงความรักใคร่ ปล่อยภรรยาว้าเหว่เป็นดังนี้ จนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตวันหนึ่งเป็นยามราตรีมีฝนตกพรำๆ ภิกษุหนุ่มสาวกแห่งองค์พระพุทธรังสีสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ยินเสียงร้องครวญครางแปลกประหลาด เปิดกุฏิออกไปก็ได้เห็น เปรต รูปร่างแสนทุเรศ และก็ได้ทราบว่า เปรตผู้นี้คือภรรยาตนก็เกิดความสงสารจับใจแต่ก็รู้ดีว่านางยังมีผลทานผลศีลเมื่อครั้งนำจีวรและสิ่งอื่นๆอันควรแก่สมณะ ทูนเหนือศีรษะมาถวายเป็นอันมาก จึงทรงบอกนางให้ระลึกถึงผลทานเหล่านั้น เมื่อ กัลยาณีกุมารีเปรตได้ฟังก็เกิดมหากุศลบันดาลให้อุบัติเป็นเทพนารี ณ ดาวดึงส์เทวโลกฉับพลันทันใด “ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”

ในศาสนาแห่ง พระโสภิตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครานั้นพระองค์ทรงเป็นมาณพหนุ่มรูปงามนามว่า อทุฏฐมาณพ ส่วนข้าพระบาทเกิดเป็นบุตรีของชาวชนบทชายแดนนามว่า จันทมาลากุมารี กาลวันหนึ่ง มีข้าศึกมาล้อมพระนคร เที่ยวไล่ฆ่าฟันผู้คนชาวพระนครเป็นจำนวนมากเจ้าอทุฏฐมาณพ เห็นว่าเหลือกำลังที่จะสู้ข้าศึกได้ จึงหลบหนีออกจากเมืองเดินทางมาถึงปัจจันตชนบทชายแดนชั่วคราวตั้งจิตว่าเมื่อรวบรวมผู้คนได้มากพอก็จะกลับพระนครอีกด้วยอำนาจแห่งบุพเพสันนิวาสคนสองคนก็ได้พบกันและผูกสมัครรักใคร่กันเป็นสามีภรรยาในที่สุดบัดนี้ความคิดที่จะกลับสู่พระนครของอทุฏฐมาณพก็ล้มเลิกเป็นเพราะความรักความเสน่หา นางจันทมาลา ผู้ภรรยามีมากเกินจะละทิ้งนางไปได้จึงมีชีวิตอยู่ในชนบทชายแดนนั้นจนตาย “ข้าแต่พระองค์ โทษผิดที่ข้าพระบาทเป็นเหตุให้พระองค์ต้องหลงใหลอยู่ปัจจันตชนบจนสิ้นอายุขัย ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”

โทษผิดอีกครั้งหนึ่งในศาสนาแห่งพระธรรมปาลสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งนั้นพระองค์เสวยพระชาติเป็นกษัตริย์ครองแผ่นดิน ณ คีรีบูรณมหานคร พระนามว่า สมเด็จพระอภินันทรัฐราชาธิบดี ฝ่ายพิมพาข้าพระบาทก็ได้มาเป็นอัครมเหสีของพระองค์พระนามว่า นางมงคลเทวีกาลวันหนึ่ง สมเด็จพระอภินันทรัฐราชาธิบดีได้ฟังพระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระชินสีห์พุทธธรรมปาลสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดความโสมนัสยินดีในรสพระธรรมจึงขอยกพระอัครมเหสีที่รักให้เป็นทาน แล้วทรงสละราชสมบัติเป็นการชั่วคราวขออุปสมบทเป็นพระภิกษุ ฝ่ายพระอัครมเหสีก็ทรงเลื่อมใสศรัทธาอุตสาหะนำเอาปัจจัยมาถวายแด่พระภิกษุผู้เป็นสวามีทุกวันมิขาด มีอยู่ครั้งหนึ่งมีนางทาสีของคหบดีคนหนึ่งหนีนายมาหลบซ่อนอยู่ใต้กุฏิของพระภิกษุราชาธิบดี เมื่อนางมงคลเทวีมาเจอเข้าก็เกิดความหึงหวงและโกรธเคืองขึ้นไปต่อว่าพระภิกษุผู้เป็นสามีด้วยความเข้าใจผิดอาละวาดดึงจีวรขาดจนหาชิ้นดีมิได้ เมื่อหนำใจแล้วก็กลับสู่พระบรมราชวังด้วยความคลั่งแค้นไม่ยอมเสวยพระกระยาหาร แต่อย่างใด ไม่ช้านางมงคลเทวีก็สิ้นพระชนม์ แล้วพลันไปเกิดเป็นสัตว์นรกเสวยทุกขเวทนาในนิรยภูมิ “ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”

ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตว์โลกทั้งหลาย ครั้งศาสนา พระกัสสปพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เสวยพระชาติ เป็นพญาหงส์ทอง ส่วนข้าพระบาทเกิดเป็น นางหงส์ภรรยาของพญาหงส์อาศัยอยู่กับฝูงหงส์บริวารในป่าใหญ่แห่งหนึ่งสมัยนั้น สมเด็จพระราชินี เขมเทวี เป็นนางกษัตริย์ในมหานครนั้นโปรดเสด็จประพาสป่าอยู่เนื่องๆได้พบสระน้ำใหญ่จึงสั่งให้ปลูกดอกไม้รอบๆสระและแต่งตั้งนายพรานคอยดูแลมิให้สิงห์สัตว์นกเนื้อทั้งหลายกล้ำกราย ฝ่ายพญาหงส์ทองอยากเห็นสระของนางเขมเทวีว่าจะงดงามขนาดไหนจึงพาภรรยาพร้อมเหล่าบริวารมุ่งหน้าสู่สระนั้น เคราะห์ร้าย พญาหงส์ทอง ติดบ่วงของนายพรานไม่สามารถหนีไปได้จึงร้องบอกให้ภรรยาและบริวารหงส์ทั้งหลายให้รีบหนีไปโดยเร็ว นางพญาหงส์ทองไม่ทันได้พิจารณาพากันบินหนีอย่างรวดเร็วปล่อยให้พญาหงส์ทองทุกข์ทรมานอยู่เบื้องหลัง ความผิดหนนั้นที่บินหนีไม่ยอมดูแลพระองค์ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า

ครั้งที่พระองค์เสวยพระชาติเป็นพญาสกุณา ในศาสนาแห่งพระเรวัตสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพระบาทเกิดเป็น นางพญาสกุณี อาศัยอยู่ที่หิมวันตประเทศ วันหนึ่งเกิดอาเพศบันดาลให้ นางพญาสกุณี มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะดื่มน้ำในสระอโนดาตที่นำมาโดยจะงอยปากของพญานกผู้สามี หาไม่แล้วตนจะต้องวายชีพลงเป็นแน่แท้ ด้วยความรักที่มีต่อภรรยาพญานกผู้เป็นสามีก็รีบมุ่งหน้าไปยังสระอโนดาตที่แสนไกล ครั้นได้เอาจะงอยปากอมน้ำเอาไว้แล้วรีบบินกลับยังไม่ทันถึงรัง น้ำก็แห้งหายไปหมดสิ้น พญานกก็ต้องบินกลับไปอมน้ำมาใหม่น้ำก็ยังแห้งหายไปหมดเหมือนเดิมทำอยู่เจ็ดครั้งก็ยังไม่สำเร็จ จึงกลับไปเล่าให้ภรรยาฟังนางเกิดโทสะด่าว่าจิกตีสามี หาว่ามีใจหลงสกุณาตัวอื่นแล้วจะแกล้งให้ตนตายแต่พญาสกุณาหาได้โกรธไม่ด้วยความรักที่มีต่อนาง “ความผิดของข้าพเจ้ามากมายนักขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”

“เมื่อถึงชาติสุดท้าย ขณะที่พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญพุทธบารมีใกล้จักสมบูรณ์ เสวยพระชาติเป็น พระเวสสันดร ฝ่ายข้าพระบาทเป็นอัครมเหสี นามว่า พระนางมัทรี มีราชบุตรราชธิดาแสนน่ารัก ทรงพระนามว่า ชาลีและ กัณหา กาลครั้งนั้นพระองค์ทรงบริจาคทานเป็นช้างเผือกให้แก่พราหมณ์ เมืองกลิงคะ จึงถูกชาวพระนครขับไล่ออกจากเมือง พวกเราพ่อแม่ลูกไปทรงพรต ณ เขาวงกตแห่งห้องหิมเวศ ต่อมามีพราหมณ์ ชื่อว่า ชูชก มาทูลขอเจ้ากัณหาและชาลีไปเป็นคนรับใช้ พอพระองค์ทรงประทานบริจาคเจ้าชูชกก็เร่งรีบนำสองกุมารไปโดยเร็วกลัวว่าพระนางมัทรีกลับมาทันขัดขวางเมื่อพระนางกลับมาจากหาผลไม้ในป่าและไม่เห็นกุมารทั้งสอง ก็ให้ระทดพระทัยมีความเศร้าโสกาออกตามหาสองกุมารทั้งคืนพร้อมกับกรรแสงตลอด จนเช้าวันรุ่งขึ้นก็สิ้นกำลังสลบไปพระเวสสันดรทรงตกตะลึงรีบไปปฐมพยาบาลแล้วก็เล่าเหตุการณ์ต่างๆและเหตุผลให้มเหสีฟัง องค์อินทราธิราชเจ้าบนเทวโลกทรงมองเห็นเรื่องราวทั้งหมด จึงมีพระดำริว่าหากมีใครมาขอพระนางมัทรีพระเวสสันดรจะอยู่อย่างไรถ้าปราศจากพระนางมัทรีคอยปรนนิบัติดูแล จึงแสร้งแปลงกายเป็นพราหมณ์เฒ่า ไปขอนางมัทรีไปเป็นข้ารับใช้พระนางก็ได้ฟังก็ไม่หวั่นไหวด้วยทรงเข้าพระทัยดี ว่าการยินยอมพร้อมใจในครั้งนี้จะช่วยให้พระสวามีสำเร็จพระโพธิญาณในภายภาคหน้า ท้ายที่สุดพระอินทราธิราช ก็จำแลงแสดงตนพร้อมคำอำนวยพรแล้วเสด็จกลับดาวดึวส์เทวโลก “ข้าแต่พระองค์ ความผิดที่ข้าพระบาททำให้พระองค์มิอาจกำหนดว่าตนเป็นบรรพชิต วิ่งมาปฐมพยาบาลทำให้พรหมจรรย์ของพระองค์เศร้าหมอง ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”

สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณีรำลึกอดีตชาติหนหลังที่ตนเคยพลั้งพลาดอาจมีโทษผิดต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “พ่อราหุล มารดานี้จะเห็นหน้าลูกเป็นปัจฉิมสุดท้ายแล้วในวันนี้ โทษใดที่มารดาเคยทำให้ลูกโกรธเคืองเจ้าจงอภัยให้แก่มารดาในวันนี้เถิด” พระนางกล่าวกับพระราหุลพุทธปิโยรส พระราหุลค่อยๆก้มลงกราบ “อันพระเดชพระคุณที่มารดามีต่อราหุลนี้มีมากมายอุ้มท้องประคองเลี้ยงรักษามาจนเติบใหญ่ บางครั้งก็ตบศีรษะตบปากบ้าง หากโทษผิดเหล่านั้นจะบังเกิดแก่ลูก ขอโปรดประทานอภัยด้วยเถิด”

“ดูกร เจ้าพิมพา อันตัวเจ้านี้มีคุณแก่เราตถาคตมาแต่กาลก่อนเราจักได้สำเร็จแก่พระบวรสัมโพธิญาณก็เพราะเจ้าเป็นสำคัญ เราทั้งสองเคยร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาโทษผิดที่เจ้ามีต่อเราตถาคตในแต่ปางก่อน วันนี้เราขอยกโทษให้แก่เจ้าจนหมดสิ้น อนึ่งโทษานุโทษอันใดที่เราได้ล่วงเกินเจ้าในชาติที่ผ่านมา ตลอดจนถึงชาติปัจจุบัน ขอเจ้ายกโทษให้แก่เราตถาคตเสียให้สิ้น แล้วจงดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานอันเป็นเอกัตคตาบรมสุขไปก่อนเถิดนะ เจ้าพิมพา”

แล้วพระองค์ทรงตรัสโอวาทแก่เหล่าภิกษุเพื่อรำลึกถึงพระนางเป็นครั้งสุดท้าย

“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ตลอดเวลาอันยาวนานของการบำเพ็ญบารมีสะสมความดีเพื่อตรัสรู้ พระนางพิมพายโสธราเถรีซึ่งเป็นคู่รักเพื่อนชีวิต ในอดีตชาติได้เสียสละทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือ การสั่งสมบารมีของเรา เธอยอมสละแม้กระทั่งความสุขความสบายส่วนตน จนกระทั่งเราได้มาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาตินี้ อันเป็นชาติสุดท้ายของเราทั้งสอง อันเป็นประโยชน์ที่จะได้เผยแผ่สัจธรรมสู่มวลมนุษย์ เพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง จักมีใครที่สร้างคุณอยู่เบื้องหลังการบรรลุธรรมเทียบเท่ากับเธอเช่นนั้นแล้วไม่มีอีกแล้ว”

2479
_/\\_
 
 

โดย: หุหุ IP: 124.120.92.216 วันที่: 28 มิถุนายน 2556 เวลา:11:47:36 น.  

 
 
 
อรรถกถา “จันทกินนรชาดก” ว่าด้วย “นางจันทกินนรี”

พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยกรุงกบิลพัสดุ์ ประทับอยู่ ณ นิโครธาราม ทรงพระปรารภพระมารดาของพระราหุล ตรัสเรื่องนี้ในพระราชนิเวศน์ มีคำเริ่มต้นว่า อุปนียติทํ มญฺเญ ดังนี้.

ที่จริงชาดกนี้ควรจะกล่าวตั้งแต่”ทูเรนิทาน” ก็แต่นิทานกถานี้นั้น จนถึงพระอุรุเวลกัสสปบันลือสีหนาทในลัฏฐิวัน กล่าวไว้ใน “อปัณณกชาดก” ต่อจากนั้นจนถึงเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ จักแจ้งใน เวสสันดรชาดก. ก็แล พระศาสดาประทับนั่งในพระนิเวศน์ของพุทธบิดา ในเวลากำลังเสวย ตรัส “มหาธัมมปาลชาดก” เสวยเสร็จทรงดำริว่า เราจักนั่งในนิเวศน์ของมารดาราหุล กล่าวถึงคุณของเธอ แสดง”จันทกินนรชาดก” ให้พระราชาทรงถือบาตรเสด็จไปที่ประทับแห่ง พระมารดาของพระราหุล กับพระอัครสาวกทั้งสอง.

ครั้งนั้น นางระบำ ๔๐,๐๐๐ ของพระนางพากันอยู่พร้อมหน้า. บรรดานางทั้งนั้นที่เป็นขัตติกัญญาถึง ๑,๐๙๐ นาง. พระนางทรงทราบว่าพระตถาคตเสด็จมา ตรัสบอกแก่นางเหล่านั้นว่า จงพากันนุ่งผ้าย้อมน้ำฝาดทั่วกันทีเดียว. นางเหล่านั้นพากันกระทำอย่างนั้น พระศาสดาเสด็จมาประทับนั่งเหนือพระแท่นที่เตรียมไว้.

ครั้งนั้น พวกนางเหล่านั้นทั้งหมดก็พากันร้องไห้ประดังขึ้นเป็นเสียงเดียวกันอื้ออึงไป เสียงร่ำให้ขนาดหนักได้มีแล้ว ฝ่ายพระมารดาของพระราหุลเล่าก็ทรงกันแสง ครั้นทรงบรรเทาความโศกได้ ก็ถวายบังคมพระศาสดา ประทับนั่งด้วยความนับถือมาก เป็นไปกับความเคารพอันมีในพระราชา.

ครั้งนั้น พระราชาทรงพระปรารภคุณกถาของพระนาง ได้ตรัสเล่าพรรณนาคุณของพระนางด้วประการต่างๆ เช่น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สะใภ้ของโยม ฟังว่าพระองค์ทรงนุ่งกาสาวพัสตร์ ก็นุ่งกาสาวพัสตร์เหมือนกัน

ฟังว่า พระองค์เลิกทรงมาลาเป็นต้น ก็เลิกทรงมาลาเป็นต้น ฟังว่า ทรงเลิกบรรทมเหนือพระยี่ภูอันสูงอันใหญ่ ก็บรรทมเหนือพื้นเหมือนกัน ในระยะกาลที่พระองค์ทรงผนวชแล้ว นางยอมเป็นหญิงหม้าย มิได้รับบรรณาการที่พระราชาอื่นๆ ส่งมาให้เลย นางมีจิตมิได้เปลี่ยนแปลงในพระองค์ถึงเพียงนี้.

พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร ไม่น่าอัศจรรย์เลย ที่นางมีความรักไม่เปลี่ยนแปลงในอาตมภาพอย่างไม่ไยดีในผู้อื่นเลย ในอัตภาพสุดท้ายของอาตมภาพครั้งนี้ แม้บังเกิดในกำเนิดดิรัจฉาน ก็ยังได้มีจิตไม่เปลี่ยนแปลงในอาตมภาพอย่างไม่ไยดีในผู้อื่นเลย

แล้วทรงรับอาราธนานำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดกินนรในหิมวันตประเทศ ภรรยาของเธอนามว่า จันทา ทั้งคู่เล่าก็อยู่ที่ภูเขาเงินชื่อว่า จันทบรรพต

ครั้งนั้น พระเจ้าพาราณสีมอบราชสมบัติแก่หมู่อำมาตย์ ทรงผ้าย้อมฝาดสองผืน ทรงสอดพระเบญจาวุธ เข้าสู่ป่าหิมพานต์ลำพังพระองค์เดียวเท่านั้น ท้าวเธอเสวยเนื้อที่ทรงล่าได้เป็นกระยาหารเสด็จท่องเที่ยวไปถึงลำน้ำน้อยๆ สายหนึ่งโดยลำดับ ก็เสด็จขึ้นไปถึงต้นสาย ฝูงกินนรที่อยู่ ณ จันทบรรพต เวลาฤดูฝนก็ไม่ลงมา พากันอยู่ที่ภูเขานั่นแหละ ถึงฤดูแล้งจึงพากันลงมา.

ครั้งนั้น จันทกินนรลงมากับภรรยาของตน เที่ยวเก็บเล็มของหอมในที่นั้นๆ กินเกษรดอกไม้ นุ่งห่มด้วยสาหร่ายดอกไม้ เหนี่ยวเถาชิงช้าเป็นต้น เล่นพลางขับร้องไปพลาง ด้วยเสียงจะแจ้วเจื้อยจนถึงลำน้ำน้อยสายนั้น หยุดลงตรงที่เป็นคุ้งแห่งหนึ่ง โปรยปรายดอกไม้ลงในน้ำ ลงเล่นน้ำแล้วนุ่งห่มสาหร่ายดอกไม้ จัดแจงแต่งที่นอนด้วยดอกไม้ เหนือหาดทรายซึ่งมีสีเพียงแผ่นเงิน ถือขลุ่ยเลาหนึ่ง นั่งเหนือที่นอน.

ต่อจากนั้น จันทกินนรก็เป่าขลุ่ยขับร้องด้วยเสียงอันหวานฉ่ำ จันทกินรีก็ฟ้อนหัตถ์อันอ่อนยืนอยู่ในที่ใกล้สามีฟ้อนไปบ้าง ขับร้องไปบ้าง. พระราชานั้นทรงสดับเสียงของกินนรกินรีนั้น ก็ทรงย่องเข้าไปค่อยๆ ยืนแอบในที่กำบัง ทรงทอดพระเนตรกินนรเหล่านั้น ก็ทรงมีจิตปฏิพัทธ์ในกินรี ทรงดำริว่า จักยิงกินนรนั้นเสียให้ถึงสิ้นชีวิต ถึงสำเร็จการอยู่ร่วมกินรีนี้ แล้วทรงยิงจันทกินนร.

เธอเจ็บปวดรำพันกล่าวคาถา ๔ คาถาว่า

ดูก่อนนางจันทา ชีวิตของพี่ใกล้จะขาดอยู่แล้ว พี่กำลังเมาเลือด จันทาเอ๋ย พี่เห็นจะละชีวิตไปแม้ในวันนี้ ลมปราณของพี่กำลังจะดับ ชีวิตของพี่กำลังจะจม ความทุกข์กำลังเผาผลาญหัวใจพี่ พี่ลำบากยิ่งนัก ความโศกของพี่ครั้งนี้ เป็นความโศกยิ่งใหญ่กว่าความโศกเหล่าอื่น เพราะเหตุแห่งเจ้าจันทาผู้จะเศร้าโศกถึงพี่โดยแท้ พี่จะเหี่ยวแห้งเหมือนต้นหญ้าที่ถูกทิ้งไว้บนแผ่นหินร้อน เหมือนต้นไม้มีรากอันขาด พี่จะเหือดหายเหมือนแม่น้ำที่ขาดห้วง ความโศกของพี่ครั้งนี้เป็นความโศกยิ่งใหญ่กว่าความโศกเหล่าอื่น เพราะเหตุแห่งเจ้าจันทาผู้จะเศร้าโศกถึงพี่โดยแท้ น้ำตาของพี่ไหลออกเรื่อยๆ เหมือนน้ำฝนที่ตกลงที่เชิงบรรพตไหลไปไม่ขาดสายฉะนั้น ความโศกของพี่ครั้งนี้เป็นความโศกยิ่งใหญ่กว่าความโศกเหล่าอื่น เพราะเหตุแห่งเจ้าจันทาผู้จะเศร้าโศกถึงพี่โดยแท้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปนียติ ความว่า ชีวิตของพี่ใกล้จะขาดอยู่แล้ว. บทว่า อิทํ ได้แก่ ชีวิต. บทว่า ปาณา ความว่า ดูก่อนจันทา ลมปราณคือชีวิตของพี่ย่อมจะดับ. บทว่า โอสธิ เม ความว่า ชีวิตของพี่ย่อมจะจมลง. บทว่า นิตมานิ แปลว่า พี่ย่อมลำบากอย่างยิ่ง. บทว่า ตว จนฺทิยา ความว่า นี้เป็นความทุกข์ของพี่. บทว่า น นํ อญฺเญหิ โสเกหิ ความว่า โดยที่แท้นี้เป็นเหตุแห่งความโศกของเธอผู้ชื่อว่าจันที เมื่อกำลังเศร้าโศกอยู่ เพราะเหตุที่เธอเศร้าโศก เพราะความพลัดพรากของเรา. ด้วยบทว่า ติณมิว มิลายามิ เธอกล่าวว่า ข้าจะเหี่ยวเฉา เหมือนต้นหญ้าที่ถูกทอดทิ้งบนแผ่นหินอันร้อน เหมือนป่าไม้ที่ถูกตัดรากฉะนั้น. บทว่า สเร ปาเท ความว่า เหมือนสายฝนที่ตกบนเชิงเขาไหลซ่านไปไม่ขาดสายฉะนั้น.

พระมหาสัตว์คร่ำครวญด้วยคาถาสี่เหล่านี้ นอนเหนือที่นอนดอกไม้นั่นเอง ชักดิ้นสิ้นสติ.ฝ่ายพระราชายังคงยืนอยู่.

จันทากินรี เมื่อพระมหาสัตว์รำพัน กำลังเพลิดเพลินเสียด้วยความรื่นเริงของตน มิได้รู้ว่าเธอถูกยิง แต่ครั้นเห็นเธอไร้สัญญานอนดิ้นไป ก็ใคร่ครวญว่า ทุกข์ของสามีเราเป็นอย่างไรหนอ พอเห็นเลือดไหลออกจากปากแผล ก็ไม่อาจสะกดกลั้นความโศกอันมีกำลังที่เกิดขึ้นในสามีที่รักไว้ได้ ร่ำไห้ด้วยเสียงดัง. พระราชาทรงดำริว่า กินนรคงตายแล้ว ปรากฏพระองค์ออกมา จันทาเห็นท้าวเธอหวั่นใจว่าโจรผู้นี้คงยิงสามีที่รักของเราจึงหนีไปอยู่บนยอดเขา พลางบริภาษพระราชา ได้กล่าวคาถา ๕ คาถา ดังนี้

พระราชบุตรใด ยิงสามีผู้เป็นที่ปรารถนาของเรา เพื่อให้เป็นหม้ายที่ชายป่า พระราชบุตรนั้นเป็นคนเลวทรามแท้ สามีของเรานั้นถูกยิงแล้วนอนอยู่ที่พื้นดิน พระราชบุตรเอ๋ย มารดาของท่านจงได้รับสนองความโศกในดวงหทัยของข้าผู้เพ่งมองดูกินนรผู้สามีนี้ ชายาของท่านจงได้รับสนองความโศกในดวงหทัยของข้าผู้เพ่งมองดูกินนรผู้สามีนี้ พระราชบุตรเอ๋ย ท่านได้ฆ่ากินนรผู้ไม่ประทุษร้าย เพราะความรักใคร่ในเรา ขอมารดาของท่านอย่าได้พบเห็นบุตรและสามีเลย ท่านได้ฆ่ากินนรีผู้ไม่ประทุษร้าย เพราะความรักใคร่ในเรา ขอชายาของท่านจงอย่าได้พบเห็นบุตรและสามีเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วรากิยา แปลว่า ผู้กำพร้า. บทว่า ปฏิมุจฺจตุ ได้แก่ จงกลับได้ คือถูกต้องบรรลุ. บทว่า มยฺหํ กามาหิ ได้แก่ เพราะความรักใคร่ในฉัน.

พระราชา เมื่อจะตรัสปลอบนางผู้ยืนร่ำไห้เหนือยอดภูเขาด้วย ๕ คาถา จึงตรัสคาถาว่า ดูก่อนนางจันทา ผู้มีนัยน์ตาเบิกบานดังดอกไม้ในป่า เธออย่าร้องไห้ไปเลย เธอจักได้เป็นอัครมเหสีของฉันมีเหล่านารีในราชสกุลบูชา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จนฺเท ความว่า เพราะได้สดับชื่อของพระโพธิสัตว์เวลาคร่ำครวญ จึงได้ตรัสอย่างนั้น. บทว่า วนติมิรมตฺตกฺขิ แปลว่า ผู้มีนัยน์ตาเสมอด้วยดอกไม้ที่มืดมัวในป่า. บทว่า ปูชิตา ความว่า เธอจะได้เป็นอัครมเหสีผู้เป็นหัวหน้าของบรรดาหญิง ๑๖,๐๐๐ คน.

นางจันทากินรีฟังคำของท้าวเธอแล้วกล่าวว่า ท่านพูดอะไร เมื่อจะบันลือสีหนาท จึงกล่าวคาถาต่อไปว่า ถึงแม้ว่าเราจักต้องตาย แต่เราจักไม่ขอยอมเป็นของท่านผู้ฆ่ากินนรสามีของเรา ผู้มิได้ประทุษร้าย เพราะความรักใคร่ในเรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปิ นูนาหํ ความว่า ถึงแม้เราจักต้องตายอย่างแน่นอนทีเดียว. ท้าวเธอฟังคำของนางแล้วหมดความรักใคร่ ตรัสคาถาต่อไปว่า แน่ะนางกินรีผู้ขี้ขลาด มีความรักใคร่ต่อชีวิต เจ้าจงไปสู่ป่าหิมพานต์เถิด มฤคอื่นๆ ที่บริโภคกฤษณาและกระลำพัก จักยังรักใคร่ยินดีต่อเจ้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปิ ภีรุเก แปลว่า ผู้มีชาติขลาดเป็นอย่างยิ่ง. บทว่า ตาลิสตคฺครโภชนา ความว่า มฤคอื่นๆ ที่บริโภคใบกฤษณาและใบกระลำพัก จักยังรักษาความยินดีต่อเจ้า.

ท้าวเธอได้กล่าวกะนางว่า เธอจงอย่าไปจากความลับในราชตระกูล. ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ก็เสด็จหลีกไปอย่างหมดเยื่อใย. นางทราบว่าท้าวเธอไปแล้ว ก็ลงมากอดพระมหาสัตว์ อุ้มขึ้นสู่ยอดภูเขา ให้นอนเหนือยอดภูเขา ยกศีรษะวางไว้เหนือขาของตน พลางพร่ำไห้เป็นกำลัง จึงกล่าวคาถา ๑๒ คาถาว่า

ข้าแต่กินนร ภูเขาเหล่านั้น ซอกเขาเหล่านั้นและถ้ำเหล่านั้นตั้งอยู่ ณ ที่นั้น ฉันไม่เห็นท่านในที่นั้นๆ จะกระทำอย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่เทือกเขาซึ่งเราเคยร่วมอภิรมย์กัน จะกระทำอย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่แผ่นผาอันลาดด้วยใบไม้เป็นที่น่ารื่นรมย์ พวกมฤคร้ายกล้ำกลาย จะทำอย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่แผ่นผาอันลาดด้วยดอกไม้ เป็นที่น่ารื่นรมย์ พวกมฤคร้ายกล้ำกลาย จะทำอย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ลำธารอันมีน้ำใสไหลอยู่เรื่อยๆ มีกระแสเกลื่อนกล่นไปด้วยดอกโกสุม จะกระทำอย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันมีสีเขียว น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์มีสีเหลืองอร่าม น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันมีสีแดง น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันสูงตระหง่าน น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันมีสีขาว น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันงามวิจิตร น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่เขาคันธมาทน์ อันดารดาษไปด้วยยาต่างๆ เป็นถิ่นที่อยู่ของหมู่เทพเจ้า จะกระทำอย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ภูเขาคันธมาทน์ อันดารดาษไปด้วยโอสถทั้งหลาย จะกระทำอย่างไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เต ปพฺพตา ความว่า ภูเขาเหล่านั้น ซอกเขาเหล่านั้นและถ้ำเขาเหล่านั้นที่เราเคยขึ้นร่วมอภิรมย์ ตั้งอยู่ ณที่นั้นนั่นแล บัดนี้ เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่เทือกเขานั้น เราจะทำอย่างไรเล่า เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่แผ่นผาลาดอันงดงามไปด้วยใบไม้ดอกและผลเป็นต้น ร่ำไรอยู่ว่าเราจะอดกลั้นได้อย่างไร. บทว่า ปณฺณสณฺฐตา ความว่า ดารดาษด้วยกลิ่นและใบ ของใบกฤษณาเป็นต้น. บทว่า อจฺฉา ได้แก่ มีน้ำใสสะอาด. บทว่า นีลานิ ได้แก่ สำเร็จด้วยแก้วมณี. บทว่า ปีตานิ ได้แก่ สำเร็จด้วยทองคำ. บทว่า ตมฺพานิ ได้แก่ สำเร็จด้วยมโนศิลา. บทว่า ตุงฺคานิ ความว่า มีปลายคมสูง. บทว่า เสตานิ ได้แก่ สำเร็จด้วยเงิน. บทว่า จตฺรานิ ได้แก่ เจือด้วยรัตนะ ๗ ประการ. บทว่า ยกฺขคณเสวิเต ความว่า อันภุมเทวดาเสพแล้ว.

นางร่ำไห้ด้วยคาถาสิบสองบทด้วยประการฉะนี้แล้ว วางมือลงตรงอุระพระมหาสัตว์ รู้ว่ายังอุ่นอยู่ ก็คิดว่า พี่จันท์ยังมีชีวิตเป็นแน่ เราต้องกระทำการเพ่งโทษเทวดา ให้ชีวิตของเธอคืนมาเถิด. แล้วได้กระทำการเพ่งโทษเทวดาว่า เทพเจ้าที่ได้นามว่าท้าวโลกบาลน่ะไม่มีเสียหรือไรเล่า หรือหลบไปเสียหมดแล้ว หรือตายหมดแล้ว ช่างไม่ดูแลผัวรักของข้าเสียเลย. ด้วยแรงโศกของนาง พิภพท้าวสักกะเกิดร้อน. ท้าวสักกะทรงดำริทราบเหตุนั้น แปลงเป็นพราหมณ์ถือกุณฑีน้ำมาหลั่งรดพระมหาสัตว์. ทันใดนั้นเองพิษก็หายสิ้น แผลก็เต็ม แม้แต่รอยที่ว่าถูกยิงตรงนี้ก็มิได้ปรากฏ. พระมหาสัตว์สบายลุกขึ้นได้ จันทาเห็นสามีที่รักหายโรค แสนจะดีใจ ไหว้แทบเท้าของท้าวสักกะ กล่าวคาถาเป็นลำดับว่า

ข้าแต่ท่านพราหมณ์ผู้เป็นเจ้า ฉันขอไหว้เท้าทั้งสองของท่านผู้มีความเห็นดู มารดาสามีผู้ที่ดิฉันซึ่งเป็นกำพร้าปรารถนายิ่งนักด้วยน้ำอมฤต ดิฉันได้ชื่อว่าเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยสามีผู้เป็นที่รักยิ่งแล้ว. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมเตน ความว่า นางจันทากินรีสำคัญว่า เป็นน้ำอมฤตจึงกล่าวอย่างนั้น. บทว่า ปิยตเมน แปลว่า น่ารักกว่า บาลีก็อย่างนั้นเหมือนกัน.

ท้าวสักกะได้ประทานโอวาทแก่กินนรทั้งคู่นั้นว่า ตั้งแต่บัดนี้ เธอทั้งสองอย่าลงจากจันทบรรพตไปสู่ถิ่นมนุษย์เลย จงพากันอยู่ที่นี้เท่านั้นนะ ครั้นแล้วก็เสด็จไปสู่สถานที่ของท้าวเธอ. ฝ่ายจันทากินรีก็กล่าวว่า พี่เจ้าเอ๋ย เราจะต้องการอะไรด้วยสถานที่อันมีภัยรอบด้านนี้เล่า มาเถิดค่ะ เราพากันไปสู่จันทบรรพตเลยเถิดคะ แล้วกล่าวคาถาสุดท้ายว่า

บัดนี้ เราทั้งสองจักเที่ยวไปสู่ลำธารอันมีกระแสสินธุ์อันเกลื่อนกล่นด้วยดอกโกสุม ดารดาษไปด้วยบุบผชาติต่างๆ เราทั้งสองจะกล่าววาจาเป็นที่รักแก่กันและกัน.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อนนางก็ไม่ได้เอาใจออกห่างเรา มิใช่หญิงที่ผู้อื่นจะนำไปได้เหมือนกัน ทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็น เทวทัต ท้าวสักกะได้มาเป็น อนุรุทธะ จันทากินรีได้มาเป็น มารดาเจ้าราหุล ส่วนจันทกินนรได้มาเป็น เราตถาคต แล. พระบรมศาสดาตรัสพระธรรมเทศนานี้ ทรงแสดงถึงความจงรักภักดีของจันทากินนรีที่มีต่อจันทกินนร คราวนั้นพระนางพิมพาจึงบรรลุโสดาปัตติผล ณ ที่นั้นเอง จากนั้นพระพุทธองค์ก็เสด็จกลับไปพระวิหาร

พระนางภัททากัจจานาเถรีนิพพานในพรรษาที่ 43 แห่งพระผู้มีพระภาค มีพระชนมายุได้ 78 พรรษา

ขอสรรเสริญพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระนางภัททากัจจานาเถรี

ขอความสุขความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลายในสังสารวัฏแห่งนี้

ไม่มีตำนานรักใด ๆ ในโลก จะเทียบเท่าของพระนางได้อีกแล้ว

ความรักที่ยาวนานถึง ๔ อสงไขย กับเศษแสนมหากัป

ไม่อาจมีตำนานใด ๆ มาเทียบได้เลย

//pasannopikku.wordpress.com/2010/11/27/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B1/

ที่ก๊อปมาให้อ่านนี้ก็เพื่อเราจะได้รู้จักน้ำใจของท่านทั้งสอง คนอื่นคิดอย่างไรก็ไม่เท่าสัจจะความจริงที่ท่านทั้ง2 บำเพ็ญเพียรด้วยกันมา ใครจะติเตียน ใครจะรัก ใครจะชอบ ก็เป็นเรื่องของคนๆนั้น แต่ตำนานของท่านทั้งสอง เราจะจดจำไว้ด้วยความซาบซึ้งตลอดไป ขออนุโมทนา การบสร้างบุญกุศลลและการบำำเพ็ญเพียรด้วยความยากลำบากจนสำเร็จกิจตามที่ทั้งท่านได้ตั้งปณิทานไว้

6950
_/\\_
 
 

โดย: หุหุ IP: 124.120.92.216 วันที่: 28 มิถุนายน 2556 เวลา:11:49:21 น.  

 
 
 
อัพข่าวกันเนาะ เสียดายอดีตพระอาจารย์เควสโก
ASTVผู้จัดการ – ส.ศิวรักษ์เขียนข้อความเตือนสติคนไทยกรณีพระมิตซูโอะ คเวสโก “อย่ายึดติดที่ผ้ากาสาวพัตร์-อย่างยึดติดว่าพระเป็นผู้วิเศษ” ชี้อดีตพระลาสิกขาเพศดีกว่าอยู่เป็นอลัชชี ให้มองเป็นการ “บวชเรียน” เพื่อจะเป็นมนุษย์ที่ดี

จากกรณีที่ อดีตพระอาจารย์ มิตซูโอะ คเวสโก พระภิกษุชาวญี่ปุ่น อดีตเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี และศิษย์รุ่นแรกของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) ได้ลาสิกขาไปเมื่อวันเสาร์ที่ 8 มิ.ย. ที่ผ่านมา หลังจากอยู่ในเพศบรรพชิตมาเกือบ 38 ปี และล่าสุดช่วงค่ำวานนี้ (27 มิ.ย.) มีความเคลื่อนไหวทางแวดวงโซเชียลเน็ตเวิร์ค โดยมีสตรีผู้หนึ่งได้โพสต์ภาพถ่ายผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวคู่กับอดีตพระมิตซูโอะ ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับลูกศิษย์ลูกหาและผู้ที่นับถืออดีตพระมิตซูโอะจำนวนมาก

สำหรับ ในกรณีดังกล่าวเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. หลังจากอดีตพระมิตซูโอะได้ลาสิกขาได้ราวหนึ่งสัปดาห์ นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส. ศิวรักษ์ นักคิด นักเขียนอาวุโส ผู้ได้สมญานามว่าปัญญาชนสยามได้ให้ทัศนะถึงกรณีพระมิตซูโอะ คเวสโก ลาสิกขาผ่านทางเฟซบุ๊ก Sulak Sivaraksa โดยระบุว่า

“เรื่องพระคเวสโกลาสิกขา คนไทยตกใจกันมากเลย แสดงว่าคนไทยไปติดยึดที่ผ้ากาสาวพัสตร์ โบราณเขาบอกว่าพระจะสึก ลูกจะออก ขี้จะแตกห้ามไม่ได้ เพราะฉะนั้นการที่ท่านลาสิกขาเพศไปเนี่ย ก็ดีกว่าอยู่เป็นอลัชชี ตอนนี้มีพระเป็นอลัชชีมากมายครองกาสาวพัสตร์ไว้ ฉะนั้น เมื่อท่านเห็นว่าท่านไม่เหมาะกับกาสาวพัสตร์ท่านก็ออกไปเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี ไม่เห็นเป็นเรื่องเสียหายอะไรเลย

“ในอดีตมีพระอังกฤษรูปหนึ่งบวชมายี่สิบกว่าพรรษา แล้วไปลากับท่านอาจารย์สุเมโธ ท่านก็บอกว่าเนี่ย ฝึกมาตั้งยี่สิบปีแล้ว ออกไปหวังว่าจะเป็นอุบาสกที่ดี ถ้าเข้าใจอย่างนี้กัน เขาเรียกว่า ‘บวชเรียน’ เรียนเพื่อจะเป็นมนุษย์ที่ดี ครองกาสาวพัสตร์เป็นมนุษย์ที่ดีก็ครองอยู่ ถ้านุ่งกางเกงแล้วเป็นมนุษย์ที่ดีก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นคนไทยควรจะวางที่ดีที่ถูกต้อง เวลาเห็นพระสึกอย่าทำเป็นตื่นเต้นว่าพระรูปนี้เป็นผู้วิเศษสึกไม่ได้ วางทัศนะไม่ถูกต้อง ผมอยากจะเตือนสติคนไทยเท่านี้” ส.ศิวรักษ์ระบุ

//www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000078546

5875
*.*
 
 

โดย: หุหุ IP: 124.120.92.216 วันที่: 28 มิถุนายน 2556 เวลา:13:18:38 น.  

 
 
 
เรื่องของบุพเพสันนิวาส
ถาม: (คุยเรื่องคู่ครอง )

ตอบ: เรื่องของเนื้อคู่นี้ ถ้าเป็นบุพเพสันนิวาส คือเคยเนื่องกันมาแต่ชาติก่อนจริงๆ พบเจอหน้ามันเลี่ยงกันไม่พ้นหรอก ยิ่งเกิดมากเท่าไรความผูกพันก็จะมากเท่านั้น อาตมาสมัยบวชใหม่ๆ เจอหน้าผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาก็ไม่ได้อยู่ในสเป๊ก รูปร่างก็ไม่ได้อยู่ในสเป๊ก แต่มีแรงดึงดูดมหาศาลเลย ชนิดเราทำอะไรไม่ถูกเลยนะ เห็นคราวนี้ โอ้ย ! ตายละวา ...เจ้าหนี้ตามทวง ความรู้สึกมันว่างั้น แต่คราวนี้ว่า เราไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองไปให้หลบรอดไปได้มากกว่าสติสัมปะชัญญะที่พอมีอยู่เท่านั้น แต่สติที่มีอยู่มันหายไปเกินค่อนหนึ่ง สมาธิก็หายไปเหมือนกัน ทำวัตรก็มองหน้า นั่งกรรมฐานแทนที่จะหลับตาก็ลืมตามองอยู่นั่น ความรู้สึกบอกว่า ถ้าพูดกับเขาแม้แต่คำเดียว เราเสร็จแน่ แล้วยายนั่นเขาก็รู้เหมือนกัน ถึงเวลาก็ต้องแถเข้าไปใกล้ๆ พอถึงเวลาเขาพูดอะไร ความรู้สึกเราบอกว่า ถ้าพูดแม้แต่คำเดียวเราเสร็จแน่ ยอมเสียมารยาทคุยกับคนอื่น พอเขาเสียบเข้ามา เอ่ยปากถามปุ๊บ เราเดินหนีไปเลย หลบอยู่ ๓-๔ วัน เห็นท่าไม่รอดแน่ พอดีหลวงพ่อสั่งให้ไปประจำอยู่ที่หน้าตึกของท่าน ตรงจุดนั้น ถ้าไม่มีธุระจริงๆ ห้ามเข้า ก็เป็นอันว่ารอดไป ไม่อย่างนั้นเสร็จ เพราะว่าพวกนี้ ถ้าช่วงวาระเวลาของเขามาถึง บุญกรรมที่มันส่งมาถึงจะทำให้เราอยู่ไม่ได้ แต่ถ้าเราสามารถตื้อให้พ้นช่วงนั้นไปได้ มันก็พ้นไปเลย จนกว่ามันจะมาบรรจบครบรอบอีกครั้งหนึ่ง

ถาม: แล้วเขาจะไปมีคู่กับผู้อื่น ?

ตอบ: มันจะไปมี ก็ปล่อยมันไป ยิ่งมีเร็วเท่าไรยิ่งดี หลวงปู่ฝั้น ครูบาอาจารย์ที่เคารพท่านมากที่สุดองค์หนึ่งนะ ท่านบอกว่าท่านธุดงค์ไป ท่านจะข้ามลำน้ำ มีเรือจ้างอยู่สองแม่ลูก พอเห็นหน้าลูกสาวปุ๊บหลวงปู่บอกว่าใจหายแว๊บเลย หน้าอย่างนี้ใช่เลยล่ะ เสร็จแล้วท่านจะทำอย่างไร ? ท่านก็พอขึ้นเรือได้ บอกขอบอกขอบใจเสร็จก็รีบเดิน เดินอย่างไม่มีสติ ภาวนามันหายหมดเลย เดินไปจนกระทั่งค่ำก็ปักกลดปรากฏว่าเขาตามมา แม่ลูกตามมา แม่มาถึงก็บรรยาย ตัวเองมีนากี่ไร่มีควายกี่ตัว เฒ่าชะแรแก่ชราป่านนี้แล้ว มีลูกสาวคนเดียว ยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝาเลย เห็นท่านนี้แหละพอจะเป็นที่พึ่งได้ ถ้าหากว่าท่านสึกหาลาเพศไปก็พร้อมจะยกสมบัติและลูกสาวให้ด้วย หลวงปู่ท่านบอกว่าสติสตังที่จะต่อต้านสักนิดหนึ่งก็ไม่มี ได้แต่เออ...ไปตามเรื่อง บอกว่าตอนนี้ยังเป็นพระอยู่ ถ้าหากสึกแล้วเราค่อยพูดกันอีกทีหนึ่ง เขาบอกว่าพรุ่งนี้เขาจะมาเอาคำตอบ แล้วก็กลับบ้าน หลวงปู่ท่านยอมเสียสัจจะถอนกลดหนีคืนนั้นเลย ปกติพระธุดงค์ถ้าไม่สว่างห้ามถอน หลวงปู่ท่านบอกว่ายอมเสียสัจจะถอนกลดหนีคืนนั้น ธุดงค์ข้ามไป ๓ จังหวัด มีปัญญาให้มันตามมา ถ้าตามมาก็จะยอมรับมันล่ะ แต่ระหว่างที่เดินอยู่นั่นเห็นแต่หน้าลอยอยู่ ท่านบอกว่า เห็นแต่หน้ายายหน้าใบโพธิ์ คือหน้าเป็นรูปหัวใจ เห็นแต่หน้ายายหน้าใบโพธิ์ ตามอยู่นั่นแหละ โอ้โห ! ความผูกพันแรงขนาดนั้น

ถาม: แล้วตัวผู้หญิง เขาก็ผูกพันด้วยไหมครับ ต้องทั้งสองคนไหมครับ ?

ตอบ: เขาเห็นปุ๊บเขารู้เลย พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ครูบาอาจารย์ใหญ่ สาย หลวงปู่มั่น ท่านบอกว่าเห็นหน้าปุ๊บผู้หญิงหงายหลังสลบ ตัวท่านเองก็เข่าอ่อนกองอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน คิดดูว่ามันแรงขนาดไหน นั่นแสดงว่าใช่แน่ๆ อย่างไรก็หนีไม่พ้น

หลวงปู่สิงห์ ท่านก็เจ็บปวดยิ่งกว่านั้นอีก พ่อแม่เขามาบอกว่าขอให้สึกไปแต่งงาน ท่านบอกก็ได้ แต่ต้องทำที่ต้องการนะ อันดับแรกให้สร้างปราสาทลอยอยู่กลางท้องฟ้า เอาไว้เป็นเรือนหอ อันดับที่สองให้หายาอะไรก็ได้ที่กินแล้วไม่แก่ไม่เฒ่า ไม่ตาย โอ้โห ! สิ่งที่ท่านยื่นมาทั้งนั้นนี่นิพพานทั้งหมดเลย ไม่มีที่อื่นนี่ บอกถ้าหาให้ไม่ได้ ไม่แต่ง เอากับท่านสิ ก็คือท่านรู้เสียแล้วว่านิพพานเป็นอย่างไร ในเมื่อรู้แล้วก็พยายามจะไปให้ได้ เขาก็เลยขวาง ก็เลยยื่นข้อเสนอเสียเลย มีปัญญาหามาได้ ก็ยอมแต่งเหมือนกัน

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เรียกว่าปรมาจารย์ใหญ่ของสายกองทัพธรรมเหมือนกัน ท่านบอกว่า ไปเยี่ยมเขา ด้วยประเภทที่เรียกว่าจิตห่วงใยตามปกติ เห็นว่าเจ็บไข้ได้ป่วยก็ชวนเด็กวัดไปด้วย เจ้าเด็กวัดระ_ำเ_ือกหลับ อาจารย์นั่งมองอยู่ สาวเจ้าก็ตาหวานขึ้นมาเรื่อยๆ ท่านก็บอกว่าสติสตังมันไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัว เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ก็เลยต้องบอกลา ปลุกเด็กแล้วรีบกลับเลย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ไปอีกเลย ถ้าคนนี้มาก็บอกเขาด้วยว่าไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นก็เสร็จ น่ากลัวขนาดไหน ?

ถาม: (คุยเรื่องคู่ครอง)

ตอบ: มันคล้ายๆ กับว่า ถ้าวาระและเวลามาถึง มันจะโคจรเข้ามาชนกันเอง อันนี้เป็นแรงกรรมส่ง บุญบาปที่เคยทำร่วมกันมาจะส่งผลเข้ามา เมื่อส่งผลมาถึง คราวนี้ก็อยู่ที่ว่ารักษาตัวรอดไหม และถ้าหากว่าพ้นจากคนนี้ไปแล้ว เดี๋ยวคนใหม่ก็เข้ามาอีก เราไม่ได้เกิดชาติเดียวนะ ในเมื่อไม่ได้เกิดชาติเดียว เนื้อคู่มันก็มีหลายคนไปด้วย คนไหนที่เกิดร่วมกับเรามากชาติที่สุดก็มีอิทธิพลต่อเรามากที่สุด คนไหนเกิดน้อยชาติหน่อย ก็อิทธิพลน้อยหน่อย

สมัยหลวงพ่อบวชกับหลวงปู่ปาน มีพระอยู่องค์หนึ่งท่านได้อภิญญาและก็ได้ทิพจักขุญาณแจ่มใสมาก ท่านจะบอกเลยว่าวันนั้นเวลานั้น ถ้ามีผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างอย่างนี้ แต่งตัวอย่างนี้มา ผมต้องสึกนะ ก็จริงๆ ถึงเวลาต้องสึกไปอยู่กินกับเขา แต่คราวนี้ท่านมีอภิญญาอยู่ ก็พยายามรวบรวมกำลังของอภิญญาใช้ในการดูหมอ ใช้ในการรักษาโรคบ้าง หาเงินให้เขาก้อนหนึ่ง ไม่ใช่น้อยๆ นะ หลวงพ่อบอกประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาท ของสมัยนั้น หือ...สมัยนี้ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ยังจะน้อยกว่าล่ะมั้ง ? อย่าลืมว่าสมัยนั้นก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ เท่ากับ ๔๐ บาท สมัยนี้ ๕๐ สตางค์ ก็ ๔๐๐ บาท บาทหนึ่งก็แปดร้อยนั่นแหละ เสร็จแล้วท่านก็กลับมาบวชใหม่ แล้วก็บอกไว้อีกว่าวันนั้นเวลานั้น ถ้ามีผู้หญิงหน้าตาอย่างนั้นอย่างนั้นมา ท่านจะต้องสึก แล้วก็สึกอีก สึกอยู่อย่างนั้นแหละ ๔ เที่ยว ๕ เที่ยว

จนกระทั่งครั้งสุดท้าย พอกลับเข้ามาบวชก็ลาหลวงปู่เข้าป่าเลย หลวงพ่อก็ย่องไปถามว่า ทำไมงวดนี้ไม่อยู่แล้วหรือ ? ท่านบอกว่าหมดหนี้แล้ว ไปแล้ว เผ่นเข้ามาแล้วสบายใจ เพราะว่าของท่านได้อภิญญาอยู่แล้ว พอเข้ามาอยู่ในร่มกาสาวพักตร์รักษาศีลบริสุทธิ์แป๊บเดียว ก็ได้กำลังอภิญญาเต็มคืนมา ไม่เหมือนตอนเป็นฆราวาส มันโดนจำกัดให้ใช้ได้น้อย ท่านรู้ขนาดนั้นยังต้องสึกเลย อาตมาเองยังรอว่า รายต่อไปคือใคร มาจะด่าให้กระจายเลย ถึงเวลาอ้าปากไม่ขึ้น ประมาทไม่ได้ อย่าคิดว่าตัวเองแก่แล้ว

หลวงพ่อท่านสมัยก่อนก็อายุประมาณนี้แหละ ท่านบอกว่า โอ้โห !....แก่จะตายชักอยู่แล้ว เด็กๆ มันเรียน ม. ๕ ม. ๖ อาชีวะบ้าง อะไรบ้าง มาถึงก็ประจ๋อ ประแจ๋เต็มกุฏิไปหมด แล้วหลวงพ่อก็ไม่มีทีท่าจะเล่นด้วย ไปๆ มาๆ ก็ประเภทว่าฉันไม่เชื่อหลวงน้าแล้วล่ะ ทำท่าเหมือนอยากจะแต่งงานด้วยแล้วอยู่ๆ ก็ลืมไปเฉยๆ อะไรอย่างนั้น หลวงพ่อก็นึกได้แต่เวทนาอยู่ในใจไม่รู้จะช่วยมันอย่างไรวะ ฟังดูในปฏิปทาท่านผู้เฒ่าว่าหลวงพ่อท่านโดนมาขนาดไหน บางอย่างท่านเล่าไว้นิดเดียว แต่ถ้าเรามีประสบการณ์ก็จะรู้เลยว่า นิดเดียวของท่าน กว่าจะผ่านได้ เลือดตาแทบกระเด็น

ถาม: (คุยเรื่องคู่ครอง)

ตอบ: พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ไม่ว่าท่านจะหนีไปซอกเขา ไปลำห้วย ในกลีบเมฆ ในถ้ำ ในก้นมหาสมุทรที่ใดก็ตาม ไม่สามารถจะหนีกรรมได้พ้น คุณทำไว้เอง ไม่ต้องไปกลัวมัน ถ้าตั้งใจหนีจริงๆ หนีพ้น อาตมาอย่างน้อยก็พ้นมาหลายยกแล้ว มันจะมีอีกสักยกสองยกก็เชื่อว่าน่าจะพ้นนะ จำเอาไว้อย่ายื่นหน้าไปให้เขาตบหน้าก็พอ ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก

ถาม: (คุยเรื่องคู่ครอง)

ตอบ: คือมันน่ากลัวมาก มันไม่ใช่ขึ้นแค่นั้นลงแค่นั้น เพราะว่าเราพอถึงเวลาแต่งงานไปปุ๊บ ไหนจะตัวเขา ไหนจะพ่อแม่พี่น้องของเขา แล้วถึงเวลาลูกอีก หลานอีก ตายล่ะหวา ถึงบอกว่าบางทีก็พูดกับพระว่าตอนนี้นะต่อให้น้องป๊อบมาคุกเข่าต่อหน้าว่า หลวงพี่เจ้าขาสึกไปแต่งกับหนูเหอะ ไม่กล้าไปเลย กลัว จริงๆ เอ้อ... มันอธิบายเป็นคำพูดได้ แต่ถ้าเห็นนี่ เห็นเลยว่าน่ากลัวจริงๆ ไม่มีจุดลงท้ายเลย มีแต่ยาวไปเรื่อย ไปเรื่อย

ถาม: (คุยเรื่องคู่ครอง)

ตอบ: ไม่ต้องโทษใคร โทษตัวเอง มันแปลกอยู่อย่าง ตอนบวชอยู่มันดูดีไปหมด ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าหากว่าสึกไปก่อน เขาก็ไม่โอเคเหมือนกันยุ่งเป็นบ้าเลย ที่ขำๆ ก็เคยถามบางคนนะ ผู้ชายเยอะแยะ ทำไมต้องมาแถววัดด้วยวะ คือเราปากเสียว่าตรงๆ อยู่แล้วใช่ไหม เขาเองก็แน่เหมือนกัน เขาว่าในวัดแหละดีไม่มีเอดส์ ก็บอก เออ....ถ้าวันไหนเจอเอดส์แล้วจะรู้

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนสิงหาคม ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
9235
*.*
//variety.teenee.com/saladharm/52022.html
 
 

โดย: หุหุ IP: 124.120.92.216 วันที่: 28 มิถุนายน 2556 เวลา:13:22:59 น.  

 
 
 
หากำไรจากข่าวท่านมิตซูโอะ โดย พระญาณวิสาลเถร
จากในเฟซบุ๊ค เห็นว่ามีประโยชน์ จึงขอนำมาแชร์ให้ห้องศาสนานะครับ

บทสนทนาระหว่าง พระญาณวิสาลเถร (หา สุภโร) อายุ ๘๗ พรรษา ๖๖ กับ พระอุปฐาก

หลวงปู่: ครูบา อาจารย์มิตซูโอะเป็นใคร

ครูบาอุปฐาก: เป็นหยังครับผม องค์พ่อแม่ถามทำไมครับผม

หลวงปู่: ก็เมื่อเช้าเห็นโยมในศาลามาเล่าให้ฟัง ผมก็อือๆนอไปกับเขา แต่ผมไม่รู้เรื่องนี้

ครูบาอุปฐาก.โอ๋: ขอโอกาสกราบเรียนองค์พ่อแม่ ท่านอาจารย์มิตซูโอะท่านเป็นคนญี่ปุ่นที่มาเรียกกรรมฐานในสายพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง บวชมา๓๐กว่าปีแล้วท่านก็สึกกลับบ้านท่านที่ญี่ปุ่น เมื่อเช้าแม่ออกมาบอกว่าท่านสึกไปมีเมีย ที่ญี่ปุ่นครับผม

หลวงปู่: โอ๋ มันก็ดีแล้วนี่แล้วเอามาเล่ากันทำไม

ครูบาอุปฐาก: ขอโอกาสองค์พ่อแม่ ดียังไงครับผมพระกรรมฐานบวชมา ๓๐ กว่าปีแล้วมาสึกไปมีเมีย

หลวงปู่: โอ้ย ญาท่านสีทนศาลาพันห้องนั้น สึกตอนอายุ ๙๒ ไปเอาเมียอายุ ๑๖ นี่ผมก็ยังไม่ถึง ๙๒ เด้อ (พูดแล้วท่านก็หัวเราะ)

คนบวชคนสึกมันเป็นธรรมดาโลก บางคนบวชมานานกว่าท่านอาจารย์มิตซูโอะก็ยังสึก

ท่านอาจารย์หนูใหญ่ศิษย์หลวงปู่มั่น นั่งภาวนาได้ฌาณได้ญาณเห็นนู้นเห็นนี่ท่านก็ยังสึก

พระอริยคุณาธาร ขอนแก่นท่านก็สึก

ในวงพระกรรมฐานเราก็มีให้เห็นอยู่ ไม่แปลกดอก ถ้าเรายังไม่แน่นอนในพระสัทธรรมมันก็มีโอกาสสึกกันทุกคน

เพิ่นสึกออกไปหน่ะดีแล้ว ถ้าวิบากกรรมที่แก้เป็นพระไม่ได้มันต้องสึกออกไปแก้ก็ต้องตามไปแก้มัน คุณเอ้ย

คนสึกก็ใช่ว่าจะเสียหาย ใช่ว่าจะเลวไปซะหมด คนอยู่ก็ใช่ว่าจะบริสุทธิ์ ใช่ว่าจะดีไปเสียหมด

หยั่งกำลังว่าสู้ไม่ไหวก็สึกออกไปนั้นถึงจะเป็นการที่น่ายกย่อง มาสู้ทนหลอกชาวบ้านเป็นมหาโจรอยู่มันก็ตกนรกนั้นแหล่ว

คนที่ทำกรรมฐานมาตั้ง ๓๐ ปี เพิ่นบ่ได้ปึกได้โง่เด้อ เพิ่นคิดเพิ่นตัดสินใจ แสดงว่ากำลังของกรรมฐานที่สั่งสมมาประคับประคองอยู่

การที่เพิ่นตัดสินใจถือว่าคิดดีแล้วในแนวของเพิ่น ที่เอามาว่ามานินทากันนั้นเพราะมันขัดใจเรามันเข้ากิเลสเรา ว่ากันคะนองปาก

คุณเอ้ย เล่นกันพระเหมือนเล่นกับไฟ ว่าเพิ่นชั่ว ถ้าเพิ่นชั่วเราไม่ได้บุญนะเราเท่าตัว

ว่าเพิ่นชั่วเพิ่นบ่ได้ชั่วเราเป็นบาปเราขาดทุน ว่าเพิ่นแล้วมีแต่เท่าทุนกับขาดทุนหากำไรไม่ได้ ลงทุนแบบนี้ไม่งอกไม่เงยนะ

เอาใจไปคิดเรื่องคนอื่นมันก็ทุกข์เรื่องคนอื่น แต่เอาใจมาไว้กับสติมาไว้กับเรานี้มันบ่ทุกข์มันมีแต่กำไร

เพิ่นไปดีแล้วก็แล้วกันไปคุณเอ้ย ทุกคนหันหน้าเดินไปหาพระนิพพานกันหมดนั้นหล่ะ

ถึงช้าถึงเร็วขึ้นอยู่กับเราเดินกับเราลงทุนดอก มาพบพระพุทธเจ้า พบพระธรรมคำสั่งสอน

พบครูบาอาจารย์พระเจ้าพระสงฆ์แล้ว อย่าให้ขาดทุนเด้อให้เอากำไรจากเพิ่นเด้อ

//pantip.com/topic/30660892

4245
_/\\_
 
 

โดย: หุหุ IP: 124.120.50.254 วันที่: 1 กรกฎาคม 2556 เวลา:13:19:59 น.  

 
 
 
ตามไปอ่านข่าวนี้
//www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000080073
แต่ปรากฏว่า อิอ่อนมันดันไปทึ่งกับชื่อล๊อคอินหนึ่งซะงั้น 555 ไม่ได้สะดุดที่เนื้อหาของเขาเลยนะ มันไปสะดุดชื่อล๊อดอินเขาอย่างแรง อ่านไปยิ้มไปเหมือนอิบร้าเรยนะ หุหุ

ชื่อล๊อคอินที่เป็นเหตุให้อิอ่อนมันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อิอิ "คุณ เลิกนิ่ง เอาจิงละ"

8298
*.* - -" *.*
 
 

โดย: หุหุ IP: 124.121.212.239 วันที่: 2 กรกฎาคม 2556 เวลา:9:53:15 น.  

 
 
 
จากชีวประวัติ - พระคุณเจ้า หลวงปู่หลุย จันทสาโร
จากหนังสือ จันทสาโรบูชา โดย คุณหญิงสุรีย์พันธุ์ มณีวัต
...........................................................................

อดีตที่ฝังรอยมาจากบุพชาติ

"...หลวงปู่ท่านแวะมาที่หล่มสัก ด้วยโยมมารดาของท่านมีพื้นเพภูมิลำเนาอยู่ที่นั้น จึงยังมีบ้านญาติบ้านพี่บ้านน้อง
คนคุ้นเคยอยู่มาก ท่านมาถึงได้ทราบว่า บ้านญาติคนหนึ่งมีงานศพ นิมนต์พระไปสวดมนต์ ท่านก็ได้รับนิมนต์ไปใน
งานสวดมนต์นั้นด้วย

หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า ท่านไม่เคยคิดเลยว่า การแวะไปเยี่ยมญาติและสวดมนต์ในครั้งนั้น
จะทำให้ท่านถึงกับซวดเซลงแทบจะล้มลงทั้งยืน

ล้ม...ล้มอย่างไม่มีสติสตังเลยทีเดียว

ท่านเล่าให้เฉพาะผู้ใกล้ชิดฟังว่า วันนั้นท่านกำลังสวดมนต์เพลินอยู่ ระหว่างหยุดพักการสวด
เจ้าบ้านก็นำน้ำปานะมาถวายพระแก้คอแห้ง บังเอิญตาท่านชำเลืองมองไปในหมู่แขก
ที่กำลังนั่งฟังสวดมนต์อยู่เพียงตาสบตา ท่านก็รู้สึกแปล๊บเข้าไปในหัวใจ

เหมือนสายฟ้าฟาด แทบจะไม่เป็นสติสมประดี

ท่านกล่าวว่า เพียงตาพบแว้บเดียว ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ท่านก็เซแทบจะล้ม
เผอิญขณะนั้นท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ได้รับนิมนต์ไปด้วย
ท่านคงสังเกตถึงอาการ หรือว่าท่านอาจจะกำหนดจิตทราบเหตุการณ์ก็ได้
ท่านจึงเข้ามาประคองไว้ เพราะมิฉะนั้นหลวงปู่คงจะล้มลงจริง ๆ

ฝ่ายหญิงที่นั่งอยู่ทางด้านโน้นก็เป็นลมไปเช่นกัน
คงจะเป็นอำนาจความเกี่ยวข้องแต่บุพชาติมา ที่มาบังคับให้เกิดความรู้สึกเช่นนั้น...

...ท่านบอกว่าในหัวอกเหมือนจะมีอะไร แต่ภายหลังได้พิจารณากลับมา
และเมื่อท่านพระอาจารย์สิงห์ได้อธิบายให้ท่านทราบในภายหลังว่า การครั้งนี้เป็นนิมิต
เนื่องจากบุพเพสันนิวาสท่านและสุภาพสตรีผู้นั้นเคยเป็นเนื้อคู่เกี่ยวข้องกันต่อมาช้านาน
เคยบำเพ็ญบารมีคู่กันมาโดยเฉพาะเมื่อภายหลัง หลวงปู่ได้สารภาพถึงความในใจที่ตั้งปรารถนาพุทธภูมิ
ท่านพระอาจารย์สิงห์ก็อธิบายว่า เธอผู้นั้นก็คงได้ปรารถนา บำเพ็ญบารมีคู่กันมาเช่นกัน

ท่าน(พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม) ก็เลยเล่าว่า ครั้งหนึ่ง หลวงปู่อีกองค์หนึ่งก็เช่นกัน
ระหว่างที่มากรุงเทพฯเดินบิณฑบาตอยู่แถววัดสระปทุม ได้พบสตรีคนหนึ่ง นั่งรถสามล้อผ่านไป
(สมัยนั้นในกรุงเทพฯมีรถสามล้อเป็นยานพาหนะด้วย-----ผู้เขียน) ท่านบอก เพียงตาสบตาเท่านั้น
ความรู้สึกมันปล๊าบไปทั้งตัว แทบจะวิ่งตามเขาไป

คราวนั้นพระเถระผู้ใหญ่ต้องให้สติและขังท่านไว้ในโบสถ์ พิจารณาดับความรู้สึกกันอยู่นาน
ด้วยการเจริญอสุภะจึงสำเร็จ คราวนั้นหลวงปู่องค์นั้นท่านก็เล่าว่า ไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้นมาก่อน
แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนด้วยซ้ำ เขาจะไปที่ไหน อย่างไร ก็ไม่ทราบ แต่ใจมันวิ่งเตลิดตามเขาไป
พิจารณาแล้วก็ได้ความเช่นกัน ว่าเป็นคู่ที่เคยมีบุพเพสันนิวาสกันมาแต่ชาติก่อน อำนาจกรรมนั้นจึงมาประจักษ์
แต่หากว่าบุญบารมียังมีในเพศพรหมจรรย์ ท่านจึงปลอดภัยไปจากกรรมนี้ได้

สำหรับกรณีของหลวงปู่ก็เช่นกัน แต่ของท่านนั้น เนื่องจากเป็นการปรารถนาพุทธภูมิเคียงคู่กันมา
จึงมีอำนาจรุนแรงมาก และเนื่องจากว่า ฝ่ายหญิงมิได้พบกันแล้วก็ห่างกันไปแบบในกรณีของหลวงปู่องค์นั้น
ต้องพบประจันหน้ากันอีกหลายครั้ง เนื่องด้วยผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเป็นผู้คุ้นเคยกันประหนึ่งญาติ
และมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาหลายชั้น ตั้งแต่ครั้งบิดามารดา ต้องพบเห็นกัน
ไม่ใช่ว่าเป็นการพบกันแล้วก็ผ่านจากไป เช่นนั้นอาจจะเป็นกรณีที่ง่ายหน่อย
แต่การนี้หลังจากพบครั้งแรกแล้วนั้น ก็ยังต้องเห็นกันอีก กรณีจึงแตกต่างจากพระเถระครูบาอาจารย์ฝ่ายกัมมัฏฐานองค์อื่น
ในชาตินี้ นอกจากที่ว่า ชั้นบิดามารดารู้จักคุ้นเคยกันประหนึ่งญาติพี่น้อง อาจจะเคยเห็นกันในสมัยวัยเด็ก

แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายหญิงได้ถูกส่งตัวเข้ามารับการศึกษาในพระนครเสียตั้งแต่ยังเด็ก ได้รับการศึกษาชั้นสูง
จึงแทบมิได้พบหน้ากันอีก เมื่อมาพบฝ่ายหญิงนั้น ท่านอยู่ในเพศบรรพชิตแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งเป็นกุลสตรีแสนสวย
เป็นรอยแห่งอดีตที่มาพบพานกัน

ความจริงท่านไม่เคยเล่าถึงรูปลักษณ์ของ “รอยอดีต” ของท่าน แต่บังเอิญผู้เขียนเกิดทราบขึ้นมาเอง

วันนั้นเป็นเวลาที่มีการสนทนาธรรมกัน และหลวงปู่กำลังเทศนาอธิบายถึงแรงกรรม โดยเฉพาะกรรมเกี่ยวกับบุพเพสันนิวาส
ที่พระเณรจะต้องประสบและจะต้องมีกำลังใจอย่างมากที่จะเอาชนะให้ได้ในที่สุด สุดท้ายวันนั้นท่านได้ยกกรณีของท่านขึ้นมาว่า
องค์ท่านเองยังแทบเป็นลม ฝ่ายท่านนั้นพระเถระต้องเข้าประคองฝ่ายหญิงเป็นลม ญาติผู้ใหญ่และมารดาต้องเข้าประคอง
ขณะฟังไม่ทราบว่าเพราะอะไร ผู้เขียนรู้สึกสว่างวาบขึ้นในใจ เข้าใจนึกถึงชื่อเธอขึ้นมา กราบเรียนท่านโดยเอ่ยชื่อเธอ...ว่า
ใช่ไหมสุภาพสตรีท่านนั้น

หลวงปู่ค่อนข้างจะตกใจที่ทำไมศิษย์เกิดรู้จักขึ้นมาได้ แต่ท่านก็อึ้งและยอมรับว่าเข้าใจถูกแล้ว
ฉะนั้นการพรรณนารูปร่างลักษณะของเธอ ซึ่งผู้เขียนเผอิญรู้จัก และมีความเคารพนับถือ...นับถือในอัจฉริยะของเธอ
จึงเป็นการบรรยายจากผู้เขียนฝ่ายเดียว หลวงปู่ท่านมิได้เล่ารายละเอียดเหล่านั้น ผู้เขียนเพียงแต่ช่วยวาดภาพให้ท่านผู้อ่าน
ได้นึกถึงเรื่องและเข้าใจตามไปด้วยเท่านั้น ว่าเป็นการยากลำบากและต้องการพลังใจอันเด็ดเดี่ยวเพียงใด
ที่หลวงปู่ท่านจะสามารถตัดกระแสความผูกพันจากรอยอดีต โดยเฉพาะผู้ที่เป็นคู่บารมีมาสำหรับการปรารถนาพุทธภูมิ

“รอยอดีต” ของท่านเป็นกุลสตรีที่ได้รับการศึกษามาอย่างดี จบการศึกษาชั้นมัธยมบริบูรณ์จากโรงเรียนสตรี
ที่มีชื่อทางภาษาต่างประเทศ นาน ๆ เมื่อกลับไปเยี่ยมบ้าน ก็กลับไปแบบหญิงสาวสมัยใหม่ รูปสวย นัยน์ตาโตงาม
มีคนหลายคนที่เล่าว่า เวลาที่เห็นเธอกลับไปเยี่ยมบ้านนั้น เสมือนหนึ่งเห็นเทพธิดาล่องลอยอยู่ในฟ้า ขี่ม้าเก่ง
แต่งตัวสวย แบบสาวชาวกรุงแท้ ผมสวย หน้าสวย

ความจริงแล้ว เจ้าแม่นางกวยมารดาของท่านนั้น ก็เป็นผู้ที่มีชื่ออยู่มากในเรื่องแต่งตัวงาม ผมของท่านจะจับหย่ง
ใช้ขี้ผึ้งจับจอนให้งดงาม เป็นที่เลื่องลือกันทั้งหมู่บ้าน และมีชาวบ้าน มีเพื่อนบ้านใกล้เคียง ผู้ที่เป็นหญิงสาว
มักจะมาขอเรียนการทำผมที่ทำไมจึงจะสวยได้อย่างเจ้าแม่นางกวย กลายเป็นที่พูดกันว่า ท่านเป็นประหนึ่ง
ผู้ทำผมให้กับหญิงสาวทั้งหมู่บ้าน แต่นั้นก็เป็นแบบผมในสมัยของท่าน

กุลสตรีท่านนี้ เป็นแบบสาวสมัยใหม่ ผมงามแบบผมท่าน ขี่ม้าเก่ง และไม่ได้แต่งตัวแบบหญิงสาวชนบท
สวมกางเกงขี่ม้าใส่รองเท้าท็อปบู๊ต ต่อมาภายหลัง หลังจากที่ต้องจากกันแล้ว เมื่อเธอกลับมาใช้ชีวิตอยู่
ในกรุงเทพมหานคร เธอก็ได้มามีชื่อเสียงอย่างมาก และเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับผู้ที่รักหนังสือทั้งหลาย
เข้าใจว่า ผู้ที่มีอายุประมาณ ๕๐ ปีขึ้นไปนั้นจะต้องเคยได้ยินชื่อของเธอมามาก

หลวงปู่จึงเล่าภายหลังว่า ท่านรู้สึกเหมือนกับว่า หัวอกแทบจะระเบิด อกกลัดเป็นหนอง
แต่ใจหนึ่งก็คิดมุ่งมั่นว่า จะต้องบำเพ็ญเพศพรหมจรรย์ต่อไป

ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม เข้าใจในความรู้สึกของหลวงปู่ผู้เป็นศิษย์ใหม่ได้ดี
ท่านจึงจัดการพาตัวหลวงปู่รีบจากหล่มสักมาโดยเร็วที่สุดหลวงปู่กล่าวว่า
ไม่ใช่เป็น การพาตัว มาอย่างธรรมดา แต่เป็น การควบคุมนักโทษ
ผู้นี้ให้หนีออกมาจากมารที่รบกวนหัวใจแต่โดยเร็ว

หลวงปู่กล่าวว่า เป็นการเคราะห์ดีอย่างยิ่งที่บังเอิญเจ้าภาพที่หล่มสักนั้น
ได้นิมนต์ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ไปร่วมในงานศพในครั้งนั้นด้วย
หากไม่มีพระเถระช่วยให้สติปรับปรุงแถมยังคอยควบคุมตัว ท่านว่า ไม่ทราบว่าจะรอดพ้น
ปากเหยี่ยวปากกามาได้หรือไม่

ท่านได้เห็นจริงในตอนนั้นว่า มาตุคามเป็นภัยแก่ตนอย่างยิ่ง
เมื่อพระอานนท์กราบทูลถามสมเด็จพระพุทธองค์ว่า ควรปฏิบัติต่อมาตุคามเช่นใด
พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “ไม่ควรมอง ถ้าจำเป็นจะต้องมอง ก็ไม่ควรพูดด้วย ถ้าจำเป็นจะต้องพูดด้วย ก็ให้ตั้งสติ”
ท่านตรัสบอกขั้นตอนปฏิบัติต่อมาตุคามเป็นลำดับ ๆ ไป
แต่นี่หลวงปู่เพียงโดนขั้นแรก มอง ก็ถูกเปรี้ยงเสียแล้ว
ถ้าเป็นนักมวยก็ขึ้นเวทียังไม่ทันจะเริ่มต่อย ก็ถูกน็อค

ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม นี้เป็นศิษย์รุ่นใหญ่ของท่านพระอาจารย์มั่นต่อมาได้รับสมณศักดิ์เป็น
ที่ พระญาณวิศิษฏ์ ท่านได้เห็นพระรุ่นน้องแสดงกิริยาดูน่ากลัวว่าจะพ่ายแพ้อำนาจของกิเลส
ถ้าเป็นนักสู้ ก็เป็นนักสู้ที่ยินยอมจะให้เขายกกรีธาพาเข้าสู่ที่ประหารชีวิตแต่โดยดี
ไม่พยายามฝืนต่อสู้แต่อย่างใด

ท่านจึงควบคุมนักโทษ "ซึ่งเป็นนักโทษหัวใจ" ผู้นั้น รีบหนีออกจากหล่มสักโดยเร็ว
ออกมาจากสถานที่เกิดเหตุคือเมืองหล่มสักโดยเร็วที่สุด เที่ยววิเวกลงมาตามป่าตามเขา
และเร่งทำตบะความเพียรอย่างหนัก

ท่านพระอาจารย์สิงห์สนับสนุนให้หลวงปู่อดนอน อดอาหาร
เพื่อผ่อนคลายความนึกคิดถึงมาตุคาม
ให้เร่งภาวนาพุทโธ...พุทโธถี่ยิบ และนั่งข่มขันธ์ แต่ความกลับกลายเป็นโทษ
เคราะห์ดีท่านไม่ตามนิมิต ซึ่งแทนที่จะยอมสิโรราบตามเคราะห์กรรมที่มีอยู่เช่นนั้น
เพราะเคยมีกรรมต่อกันมาเช่นนั้น ทำให้พอเห็นก็มืออ่อนเท้าอ่อน ยอมตายง่าย ๆ
ท่านกลับเข้าหาครู เชื่อครู เล่านิมิตถวาย ท่านพระอาจารย์สิงห์ท่านได้โอกาส
จึงได้อบรมกระหน่ำเฆี่ยนตีทันควัน..."

หมายเหตุ : อ่านประวัติหลวงปู่หลุยฉบับเต็มได้ ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้
//www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-louis/lp-louis-hist-04-01.htm
(เครดิตคุณ มองทุกมุม เว็บพลังจิต คุณsolo 356)

7014
*.*
 
 

โดย: หุหุ IP: 124.120.225.138 วันที่: 3 กรกฎาคม 2556 เวลา:16:41:35 น.  

 
 
 
หลวงปู่จวน กุลเชฏฺโฐ ไม่ขอคืนสู่ชีวิตที่สละแล้ว


หลวงปู่จวน กุลเชฏฺโฐ คือพระสุปฏิปัณโณผู้สร้างวัดเจติยาคีรีวิหาร
ตั้งอยู่ที่ตำบลนาแสง อำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย
ซึ่งเป็นศาสนสถานที่เหมาะสมยิ่งแก่การเจริญภาวนา

ในปี ๒๕๑๒ ท่านริเริ่มการสร้างบันไดวน ๗ ชั้น ขึ้นไปยังยอดภูทอก
ผู้ที่ได้ไปเยือนย่อมรู้สึกอัศจรรย์และซาบซึ้งในภูมิปัญญา ศรัทธา และวิริยะ
ของทั้งพระสงฆ์และผู้ที่มีส่วนร่วมในการรังสรรค์สิ่งก่อสร้างดังกล่าวนี้

หลวงปู่จวนอุปสมบทเมื่ออายุครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ ในฝ่ายมหานิกาย
ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๔๘๖ ได้บวชในฝ่ายธรรมยุต
พระอุปัชฌาย์คือพระครูทัศนวิสุทธิ (พระมหาดุสิต เทวิโร)
ซึ่งเป็นหลานของพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)
หลวงปู่จวนเล่าถึงเหตุที่พระอุปัชฌาย์ตั้งฉายาให้ว่า “กุลเชฏฺโฐ” ไว้ดังนี้

“พอได้รับแต่งตั้งให้เป็นอุปัชฌาย์ได้เพียง ๕ วัน
ก็มาอุปสมบทข้าพเจ้าเป็นนาคแรก
นับว่าข้าพเจ้าเป็นนาคแรกที่สุดของท่าน

ท่านจึงได้ตั้งฉายาให้ข้าพเจ้าว่า “กุลเชฏฺโฐ”
แปลว่า พี่ชายคนใหญ่ที่สุดของหมู่ของพวกในวงศ์ตระกูลนี้”

หลังจากญัตติเป็นธรรมยุตแล้ว ในพรรษาที่ ๔
หลวงปู่จวนได้มีโอกาสร่วมจำพรรษากับ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
ที่วัดป่าบ้านหนองผือ จึงได้รับโอวาทและคำชี้แนะในการปฏิบัติที่มีประโยชน์ยิ่ง
เมื่อออกพรรษา ท่านได้กราบลาท่านอาจารย์เพื่อออกธุดงค์
โดยเดินทางไปจนถึงจังหวัดทางภาคเหนือ ซึ่งในพื้นที่นี้เอง

ท่านต้องเผชิญภัยจากมาตุคาม (ผู้หญิง) อยู่หลายครา
จนถึงครั้งที่หนักหนาสุดเพราะฝ่ายหญิงเป็นผู้มีกิริยาดี
ตลอดจนผู้ปกครองของเธอก็สนับสนุน
ให้ท่านลาสิกขาออกมาเพื่อช่วยกันทำมาหากิน

หลวงปู่จวนซึ่งในขณะนั้นยังเป็นพระหนุ่ม
ได้พยายามเจริญอสุภกรรมฐาน แต่ก็ไม่เป็นผล
ในคืนที่กำลังจะตัดสินใจว่าจะลาสิกขาหรือไม่นั้น ท่านได้อธิษฐานว่า

“...หากข้าพเจ้าจะได้มีวาสนาได้เห็นธรรมเจริญต่อไปในทางพระพุทธศาสนา
ก็ขอให้มีเหตุใดเหตุหนึ่งมาช่วยคลี่คลายเรื่องที่กำลังประสบนี้ด้วยเถิด...”


ในยามเช้าที่ออกบิณฑบาตตามปกติ
ก็มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น สมดังคำอธิษฐานในคืนที่ล่วงมา

“เช้าวันต่อมาเมื่ออกบิณฑบาต หญิงสาวผู้นั้นก็มายืนรอใส่บาตรตามเคย
ข้าพเจ้าพยายามไม่มองหน้าหญิงนั้นเลย พอเปิดฝาบาตรจะรับบาตร
ก็ให้บังเอิญว่าผ้าประจำเดือนของหญิงนั้นได้หลุดลงที่พื้นดิน

แม้หญิงนั้นจะตกใจ พยายามใช้เท้าเหยียบให้จมโคลน ปกปิดภาพของจริงไว้
แต่ข้าพเจ้าก็ทันเห็นเลือดสีแดงเต็มตา
ในใจเกิดความรู้สึกสลดสังเวชขึ้นมาทันที
ด้วยเห็นถนัดเป็นของปฏิกูลพึงรังเกียจ

ระลึกขึ้นมาได้ว่า เราได้อุตส่าห์สละชีวิตจากเพศฆราวาส มาสู่เพศบรรพชิต
หนีจากของต่ำ มาหาของสูงแล้ว เรายังจะย้อนกลับไปหาชีวิตที่เราสละแล้วอีกหรือ”


เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วท่านจึงปิดฝาบาตรทันที กลับไปยังที่พัก
เก็บบริขารและหนีออกไปจากที่แห่งนั้น โดยที่ยังไม่ได้ฉันภัตตาหารใดๆ
ต่อมาภายหลังท่านได้เล่าเรื่องนี้ถวายท่านพระอาจารย์มั่น
เมื่อท่านอาจารย์ได้ฟังแล้ว ก็กล่าวว่า

“เป็นธรรมดาของพระหนุ่มที่จะต้องพบเหตุการณ์เช่นนี้
ความสำคัญอยู่ที่ว่าจะต้องเจริญกรรมฐานต่อสู้
เอาชนะกิเลสมารตัวร้ายนั้นอย่างไรต่างหาก”

หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ ได้ต่อสู้กับกิเลสมารอย่างสง่างาม
ครองสมณสารูปอันเป็นที่เคารพเลื่อมใสตราบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต

อ้างอิงโดย

“กุลเชฏฐาภิวาท” ที่ระลึกเนื่องในวโรกาสทรงเป็นประธานในพิธีพระราชทาน
และเปิดเจดีย์พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ พิมพ์เมื่อปี ๒๕๓๒

“พระธุตังคเจดีย์ เจดีย์แห่งพระอรหันต์” ธรรมบรรณาการเนื่องในงานฉลองพระธุตังคเจดีย์
เจดีย์แห่งพระอรหันต์ และในงานบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายครบรอบวันมรณภาพปีที่ ๔๗
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) ๒๒-๓๐ เมษายน ๒๕๕๑

โดย เทียบธุลี Dharma@Hand Lite ธรรมะใสใส...ใกล้ตัวคุณ

เครดิตคุณเด็กชายแสนดี เว็บพันทิบ
4208
*.*
 
 

โดย: หุหุ IP: 124.120.225.138 วันที่: 3 กรกฎาคม 2556 เวลา:16:43:00 น.  

 
 
 
อ่านข่าวนี้ ชาวเกาหลีเย้ยผู้เข้าประกวดนางงามญี่ปุ่นบอกหน้าตาน่าเกลียดเกิน
//www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9560000081244

ก็ไม่ได้สะดุดอะไร แต่ไหง๋อิอ่อนมันดันมาสะดุดกะฟามเห็นนี้จนทนมะได้ ต้องเอามาแปะไว้เป็นที่ระลึก อิอิ
ความคิดเห็นที่ 55
เกาหลีำพลาสติกกล้าไปวิจารณ์คนจริง -_-
-_-

*.* หุหุ *.*
2605
*.*

ปล.วันก่อนแอบไปอ่านเว็บแอนตี้ฯ เจอที่อาเหล่าฮูจิ้มดีดทิ้งไว้ด้วยอ่า...ยังเป็นนักรบฟันหนักเหมือนเดิม อิอิ ยังไงก็คิดถึงอาเหล่าฮู เสมอ หุหุ ระยะทางฟิสูจน์ม้ากาลเวลาพิสูจน์คน ไม่รู้เรื่องนี้จะจบยังไง มหากาพย์ของความคิดและการพิสุจน์ความจริง ไม่รู้ว่าถ้าตายกันไปแล้วความจริงจะปรากฏได้หรือเปล่า ทำอะไรบ่อด้ายเนาะ ก็ได้แต่รอดูความจริงมันแสดงตัว อ่า....เนอะ ฝึกสำรวมไว้เยอะๆ จะได้เจ็บตัวน้อยๆเป็นทุกข์น้อยๆ หน่อยเวลาความจริงมันปรากฏ อิอิ

2605
*.*

 
 

โดย: หุหุ IP: 124.120.150.207 วันที่: 4 กรกฎาคม 2556 เวลา:11:05:53 น.  

 
 
 
คุณสามีอิอ่อน บอกว่า วิธีการของพระอาจารย์ปราโมช ก็เอามาใช้ได้ระดับหนึ่งเรื่องของการฝึกรู้สึกตัว ก็เลยไม่ได้ห้ามถ้าชอบก็ให้ฝึกต่อไปได้ อิอิ อิอ่อนมันบอกว่าเรื่องส่วนตัวอื่นๆของท่านเราไม่มีความรู้จริงจะไปพิสุจน์อะไรได้ ก็ทำได้แต่เพียงว่า เอาคำสอนมาพิสูจน์หาความจริงเอาเอง ใช้ได้ก็ดี ใช้ไม่ได้ก็ไปหาพระอาจารย์องค์อื่นๆที่เหมาะกับจริตของเราต่อไป และอิอ่อน มันก็ยังไม่ได้มีตาทิพย์ หูทิพย์ และญาณหยั่งรู้ความจริง ที่จะไปรู้เรื่องจริงของคนอื่น ขนาดเรื่องจริงของตัวเองยังไม่รู้จริงเลยยังเอาตัวมะรอด หุหุ จะไปสร้างเวรกรรมไปจองเวรจองกรรมเพื่อให้มันมาขวางกั้นการภาวนาทำไม ถ้าไม่ใช่เราก็ขาดทุน ถ้าใช่เราก็เท่าทุน ไม่ได้อะไรที่เป็นประโยชน์กับจิตเรา สู้ไปภาวนาให้เกิดมหากุศลจิต ดีกว่าไปพูดทิ่มแทงให้เกิดอกุศลจิตต่อตนเองและผู้อื่น คำพูดของปุถุชนคนมีกิเลสก็เชื่อมะได้ อิอิ คำพูดของพระก็อย่าเพิ่งเชื่อ ใ้ห้พิสูจน์จนเห็นความจริงเป็นสัจจธรรมก่อนแล้วค่อยเชื่อ อิอ่อนมันว่างั้น ง่ะ คำพูดของสามี ต้องเอามาพิจารณาลงเรือลำเดียวกันแล้วก็ต้องช่วยกันพาย อย่าเอาเท้าลาน้ำเด๋วเรือจะคว่ำเอาได้ ลูกๆที่เป็นเรือพ่วงก็จะเดือดร้อนไปด้วยที่ต้องมาตกน้ำตกท่า อิอิ

เรื่องของพระสงฆ์ก็ต้องให้พระสงฆ์จัดการ ถ้าพระสงฆ์ทำผิดกฏหมายก็โดนจับสึกมารับโทษตามกฏหมาย ใครอยากสังคายนาหมู่สงฆ์ ควรจะบวชเข้าสู่หมู่สงฆ์ บำเพ็ญเนกขัมบารมีจะได้เป็นพระน้ำดีไปไล่น้ำเสียให้ออกไป เผื่อว่าเกิดภาวนาดี มีปัญญาพาหลุดพ้นทุกข์ได้ มีชื่อเสียงโด่งดัง ญาติโยมเลื่อมใส เวลาพูดอะไรก็มีน้ำหนักมีพาวเวอร์เอาชนะหมู่มารที่แทรกเข้ามาในวงการผ้าเหลืองได้ ของที่เน่าในคนที่อยู่ข้างนอกช่วยยังไงก็ไม่ถูกจุดแก้ไม่ถูกประเด็น ต้องแทรกเข้าไปเป็นเนื้อใหม่ๆ เนื้อดีๆ ถึงจะมีผลอย่างที่หวังและตั้งใจทำ ถึงจะมีคณะที่ก่อการจะล้มจะคว่ำศาสนาใดๆก็ตามนะ ถ้าศาสนานั้นเป็นของจริงแท้ มีคนทำได้จริงตามคำสอน ก็ไม่มีใครมาทำลายได้ ถ้ามีใครมาทำลายจริงกจะกลายเป็นทำร้ายองค์กรดี ทำร้ายศาสนาดี ทำร้ายคนดี มันก็จะไม่สำเร็จแถมยังย้อนเข้าสู่ตัวคนทำอีกนะ เป็นไปตามกฏแห่งกรรม

1616
*.*
 
 

โดย: หุหุ IP: 124.120.150.207 วันที่: 4 กรกฎาคม 2556 เวลา:11:59:50 น.  

 
 
 
เมื่อพระอยากสึกมาขอลาหลวงปู่ดูลย์
จากตอนหนึ่งในหนังสือ หลวงปุ่ฝากไว้ ..หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
พระอาจารย์สำเร็จ บวชมาตั้งแต่วัยเด็ก จนอายุใกล้หกสิบแล้ว เป็นพระฝ่ายวิปัสสนา ปฏิบัติเคร่งครัด ชื่อเสียงดี มีคนเคารพนับถือมาก แต่ในที่สุดก็ไปไม่รอด จิตใจเสื่อมลง เนื่องจากไปหลงรักลูกสาวของโยมอุปัฏฐาก ถึงขั้นมาขอลาหลวงปู่สึกไปแต่งงานฯ

ทุกคนตะลึงกับข่าวนี้มาก ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะปฏิปทาของท่านเป็นที่ยอมรับว่า จะต้องอยู่สมณวิสัยจนตลอดชีวิต หากเป็นเช่นนั้นไป ก็จะเป็นการเสื่อมเสียแก่วงการฝ่ายวิปัสสนาอย่างยิ่ง พระเถระคณะสงฆ์และสานุศิษย์ของท่าน จึงช่วยกันป้องกันทุกวิถีทางเพื่อให้ท่านเปลี่ยนใจที่จะคิดสึกเสีย โดยเฉพาะหลวงปู่เรียกมาตักเตือนแก้ไขอย่างไรก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายอาจารย์สำเร็จกล่าวต่อหลวงปู่ว่า

"กระผมอยู่ไม่ได้ เพราะนั่งภาวนาทีไร เห็นใบหน้าเขามาล่องลอยปรากฏต่อหน้าอยู่ตลอดเวลาฯ"

หลวงปู่เตือนเสียงดังว่า

“ก็ไม่ภาวนาดูจิตตัวเอง ไปภาวนาดูก้นของเขา มันก็เห็นแต่ก้นอยู่ร่ำไปนั่นแหละ
ไป อยากไปไหนก็ไปตามสบายเถอะ”

ที่มา : หนังสือ หลวงปู่ฝากไว้ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
www.kradandum.com/luangpu_dul/index51.htm

เครดิต Mr.Terran เว็บพันทิพย์
//pantip.com/topic/30684478

*.* - -" *.*
6797
*.*
 
 

โดย: หุหุ IP: 124.120.150.98 วันที่: 5 กรกฎาคม 2556 เวลา:13:27:14 น.  

 
 
 
อ่ะ เอาอ่ะเอา เดอะลิง มาฝาก ก่อนจะไปเข้านอน จร้าาา อิอิ

//pantip.com/profile/901366

//pantip.com/profile/902560

//pantip.com/profile/904372

//pantip.com/profile/906165

//pantip.com/profile/906173

//pantip.com/profile/906185

//pantip.com/profile/906208

//pantip.com/profile/908262
 
 

โดย: น้องพจมาร สว่างโร่ โฮ่...โฮ่.... IP: 110.77.138.136 วันที่: 10 กรกฎาคม 2556 เวลา:0:09:57 น.  

 
 
 
เจ๊สว่างโร่ นี่พลังงานเฟือเจงๆ
ตามไปอ่านไม่ไหวาดไม่ไหว อิอิ

อิหน่อไม้มันผุดมาว่า "อวิชชา พาให้ตรูเป็นบ้าไปแระแค่อ่านก็จะบร้าแระ อิอิ"
รอให้ตรูมี วิชชา ก่อนนะ จะมาตอบให้ หุหุ
ตอนนี้ตอบไปก็ไลฟ์บอย เพราะไม่รู้ อิอิ

วันก่อน ป๋าเล่าให้ฟังว่า หลังจากฝึกดูกายแล้ว เห็นกิเลสมหาศาลจนกลัวใจตัวเอง ทำให้ไม่อยากออกจากบ้านไปไหน แต่พอจำเป็นต้องออกไปก็ต้องไป ก็ไปเจอของสวยๆงามๆ ก็ชนกับกิเลสไปหลายยก แต่ก็คุมสติไว้ได้ทำให้เห็นว่ามันก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ ถ้าสติเอาอยู่ อิิอิ ฟังแล้วก็แฮปปี้มีกำลังใจดีเหมือนกันนะ ช่วงนี้ป๋ามาแปลก จะมาดันให้อิอ่อนเป็นพระโสดาบันให้ได้ในชาตินี้ งานงอกเรย - -" ป๋าบอกให้อิอ่อนอย่าฝันหวานให้มากนัก หัดทำสมาธิมั่ง สติก็ไม่มี สมาธิก็ไม่ได้ แต่ฝันอยากไปนิพพาน แล้วเมื่อไหร่จะได้วะครับ!!! ซะงั้น คนกำลังสงบสบาย งานเข้าเลย555 โดนจี้เรื่องขาดสติหลงๆลืมๆ อิอ่อนมันก็ไม่พอใจ โดนจี้เรื่องสมาธิ อิอ่อนมันก็เบื่อ 555 แล้วชาตินี้จะรอดไหมเนี่ย หุหุ

1235
*.*


 
 

โดย: อิอิ IP: 124.122.163.77 วันที่: 10 กรกฎาคม 2556 เวลา:10:17:27 น.  

 
 
 
มีสมาชิกท่านหนึ่งในเว็ปพลังจิตเคยโพสไว้

"หมายเหตุ : ถ้าคุณเคยชมภาพยนตร์เรื่อง Davinci code จะมีประโยคหนึ่ง ที่ Sir Leigh Teabing บอกกับ ศาสตราจารย์แลงดอน ในตอนที่เขากำลังถอดรหัสภาพว่า

 "The mind sees what it wants to see.."
 ( ใจเห็นอย่างที่มันต้องการให้เห็น)

การตีความภาพต่อไปนี้ก็เช่นกัน .... ใจ(ผม)ต้องการเห็นในสิ่งที่ต้องการเห็น "

พอมองเห็น อัตตา ของตัวเอง จากคำตอบของตัวเองหรือเปล่า พูดจริงๆนะผมเสียดาย เลยตามมาตอบให้ เดียวไม่มีอะไรคิดช้วงเข้าพรรษา

ผมว่านะ คนอย่างคุณนี้ต้องไป สนธนา กับ DuchessFidgelte ของพลังจิต นะ คงจะพากันเข้าข้างทางที่ไหนสักแห่ง

ประเภทใกล้กัน คงไม่มีใครยอมใคร จะเอาแต่ความเห็นตัว เป็นใหญ่ คงรวมผมด้วยแต่ถ้ามีผม คงคุยกันไม่รู้เรื่อง
 
 

โดย: ก็แค่รูป IP: 223.205.8.163 วันที่: 20 กรกฎาคม 2556 เวลา:23:47:02 น.  

 
 
 
มีสมาชิกท่านหนึ่งในเว็ปพลังจิตเคยโพสไว้

"หมายเหตุ : ถ้าคุณเคยชมภาพยนตร์เรื่อง Davinci code จะมีประโยคหนึ่ง ที่ Sir Leigh Teabing บอกกับ ศาสตราจารย์แลงดอน ในตอนที่เขากำลังถอดรหัสภาพว่า

 "The mind sees what it wants to see.."
 ( ใจเห็นอย่างที่มันต้องการให้เห็น)

การตีความภาพต่อไปนี้ก็เช่นกัน .... ใจ(ผม)ต้องการเห็นในสิ่งที่ต้องการเห็น "

พอมองเห็น อัตตา ของตัวเอง จากคำตอบของตัวเองหรือเปล่า พูดจริงๆนะผมเสียดาย เลยตามมาตอบให้ เดียวไม่มีอะไรคิดช้วงเข้าพรรษา

ผมว่านะ คนอย่างคุณนี้ต้องไป สนธนา กับ DuchessFidgelte ของพลังจิต นะ คงจะพากันเข้าข้างทางที่ไหนสักแห่ง

ประเภทใกล้กัน คงไม่มีใครยอมใคร จะเอาแต่ความเห็นตัว เป็นใหญ่ คงรวมผมด้วยแต่ถ้ามีผม คงคุยกันไม่รู้เรื่อง
 
 

โดย: ก็แค่รูป IP: 223.206.218.16 วันที่: 22 กรกฎาคม 2556 เวลา:19:50:55 น.  

 
 
 
ตามมาคุย กะคุณ ก็แค่รูป

ที่เว็บพลังจิต คุณป๋าสามีอิฉัน เขาขอร้องไม่ให้เล่น เจ้าค่ะ
ก็เลยไม่สามารถไปสนธนากับใครในเว็บนั้นได้

และเำื่พื่อไม่ให้คนอื่นเกิดความเข้าใจผิดในสภาวะธรรม
ของอิฉันและคุณป๋าสามี คือเราทั้งสองยังไม่ได้บรรลุธรรมทั้งคู่ นะเจ้าค่ะ
แต่มีใจฝักใฝ่ในศีล สมาธิ ปัญญาฝึกรู้กายรู้ใจ รู้กิเลส
อิฉัน น่ะยังไม่ได้ฌาณสมาธิไม่ได้มีตาเห็นรูป ไม่ได้มีใจเห็นกิเลส เป็นกองๆ
แต่คุณป๋าสามีเขาได้ตรงนี้ไปแล้ว เขารู้แต่เขายังไม่ได้ถอนรากกิเลส อันนี้เขารู้ตัวอยู่
เขาบอกว่าตอนนี้เห็นกิเลส ตัณหามันงอกออกมา ก็เหยียบมันให้ทันมันก็งอกไม่ได้
แต่มันไม่จบ มีเหตุก็เกิด มีสติปัญญารู้ทันมันก็ดับ มันก็ครอบงำเราไม่ได้ประมาณนี้
ส่วนอิฉันน่ะ มาเห็นกิเลสพวกนี้ตอนที่หลงกิเลสไปแล้ว กินกิเลสอิ่มโดนครอบงำไปแล้ว
มารู้ตัวทีหลังไม่ได้เห็นตอนมันกำลังงอก มารู้ตัวก็ตอนที่
หน่อไม้มันแทงหน่อจิ้มเนื้อรำคาญแปล๊บๆจนเป็นทุกข์ แล้วถึงจะรู้ตัวว่าเป็นทุกข์ไปแล้ว

ทีนี้เรื่องมันก็มีอยู่ว่า คุณป๋าสามีเขาไม่ได้อยากจะนิพพานในชาตินี้ (ไม่ข้ามโคตรมั้งไม่รู้ใช้คำถูกไหม)
แต่อิฉันน่ะอยากเข้าถึงนิพพานในชาิตินี้ ป๋าเขารู้ก็เลยอยากสนับสนุนส่งเสริมให้อิฉันได้สมปรารถนา
ก็เลยเป็นที่มาของการมาจ้ำจี้จำไช ชำแหละอิฉัน ซะหมดรูปของนักปฏิบัติเลย
ซึ่งอิฉันก็ยอมรับตามนั้น ว่าอ่อนตรงไหน ขาดตรงไหน อยากรู้เรื่องสมาธิแบบละเอียด ก็ถามป๋าได้ ไม่ต้องดิ้นรนไปหาคนอื่น เพราะอาจถูกหลอกได้ง่าย

มาถึงประเด็นสำคัญที่อยากคุย
"The mind sees what it wants to see.."
( ใจเห็นอย่างที่มันต้องการให้เห็น)

การตีความภาพต่อไปนี้ก็เช่นกัน .... ใจ(ผม)ต้องการเห็นในสิ่งที่ต้องการเห็น "

- จะว่าไปมันก็ถูกตามนั้น ใจที่เป็นใหญ่บงการเราได้ มันก็บงการให้เราเห็นตามที่ใจเขาต้องการได้ ถ้าใจมีอิทธิฤทธิมากมันก็บงการให้เราเห็นอย่างพิสดารได้ สมมุติสิ่งต่างมาครอบงำตัวเองได้ ถ้ารู้ทันใจตัวเองได้ก็ไม่ถูกใจครอบงำ (อันนี้ถูกไหมไม่รู้ ชักจะเลอะเทอะ)

ด้วยประสบการณ์ที่อิฉันเห็นจิตตัวเองหลอน ที่เรียกว่า วิปลาส เนี่ย มันไม่ง่ายที่จะเชื่อ
ถ้าไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย เพื่อตรวจสอบตัวเอง หรือไม่มีสติมาตรวจสอบเรื่องที่เห็น มันก็จะหลงไปได้
อิฉันรู้ตัวว่าหลอนเป็นบางครั้ง เพราะอิฉันได้เห็นในสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง
เข้าใจว่าจิตคิดสร้างภาพไปเองหรือมีเหตุอื่นๆ ทำให้เห็นสิ่งที่ไม่จริง
และรู้ว่าตัวเองหลอนไป เพราะมีเรื่องให้รู้ คือมีช่วงหนึ่ง
อิฉันไม่สบายมาก รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง มีสติบ้าง ช่วงที่เริ่มขาดสติจะรู้ตัวเหมือนคนที่ง่วงมากสลืมสลือ
สติขาดๆหายๆ รำคาญตัวเองมาก รู้ตัวอยู่
ช่วงนั้นแม่ก็มาอยู่ด้วย และคุณป๋าสามีกำลังจะพาอิฉันไปรพ.
อิฉันเห็นแม่ตัวเองวิ่งออกไปนอกบ้าน เหลือแต่พ่อ สามีอิฉันและลูกชาย ก็เลยพากันไป รพ. 4 คน
แม่วิ่งหายไปไหนแล้วไม่รู้ ตอนนั้นทำอะไรไม่ได้กำลังหมดสภาพ พอกลับมาจาก รพ.ก็มาเจอแม่อยู่ที่บ้าน
ก็ งงๆ กับเหตุการณ์อยู่ แต่เหนื่อยมาก พอรักษาตัวหายแล้ว ก็คุยกับสามีเรื่องที่คาใจอยู่ คือเรื่องที่ทำไมแม่ต้องวิ่งออกไปจากบ้านตอนที่เรากำลังจะไป รพ.
คุณป๋าสามีบอกว่า แม่ไม่ได้วิ่งไปไหน ก็อยู่ที่บ้าน
เรื่องนี้อิฉันสะเทือนมากเลยนะ ว่าสิ่งที่เราเห็นมันไม่จริง อันนี้อาจเป็นเพราะไม่สบายด้วยกเลยเกิดอาการจิตหลอน วิปลาสไป แต่ว่ามันก็มีอีกนะ ตอนที่เป็นปกติทุกอย่าง มีวันหนึ่งเป็นเวลานอนกันแล้ว ก็เห็นลูกชาย ลุกเดินออกไปข้างนอกห้องแท้ๆ แต่ความจริงลูกชายก็นอนอยู่ที่เตียง หันมาเห็นลูกชายนอนอยู่ เป็นความจริงที่ค้านกับสิ่งที่เห็นที่เล่ามานี้ คืออยากบอกว่า บางทีจิตเรามันสร้างภาพขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้หรือเปล่า ถ้าเราขาดสติก็โดนจิตหลอกเอาได้หรือเปล่า สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้เป็นบ่อย มันจะมาตอนที่เราเผลอรึเปล่า ถ้าเรารู้ตัวอยู่ไม่แน่ใจก็ต้องตรวจสอบเอะใจให้ได้แยกแยะให้รู้ได้ด้วยตัวเองว่าอันไหนจิตมันสร้างภาพตามที่มันคิดหรือเป็นความจริงที่เป็นสัจจธรรม ตอนนี้รู้แค่ว่าความคิดมันสร้างตัวตนมาหลอกเราได้เป็นภาพลวงส่วนการรู้สัจจธรรมตามจริงมันเป็นอีกเรื่อง ถ้ารู้ทันความคิดได้ภาพลวงมันก็หายไป เหมือนอยู่ในโลกมายากับโลกความจริง มันเท็จๆจริงๆ ถ้ามีสติก็เห็นความจริงถ้าขาดสติก็โดนความคิดและอารมณ์ต่างๆครอบงำ ก็หลุดจากความเป็นจริงไป ไม่รู้จะมีใครเข้าใจไหมที่เล่ามา ก็เป็นประสบการณ์ที่เข้าใจเอง ไม่รู้ว่ามันถูกหรือว่ามันผิด รู้แค่ว่ามันเป็นแบบนี้ อยู่กับมันไปแบบนี้ศึกษาสภาวะของตัวเองไปแบบนี้ รู้ว่าความจริงกับความไม่จริงที่เราเห็น ถ้าขาดสติก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอันไหนจริงอันไหนไม่จริง ถ้าไม่มีคนอื่นมาตรวจอสอบกับเรา เราก็อย่าเพิ่งรีบเชื่อสิ่งที่เห็น เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้รู้เอง ถ้ามันเป็นจริงเวลาผ่านไปนานๆมันก็ยังเป็นจริงอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าสิ่งนั้นไม่จริงเวลาที่ผ่านไปนานๆความจริงจะปรากฏให้เรารู้เองเราก็เข้าใจได้เองประมาณนี้นะ

เรื่องความเห็น ทิฏฐิ คนเรามักจะเอาแต่ความเห็นตัวเป็นใหญ่ มันก็ใช่นะ แต่ถ้ามีพิสูจน์ด้วยเวลา ความจริงจะปรากฏให้เราเห็นเอง ว่าทิฏฐิเราถูกหรือผิด ถ้าเห็นความจริงได้ มันจะปฏิเสธความจริงไปได้อย่างไร สุดท้ายก็จะรู้ว่าทิฏฐิของเราถูกหรือผิด ถ้าเห็นจริง ยอมรับความจริงได้ เห็นทิฏฐิตัวเองผิดจริงยอมรับผิด ทิฏฐินั้นก็จะละออกจากใจไปได้เอง ถ้าไม่ดื้อรั้น นะ

อยากบอกว่า ตอนนี้ อิฉันเบื่อที่จะโต้เถียงแสดงความคิด ที่เห็นต่างกับคนอื่นๆแล้ว จากประสบการณ์ที่รู้ทิฏฐิของ ตัวเองนี่แหละ คนอื่นก็ไม่ต่างกับเรา สองคนยลตามช่อง ใครจะเห็นความจริงได้ตรงตามจริง แล้วคนอื่นที่เห็นต่างกับเราเขาก็ต้องยึดตามสิ่งที่เขาเห็นอยู่แล้ว นอกจากว่าเขาจะเข้าใจคำว่าทิฏฐิ ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราควรจะไปยึดไว้ ทิฏฐิเราอาจจะผิดก็ได้ เพราะเราไม่ใช่ผู้รู้จริงในทุกเรื่อง เรารู้จริงได้เท่าที่ประสบการณ์ของเรามี สิ่งที่เราไม่มีประสบการณ์มันเป็นได้เพียงจินตนาการ ที่อาจจะถูกหรือผิดก็ได้ มันถึงเป็นเรื่องของการตีความตามทิฏฐิของแต่ละคน แต่ถ้ามีคนหนึ่งที่รู้จริงขึ้นมาแล้วพิสูจน์ได้จริง คนอื่นๆก็จะละทิฏฐิของตัวเองได้ตามๆกันไป ถ้าได้ทำตามคำสอนของคนที่รู้จริงแล้วนั้น

ปล.อิฉันอาจเป็นโรคจิตเภทก็ได้นะ อิอิ บางทีก็รู้ตัวเหมือนใกล้เป็นบ้าเหมือนกันนะ บางสิ่งเห็นจริงแต่ก็รู้ว่ามันไม่ใช่ความจริง ได้แค่รู้แต่ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่อดทนอยู่เฉยๆ ถ้าสิ่งไหนเป็นจริงมันก็จะไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าสิ่งนั้นไม่เป็นจริง เวลามันเฉลยคำตอบให้เรารู้ได้เอง การดิ้นรนไปเพื่อจะรู้บางทีอาจทำให้เราพลาดเรื่องสำคัญก็ได้ หรือทำให้เกิดความเสียหายต่อตนเองและผู้อื่นก็ได้ ที่สำคัญคือการรู้ปัจจุบัน รู้ตัวในปัจจุบันไปเรื่อยๆ คือมีสติรู้สึกตัวเรื่อยๆ จึงจะรู้ความเป็นจริงได้ตามจริง

9737
*.*



 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.110.138 วันที่: 23 กรกฎาคม 2556 เวลา:9:57:54 น.  

 
 
 
อะโหยยยย ช่วงนี้ นู๋บี งดพันติ๊ป เข้า พรรษา และ หาเรื่อง งด พลังจิต โตย อ่ะคร้าาา
แต่ครั้น พอมาเชคเรทติ้ง ที่ สุสานโบราณ ก็เห็นยังมี ผู้คนมาวิ่งเล่น อยู่เว้ยเฮ้ยยยยยย
ว่าแต่ คุณ ก็แค่รูป นี่มันเป็น "โจทก์เก่า" คุณนายเน่า หรือ อิเจ้าการ์ฟิลด์ ล่ะหว่า ?
จาได้ ต้อนรับให้ถูกคน ถูกโรค และ ถูกยา !
โถ ๆๆๆ ดูซิ เข้ามาโพส ข้อความซ้ำ ๆ ตั้ง 2 รอบ 2 วัน เชีวแหน่ะ แหม๊ ? น่าเอ็นดู๊ !เหอ...เหอ....


เออ เฮ้ยยยย ว่าแต่ Duchess Fidgelte นี่ คือไผล่ะหว่า อยากรู้มากมาย
ใครก็ได้ ช่วยบอกนู๋บีทีคร้าาาาาาาาาาาาา ^ 0 ^


เออ จริงดิ อ่านเรื่องประสบการณ์หลอนบรรลือโลกของ เจ้ขวัญ แล้วก็อึ้ง ๆ เหมือนกันวุ้ย
นึกถึงเรื่อง อะ บิ้วตี้ฟูล มายด์ ที่สร้างมาจาก ประวัติของ ศ. จอห์น แนช เลยอ่ะ
ก็เลยอยากจะบอก เจ้ ว่า อย่าไปคิดไรมากเรื่อง ที่จะโดนครหาว่า เป็น จิตเภท เลยจร้าาาา
ขนาดแม่พระ ที่เก่งในเรื่องปล่อยวาง ตัวกรู อย่าง หม่ามี๊แก้วดี แม่อิฉัน นั่น
ก็ยังกลายเป็นคนไข้คลินิกสุขภาพจิตไปได้เลยอ่ะ นี่ก็ได้ยามากินแก้โรควิตกกังวล เป็นสรณะ
ค่าที่ว่า ปล่อยวางได้แต่ "ตัวกรู " ได้เก่ง แต่ยังอ่อนหัดเรื่องการ ปล่อยวาง "ของกรู"
นี่ก็เลยได้แต่ ปลอบใจ คุณหม่ามี๊ ไปตามประสา ประมาณ ว่า

ถ้า แม่ขี้เกียจกินยา นอกจากจะ ปล่อยวาง "ตัวกรู" แล้ว
แม่ก็ต้องปล่อยวาง "ของกรู "ให้ได้ ด้วยนะว้อยยยยยยยยยยยยย
แต่ถ้ายัง แก้ที่ เหตุปัจจัย ทำอย่างที่ บีแนะนำไม่ได้
แม่เก๊าะจงกินยา ประทังไปก่อน จะได้หายกุ้มใจ ไม่มี ล.ลิงงงงงงงงงง


อิอิ แต่ พูดก็พูดเหอะนะ นี่ยังคิดอยู่เลย
ว่า ถ้าตัวเอง ต้องมาเจอ ประสบการณ์ หลอนบรรลือโลก แบบ เจ้ขวัญ ตรูจะทำฉันใด
จะทำแบบ ศ.จอห์น แนช กะ หม่ามี๊ ไหม ? หรือว่า จะทำอะไร ที่ต่าง ออกไป
อืม... ถ้าตัวเอง ต้องมาเจอ ประสบการณ์แบบนั้น คงไม่ รอให้เวลามาเฉลย หรอกจร้าาา
ว่า สิ่งไหน คือ ความจริง สิ่งใด คือ เท็จ ?
แต่อิฉัน จะมองมันเป็น การละเล่น เป็นเกมส์วัดใจ ที่ใช้ฝึกตนเองอ่ะคร้าาาา
อิฉันจะไม่สนหรอกว่า สิ่งที่เห็นจะเป็นเรื่องจริง หรือไม่ ทว่า อิฉันจะ ก้าวข้าม ความจริง ไปซะ


นี่ ๆ เจ้ขวัญ เคยอ่าน เรื่อง บททดสอบกลั่นกรองสามชั้นของโซเครติส( The triple filter of Socrates ) ป่ะ ?

//chatchai.ece.engr.tu.ac.th/K1.htm


เคสของเจ้ เอาเรื่องนี้ มาใช้ได้น้าาาาาาาาาาาาาาาา
อิฉันถึงบอกไง ว่า อิฉันจะไม่สนหรอกว่า สิ่งที่เห็นจะเป็นเรื่องจริง หรือไม่
ทว่า อิฉันจะ ก้าวข้าม ความจริง ไปซะ แล้ว พิณา ว่า....
สิ่งต่าง ๆ ที่เราเห็นนั้น มันมีโทษ มีประโยชน์ อะไร กับเราไหม ?


ส่วนเรื่อง การดีเบต เอ๊ย แลกเปลี่ยนความคิด แล้ว ตบตี กับ ชาวบ้าน นี่ อันนี้ ก็ ของโปรด หุหุุ
ก็ไม่ใช่ เสพย์ติด ดราม่า หรอกน้าาาาาาาาาาาาาาาา
จริง ๆ ไอ้เรื่องแหย่สัตว์ร้ายในกรงขัง (Id) ของชาวบ้าน เล่น
ปิดประตูตีแมว แล้ว ต้อนหมาให้จนตรอกมัน ก็ หนุกดีอยู่หรอก
แต่ การได้ เสวนาแลกเปลี่ยนมุมมอง และ องค์ความรู้ กับ ผู้อื่น นั้น มันส์สุโค่ยยยย อ่ะ
เพราะ นิทานเรื่อง ตาบอด คลำช้าง มันฝังแน่น ในสัญญา มั้งอิอิ


ฉะนั้น เวลาเห็น ชาวบ้านชาวช่อง มาเถียงกับเรา ในเรื่อง ช้างมีลักษณะอย่างไร ก็ขำดี
เพราะ อย่างน้อย มันก็ทำให้เราได้ รับรู้ว่า ในมุมมองของเขานั้น "ช้าง" มันเป็นเยี่ยงไร
และ ต่างจาก มุมมองของเรา แค่ไหน เผลอ ๆ บางที ปฏิกิริยาที่เขาตอบสนอง
และ คำตอบของเขา มันทำให้เราได้เห็น อคติ 4
ที่เป็นวาระซ่อนเร้นของเขา ออกมา เต้น ดิสโก้ ให้เรา ดูด้วย ว่ะ
ถึงได้บอกไง ว่า มันส์สุโค่ยยยย อ่ะ หุหุ
แถม ถ้า วันไหน โชคดี ก็จะมี กูรูตัวจริง มาช่วยเติมน้ำดีใส่แก้ว ให้อิฉันด้วย


และถึงแม้ว่า ณ ตอนนี้ อิฉัน จะไม่ชัวร์ ว่า ทิฏฐิ ในเรื่อง ลักษณะของช้าง
ที่ อิฉัน พบเห็นและเป็น อยู่นั้น มันจะเป็นสัมมา ฯ หรือไม่
แต่ บททดสอบกลั่นกรองสามชั้นของโซเครติส
ก็ช่วยเคลียร์ ปัญหาคาใจ อะไร ๆ ให้อิฉันได้หลายอย่าง เลยอ่ะ
ทว่า สิ่งสำคัญที่ สุด ที่อิฉัน ใช้ วินิจฉัย ว่า อะไร เป็น อะไร
หาใช่แค่ The triple filter of Socrates ไม่
อิฉัน ใช้ "สามัญสำนึก เฉกเช่น วิญญูชน พึงมี " มาเป็นระบบ เซนเซอร์
ที่ ใช้ สำหรับ ตรวจ เชค บั๊ค ในโปรแกรมชีวิต อ่ะ


ที่พูดงี้ ไม่ได้หมายความว่า อิฉัน นั้น เป็น วิญญูชน แล้ว
แต่ ไอ้ "สามัญสำนึก เฉกเช่น วิญญูชน พึงมี " เนี่ย
ปุถุชน คนธรรมดา ๆ ก็มีได้ ไม่ต้องถึงขั้น วิญญูชนหรอกจร้าา
หากว่า บุคคล นั้น ไม่ถูก อคติ 4 มาบังตา จนมืดบอดไปก่อน อ่ะนะ
ยกตัวอย่าง เช่น การเบียดเบียนทำร้ายร่างกายผู้อื่น ทำให้เขาเกิดทุกข์ เป็นสิ่งไม่ควรกระทำ
อันนี้ มันก็เป็น สิ่งที่ สากลโลกรับรู้ และใคร ๆ ก็ยอมรับกันทั้งนั้น
แต่พอถึงเวลาจริง ๆ เข้าบางครั้งคนเราก็ ปลอยให้ อคติ 4 มาบดบังความจริงในเรื่องนี้
ไม่ว่าจะเป็น ฉันทาคติ เช่น ความรักชาติ หรือว่า โทสาคติ/โมหาคติ เช่น ความหึงหวง ฯลฯ



และจากการที่ฝึกฝนและ ดูจิต มาก็ หลายปี อยู่
มันก็พอจะทำให้อิฉันเรียนรู้ที่จะ แยกแยะได้อ่ะ
ว่า อะไรคือ กุศล อะไรคือ อกุศล และ สิ่งใดปนเปื้อนด้วย อคติ 4
( แม้ว่าตัวเอง จะยัง ทำตามสิ่งที่รู้มา ไม่ได้ก็ตาม )



ปอลิง 1
เออ เห็น พูดเรื่อง จริงไม่จริง เลยเอา เดอะ ลิง อันนี้ มาฝาก อ่ะคร้าาาา

//www.tairomdham.net/index.php/topic,9104.0.html


แบบว่า ช่วงนี้ อิคิตตี้ หักดิบ อิการ์ฟิล์ด์
งดเข้า พันติ๊ป แอนด์ พังจิต เพื่อ ไปเข้าพรรษา
แต่ว่า อิเจ้าการ์ฟิลด์ ก็ยังไม่สิ้นลาย เข้าไปแร่ดที่ พันติ๊ป แอนด์ พังจิตไม่ได้
เรยไปแร่ดที่ อื่นแทน อ่ะ ( มันล่อซะเต็มคราบ ซะหลายกระทู้เลยว่ะ 5555 )
ลองอ่านดูน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาเผื่อว่า บางที เจ้ขวัญ อาจจะ ทำใจยอมรับ fact
ในเรื่อง "ขอทานแขกแดร่กหมู" และ เรื่องการหนีเมียไปบวช ของสมณะโคดมได้มากขึ้น


บ่องตง ๆ นะ รู้ป่ะ ตอนที่ อ่าน ความเห็น ของ เจ้ ที่แก้ตัวให้สมณะโคดมก่อนหน้านี้แล้ว
ท่านด็อกฯ มัน บอก อิฉันว่า มันเห็น ฉันทาคติ ในตัวเจ้เพียบเลยว่ะ
แต่ตอนนั้น อิฉันไม่อยากจะ ให้เกิดเรื่องกระทบกระทั่ง ให้ขุ่นข้องหมองใจกัน จึงไม่พูดอะไร
แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แระ พูดซะหน่อย ก็แระกันเน๊าะ แหะ...แหะ...


4878

 
 

โดย: อิการ์ฟิลด์ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 23 กรกฎาคม 2556 เวลา:23:06:27 น.  

 
 
 
อ้อ ต่อ อีกหน่อย

1. เห็นเจ้ขวัญ พูดเรื่อ ปัจจุบันขณะ ไว้ เลยอยากจะแนะนำ ว่า
ถ้าเจ้ คิดจะเรียนรู้ และฝึก ที่จะอยู่กับ ปัจจุบันขณะ ให้ได้จริง ๆ อยากปากว่า อ่ะนะ
เจ้ ก็ควรจะ ยอมรับ ความไม่สมบูรณ์แบบ และความผิดพลาด ของศาสดาของเจ้ ให้ได้ โดยพูดถึง ปัจจุบันขณะ ณ ช่วงเวลานั้น ๆ
ไม่ใช่ยกเรื่อง ชาติหน้า ชาติไหน หรือ บุพกรรม ร่วมกัน
หรือใช้ ข้อมูลในอนาคต ที่เรา รับรู้ว่า ละครเรื่องนี้ มันจบแบบแฮ่ปี้เอนดิ้ง มาแก้ตัวให้ การกระทำของ สมณะโคม ณ ปัจจุบันขณะ ( ตอนที่หนีเมียไปบวช )


อนึ่ง เรื่องชาติโน้นชาตินี้ ความจริง จะมีหรือไม่ เราก็ยังไม่รู้
ฉะนั้น ตัดข้องกังขา เรื่อง จริง ไม่จริง ออกไปก่อน
แต่สิ่งที่เรา ต้องมาพิณา กัน ก็คือว่า

การกระทำ ณ ปัจจุบันขณะ ตอนที่ หนีเมียไปบวช ของ สมณะโคดม นั้น
มันเป็น กุศลกรรม ตามหลัก สัมมัปปธาน สี่ หรือไม่
และ บัณฑิตที่มี สามัญสำนึกเฉกเช่นวิญญูชนพึงมีทั่วทั้งโลก ( ไม่เฉพาะคนพุทธ สรรเสริญ และ ติฉินนินทา การกระทำนี้ )หรือไม่
และ พฤติกรรมการหนีเมียไปบวชเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม
จนสามารถ เอาไป สอนให้ลูกหลานเจริญรอยตาม ได้หรือไม่


กฏธรรมชาติ มันยุติธรรมเสมอนะเจ้
ไม่ได้หมายความว่า ใครเป็นศาสดา แล้ว
อกุศลกรรม ที่เขาเคยกระทำไว้ จะต้องได้รับการยกเว้น
โดย ไม่ถือว่า เป็นอกุศลกรรม

พฤติกรรมใด ไม่สมควรกระทำ ไม่ว่าใครกระทำ
ก็ย่อมต้องได้รับการตอบสนองจากแรงปฏิกิริยา อย่างเดียวกันเสมอ
ไม่ใช่ว่า บุคคลนี้ เป็นศาสดาจึงหนีเมียไปบวชได้ แล้วมีผู้สรรเสริญ
แต่ พอเป็น คนโนเนมตาสีตาสา คนหนึ่ง ทำบ้้าง กลับโดนตำหนิ



2. เออ อีกเรื่อง ไอ้เรื่อง การเห็น ภาพหลอน เนี่ย
บางที อาจเกี่ยวข้องกับ ความผิดปกติของการหลั่งสารสื่อประสาทในสมอง
ซึ่งอาจเกิดจาก มะเร็ง มะเรื่องในระบบสมอง ได้ นะเจ้
ลองหาเวลไปสแกนสมอง ตรวจ เชค ไว้มั่งก็ดีอ่ะ



 
 

โดย: อิการ์ฟิลด์ IP: 110.77.138.136 วันที่: 23 กรกฎาคม 2556 เวลา:23:40:02 น.  

 
 
 
ขอบใจจ้า ที่เล่าให้ฟังหลายๆเรื่อง

เรื่องของพระศาสดา อิอ่อน มันก็พยายามจะจบแล้วล่ะ (อิอ่อนมันบอกว่า จบตั้งแต่ท่านตรัสรู้แล้ว) และท่านก็ปรินิพพานไปแล้ว ใครจะสรรเสริญจะนินทาก็เป็นเรื่องของทิฏฐิของคนๆนั้น ง่ะ ที่เหลืออยู่ก็คืออายุของศาสนาว่าจะสืบทอดคำสอนธรรมะไปได้นานแค่ไหน และใครจะได้ประโยชน์จากคำสอนไปแค่ไหน นั่นคือสิ่งที่พระโคดมพุทธเจ้า ทำให้แก่ชาวโลกนี้ การจบเรื่องทางโลกไปแสวงทางธรรม มันเป็นเรื่องที่ต้องฝืนความรู้สึกในทางโลกอยู่แล้ว ถูกผิดก็เป็นเรื่องทางโลกไง จะไปเจริญทางธรรมก็ละเรื่องของชาวโลกซะ แล้วถ้าสำเร็จในทางธรรมแล้วจะมาโปรดชาวโลกก็เป็นอีกเรื่องนึง

ไม่รู้ว่าจะปล่อยวางพระโคดมพุทธเจ้าของฉันได้แล้วรึยัง อิิอิ อิอ่อนมันบอกว่า ถ้าไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจกะเรื่องที่มีคนพูดว่าท่านทิ้งลูกทิ้งเมียไปแสวงหาทางหลุดพ้นจากทุกข์เพื่อช่วยให้ลูกเมียตัวท่านและคนอื่นๆหลุดพ้นจากทุกข์และวัฏฏสงสารได้ เป็นเรื่องไม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง แล้วไม่เกิดปฏิฆะในใจจนกลายเป็นหลงโกรธ ก็ใช้ได้แล้ว หุหุ

เรื่องของการหลั่งสารสื่อประสาทผิดปกตินี่ก็พอจะรู้อยู่เพราะตั้งกะเป็นโรคหลอนๆพวกนี้ ก็วินิจฉัยโรคด้วยอาจารย์หมอกูเกิลตลอด อะ ส่วนหมอจิตเวชก็วินิจฉัยมาแล้วว่าเป็นโรคซึมเศร้า ง่ะ นี่ก็ครบ 2ปี หลังจากที่อาการกำเริบหนักครั้งนั้น ก็นับว่าอาการของโรคดีขึ้นนะ หมอก็พยากรณ์โรคว่าดีขึ้นแล้ว งดยาคลายเครียดแล้ว แต่ยังใช้บ้างในวันที่นอนไม่หลับจริงๆ ปัจจัยอื่นๆที่เป็นเหตุทำให้เกิดโรคซึมเศร้าก็เคลียร์ออกไปได้เยอะแล้ว หนี้สินก็ใช้คืนเจ้าหนี้ไปหมดแล้ว เหลือแต่งานบริษัทฯที่ทำอยู่นี่แหละว่าจะพ้นวิกฤติทางการเงินได้สำเร็จหรือเปล่า เรื่องครอบครัวก็ยังต้องทำความเข้าใจกันเองอีก สาเหตุของความเครียดในชีวิตจากภาระครอบครัวทั้งนั้น หุหุ การไม่มีภาระทางโลกเป็นลาภอันประเสริฐ อิอิ

พูดถึงเรื่องจิตหลอนๆ นี่จะว่าไปมันก็มีข้อดีนะ ทำให้เข้าใจโลกในอีกแบบหนึ่ง คนที่ไม่มีประสบการณ์ก็ยากจะเข้าใจได้ แบบว่าพลิกวิกฤติเป็นโอกาสไง ทุกอย่างเป็นธรรมะ เอามาวิจัยได้หมด เอามาแยกแยะเรื่องของมายาจิต และความจริงตรงหน้าได้ มันเหมือนกับโลกคู่ขนานเลยล่ะ โลกของจินตนาการล้วนๆของใครของมันและโลกของความจริงซึ่งมีเพียงหนึ่งที่ทุกคนจะรู้เห็นและเข้าใจตรงกัน ตอนที่หลงเข้าไปในโลกของจินตนาการนั้น เหมือนๆเราจะตัดการสื่อสารกับคนที่อยู่ในโลกความจริงไป แบบว่า เราเห็นอย่างหนึ่งแต่คนในโลกความจริงเขาเห็นอีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้ายังมีสติรู้สึกตัวได้อยู่การที่รู้ตัวว่าอยู่ในโลกจินตนาการมันแย่มาก แหะ แหะ แต่ไม่รู้สึกอยากฆ่าตัวตายเพื่อหนีโลกแบบนั้นนะ ตอนนั้นรู้สึกว่าอะไรจะเกิดก็ปล่อยมันไป โทรไปลางานหัวหน้าบอกว่าไม่สบายแค่นั้น ขอหยุดงานหลายวัน ตอนนั้นไม่คิดว่าจะได้กลับไปทำงานอีกแล้ว ทุกวันลุ้นแต่ว่าจะกลับมาอยู่โลกเดิมได้ยัง คือทุกครั้งที่หลับตาลงขอให้โลกที่เห็นกลับมาเหมือนเดิม แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง จนคุณป๋าสามีพาไปหาหมอได้กินยาพวกนั้นแหละ กินแล้วหลับเป็นตายเหมือนโดนน๊อค หุหุ ถึงได้กลับมาเป็นปกติได้อีกเห็นโลกกลับมาเป็นเหมือนเดิมทุกอย่างอยู่เข้าที่เข้าทางไม่รู้สึกแปลกแยกอีกแล้ว เราก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติ คุยกับทุกคนได้รู้เรื่องตรงกัน ไม่มีเรื่องให้สงสัยประหลาดใจ หรือแปลกๆในความรู้สึกอีก เหมือนโลกจินตนาการที่เป็นคู่ขนานรวมตัวกับโลกของความจริงได้สนิทไม่หลุดกรอบไม่แปลกแยก ไม่หลุดโลกไปเห็นสิ่งที่หลอนๆอีก อธิบายให้ฟังแบบเอ๊กซ์คลูซีฟเลยนะ อิอิ

อธิบายแบบวิทยาศาสตร์
ที่เป็นโรคจิตหลอนก็คงเป็นเพราะสารสื่อประสาทบกพร่องนั่นแหละ แต่ประสบการณ์ที่ได้มันทำให้เราต้องรู้จักดูแลตัวเองเรื่องทางกายก็เป็นเรื่องของสมองและระบบประสาท เรื่องของจิตเราก็ต้องดูแลไม่ให้เป็นพิษจนขาดสมดุล ตอนนี้มาเจอโรคใหม่อีกแล้ว เป็นก้อนถุงน้ำที่ไททรอยด์ทั้งซ้ายขวาเลยข้างละ 2 เซ็นต์กว่าๆ ถุงน้ำข้างขวาพบเซลล์ไทรอยด์ ถุงน้ำข้างซ้ายไม่พบเซลล์ไทรอยด์ หมอว่าโอกาสเป็นมะเร็งน้อยอยู่ ก็กินยาไทรอยด์ 6 เดือนถ้าไม่ยุบค่อยพิจารณาอีกที ทั้งหมดนี้ก็จะบอกว่า คงจะบกพร่องในเรื่องของฮอร์โมนและสารสื่อประสาท มากโขอยู่ เพราะไทรอยด์ฮอร์โมนก็สำคัญมาก ทำหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตและเมตาบอลิซึ่มเร่งกายหายใจ ควบคุมการเผาผลาญสารอาหารต่าง ๆ ในร่างกาย และควบคุมการเจริญและพัฒนาการของสมอง พอระบบต่างๆของร่างกายผิดปกติไป ก็เลยทำให้การใช้ชีวิตประจำวันมีปัญหาขาดสมดุลทางกายและใจได้

เท่าที่ทำความเข้าใจก็ได้มาเท่านี้อะจะ นู๋บี จะวิเคราะห์เพิ่มเติมก็ได้นะ จะได้เพิ่มมุมมองในด้านอื่นๆแล้ววินิจฉัยสาเหตุได้ครอบคลุมมากขึ้น ไง เป็นวิทยาทาน

9998
*.* *.*

 
 

โดย: อิอิ IP: 110.169.230.169 วันที่: 24 กรกฎาคม 2556 เวลา:11:49:57 น.  

 
 
 
“จะไปไหนก็ผีตัวเก่า ถ้าไม่ตั้งใจภาวนา จะอยู่ที่ไหนก็ผีตัวเก่า”

หมาแทะกระดูก
บ่อยครั้งเมื่อลูกศิษย์คิดถึงบ้าน องค์หลวงปู่ฝั้นจะเมตตายกเรื่อง ของท่านขึ้นเทศน์ให้ฟัง ถึงเมื่อครั้งองค์ท่านเองก็เคยเบื่อหน่าย
ท้อแท้ จนคิดจะกลับบ้านเช่นกัน วันหนึ่งขณะที่องค์หลวงปู่เดินบิณฑบาตอยู่นั้น เห็นหมาตัวหนึ่งเดินตามเจ้าของอยู่ สักพักมันเจอกระดูกเก่าท่อนหนึ่ง มันก็หยุดแทะตามประสาหมาแต่เจ้าของก็เดินต่อไป มันแทะอยู่สักพัก ก็วิ่งตามเจ้าของไป แต่แล้วก็หันวิ่งกลับมาแทะต่ออีก แล้วก็วิ่งกลับไปหาเจ้าของอีก กลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง จนเจ้าของเดินไกลออกไปมากแล้ว มันจึงได้วิ่งตามเจ้าของไปอย่างอาลัย องค์หลวงปู่เห็นอาการมันแล้ว ก็กลับมานึกเป็นธรรม อบรมตัวองค์ท่านได้ว่า “การอาลัยในบ้านขององค์ท่านก็เหมือนหมาตัวนั้นที่อาลัยในกระดูกเก่าอันจืดชืด แต่มันไม่รู้ว่ากระดูกนั้นไม่มีรสอะไรแล้ว ที่หลงอยู่ ก็หลงในน้ำลายของตัวเองเท่านั้น ชีวิตทางโลกก็เหมือนกระดูกเก่าที่หาค่า อันใดมิได้ ความหลงในสิ่งที่ฉาบทาไว้ ก็เหมือนหมาที่หลงอร่อยน้ำลายตัวเอง”

//watpamaneekarn.com/lphistory.html

9204
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 110.169.230.169 วันที่: 24 กรกฎาคม 2556 เวลา:15:59:00 น.  

 
 
 
อืม ถ้าจะให้ วิเคราะห์ เพิ่มเติมก็คงบอกได้ แต่เพียงแค่

ไม่ว่า กาลเวลา จะผ่านไปนานแค่ไหน
กี่ปีผ่านไป เจ้ขวัญ ก็ยังคง ตอบคำถามตาม ฉันทาคติของตน
ได้แบบ เนียน ๆ ได้เหมือนเช่นที่เคย แก้ตัวให้ ไอดอลของตน
ตอนตอบเรื่อง ...

" การกระทำของ ก๊วยเจ๋ง ที่มีต่อ ก๊วยพู นั้นจัดเป็น สัมมา หรือไม่ ? "

นั่นแหล่ะ เหมือนกันเป๊ะ เล๊ยยยยยยยยยยยยยย
แหม๊ ? นี่ถ้า ตำนาน พุทธ อวตาร ฯ นั้น มันเป็นจริงขึ้นมา
เจ้ก็ยังคงจะ ก้มหน้าก้มตา ปกป้อง หาข้อแก้ตัวให้ สมณะโคดม
เหมือนที่ อิทั่นด๊อกฯ สุขุม มันกำลัง ทำละมั้ง อิอิ


อ่ะ เอามาฝาก จร้าาาาาาาาาา

//www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=45960



5989
 
 

โดย: อิการ์ฟิลด์ IP: 110.77.138.136 วันที่: 25 กรกฎาคม 2556 เวลา:0:00:01 น.  

 
 
 
รับแซ่บ อิอิ...เพราะฉันทาคติ

อคติ ฐานะอันไม่พึงถึง, ทางความประพฤติที่ผิด,
ความลำเอียง มี ๔ คือ
๑. ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก
๒. โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง
๓. โมหาคติ ลำเอียงเพราะเขลา
๔. ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว )* พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

สติปัฏฐาน เพื่อให้ละสุภวิปลาส สุขวิปลาส นิจจวิปลาสและอัตตวิปลาส ละโอฆะ ๔ โยคะ ๔ อาสวะ ๔ คันถะ ๔ และอุปทานทั้ง ๔ และอคติ ๔
สรุปจากอรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มูลปริยายวรรค สติปัฏฐานสูตร ว่าด้วยการเจริญสติปัฏฐาน เครดิตคุณ aero.1เว็บพันทิพย์

อิอ่อนมันมาขอแก้ตัวอีกจิ๊ดนุงนะ ฮุฮุ
มันว่า จะตัดสินการกระทำเรื่องใดๆของใครๆ ให้ดูที่เจตนาของคนนั้นเป็นหลัก ว่ามีเจตนาดีเป็นสัมมาทิฏฐิ หรือเจตนาไม่ดีเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะการกระทำแบบเดียวกันแต่มีเจตนาไม่เหมือนกันก็ตัดสินถูกผิดออกมาได้ต่างกัน ถ้าเจตนาดีแล้ว อะไรๆก็นับเป็นเรื่องดีไว้ก่อน ที่เหลือก็ว่ากันไปตามผลลัพธ์ที่ตามมา ถ้าผลลัพธ์ออกมาดีก็นับว่าสมบูรณ์เป็นเลิศของควาามดี ถ้าผลลัพธ์ออกมาไม่ดีก็นับว่าได้รู้ผลของการกระทำนั้นๆเอามาเป็นประสบการณ์เป็นปัญญาความรู้เอาไปปรับปรุงการกระทำให้รอบคอบขึ้นเพื่อให้เจตนาดีบรรลุผลดีและให้ผลดีต่อไปในอนาคตไง

ปล.เรื่องก๊วยเจ๋งตัดแขนก๊วยพู ถ้าให้อิอ่อนตัดสินก็ต้องดูเจตนาของก๊วยเจ๋ง ถ้าเจตนาดีต่อก๊วยพูทำไปด้วยความรู้ตัวมีสติสัมปชัญญะรู้ดีรู้ชั่วก็ถือเป็นสัมมาทิฏฐิ คือเป็นการอบรมสั่งสอนลูกในแบบของก๊วยเจ๋ง ถ้าทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรือเพื่อรักษาหน้าของตัวเองเท่านั้นก็นับว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ นะ ดังนั้นต้องสัมภาษณ์ก๊วยเจ๋งก่อนว่าตอนทำนั้นทำเพราะอะไร หรือไม่งั้นก็ต้องมีญาณหยั่งรู้ความจริงในใจของก๊วยเจ๋งได้ถึงจะตัดสินได้ถูกต้องตามจริง ถ้าตัดสินแบบถูกผิดทางโลกก็คงต้องว่ากันไปตามกฏหมายของโลกและยุคสมัยนั้น และที่สำคัญ อิอ่อนมันขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้พิพากษาทั้งทางโลกและทางธรรม ไม่สามารถตัดสินให้เกิดความยุติธรรมต่อก๊วยเจ๋ง ก๊วยพู เอี้ยก้วย และอึ้งย้งได้ อิอิ เพราะสติปัฐานไม่บริบูรณ์ และมีอคติเพราะมีฉันทาคติเป็นต้น ความเห็นทั้งหลายของอิอ่อนจึงต้องตกไปเพราะขาดความยุติธรรม อิอิ

ปล.จะบอกให้จากชีวิตจริงเลยนะ ถ้าป๋าโจเป็นก๊วยเจ๋งนะ คงไม่ตัดแค่แขนก๊วยพู ง่ะ อาจทำลายก๊วยพูทิ้งให้หายไปจากโลกนี้เลยก็ได้ ส่วนอิอ่อนก็คงได้แต่ร้องไห้แงๆ เพราะช่วยอะไรใครไม่ได้ ทำได้แค่รักษาตัวรอดเป็นยอดดี(ซะงั้น*.*) ได้แต่ปล่อยไปตามกรรม กรรมใครกรรมมัน ง่ะ ป๋าทำกรรมก็รับวิบากกรรมไป ลูกทำกรรมก็รับวิบากกรรมของลูกไปได้แต่ทำใจ- -" อิอ่อนมันไม่มีปัญญาสอนลูกให้เป็นคนดี ไม่มีปัญญาห้ามผัว ก็มันก็ต้องทำใจรับวิบากกรรมของตัวเองไปแหละ ถ้ามันสอนลูกให้เป็นคนดีได้ ก็ไม่ต้องมีเรื่องเศร้าเกิดแบบนั้น ส่วนลูกถ้าเป็นคนดีไม่ได้ ป๋าแกก็ไม่เก็บเอาไว้ให้เป็นผู้ทำลายตระกูล ง่ะ ป๋าแกยินดีจะทำลายลูกตัวเอง มากกว่าให้คนอื่นมาทำลายลูก หรือปล่อยให้ลูกไปทำลายคนอื่น นี่พูดในแง่ที่ป๋ารู้จริงในเรื่องของอนาคตด้วยนะ ว่าลูกไม่สามารถจะกลับมาเป็นดีได้ แล้วถ้าดูเจตนาของป๋าแล้ว ว่าเจตนาดีรู้ว่าลูกเป็นภัยต่อคนอื่นและตัวลูกเองคือสุดท้ายลูกก็จะทำลายตัวเองและคนอื่นๆรวมถึงตระกูลตัวเองเพราะมิจฉาทิฏฐิแก้ไม่ได้ ชีวิตลูกก็จะจบแบบนั้น ป๋าเคยพูดไว้ ถ้าคนไม่ดีมาเกิดเป็นลูกป๋า ป๋าจะทุบตีสั่งสอนทั้งไม้นวมและไม้แข็ง ถ้าสั่งสอนไม่ได้ ป๋าก็จะทำลายทิ้งซะ เพราะงั้นอย่ามาเลือกเกิดเป็นลูกป๋าถ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนป๋า ประมาณนั้น ส่วนอิอ่อนนั้นสอนตัวเองยังไม่ได้จะเอาอะไรไปสอนลูก แหะ แหะ ทำได้แค่สอนว่าอะไรดีควรทำอะไรไม่ดีไม่ควรทำ ส่วนลูกจะเชื่อฟังทำตามหรือทำเป็นหูทวนลมก็คงต้องปล่อยไปตามกรรมที่ลูกเขาเลือก แล้วก็ทำตัวเองให้เป็นคนดีเพื่อเป็นตัวอย่างให้ลูก ถ้าลูกเรามันไม่ทำตามอย่างเรา ไปเลือกทำตามคนไม่ดี ก็ถือว่าลูกเขาเลือกแบบนั้น วิบากกรรมจะเป็นอย่างไรก็ต้องทำใจปล่อยวางให้ได้แค่นั้น เพราะถือว่าไม่มีปัญญาแก้ไขสันดานให้ลูกเป็นคนดีได้ ก็เป็นกรรมของเราที่จะต้องเจอกับเรื่องเศร้าๆ ที่บอกมานี้ไม่ได้บอกว่าอิอ่อนมันคิดถูกทำถูกนะ แต่เพราะมันเป็นคนแบบนี้ มีปัญญาทำได้แค่นี้ และต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อมแบบนี้ ก็ทำได้แค่นี้ นะ

1346
*.* อคติ4 *.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 110.169.252.25 วันที่: 25 กรกฎาคม 2556 เวลา:10:22:15 น.  

 
 
 
ขออนุญาติ ไม่ยอมรับการเปรียบเทียบกับทั่นด๊อกสุขุม นะ
เพราะกรณีทั่นด๊อกสุขุม ทำโดยบริสุทธิใจด้วยอคติ4หรือเปล่าไม่รู้ ใครรู้จริงช่วยบอกหน่อยนะ แหะ แหะ (มีคำตอบลอยมาแระ !!! โลกนี้ใครมีเงินก็ใช้ผีโม่แป้งได้ หุหุ จะโดนฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทไหมเนี่ย- -") ส่วนกรณี อิอ่อน น่ะ มันทำเพราะฉันทาคติโดยบริสุทธิใจ จริงๆนะ ไม่ได้หวังเงินทองทรัยพ์สมบัติหรืออะไรๆจากพระโคดมพุทธเจ้า มีแต่หวังว่าจะมีดวงตาเห็นธรรมด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของพระโคดมพุทธเจ้าบ้างเท่านั้น

อ่านจากข่าว พศ. แฉ"สุขุม"ยอมรับเพิ่งเข้ามาช่วยงาน!!!
นายสุขุม xxx ซึ่งเข้าชี้แจงในฐานะตัวแทนของxxx ยอมรับในที่ประชุมxxxว่าเพิ่งเข้ามาช่วยงานกับทางxxxพียง 7 วัน เท่านั้น

3837
*.*


 
 

โดย: อิิอิ IP: 110.169.252.25 วันที่: 25 กรกฎาคม 2556 เวลา:11:20:30 น.  

 
 
 
สิ่งที่ ด็อกฯสุขุม กับ อิอ่อน เหมือนกันคือ....

ทำไปด้วย อคติ เหมือนกันไง
และ ก็มีการคาดหวัง เพราะ อาจจะได้รับผลประโยชน์ ที่สืบเนื่องจากอีกฝ่าย

ที่สำคัญ สิ่งใดที่เป็น อคติ แล้ว
โอกาสที่มันจะเป็นการกระทำที่เป็น กุศล
และ เป็นไปด้วยความบริสุทธ์ใจนั้น
มันก็ทำได้ยากพอ ๆ กับ การ งมเข็ม ใน มหาสมุทร
เอวัง ก็มี ด้วยประการฉะนี้ แล

ปอลิง

อย่าลืมนะ ว่า พรนรก ของท่านด๊อกฯ นั้นน่ะ ก็คือ ...
การสัมผัสได้ถึง วาระซ่อนเร้นที่แอบแฝงอยู่ในใจ ของคนที่อยู่รอบตัว
และ ทั่นด็อกฯ ฝากมาบอกอิอ่อน ว่า.....
ยิ่งเห็น อิอ่อน มันแก้ตัวแล้ว ก็ ยิ่งรู้สึกได้ถึง กิริยาแอ๊บเนียน
และ อาการ เสแร้งแกล้งกลบเกลื่อนวาระซ่อนเร้น ที่แอบแผง อยู่ในอนุสัย ของอิอ่อนมันว่ะ
อ่านแล้ว รู้สึกเหมือน กำลัง นั่งดู นางงามเจนเวที
ที่ พยามสร้างภาพตอบคำถาม เพื่ออัพคะแนน จากกรรมการ ว่ะ บ่องตง !


7298

 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 26 กรกฎาคม 2556 เวลา:9:27:05 น.  

 
 
 
พูดงี้ก็สวยซิ เออ!

สิ่งที่ ด็อกฯสุขุม กับ อิอ่อน เหมือนกันคือ....

ทำไปด้วย อคติ เหมือนกันไง
และ ก็มีการคาดหวัง เพราะ อาจจะได้รับผลประโยชน์ ที่สืบเนื่องจากอีกฝ่าย

ขอแย้งว่า อิอ่อนมันทำด้วยอคติ เหมือนกันก็จริง แต่มันไม่ได้หวังผลประโยชน์จากอีกฝ่ายแน่นอน ถึงบอกว่าทำด้วยความบริสุทธิ์ใจไง ไม่ได้หวังให้อีกฝ่ายมาอุ้มเข้านิพพานหรือหวังผลให้บุคคลนั้นมาทำสิ่งต่างๆให้เป็นการตอบแทน

ความบริสุทธิ์ใจ หมายถึงความจริงใจที่มีต่อการกะทำโดยไม่หวังผลตอบแทน

การได้รับประโยชน์จากคำสอนไม่ได้นับเป็นเรื่องการหวังผลตอบแทน นะ เพราะการที่ใครจะได้ประโยชน์จากคำสอนนั้นมันขึ้นอยู่กับคนๆนั้นเองจะเอาใช้ให้เป็นประโยชน์กับตนเองได้หรือไม่

การที่อิอ่อนมันเลื่อมใสพระโคดมพุทธเจ้าก็เพราะศรัทธาในคำสอนเพราะเชื่อว่าถ้าทำตามคำสอนแล้วจะประสบผลสำเร็จอย่างที่ตั้งใจ จะเรียกว่าความเลื่อมใสศรัทธานี้ทำให้เกิดเป็นฉันทาคติในคนก็ได้ ไม่ว่ากัน เวลามีใครมาวิจารณ์คนที่เรารักและเราไม่เห็นด้วยกับความเห็นนั้นมันก็ขาดสติได้ง่ายกว่าปกติเพราะมันไม่เป็นกลางเป็นทุนอยู่แล้วความรักความผูกพันมันเป็นแรงผลักดันที่มากกว่าปกติ แต่ถ้าวิจารณ์คนที่เราเฉยๆมันก็ไม่ได้อารมณ์ร่วมตามมันก็เฉยๆได้ง่ายกว่า

ปล. ผิดหวังกะทั่นด๊อกฯหลอกกินตับ ว่ะค่ะ บ่องตง ! วินิจฉัยแบบนี้ อ่อน นะเนี่ย ผู้ต้องหาปฏิเสธไม่ยอมรับ ง่ะ ทั่นด๊อกฯหลอกกินตับมีอคติ อ๊ะปล่าว! อิอ่อนมันคิดยังไง มันก็ว่าไปตามนั้น ง่ะ ตามธรรมชาติของมัน สำนวนและความคิดมันเป็นแบบนี้มาตลอดไม่เคยเปลี่ยน และ แถวนี้มีผลประโยชน์อะไรให้ซ่อนเร้นด้วยเหรอ งง จะมีก็แค่ตีแผ่ตัวตนตามจริงของตัวเองตามที่เป็น จะได้เข้าใจตัวเองตามจริงแค่นั้น ไม่ใช่เหรอ อิอิ แถวนี้มีกรรมการคอยให้คะแนนนางงามด้วยหรา งง เจงๆ นะวุ้ย อิชั้นทำผิดกฏมณเฑียรบาลของสุสานโบราณไปแร้ว ซะงั้น หุหุ

ปล.2 อิอ่อน มันบริสุทธิ์ใจ จิงๆนะ เพ่! สาบานได้ อิอิ

ปล.3 หลักการตัดสินการกระทำใดๆเขาดูที่เจตนา ว่ามีเจตนาดีเป็นกุศล หรือเจตนาร้ายเป็นอกุศล ไม่ได้ยึดเอาอคติ4 เป็นตัวตัดสิน ทำเรื่องเดียวกันแต่เจตนาต่างกันก็ให้ผลไม่เหมือนกัน ส่วนอคติ4เป็นความไม่รู้ของคนขาดสติ ความไม่รู้ก็เข้าข่ายไม่มีเจตนา เคยฟังพระวินัยปิฎก เวลาพระพุทธเจ้าท่านตัดสินพระภิกษุ ท่านก็ตัดสินจากเจตนาของภิกษุนั้น ทำผิดเรื่องเดียวกันแต่เจตนาต่างกันก็ตัดสินต่างกันไป หาตัวอย่างไม่เจอ แต่มีคนสรุปไว้อย่างนี้
ในทางพุทธศาสนา เกณฑ์ในการตัดสินดีชั่วนั้น มององค์ประกอบหลายประการ ดังนี้
1. ดูเจตนาว่า ดี หรือ ชั่ว
2. ดูวิธีการคือการกระทำว่าถูกต้องหรือไม่
3. ดูผลที่ออกมาว่าถูกต้องหรือไม่

3848
*.*

 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.15.11 วันที่: 26 กรกฎาคม 2556 เวลา:16:17:08 น.  

 
 
 

ส่วนกรณี อิอ่อน น่ะ มันทำเพราะฉันทาคติโดยบริสุทธิใจ จริงๆนะ ไม่ได้หวังเงินทองทรัยพ์สมบัติหรืออะไรๆจากพระโคดมพุทธเจ้า มีแต่หวังว่าจะมีดวงตาเห็นธรรมด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของพระโคดมพุทธเจ้าบ้างเท่านั้น

V
V
V

มีการคาดหวัง เพราะ อาจจะได้รับผลประโยชน์ ที่สืบเนื่องจากอีกฝ่าย ???


1. ดูเจตนาว่า ดี หรือ ชั่ว น่ะเข้าใจ

แต่ หลงลืมเรื่อง

2. ดูวิธีการคือการกระทำว่าถูกต้องหรือไม่
3. ดูผลที่ออกมาว่าถูกต้องหรือไม่

หรือเปล่า ?


8286

 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 26 กรกฎาคม 2556 เวลา:16:32:16 น.  

 
 
 
เพิ่มเติม

งั้น นิยามศัพท์ เราคง ไม่ตรงกัน กระมั้ง

มีการคาดหวัง เพราะ อาจจะได้รับผลประโยชน์ ที่สืบเนื่องจากอีกฝ่าย ???
สำหรับ อิฉัน คำว่า ได้รับผลประโยชน์สืบเนื่องจากอีกฝ่ายนั้น
มันไม่ได้หมายความถึง การหวังผลให้บุคคลนั้นมาอุ้มเข้านิพพานหรือทำสิ่งต่างๆให้เป็นการตอบแทน เท่านั้น

แต่ หมายรวมถึง การได้รับผลประโยชน์จาก บุคคลนั้น
จนเกิดเป็นหนี้บุญคุณ ทำให้ต้อง ออกมาปกป้อง แก้วตัวแทน
ทั้ง ๆ ที่ การกระทำ ของ บุคคลนั้น ดูยังไง
ก็ไม่เป็นไปในทางของ กุศล ตามหลัก สัมมัปธาน 4


ความบริสุทธิ์ใจ
สำหรับ อิฉัน คำว่า บริสุทธ์ใจ = กุศลจิต
แล สภาวะจิตที่เป็น กุศล นั้น มันไปกันได้ กับ คำว่า อคติ หรือ ?

น้ำ เข้ากับ น้ำมัน ไม่ได้ฉันใด
ความบริสุทธใจ ก็ไปกันไม่ได้กับ อคติ 4 ฉันนั้น

3686
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 26 กรกฎาคม 2556 เวลา:16:50:21 น.  

 
 
 
ส่วนอคติ4เป็นความไม่รู้ของคนขาดสติ ความไม่รู้ก็เข้าข่ายไม่มีเจตนา

V
V
V

จริงอ่ะ ?

โมหาคติ ความลำเอียงเพราะความไม่รู้ หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หมายถึง การทำให้เสียความรู้สึกธรรมเพราะความสะเพร่า ความไม่ละเอียดถี่ถ้วน รีบตัดสินใจก่อนพิจารณาให้ดี วิธีแก้ไข ทำด้วยการเปิดใจให้กว้าง ทำใจให้สงบ มองโลกในแง่ดี และยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น

ตกลง ตามความคิดของ อิอ่อน
กรรม ใด ๆ ที่ได้กระทำ ลงไป
โดย กอปร ด้วย ฉันทาคติ (และ โมหาคติ )
ซึ่งเป็น Sub set ของ อคติ 4 นั้น

คือ ความบริสุทธ์ใจ อันจัด เป็นความกุศลจิต ใช่ไหม ?

อ่ะ เอามาฝาก อิอิ

https://sites.google.com/site/chnnikant411/home/khwam-yutithrrm


6301


 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 26 กรกฎาคม 2556 เวลา:17:19:58 น.  

 
 
 
ผิดหวังกะทั่นด๊อกฯหลอกกินตับ ว่ะค่ะ บ่องตง ! วินิจฉัยแบบนี้ อ่อน นะเนี่ย ผู้ต้องหาปฏิเสธไม่ยอมรับ ง่ะ ทั่นด๊อกฯหลอกกินตับมีอคติ อ๊ะปล่าว!


1.มี อคติ 4 ในข้อใดเป็นเหตุปัจจัย ที่ขับเคลื่อนการกระทำนี้ของทั่นด๊อก ฤา ? ( โทสาคติ ภยาคติ มโหาคติ หรือว่า ฉันทาคติ ? )

2.วินิจฉัยอ่อน ในประเด็นใด ?

ทั่นด็อกมัน วินิจฉัยว่า อิอ่อน มันมีกิริยาแอ๊บเนียน
และ อาการ เสแสร้งแกล้งกลบเกลื่อนวาระซ่อนเร้น
ที่แอบแฝง อยู่ในอนุสัย ของอิอ่อน จาก ข้อความ ต่อไปนี้


+++++++++++++++++++++++++
อิอ่อนมันมาขอแก้ตัวอีกจิ๊ดนุงนะ ฮุฮุ
มันว่า จะตัดสินการกระทำเรื่องใดๆของใครๆ ให้ดูที่เจตนาของคนนั้นเป็นหลัก ว่ามีเจตนาดีเป็นสัมมาทิฏฐิ หรือเจตนาไม่ดีเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะการกระทำแบบเดียวกันแต่มีเจตนาไม่เหมือนกันก็ตัดสินถูกผิดออกมาได้ต่างกัน ถ้าเจตนาดีแล้ว อะไรๆก็นับเป็นเรื่องดีไว้ก่อน ที่เหลือก็ว่ากันไปตามผลลัพธ์ที่ตามมา ถ้าผลลัพธ์ออกมาดีก็นับว่าสมบูรณ์เป็นเลิศของควาามดี ถ้าผลลัพธ์ออกมาไม่ดีก็นับว่าได้รู้ผลของการกระทำนั้นๆเอามาเป็นประสบการณ์เป็นปัญญาความรู้เอาไปปรับปรุงการกระทำให้รอบคอบขึ้นเพื่อให้เจตนาดีบรรลุผลดีและให้ผลดีต่อไปในอนาคตไง

++++++++++++++++++++++++++++++++++++


และ ที่บอกว่า เหมือน นางงามเจนเวที
ที่ พยามสร้างภาพตอบคำถาม เพื่ออัพคะแนน จากกรรมการ นั้น
มันก็เป็นเพราะ ทั่นด๊อก มันเห็น แพทเทิร์น การตอบคำถามของอิอ่อน แล้ว มันพบ ข้อสังเกต ดังนี้



1.มันเห็นความไม่ตรงไปตรงมาในการตอบคำถาม
การพยามแทงกั๊ก ไม่ฟันธงลงไปตรง ๆ ว่าในความคิดเห็นของ อิอ่อน นี่
ตกลง การหนีเมียไปบวช ของสมณะโคดมนั้น มันเป็นสัมมาฯ หรือไม่
เป็นสิ่งที่ชอบธรรม และ สมควรกระทำหรือไม่? เพราะเหตุใด ?

แต่สิ่งที่ อิอ่อนพยามทำคือ ตอบคำถามแบบข้าง ๆ คู ๆ
ใช้ภาษาธรรมมะธรรโม ให้มันดูดีเข้าไว้
จะได้ รับ ผลประโยชน์โดยตรง ก็คือ
อิเจ้าตัวฉันทาคติ ที่มีอยู่ในตน จะได้ไม่รู้สึก เสียหน้า
ความเลื่อมใส ศรัทธา ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของตน จะได้ ไม่ถูกทำให้สั่นคลอน
ส่วนผลประโยชนฺโดยอ้อม ก็คือ กิเลสตัณหาและอัตตาในตัว จะได้ถูกเยียวยา ล่ะมั้ง อิอิ

ถึงได้บอกไง ว่า เหมือนนางงามเจนเวที ตอบคำถาม
ไปไหนมา 3 วา 2 ศอก ตอบให้มันดูดี มี อุดมคติ เข้าไว้
ถามอะไร ๆ ก็บอก อิฉันร้ากเด็กค่ะ ! แค่นี้ก็ได้คะแนนพิสวาท ตรึม
จนมีโอกาสพิชิต มงกุฏและสายสะพาย สมใจ
แต่ก็ไม่ได้ ตอบคำถามในประเด็นที่ถาม อย่างตรงไปตรงมาเลย


คำว่า

" ถ้าเจตนาดีแล้ว อะไรๆก็นับเป็นเรื่องดีไว้ก่อน ที่เหลือก็ว่ากันไปตามผลลัพธ์ที่ตามมา ถ้าผลลัพธ์ออกมาดีก็นับว่าสมบูรณ์เป็นเลิศของควาามดี ถ้าผลลัพธ์ออกมาไม่ดีก็นับว่าได้รู้ผลของการกระทำนั้นๆเอามาเป็นประสบการณ์เป็นปัญญาความรู้เอาไปปรับปรุงการกระทำให้รอบคอบขึ้นเพื่อให้เจตนาดีบรรลุผลดี"

ที่ใช้นั้น หากฟังหนแรก ก็ อาจจะ เคลิบเคลิ้ม เห็นดีเห็นงามตามไปนั้น
แต่ ถ้ากลับมาสอบวนดู ก็จะพบว่า หลักการนี้ ดูดีมีอุดมคติ ก็จริงอยู่
แต่ อิอ่อน มันก็ ไม่ยอม ปริปาก บอกเลยว่า ตกลง การหนีเมียไปบวชของ สมณะโคดมนั้น

มี "ผลลัพธ์" ออกมา ดี-ไม่ดี กันแน่
และ ใครกัน ที่ มีส่วนได้ส่วนเสีย จากผลลัพท์ ที่เกิดขึ้น
และเมื่อได้รู้ผลของการกระทำนั้นๆ แล้ว สมณะโคดม ได้เอามาเป็นประสบการณ์เป็นปัญญาความรู้
เอาไปปรับปรุงการกระทำให้รอบคอบขึ้นเพื่อให้เจตนาดีบรรลุผลดี หรือไม่ ?

ที่สำคัญ อิฉัน กำลัง พูดถึง ปัจจุบันขณะ ณ ตอนที่ สมณะโคดม หนีเมียไปบวช แล้วมีผลลัพธ์ คือ ทำให้ ลูกเมียต้องทุกข์ใจ
ไม่ใช่ พูด ในฐานะ ผู้หยั่งรู้ ว่า สุดท้ายแล้ว ใครจะบรรลุ5 เหว อะไร
ถ้า รู้ผลลัพธ์ ในอนาคต แล้ว จะพูดไงก็ได้ ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์อยู่แล้ว

แต่ อิฉัน เน้น ที่ ปัจจุบันขณะ ในสถานะการณ์ ณ ขณะนั้น
ซึ่งโดยสรุป เหตุการณ์ นั้น คือ

- สมณะโคดม มีเจตนาดี

-วิธีการ คือการกระทำ
ละทิ้ง หน้าที่ของสามี แล้วหนีไปบวชทิ้งให้ลูกเมียเป็นทุกข์ใจ เช่นนั้น
มันเป็นเรื่องที่ ว่าถูกต้องหรือไม่ สมควรกระทำหรือไม่
หรือว่า สิ่งที่สมณะโคดมกระทำ มันเอื้อประโยชน์ ต่อคนทั้งโลก ( ซึ่งหนึ่งในนั้น มี อิอ่อน อยู่ด้วย ) จึงเป็นเรื่องที่สมควรกระทำ
ฉะนั้น ต่อให้มีเด็กคนหนึ่ง กับ ผู้หญิงคนหนึ่งต้องถูกสังเวยไปบ้าง ก็ไม่เห็นจะเป็นไร

การเห็นแก่ประโยชน์ของคนส่วนใหญ่
โดยมองข้ามความทุกข์ของคนส่วนน้อยนั้น มันสมควรแล้วหรือ ?
การหนีไปบวชของ เจ้าชายสิทธัตถะ จนทำให้ลูกเมียเป็นทุกข์ มันก็ไม่ต่างอะไร กับ การ นำแพะไปบูชายัญ เพื่อสนองตัณหา ของตัวเอง หรอกนะ

ถาม ! ถ้า อิอ่อนต้องเลือก ระหว่าง

+++++++++++++++++++++++++

A .ให้ แม่ลูกคู่หนึ่ง ต้องมาถูกเอาไปบูชายัญ ( ทำให้เกิดความทุกข์ใจเหมือนตายทั้งเป็น )
เพื่อให้ได้มาซึ่ง การตรัสรู้ เป็น สัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้ว เอา องค์ความรู้ที่ได้ กลับมาเทศน์โปรด อิอ่อน
ให้ มีโอกาสเห็นดวงตาธรรม จนถึง มรรคผล นิพพาน


ฺB.ปลดปล่อย แม่ลูกคู่นี้ จากการเป็นเหยื่อของชะตากรรม
เจ้าชาย ไม่ต้องหนีเมีย ไปบวชก็ได้ มรรคผลนิพพานอะไร ไม่เอาก็ได้
เจ้าชายสิทธัตถะ จะชวด การเป็น สัมมาอรหันต์
แล้ว เรา อดได้ เห็นดวงตาธรรม ก็ช่างแมงมัน
จะยอม เวียนว่ายตายเกิด เป็นทุกข์เป็นยาก สักกี่ชาติ ตามยถากรรม อย่างนี้cs]jt
แต่ขอเพียงแค่ หนทางที่ตัวเองจะเดิน มันต้องไม่ได้ใช้ใครมาเป็นบันไดเหยียบ ก็พอแล้ว

ถ้าคิดจะ เดินไปสู่หนทางแห่งกุศล
ทางที่เดินก็ควรจะเป้น กุศล ทั้ง เบื้องต้น เบื้องกลาง เบื้องปลาย ด้วย
ถ้าทางที่จะไปถึงซึ่ง การพ้นทุกข์ ของเรา
มันสร้างขึ้นจาก ความทุกข์ ของผู้อื่น
เราก็จะไม่ใช้ คนเหล่านี้ เป็น บันไดเหยียบ
ยอมแบกรับความทุกข์ ไว้เองเสียดีกว่า


++++++++++++++++++++++++

ถาม ! อิอ่อนจะเลือกเดินทางไหนล่ะ A or B !


ปอลิง

อนึ่ง ไอ้ อาการแสดง แอ๊บเนียน แบบมีวาระ ซ่อนเร้น ของอิอ่อน นั้น
จริง ๆ ทั่นด็อก มันเห็นมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัย ลพ. ปราโมช โน่นมั้ง
เพียงแต่ มันเกรงใจอาเหล่าม่า ก็เลยไม่พูด
แต่ตอนนี้ อาเหล่าม่า มัน งดเม้าส์ เข้าพรรษา
ทั่นด๊อก มันเก๊าะเลย จัดชุดใหญ่ ให้ อิอ่อนไง

อย่าลืมนะ ว่า ทั่นด็อก มัน เป็นนักดูจิตตัวพ่อ
มีหรือ ที่จะ อ่าน วาระซ่อนเร้น ที่แฝงมากับ กิริยาอาการของอิอ่อน ไม่ได้
เพราะ ไอ้สิ่งที่ อิอ่อนกำลังพูด กำลังทำ ๆ อยู่นั้น
สมัยก่อน ทั่นด็อกก็เห็น อิเจ้าศรีธญนนผ่อง มันเคยทำ มาหมดแระว่ะ

7556
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 26 กรกฎาคม 2556 เวลา:22:29:08 น.  

 
 
 
ตกลง สัมมัปธาน ที่ นู๋บี ยึดถือมันมีความหมายว่ายังไง
ไปก๊อปเอามาจากเว็ปไหน หรือเห็น เองตามที่พิจารณา วานบอก

เห็นกล่าวถึงบ่อยจัง

คงไม่เข้าหลัก
"The mind sees what it wants to see.."
( ใจเห็นอย่างที่มันต้องการให้เห็น)

หลอกนะ คิดดูก่อน
 
 

โดย: แค่รูป IP: 49.48.151.142 วันที่: 27 กรกฎาคม 2556 เวลา:21:09:49 น.  

 
 
 
เฮ่ย ใครฟระ ? แมร่ง ! มาขัดจังหวะ
กะลังนึกครึ้มท จะจับ อิอ่อนมา กินตับ ซะ หน่อย
ดั๊นมาเป็นมารคอหอย ซะด้ายยยยยยยยยยยยย

เอ้า เอามาฝาก อ่ะ อิอิ

//www.tairomdham.net/index.php/topic,9109.0.html

2696
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 27 กรกฎาคม 2556 เวลา:22:12:19 น.  

 
 
 
อ่ะ เอามาฝาก เพิ่มเติมจร้าาาาาาาาาาาาาาา ^ 0 ^

ยูไทโฟร VS โสเครติส( อะไรบริสุทธิ์ ? อะไรไม่บริสุทธิ์ ? )

//www.tairomdham.net/index.php/topic,9110.msg34783.html


2975

 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 28 กรกฎาคม 2556 เวลา:11:45:36 น.  

 
 
 
ตากระทบรูป ใจปรุงแต่ง ตรงใจวิ้งไปโฟส

นี้นะ สัมมัปธาน ที่นู๋บี อ้างจัง

หลวงปู่ดุลย์ ท่านว่า กิเลสปรุงจิต จิตปรุงกิเลส

ก็แค่รูป

เอาละ แค่นี้นะ
 
 

โดย: แค่รูป IP: 223.206.132.73 วันที่: 28 กรกฎาคม 2556 เวลา:21:05:37 น.  

 
 
 
แหม๊ อยากให้ หลงปู่ดุลย์ มา ดีเบต ก๊ะ บัวเหล่าที่ 5 อย่างอิช้านจริงวุ้ย
จะได้บอกอิพวกหลงปู่ หลงตา พวกนั้นมันว่า
สำหรับคนที่ที่มี AQ ขั้นเทพ อย่าง อิช้านนนน อ่ะนะ
เจ๋งพอที่จะ รู้จัก เอา กิเลส มาฆ่า กิเลส อ่ะจร้าาาา
ไม่งั้น คงไม่มี SQ สูง ขนาดนี้หรอกนะ เอิ๊ก ๆ

แล้วไอ้ที่มา โปรเจคชั่น จับผิดกัน บอกว่า

" ตากระทบรูป ใจปรุงแต่ง ตรงใจวิ้งไปโฟส นี่ นี้นะ สัมมัปธาน ที่นู๋บี อ้างจัง "

ก็ ขอบอกว่า เก๊าะคนมันยังมี อุปทานขันธ์ทั้ง 5 อยู่นี่หว่า
จะให้ นิ่งมะลื่อทื่อเป็นสากกะบือ เหมือน พวกอรหันต์ชั้นฟ้าได้ไงกันล่ะจ๊ะ
แหม๊ ? เก๊าะขนาด อรหันต์บางทั่น ยังได้ สมญาว่า อรหัต์เจ้าน้ำตาได้เลยนิ
ปุถุชนอย่างอิช้าน มันก็ต้อง มีจิ้นมั่ง อะไรมั่ง ดิ
มิฉะนั้น มันก็ผิดวิสัย ปุถุชน ผู้ ยังมีกิเลสหนา ตัณหาจัด อ่ะจิ อิอิ

อย่า มาหลอกเคี่ยวเข็ญคิดจะปั้น ให้ อิฉัน เป็น อรหันต์ขั้นเทพ ไปหน่อยเยยย อ่ะ
เกรงว่า เด๋วจะเหลิง แบบ หลงปู่เณรคลำ จนกลายเป็น อรหันต์ตกเครื่องบิน อิอิ


ส่วนไอ้เรื่อง ที่ สัมมัปธาน 4 ที่ย้ำอยู่บ่อย ๆ เนี่ย
ก็ไม่ได้ย้ำคิดย้ำทำ เพื่อ พรีเซ้นท์ โปรโมท บอกว่า
ตัวเอง ทำความเพียร สารพัด นั่นได้ทุกเม็ด ว้อยยย
ก็แค่ เอาประสบการณ์ที่เคย พบเจอ กับตัวเอง
มาแชร์ให้ฟัง และ เทียบเคียงให้ดูว่า
มัน มีลักษณะของ การ เจริญ สัมมัปธาน 4 ยังไง บ้าง

ก็อย่างที่ บอกแหล่ะ ว่า อิฉันไม่ได้สนใจจะ เคี่ยวเข็ญตัวเอง มากมาย
เพื่อ บำเพ็ญเพียรบารมี ให้มัน ไป ถึง นิพพานนัง ปรมัง สุขขัง
แบบที่พวกคนพุทธ อย่างพวกคุณ มันกระสันอยาก จะไปให้ถึงกัน นิ
อิฉัน ก็แค่ เอามัน มาประยุกต์ใช้ เท่าที่ กิเลสตัณหา ของตัวเอง มันจะยอมรับได้ ก็เท่านั้น


แต่ที่เอามาพูดย้ำ บ่อย ๆ ก็เพื่อให้ ชาวบ้านชาวช่อง มันได้ตระหนักขึ้นมามั่ง
ว่า เวลาจะ สอบทวนการกระทำใด ๆ สักอย่าง
ไม่ว่าจะเป็น ของตนเองหรือ ของผู้อื่น หรือของหมาที่ไหนก็ตาม
ไม่ใช่ดูที่ ตัว บุคคล เท่านั้น แต่ให้ดูที่ การกระทำ และ "ผลกระทบ" ของมัน
และ ก็ควรจะใช้ สัมมัปธาน 4 นี้ มาเป็น ตัวชี้วัด ด้วย
ที่สำคัญ ถึงแม้ ใคร จะ ยัง เพียรไม่ได้ ตามมาตรฐาน นั้น ๆ
แต่อย่างน้อย คุณก็ต้อง สำเหนียก ให้ได้ ว่า
สิ่งใดเป็น กุศล สิ่งใด เป็น อกุศล


เพราะ ถ้าใคร สำเหนียก ในเรื่องนี้ ไม่ได้
สามัญสำนึกเฉกเช่น วิญญูชนพึงมี ในตัวคุณ มันก็จะ เจ๊งบ๊ง ไปด้วย
สิ่งที่ อิฉันคิดว่า มัน น่ากลัวที่สุด ไม่ใช่การปฏิบัติตามหลัก สัมมัปธาน 4 ไม่ได้ นะ
แต่สิ่งที่ น่ากลัวที่สุด คือ การไม่สำเหนียก ว่า สิ่งใดคือ กุศล สิ่งใดคือ อกุศล ตะหากล่ะ


อนึ่ง สัมมัปธาน 4 สำหรับอิฉัน แล้ว มันก็เหมือนหลัก PDCA นั่นแหล่ะ
โดยส่วนตัวเห็นว่า มันเป็น บรรทัดฐาน ที่ค่อนข้างมีประสิธิภาพ
ในการเอามา ตรวจสอบ กายกรรม วจีกรรม มนโนกรรม ที่เกิด ขึ้น นะ

และไม่ว่า อิฉันจะ ปฏิบัติ ตามหลักนี้ ได้หรือไม่
มันก็ไม่ได้ ทำให้ ประสิทธิภาพในการ ใช้ หลักการเรื่อง สัมมัปปธาน 4 นี้
เสื่อมสภาพ ไปตรงไหน นิ ถ้าใครรู้จักใช้หลักการสไตล์นี้ มารีเชค สภาวะกรรมที่เกิด
มันก็ใช้สอบทวน สภาวะกรรม ทั้งหลาย ได้ ทั้งนั้น
ว่าเป็น กุศล หรือ อกุศล( ถ้าคุณสอบทวน โดยปราศจาก อคติ 4 นะ )


มันก็เหมือน กับ ไอ้คำถาม ที่ อิฉัน ทวนสอบ
ถามเรื่อง สภาวะกรรม ว่า ด้วยการ หนีเมียไปบวช
ของ เจ้าชาย สิทธัตถะ นั่นแหล่ะ ว่า เป็น สัมมาฯ ( เป็นกุศล และชอบธรรม ) หรือไม่

ถ้า การหนีเมียไปบวช มันเป็น สัมมาฯ จริง ๆ ในระดับสากล
ไม่ว่า ใครเป็นคนทำ การกระทำนั้น ( หนีเมียไปบวช )
ก็ต้องเป็น กุศล และ บัณฑิตทั้งโลก ( ไม่เฉพาะแต่ ชาวพุทธ ) ก็ต้องไม่ ติเตียน ด้วย

แต่พออิฉัน กระทู้ถาม คำถามนี้ กับพวกคนพุทธ
ก็ไม่ยักกะมีใครยอม ตอบคำถามนี้ อย่างตรงไปตรงมา
ตามประเด็นที่ถาม เลยวุ้ย เห็นก็แต่พวกขี้คุย ที่ตอบแบบแทงกั๊ก กันทั้งนั้น
และที่น่า ขบขันแกม เวทนา มากกว่านั้น ก็คือ
ไอ้ คำตอบ ประเภทที่ว่า ...

"เรื่องแบบนี้ เป็นเรื่อง ที่เหลือวิสัย ที่เราจะไปตัดสินได้
ว่าเป็นอย่างไร ถูก หรือ ผิด ฯลฯ"

ได้ยินใครตอบคำถามทำนองนี้แล้วก็ ขำกลิ้ง
แหม๊ ? นี่ อิพวกคนพุทธ ทั้งหลาย มันไม่มี สามัญสำนึก
พอที่ จะระลึกรู้เชียวหรือ ว่า การกระทำเช่นไร เรียกว่า กุศล
การกระทำเช่นไร เรียกว่า อกุศล การกระทำเช่นไร เป็น สัมมาฯ และ ถูกต้องชอบธรรม


แต่ก็นั่นแหล่ะนะ จะเอาอะไร นักหนา กับพวก มืดบอดเพราะ ฉันทาคติ
และ มี ผลประโยชน์สืบเนื่อง ( ที่มีโอกาสจะได้รับ จากการ ตรัสรู้ ของ เจ้าชาย สิทธัตถะ ) ล่ะ


ไอ้เรื่องหนีเมียไปบวชเนี่ย
มันก็ คล้าย ๆ กับ ไอ้การ ถาม เรื่อง กินเนื้อสัตว์ บาปหรือไม่ นั่นแหล่ะ

รู้ทั้งรู้ ว่า การเบียดเบียนชีวิตอื่น ทำให้ชีวิตอื่นเป็นทุกข์
เพื่อ ประโยชน์ของตน ไงมันก็บาป อยู่แล้ว
จะมาอ้าง ถ้าไม่รู้ไม่เห็น ถือว่า กรูไม่มีเจตนา กรูเลยก็ไม่บาป
มันก็ออกจะ แถกไปหน่อยมั้ง
ถึงคุณไม่เห็นการฆ่า แต่ เด็กปัญญาอ่อน มันยังรู้เลบ
ว่า ไม่มีสัตว์ตัวไหน มันเต็มใจเป็นมื้อ ดินเนอร์ ให้คุณ หรอกนะ
แต่พวก คุณก็ยัง จะ ตะแบง บอกว่า กินเนือสัตว์ที่คนอื่นฆ่า มันไม่บาป อยู่นั่นแหล่ะ

กรณี ของ เจ้าชายสิทธธัตถะ ก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ
รู้ ทั้งรู้ ว่า ถ้าหนีไปบวช ก็ไม่แคล้ว ทำให้ ลูกเมียต้องทุกข์ใจเหมือนตายทั้งเป็น
จะบอกว่า เจตนาดี มีเมตตา ยอมสละได้แม้กระทั้งครอบครัว
เพื่อช่วยให้คนทั้งโลก พ้นทุกข์ ยังไง ก็ฟังไม่ขึ้นหรอกนะ
เพราะ สิ่งที่ทำมันไม่ถูกต้องชอบธรรม เป็น กุศล และ เป็นสัมมา ไง

เหตุที่บอกว่า ไม่เป็นสัมมาฯ เพราะว่า
พระองค์ ทรง มักง่าย เกินไป ในการกระทำ ครั้งนี้
กระสันอยากแต่จะหาทางพ้นทุกข์ ให้คนทั้งโลก
จนหลงลืม ไปว่า ความเมตตากรุณา มันต้องมีความชอบธรรมด้วย
ไม่ใช่ว่า เห็นแก่คนทั้งโลก จนยอมละทิ้งหน้าที่ความรับผิดชอบพื้นฐานของตน ( หน้าที่ของคนเป็นพ่อ เป็นผัว )


ส่วนไอ้หน้าที่ กระเตงสรรพสัตว์ข้ามห้วงทุกข์ เนี่ย
ถามจริงเหอะ มันเป็น หน้าที่พื้นฐาน ตามหลักทิศ 6 หรือไม่ ?
การเมตตาต่อคนส่วนใหญ่ จนละเลยที่จะให้ความชอบธรรม กับคนส่วนน้อยนั้น
มันเป็น กุศลที่ตรงไหน ? เมียและลูกเจ้าชายสิทธัตถะ มีความผิดอันใด หรือ ?
พระองค์ จึงมีสิทธิ และ ความชอบธรรม ที่จะ ละทิ้งหน้าที่ของ พ่อ และ ผัวที่ดี
แล้ว หนีไปบวช จนทำให้ คนทั้งสอง ต้อง ทุกข์ใจเหมือนตายทั้งเป็น

ที่สำคัญ ถ้าไม่มีการ ตรัสรู้ของ เจ้าชายสิทธัตถะ นี่
พวกคนพุทธ จะเสียประโยชน์ มากมาย จนถึงกลับต้อง แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้
แล้ว บิดเบือน สามัญสำนึก ของตน เชียวหรือ
ว่า การหนีเมียไปบวช จนเมียและลูกตัวเองเป็นทุกข์ นั้น มันเป็น สัมมาฯ

ขนาด ถามเป็นข้อ ๆ แบบตรงประเด็น เน้นแต่เนื้อ ๆ ไม่มีน้ำ แล้วน่ะ
พวกคนพุทธ ก็ยัง อ้อมแอ้ม อมพะนำ ตอบแบบแทงกั๊ก อยู่นั่นแหล่ะ
ผลประโยชน์ที่พึงมีพึงได้ในอนาคต จากการตรัสรู้ ของ เจ้าชาย
มัน บังตา ซะจน แยกไม่ออก เลยหรือไร
ว่า การหนีเมียไปบวช จนเมียหน้าชื่นอกตรม อย่างนั้น
มัน ถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ และ สมควรที่จะกระทำหรือไม่

เจตนาดี ที่ตื้นเขิน นึกถึงแต่ความปรารถ ของตน
แต่ ไร้ซึ่งสำนึกของการรับผิดชอบต่อหน้าที่ตามหลักทิศ 6 เช่นนี้ มันเป็นสัมมาที่ตรงไหน

ถ้า คุณจะ มีเมตตา ช่วยหาวิธี ให้ สรรพสัตว์ข้ามห้วงทุกข์ ได้
คุณก็ต้อง ไม่มักง่าย กระทำมัน โดยอาศัย ความทุกข์ของลูกเมีย เป็น บันไดเหยียบด้วย
มันถึงจะ ถูกต้องชอบธรรม และ ยุติธรรม อย่างแท้จริง


อิฉันเชื่อ เสมอนะ ว่า คนเรานั้น ถ้ามัน วาสนาดี มีปัญญา จริง ๆ
ไม่ว่า จะ อยู่แห่งหน ตำบลใด มันก็บรรลุมรรคผลได้
ไม่เห็นจำเป็น ต้องหนีไปบวชให้เมื่อย จนทำให้ คนในครอบครัวต้องเป็นทุกข์เลย
ก็เจ้าชาย สิทธัตถะ อยากโง่ ไปมีเมียมีลูกเองนี่หว่า
เรียนผูกแล้วก็ต้องรู้จัก เรียนแก้ อย่างละมุนละม่อม เองดิ

ไม่ใช่ พอเจอปมยุ่งเหยิง แก้ไม่ตกเข้าหน่อย
เอะอะก็ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ชิ่งหนีไปบวช
ถ้าทำไม่ได้ ในชาตนี้ ชาติหน้า ก็อย่าเจื๋อกโง่ไปมีลูกมีเมีย ให้กลายเป็นห่วงผูกคอ
จะได้ ไปบวชได้โดยไม่ต้องหนี แล้วก็ถูกต้องชอบธรรมด้วย


อ้อ ที่พูดทั้งหมดนี่ วิจารณ์ ตามเนื้อผ้า
โดย ไม่ได้ มี อคติ อะไร ก๊ะ สมณะโคดม เลยจริง ๆ จร้าาาาาาาาาา
เพราะ ในสายตาของอิฉัน นั้น
สมณะโคดม มันก็ไม่ต่างอะไรกับ แมงสาบ
หรือ หมาขี้เรื้อนสักตัว ที่บังเอิญเดินผ่านหน้า ล่ะ มั้ง
ประมาณว่า ไม่มีคุณค่า หรือ ผลประโยชน์ อะไร
ให้ต้องใส่ใจไปสร้างกรรม ด้วยไง
ถึงเจ้าชายสิทธธัตถะ จะไม่ตรัสรู้
ตรูก็ เจริญสติปัฏฐาน 4 ได้เองว้อยยยย
ทำได้ก่อนที่จะศึกษธรรมะ ซะอีก
( พูดจริง เพราะที่ผ่านมา ก็ทำได้เองมาโดยตลอด
ไม่เห็น จะต้องพึ่งพาคำสอนอะไรของใครเลย )


ฉะนั้น อิฉันจึงคิดว่า ตนนั้น วิจารณ์ศาสดาของพวกคุณ
โดย ปราศจากซึ่ง อคติ 4
ซึ่งถ้าพูดกันตามตรงแล้ว จริง ๆ แล้ว
ไอ้การที่ ศาสดาของคุณจะหนีเมียไปบวชหรือไม่
ก็ไม่ได้ ทำให้ อิฉันเดือดร้อน อะไร ด้วย
เพราะ อิฉันเองก็ ไม่ใช่ เมีย ไม่ใช่ลูกมัน


แต่เห็น พวก อวยศาสดาตัวเอง จนหน้ามืด
เห็นดีเห็นงาม ว่าการ เอา ลูก เอา เมีย ของตน
ไปเป็น เหยื่อ บูชายัญ เพื่อให้ได้มาซึ่ง มรรคผลนิพพาน
แล้วบอกว่า การกระทำเชนนี้ มันเป็น สัมมา ฯ
ก็เลย รู้สึกว่า มันไม่ค่อยจะ แฟร์ อ่ะ
เลยออกมา ปาหินข้างทาง และ เหยียบหางพวกคนพุทธเล่น ก็เท่านั้นเอง อิอิ


สิ่งที่น่าละอาย ไม่ใช่เรื่องที่ ศาสดาของพวกคุณ หนีเมียไปบวช หรอกนะ
แต่สิ่งที่น่าละอาย คือ การที่ พวกคุณเห็นว่า การระทำเช่นนี้ เป็น สัมมา เพราะโดนฉันทาคติ บังตา ตะหาก !

8434
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 29 กรกฎาคม 2556 เวลา:1:10:41 น.  

 
 
 
ก่อนอื่นขอตอบความในใจก่อนนะ
หลังจากอ่านรจนาของทั่นด๊อกฯหลอกกินตับแล้ว
รู้สึกเฉยๆ ง่ะ ไม่ได้รู้สึกอะไรจิงๆนะ
ทั้งๆที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ จะร้อนวูบวาบคิดค้านคิดแย้ง
คิดโต้คิดแถ เหมือนมีหน่อไม้มันแย่งกันแทงหน่อ อิอิ
มืองี้สั่นริกๆ ใจสั่นริกๆอยากพิมพ์แถ-ลง ในตอนนั้นเลยนะ หุหุ

ตอนนี้อ่านแล้วก็ เออ ๆ ๆ เด๋วมาตอบให้ หุหุ

1586
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.110.4 วันที่: 29 กรกฎาคม 2556 เวลา:10:21:16 น.  

 
 
 
เริ่มตอบจริงแระนะ (อิอ่อนมันเอาจริงเว้ยเฮ้ย!!!)

ถาม ! ถ้า อิอ่อนต้องเลือก ระหว่าง

+++++++++++++++++++++++++

A .ให้ แม่ลูกคู่หนึ่ง ต้องมาถูกเอาไปบูชายัญ ( ทำให้เกิดความทุกข์ใจเหมือนตายทั้งเป็น )
เพื่อให้ได้มาซึ่ง การตรัสรู้ เป็น สัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้ว เอา องค์ความรู้ที่ได้ กลับมาเทศน์โปรด อิอ่อน
ให้ มีโอกาสเห็นดวงตาธรรม จนถึง มรรคผล นิพพาน


ฺB.ปลดปล่อย แม่ลูกคู่นี้ จากการเป็นเหยื่อของชะตากรรม
เจ้าชาย ไม่ต้องหนีเมีย ไปบวชก็ได้ มรรคผลนิพพานอะไร ไม่เอาก็ได้
เจ้าชายสิทธัตถะ จะชวด การเป็น สัมมาอรหันต์
แล้ว เรา อดได้ เห็นดวงตาธรรม ก็ช่างแมงมัน
จะยอม เวียนว่ายตายเกิด เป็นทุกข์เป็นยาก สักกี่ชาติ ตามยถากรรม อย่างนี้cs]jt
แต่ขอเพียงแค่ หนทางที่ตัวเองจะเดิน มันต้องไม่ได้ใช้ใครมาเป็นบันไดเหยียบ ก็พอแล้ว

ถ้าคิดจะ เดินไปสู่หนทางแห่งกุศล
ทางที่เดินก็ควรจะเป้น กุศล ทั้ง เบื้องต้น เบื้องกลาง เบื้องปลาย ด้วย
ถ้าทางที่จะไปถึงซึ่ง การพ้นทุกข์ ของเรา
มันสร้างขึ้นจาก ความทุกข์ ของผู้อื่น
เราก็จะไม่ใช้ คนเหล่านี้ เป็น บันไดเหยียบ
ยอมแบกรับความทุกข์ ไว้เองเสียดีกว่า


++++++++++++++++++++++++

ถาม ! อิอ่อนจะเลือกเดินทางไหนล่ะ A or B !

ตอบ A วุ้ยส์
เหตุผล *.* แน่นอน รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี แหะๆ *.*
แต่เหตุผลก็มีนะ
1. ดูเจตนาว่า ดี หรือ ชั่ว
ตอบ ดูแล้วมีเจตนาดี เพราะเป็นการไปแสวงหาปัญญาความรู้หาวิธีทำให้คนทั้งหลายได้แก่ลูกเมียและคนอื่นๆ หลุดจากการถูกบูชายัญถาวร(ความทุกข์ทางโลก) ถ้าทำไม่สำเร็จลูกเมียและคนอื่นๆก็จะถูกบูชายัญซ้ำๆซากๆไปเรื่อยๆไม่จบไม่สิ้นจนกว่าท่านจะตรัสรู้ เพราะลูกเมียและสาวกทั้งหลายเขาอธิษฐานจิตติดตามท่านมาเป็นบริวารลูกเมีย ก็เพื่อรอวันที่ท่านตรัสรู้สำเร็จจะได้พากันพ้นทุกข์หลุดจากบ่วงบูชายัญแบบถาวรเป็นหมู่คณะไง ถ้าไปคนเดียวแบบพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ได้แต่ท่านไม่เลือกแบบนั้น

2. ดูวิธีการคือการกระทำว่าถูกต้องหรือไม่
ทพิจารณาแล้วว่า ทำถูก เพราะวันที่ท่านตัดสินใจหนีลูกเมียไปบวชนั้น เพราะได้เห็นการเกิดแก่เจ็บตายของคนในเมือง แล้วเกิดดวงตาเห็นความจริงในเรื่องเกิดแก่เจ็บตายว่าไม่มีใครสักคนที่จะหนีรอดไปได้ เหมือนกษัตริย์ที่เห็นข้าศึกบุกมาตีเมืองแล้วก็ต้องออกไปรบในสนามทันทีไม่มีความกลัวตาย ไม่กลัวลำบาก ส่วนเรื่องการสั่งเสียเมียลูกนั้นอยู่ในวินิจฉัยของท่านว่าควรสั่งลาหรือจะไปโดยไม่บอกกล่าว ท่านก็คงพิจารณาข้อดีข้อเสียทั้งหมดแล้วจึงทำ อิอ่อนเห็นด้วยกับท่านเรื่องนี้ ด้วยความรักความผูกพันธ์ถ้าเมียไม่ยอมให้ไปก็เป็นการขัดขวางการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ถ้าเมียยอมให้ไปก็เป็นอานิสงค์มหาศาลของท่านไม่มีใครมาตำหนิติเตียนท่านได้ แต่สุดท้ายท่านเลือกในแบบของท่านแล้ว ส่วนใครจะตำหนิท่านก็ว่ากันไปตามทิฏฐิของคนนั้นจะชอบหรือไม่ ถ้าวันนี้ไม่ออกบวช(คือหลังจากเห็นธรรมฑูต เกิด แก่ เจ็บ ตาย) ท่านจะไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า แต่จะเป็นพระเจ้าจักรพรรด์แทน เสียหายต่อโลกมากมาย เสียหายต่อคนที่รอพระธรรมมาเกิดบนโลก แต่อาจมีบางพวกดีใจเช่นพญามาร เพราะโลกจะได้เป็นแบบเดิม ไม่เกิดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คนในโลกก็เป็นทาสของมาร เป็นทาสของบ่วงต่างๆในโลกต่อไปเหมือนเดิมๆ

3. ดูผลที่ออกมาว่าถูกต้องหรือไม่
ตอบ ผลที่ออกมาถูกต้อง ตรัสรู้สำเร็จ พาคนอื่นหลุดพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายได้ เป็นตำนานหนึ่งไปแล้ว

คนที่ตั้งปณิธานบำเพ็ญบารมีเป็นพระุพุทธเจ้า แม้แต่ลูกเมียและชีวิตของตนเองเขาสละออกได้หมด ถ้าบารมีเต็มแล้ว ก็ต้องเดินหน้าต่อไปจนได้ เรื่องของทางโลกไม่สามารถหยุดยั้งปณิธานนั้นได้ เวลามาถึงก็ต้องสละครอบครัวออกไปจนได้

บ่วงในโลกอย่างลูกเมีย ถ้าสละไม่ได้ก็ต้องอยู่อย่างนั้นไป มันดีต่อลูกเมีย แล้วจริงๆหรือ ถ้าคนนั้นเห็นทางรอดแล้วแต่ไม่เดินออกไป ขอตายอยู่กับลูกเมียทุกๆชาติเนี่ย ควรจะสรรเสริญใช่ไหม

หรือว่า ควรจะหนีลูกเมียไปเกิดใหม่ แล้วตั้งใจไม่ต้องมีครอบครัวทุกชาติ เกิดเป็นลูกกำพร้าไปเลย ชาตินั้นมีตัวคนเดียวแล้วค่อยตรัสรู้ ทีนี้ลูกเมียในอดีตชาติที่เขาเสียสละบำเพ็ญบารมีมาด้วยกัน ยอมเป็นวัตุถุทานเพื่อสร้างบารมีกันมาจะทำยังไง หากันไม่เจอ ก็จบเรื่องไปตัวคนเดียว อิอ่อนว่าแบบนี้ยิ่งเห็นแก่ตัวมากกว่าอีกนะ การยอมให้คนอื่นๆด่าเพราะไม่ชอบใจเรา แต่ภาระหน้าที่ทำได้สมบูรณ์ถึงไม่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติอย่างที่คนบางคนคาดหวัง แต่ภาระกิจหลักๆของท่านก็ทำได้บริบูรณ์หมดแล้ว จบเป็นตำนานหนึ่งที่มีทั้งข้อคิด ที่แล้วแต่ใครจะคิดเอาอย่างและไม่คิดเอาเป็นตัวอย่างท่านก็ไม่เคยปิดบังเล่าเป็นนิทานธรรมะไว้ให้ศึกษา เพราะท่านเองก็สอนเรื่องของกาลามสูตร ให้พิจารณาทุกเรื่องอย่าเพิ่งเชื่อท่านอย่างเดียว ให้ไปพิสูจน์ด้วยตนเอง

ที่เขียนเยอะ เพราะความในใจเยอะ ความในใจอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ เพราะทิฏฐิอิอ่อนมันก็เปนแบบนี้ ไม่ได้ต้องการจะครอบงำความคิดคนอื่นเพียงแต่คิดแบบนี้ก็บอกแบบนี้ ใครจะอ๊วกก็ได้ไม่ห้าม อิอิ แต่พูดกี่ทีก็ยังเหมือนเดิม เหตุผลมันก็เยิ่นเย้อหน่อย อะ เพราะอยากให้เข้าใจมุมมองของอิอ่อน จะว่ามันหน้ามืดตามัวปกป้องพระพุทธเจ้าเพราะมีฉันทาคติื ลำเอียงเข้าข้างเพราะความรัก ก็แล้วแต่ แต่คนอื่นไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้ามาทำแบบนี้ อิอ่อนมันก็เห็นดีด้วยนะ ถ้ามีเจตนาดีจะละทางโลกเพื่อเข้าทางธรรม ถ้าตัดใจทิ้งลูกเมียแล้วทำได้สำเร็จก็อนุโมทนา ชาตินี้ไม่สำเร็จก็ขอให้ชาติต่อไปสำเร็จก็แล้วกัน ช่วยคนอื่นไม่ได้แต่ช่วยตัวเองให้หลุดพ้นได้ก็ยังดี ถึงแม้บางคนจะบอกว่าเห็นแก่ตัวก็เถอะ

ที่ยอมรับการตัดสินใจกระทำการใดๆของพระพุทธเจ้าทุกเรื่องเพราะท่านทำไปเพื่อพระโพธิญาณทั้งนั้น แล้วเราล่ะ ทุกวันนี้ทำกรรมไปเพื่ออะไร มีเป้าหมายแน่วแน่หรือเปล่า ความรู้จริง ทำได้จริง มีไหม หรือยังรู้ถูกๆผิดๆอยู่ แต่คิดว่ารู้ถูกต้องทุกเรื่องหมดแล้ว หมดกิจธุระที่ทำเพื่อตัวเองแล้ว ที่เหลือก็มาโปรดสัตว์ผู้ตาบอดในเว็บต่างๆ ด้วยการสุมไฟในใจให้คนอื่นๆไปเรื่อยๆ(เพราะมันโง่รับไว้เอง ไม่เกี่ยวกับคนจุดไฟ ชิมิ 555) แกล้งคนโง่ให้แสดงความโง่ แกล้งคนฉลาดให้แสดงความโง่ออกมาได้ แต่แก้สันดานใครๆไม่ได้ซักคน (ดูแล้วมีแต่เพิ่มคนที่อาฆาตพยาบาท เพิ่มศัตรูในเว็บบอด อิอิ )มีแต่เพิ่มอคติให้คนคนอื่นเข้าใจผิดความจริงไปเรื่อยๆ ไปสร้างอคติให้เกิดในใจคนอื่นๆได้เรื่อยๆเพราะพรสวรรค์ด้านนี้เยอะ อิอิ (ก็คนอื่นมันโง่เองนิ ถึงยอมให้อคติครอบงำเอาได้ จะมาโทษคนปั่นอคติไม่ได้หรอกนะ จริงไหมเธอว์)

คนที่มีอินทรีย์อ่อนก็ตกเป็นเหยื่อ ด้วยเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยได้ คนที่อินทรีย์แก่กล้าก็ทนทานได้เยอะไม่หวั่นไหวต่อถ้อยคำต่างๆ ที่เสียดสีเข้ามา ถูกบ้างผิดบ้าง ก็แล้วแต่ทิฏฐิคน อะ คนรู้จริงย่อมรู้อย่างเดียวกัน ถ้ายังรู้ต่างกัน ก็แปลว่ามีคนที่คิดถูก มีคนที่คิดผิด หรืออาจจะผิดทั้งคู่ก็ได้นะ หุหุ

6781
*.*



 
 

โดย: อิิอิ IP: 124.120.110.4 วันที่: 29 กรกฎาคม 2556 เวลา:11:53:40 น.  

 
 
 
ต่อๆๆ

ตกลง ตามความคิดของ อิอ่อน
กรรม ใด ๆ ที่ได้กระทำ ลงไป
โดย กอปร ด้วย ฉันทาคติ (และ โมหาคติ )
ซึ่งเป็น Sub set ของ อคติ 4 นั้น

คือ ความบริสุทธ์ใจ อันจัด เป็นความกุศลจิต ใช่ไหม ?

เนี่ยๆๆ อิอ่อนมันตอบอย่างหนึ่ง ทั่นด๊อกฯ ก็ไปเข้าใจเป็นอีกอย่างหนึ่ง อาจเป็นเพราะอิอ่อนมันพาให้สับสนด้วยโวหารนางงามเจนเวทีมั้ง แหะๆ

อคติ4 ก็ส่วนหนึ่ง
บริสุทธิ์ใจ ก็ส่วนหนึ่ง
มันคนละอาการกัน จะเอามาสรุปมั่วๆแบบนั้นได้ไง

ธรรมดาคนที่ไม่ได้ฝึกสติปัฏฐาน4 มีปกติขาดสติเป็นประจำ ก็มีโอกาสเกิดอคติในใจได้ในทุกเรื่อง ทั้งที่รู้ตัว และไม่รู้ตัว ความอคติมันเป็นธรรมชาติเกิดขึ้นในใจที่ไม่มีใครอยากมีหรอกจริงไหม ใครจะอยากมีอคติ อิอิ แต่มันเกิดเองบังคับไม่ได้เกิดจากอะไรมั่งก็ไม่รู้ อยู่ๆก็เป็นขึ้นมาเอง คนๆนี้ไม่เคยทำอะไรให้เราแต่เราก็ไปเกลียดหรือไปชอบโดยไม่รู้สาเหตุ เรียกว่าอคติ ใช่ไหม หรือคนๆนี้มีบุญคุณกับเราเราก็ปกป้องเขา นี่เรียกว่าลำเอียงใช่ไหม เราจะไปมีเจตนาให้มีอคติได้ไหม อิอ่อนมันสรุปแบบของมันว่า อคติ มันเิกิดจากความไม่รู้ ไม่มีเจตนา จะว่าไปก็เป็นวิบากกรรมอันหนึ่งแหละ อคติมันเกิดเองไม่เกี่ยวกับเจตนา โอเคปะ อคติมันเกิดแล้วก็ถือเป็นอกุศลเพราะขาดสติ แต่เป็นอกุศลแบบไม่มีเจตนา แต่มันเป็นแรงจูงใจให้ทำกรรมแบบมีเจตนาต่อไปได้ เช่นเกิดอคติต่อคนนี้แล้วก็ไปกลั่นแกล้งเขา หรือไปสรรเสริญเขา เพราะมีเจตนาหวังผลอะไรก็ได้ อันหลังมันเป็นกรรมที่เกิดจากเจตนาจะให้ดีให้ร้ายเขา แต่ถ้าไม่ได้หวังผลอะไรตอบแทน ก็คือมีเจตนาบริสุทธิ์ก็เป็นอีกแบบ บริสุทธิืใจ ถือเป็นกุศลก็ได้ ทีนี้ อคติเป็นอกุศล แต่บริสุทธิ์ใจเป็นกุศลก็ได้ เพราะอคติเป็นอกุศลจิตไม่มีเจตนาแต่เป็นเหตุต่อเนื่องให้เกิดกุศลจิตคือทำกรรมต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาบริสุทธิ์ใจก็ได้ อิอ่อนมันเข้าใจแบบนี้ แต่คนไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรเนอะ วิถีใครวิถีมัน

อ้อ อคติ น่ะเป็นเรื่องไม่ดีอยู่แล้ว แต่ห้ามมันไม่ให้เกิดไม่ได้หรอก เพราะบางอย่างมันเป็นบุรพกรรม เกิดแต่อดีตมาให้ผลในปัจจุบันก็มีหน้าที่รับวิบากไป แต่สติปัฏฐานการฝึกสติเพื่อรู้ทันอคติในใจ ถึงจะช่วยแก้กรรมเก่านั้นๆได้คือไม่ให้อคติครอบงำใจในปัจจุบันจนนำไปสู่การทำกรรมไม่ดีด้วยเจตนาที่ไม่ดี หรือจนหลุดพ้นจากอคติเก่าๆได้ก็เรียกว่าเลิศ ง่ะ เป็นยอดคนได้ อิอิ ส่วนการฝึกกระทำสิ่งต่างๆด้วยความจริงใจไม่หวังผลต่อแทน นี่ก็เป็นการฝึกนิสัยสันดานดีๆให้เกิดบ่อยๆได้ มันก็ต่อกรรมจากอกุศลจิตให้พลิกเป็นกุศลจิตได้ กรรมต่างๆในภพต่างๆมันก็เกิดจากวิบากในอดีต สงผลในปัจจุบัน เราก็รับวิบากกรรมในอดีตมาแล้วก็ทำกรรมใหม่ไปเรื่อยๆ ทีนี้กรรมใหม่มันจะดีไม่ไดีก็อยู่ที่เจตนาของเราในปัจจุบันแหละ แต่ถ้าหลงแล้วก็มาหลงต่อมันก็ไม่หลุดหรอก มีแต่วิบากส่งผลกันไปตามกรรมเรื่องๆ ไม่มีเรื่องเหนือกรรมจากการฝึกสติปัฎฐานมาตัดรอน ก็เน่าไปเรื่อยๆ ขาดสติทั้งเบื้องต้น เบื้องกลางและเบื้องปลาย เรียงว่า ล่องจุ๊น ทั้งเรื่อง

เรื่องทางโลก ก็คิดถูกผิดตัดสินถูกผิดแบบโลกๆ
แต่เรื่องธรรม การเจริญทางธรรม มันเป็นเรื่องการพ้นโลก บางอย่างถูกทางโลกแต่ผิดทางธรรม บางอย่างผิดทางโลกแต่ถูกทางธรรม ก็มี ทางธรรมต้องสละทางโลกคนทางโลกก็ติเตียนไป ก็เป็นเรื่องของทางโลก ถ้าคนทางโลกเข้าใจทางธรรม เรื่องผิดถูกก็น้อยลง

ถ้าทุกคนสละครอบครัวไม่ได้ ก็อยู่กับครอบครัวไปไม่มีใครตำหนิได้ แต่ถ้ามีคนสละครอบครัวได้เพื่อเข้าทางธรรม เขาควรถูกตำหนิไหม ถ้าครอบครัวเข้าใจสนับสนุนก็โชคดีเป็นของคนนั้นไป แต่โชคร้ายถ้าครอบครัวไม่สนับสุนแล้วเขาไปไม่ได้ต่อมาต้องตรอมใจตายคาครอบครัวนี่ก็เป็นเรื่องถูกต้องทางโลกใช่ไหม บางครั้งความหนักเบาของเรื่องไม่เท่ากัน ตัดสินแทนกันและแทนคนอื่นไม่ได้หรอก ถ้าทุกคนยอมสละออกหมด ก็คงไม่มีใครถูกตำหนิแล้ว สละออกข้างใดข้างหนึ่ง หรือสละออกทั้งสองข้าง ก็ไปได้รอดแล้ว แต่ถ้าไม่สละทั้งคู่ก็คงไม่จบเรื่องหรอกอยู่กันไปจนโลกแตกดับก็ยังจะอยู่กันต่อไปหาโลกอยู่ไปเรื่อยๆ

ปล. ท่านด๊อกฯมีอคติ4 หรือไม่ ก็ไม่รู้ง่ะ ไม่ฟันธงเพราะว่าไม่รู้จริงๆ แต่ที่บอกว่า อ่อน เพราะ ไม่เข้าใจที่อิอ่อนมันสื่อสารออกมาไง อิอ่อนมันสับสนวกวนตอบไม่ตรงคำถามก็เพราะมันยังโง่อยู่เยอะ ไม่รู้จะตอบยังไงให้คนอื่นเข้าใจกับมันตรงตามจริง พอทั่นด๊อกฯสรุปไม่ตรงใจมัน มันกว่าเอางั้นแหละ เพราะมันคาดหวังท่านด๊อกฯไว้เยอะมว๊าก แล้วพอผิดหวังมันก็พูดได้แค่นั้น อะ

ปล2.แต่ถ้าท่านด๊อก ทรงสติปัฏฐาน4ได้บริบูรณ์ตลอดทุกขณะจิต อคติใดๆก็ครอบงำไม่ได้ ก็โอเค ง่ะ ก็ยอมรับได้ว่าท่านด๊อกฯไม่มีอคติ ตลอดเวลา หรือถ้าทรงสมาธิตลอดก็อนุโลมได้ว่าอคติครอบงำจิตใจท่านไม่ได้ นอกเหนือจากนี้ไม่รู้ ง่ะ ส่วนเรื่องบริสุทธิ์ใจ เชื่อว่าท่านด๊อกฯมีความบริสุทธิ์ใจเพราะไม่ได้หวังผลอะไรอยู่แล้ว อิอิ ดังนั้น ถ้าท่านด๊อกฯ มีอคติ4 เป็นอันใด ก็ตอบเอาเองแล้วกัน และถ้าตอบว่าไม่มีอคติเลย อิอ่อนก็เชื่อว่าเป็นเพราะด๊อกฯมีสติ มีสมาธิบริบูรณ์ทุกขณะจิต นะ อิิอิ ตามนั้น

ปล.เรื่องพระพุทธเจ้าหนีเมียไปบวช ก็จบแระนะ คิดว่าตอบหมดแล้ว ถ้าไม่เข้าใจ ก็ช่างมันเถิดนะ

2035
*.*

 
 

โดย: อิิอิ IP: 124.120.110.4 วันที่: 29 กรกฎาคม 2556 เวลา:13:51:47 น.  

 
 
 
อะไรที่ทำให้ นู๋บี เป็นเภสัชละ หรือนู๋บีไม่มีความอยากเป็น

แล้วทำไม ถึงไม่ช้วยงานที่บ้าน หรือนู๋บี ไม่ได้เป็นเภสัช แล้ว คนทั้งโลกเขาต้องตายเพราะไม่มีคนจ่ายยาหรือ คิดสูตรยา

แล้วพ่อแม่นู๋ ทำงานหาเงินมาส่งนู๋เรียน นี้ต้องลำบากเพราะนู๋หรือเปล่าละ
ทำไมนู๋ถึงไม่มีความคิดว่า ฉันไม่เป็นก็ได้เภสัช ไม่เรียนพ่อแม่จะได้ไม่ลำบาก นี้เป็นกุศลหรือเปล่าละ ห้ามคิด ๒ มาตฐานนะ

ถ้าจะเอาชนะด้วยคำพูดนะ ไปเอาจาตุพร หรือจาตุพล มาคุยกับนู๋ ดีกว่า

แต่วัดกันที่เหตุ ผล และสามัญสำนึก ยังไง กุศลนู๋ยังไม่เกิด
แค่สัมมาฐิฑิ เริ่มแรกยังไม่มี ไม่ต้องไปหา สัมมัปทาน มาตรวจสอบให้มันเสียเวลา ยังไงก็ต้องเริ่มใหม่ จนกว่าจะเห็นถูก

ลูกศร ที่เล็งออกผิดทาง มันก็ผิดเป้าหมายฉันใด
เมื่อยังเห็นผิดอยู่ มันก็เดินไม่ตรงทางฉันนั้น

ผมไม่ใช่ จาตุพร(พล) ไม่ใช่นักโต้วาธี

และก็ไม่ได้หวังยาจากนู๋ เภสัชไม่ได้มีคนเดียว และก็ต้องการเห็นธรรมตามที่พระพุทธองค์ ทรงค้นพบ ตามพระองค์ ด้วยความเพียรของผมเอง
เพราะรูปและนามในยุคสมัยที่ผมมีชีวิตนี้ มีองค์สมณโคดม องคฺเดียวเท่านั้นที่ทรงชี้ทางไว้ให้แล้ว ใครจะว่าสิ่งที่ท่านทรงบำเพ็ญเพียรผิด ก็คงเป็นกรรมของคนนั้นไป ก็แค่นั้นเอง

เกมส์ที่ท่านเปิดผมปิดแล้ว อยู่ที่ท่านเองจะปิดมั๊ย ถ้าอยากเล่นต่อก็เรื่องของท่าน

และก็ไม่ต้องเอาคำว่ากุศล มาอ้างพรำเพรือ
คิดออกมามีแต่อกุศลทั้งนั้น ยังไม่รู้ตัวอีก

ผมส่งสารพ่อแม่นู๋จริงๆ ที่ลำบากลำบนเลียงหนูมาเพื่อนินทาท่านลับหลัง
นี้ อกุศล
ไว้เจอกันหลังออกพรรษานะ

ปล ขอบใจ อิอ่อน ที่ช้วยเตือน แต่อย่างท่านด๊อก ชอบตีหัวเข้าบ้านผมก็ใช้มางถึงจะสมกัน

ถึงนู๋บี นี้แค่รูปนะ อย่าคิดมาก

อะไรนะ อ๋อ ผมก็ปรุงบ้างเล็กน้อยตามผัสสะที่กระทบ แล้วสร้างรูปขึ้นมา
ส่วนจะกระทบใครก็แล้วแต่ ตา หรือใจใครจะรับ
จุ จุ โปรแกรมที่ผมตั้งไว้ อาจทำให้กลใก ใครบางคนทำงานผิดไป แต่ไม่ใช่โปรแกรมเถือนเพราะผมอนุญาติให้ใช้ ถ้าความจำใคร จะจำไปใช้บ้าง ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด .....

 
 

โดย: แค่รูป IP: 223.204.9.136 วันที่: 29 กรกฎาคม 2556 เวลา:13:57:09 น.  

 
 
 
ต่ออีกนิด

สิ่งที่น่าละอาย ไม่ใช่เรื่องที่ ศาสดาของพวกคุณ หนีเมียไปบวช หรอกนะ
แต่สิ่งที่น่าละอาย คือ การที่ พวกคุณเห็นว่า การระทำเช่นนี้ เป็น สัมมา เพราะโดนฉันทาคติ บังตา ตะหาก !

หนีเมียไปบวช อิอ่อนมันยืนยันว่าเป็นสัมมา ถึงเป็นคนอื่นๆทำ ก็เป็นสัมมา ถ้าป๋าโจทำ ก็เป็นสัมมา ต้องรีบอนุโมทนา อิอิ การไปบวชถือเป็นการบำเพ็ญเนกขัมบารมี ใครพร้อมสละครอบครัวและทรัพย์สมบัติยศฐาบรรดาศักดิ์ทางโลกออกไปปลีกวิเวกปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นก็เป็น สัมมาทุกกรณี คนที่เหลือทางโลกก็ต้องพึ่งพาตนเองต่อไป จนบารมีทางธรรมเต็มก็จะสละโลกออกไปตามวิถีโลกวิถีธรรมแหละ คนที่มีบารมีทางธรรมเต็มที่แล้วมันก็เบื่อโลกอยู่ต่อก็เป็นทุกข์ คนที่ยังติดโลกจะให้ไปอยู่ในวิถีธรรมมันก็เป็นทุกข์ ดังนั้นเมื่อถึงจุดที่ต้องแยกกัน มันก็ต้องไปตามทางของคนนั้น จะไปยื้อยุดให้เขามาอยู่ในทุกข์แห้งตายในทางโลกเพราะคำว่าต้องรับผิดชอบชีวิตคนอื่นก็แล้วแต่ครอบครัวแบบนั้นนะ

สรุปนะ ตามนั้น ถ้าเป็นสัมมาแล้ว ใครทำก็ต้องเป็นสัมมา แต่เจตนาต่างกันมันก็อาจไม่ใช่สัมมา ก็ได้ เรื่องเดียวกันแต่เจตนาต่างกัน เจตนาดีเป็นสัมมา เจตนาไม่ดีก็เป็นมิจฉา อย่างหนีเมียไปบวชเพราะอยากพ้นทางโลกเข้าทางธรรม นี่เป็นสัมมา แต่ถ้าหนีเมียไปบวชเพราะขี้เกียจในเรื่องทางโลกและยังขี้เกียจในเรื่องทางธรรมมีเจตนาจะบวชให้ชาวบ้านเลี้ยงดูกราบไหว้อุปปัฐากให้มีชีวิตสุขสบายไปวันๆอันนี้ไม่ใช่สัมมา โอเคปะ

4395
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.110.4 วันที่: 29 กรกฎาคม 2556 เวลา:14:08:14 น.  

 
 
 
อ่าว คุณรูปจะหนีกันไปแระ
เรื่อง นู๋บี มะต้องห่วงเค้าเรย ฉลาดสุดในสามโลกแย้ว
มาห่วงตัวเราเองดีก่า อย่าเผลอให้ทั่นด๊อกเฉือนเป็นริ้วๆ คิคิ

ฉายา ทั่นด๊อกฯหลอกกินตับ ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วยนะคะ

ที่แหยมไปแหยมมา ก็แค่กระตุกหนวดเสือกันเล่นเฉยๆ
ไม่มีอะไรในกอไผ่ นอกจากหน่อไม้แค่นั้นเอง

มีเรื่องแปลกๆจะเล่าให้ฟัง มีพี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ออฟฟิสเพิ่งจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายลงปอดเมื่อต้นเดือนนี้แหละ พอดีช่วง 8 เดือนสุดท้ายของพี่เขานี่ได้มีโอกาสพาพี่เขาไปเข้าวัด ตอนเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาก็ได้พาพี่เขาไปถือศีลแปดที่วัดตรีวิสุทธิธรรม 9 วัน แต่อิอ่อนมันไม่ได้อยู่วัดด้วยนะ มีแต่คุณป๋าสามีอิอ่อนเขาไปถือศีลที่วัด 5 วัน คุณป๋าสามีก็เลยได้รู้จักพี่เขา ก็ช่วยเหลือกันไป พอพี่เขาตายไป คุณป๋าสามีก็ไปงานเผาศพ ตอนกลับจากงาน แกมาเล่าเรื่องแปลกให้ฟังว่า ระหว่างนั่งรอในศาลาวัดก็ลองทำสมาธินึกถึงพี่เขา แบบว่าอยากเห็นอยากรู้ว่าชีวิตหลังความตายเป็นไง ก็เลยอธิษฐานจิตขอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และท่านพญายม ขอเห็นพี่เขาเป็นครั้งสุดท้าย ก็ได้เห็นพี่เขาแบบว่าอยู่ไกลๆ ใส่ชุดขาวหน้าซึมๆเฉยๆไม่มีความรู้สึกรอบๆตัวเป็นสีดำ ก็เลยพูดกับพี่เขาไปว่าพี่จำผมได้ไหม ที่เราเคยไปบวชถือศีลแปดที่วัดหลวงพ่อไก่ไง ซักพักก็เกิดอาการวูบเหมือนจอดับ แล้วก็จอเปิดขึ้นใหม่คราวนี้ตกใจเห็นพี่เขาหันหลังให้แต่ใส่ชุดเหมือนเทวดามีสไบทองห่มปิดไหล่ทั้งสองที่หัวใส่ชฎาทองสวยงาม แต่ไม่ยอมพูดอะไร อารมณ์ที่รู้สึกได้ก็เปลี่ยนไปจากซึมเฉยกลายเป็นร่าเริงสดใสสว่างไปเลย แล้วก็หายไป คุณป๋าสามีบอกว่าพยายามทำความรู้สึกตัวด้วยการเอาลิ้นดุนเพดานปากไว้ไม่ให้หลงให้รู้สึกตัวตลอด ไม่ให้หลงในนิมิต ทุกอย่างที่เกิดไม่ได้คิดว่าจะเจอแบบนี้ ก็แปลกดีแต่เขารู้สึกไม่ดีตอนที่วูบไปแล้วจอดับมืดเขาคิดว่ามีคนอื่นมาแทรกหรือสร้างภาพให้เห็นเหมือนกัน แต่ก็รู้ได้เท่าที่เห็น ได้เห็นโอปาติกะเปลี่ยนภพอะไรแบบนั้น ก็ได้ถามสามีว่าเห็นแบบนี้แล้วเชื่อเรื่องชาตินี้ชาติหน้าไหม เขาก็ว่ายังไม่ค่อยเชื่อเพียงแต่มันเพิ่มน้ำหนักมาหน่อยหนึ่ง แบบว่าเป็นปัตจัตตังรู้ได้คนเดียว เรานั่งอยู่ข้างๆก็ไม่ได้เห็นอะไรที่ผิดปกติ เห็นแต่นั่งเงียบๆเฉยๆอยู่ ไม่นึกว่ามีจะเรื่องแปลกๆเกิดขึ้น ก็แค่เล่าสู่กันฟัง เกี่ยวกับโลกที่เรามองไม่เห็น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของคุณสามี ตอนที่อยู่วัดหลวงพ่อไก่มีสวดภาณพระ ก็ไปเข้าร่วมสวดด้วย เขาก็เห็นเทวดามาฟังสวดมีผิวสีดำ ก็เพ่งดูไปกลายเป็นเทวดาผิวสีทองใส่เสื้อสีดำ ก็ต่างคนต่างเพ่งดูซึ่งกันและกัน ไม่ได้พูดกัน ต่อมาก็เห็นภาพเป็นทุ่งสีทองกว้างไกลสุดสายตา พอซูมเข้าไปก็กลายรูปสามเหลี่ยมแต่ละองค์เป็นเหมือนพระหลายๆองค์ เราก็นั่งฟังสวดอยู่ข้างๆก็ไม่ได้เห็นอะไรเลย ก็ฟังเขาเล่ามาก็แปลกดีเป็นปัจจัตตังรู้คนเดียวเห็นเดียว แต่มีคนอื่นเห็นไหมก็ไม่รู้นะ เพราะไม่ได้คุยกับใคร เห็นอะไรก็จะมาคุยกันแค่สองคนรู้กันสองคนปรับทุกข์กันสองคน ก็แปลกดี เพราะอันนี้เหมือนเป็นผลของสมาธิ และการฝึกสติ ไม่เหมือนอาการจิตหลอนของอิอ่อน เพราะเห็นไม่นานก็จบ มาสู่โลกความจริง เพียงแต่มีกำลังใจในการเพียรมากขึ้น เท่านั้น ว่าฌาณวิสัยและสมาธิจิตที่พระพุทธเจ้าท่านสอนมีจริงให้พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง

4462
*.*
 
 

โดย: อิิอิ IP: 110.168.82.240 วันที่: 29 กรกฎาคม 2556 เวลา:17:03:38 น.  

 
 
 
อืม...อ่านที่ชาวบ้านมันพล่าม แล้วก็ให้ นึกถึง....
การเสวนาธรรม ของ โสเครติส กับ ยูไทโฟร
และ คำฟ้องร้อง ของ เมเลตัส ที่กล่าวหา โสเครติส ในชั้นศาล จังวุ้ย
ส่วนใครอยากจะเป็น โสเครติส / ยูไทโฟฯ / หรือ เมเลตัส
ก็ เลือก "รูป" ที่จะเป็นกันไปตามแต่อัทธยาศัย และ วาสนาจริต ก็แระกัน เอิ๊กๆ


ปอลิง1

อืม...อ่าน ทิฏฐิของอิอ่อน ที่เอามา ตีแผ่ แล้ว เข้าใจเลย แฮะ
ว่าทำไม อิอ่อนมันถึงเกิดกรณีพิพาทเรื่องแย่งลูกสาว กับ พี่สะใภ้
จนขึ้นโรงพัก แล้วเกิดอาการ บ้านแตกสาแหรกขาด ได้

เฮ้อออ ไม่รู้สินะ ไอ้เคส ทะเลาะกันแย่งลูก ของ อิอ่อน กับ พี่สะใภ้ นี่
จะว่าไปแล้ว มันก็มีความเป็น " สัมมาฯ" พอ ๆ กับ เคส หนีเมียไปบวช ของเจ้าชาย สิทธัตถะ เลยเชียวน้าาาาาาา อิอิ

สจฺเจ อตเถ จ ธมฺเม จ อหุ สนฺโต ปติฏฺฐิตา ....

สัตบุรุษทั้งหลายดำรงอยู่ในสัจจะที่เป็นประโยชน์ และเป็นธรรมคือยุติธรรม




ปอลิง 2

เด๋วครึ้ม ๆ มีโอกาสดมื่อไร จะเข้ามา ถกด้วยจร้าาาาาาาาาา
แต่ว่า ตอนนี้ อิการ์ฟิลด์ คงต้องขอ อนุยาดแหกศีล 6
ไป รับประทานดินเนอร์ ใต้แสงเทียน กับทั่นด๊อกร์ฯ แระอ่า
วันนี้ วันจันทร์ มีตลาดนัด ของกินเพรียบบบบบ เยยยย
โอ้ยยยย พูดแล้วก็ให้อยากกิน ยำรวมมิตรใส่ผักกูด รสแซ่บ ๆ แผล่บ....แผล่บ..

บ๊ายบายจร้าาาาาาาาาาาาาาาา ^ @ ^

9381

 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 29 กรกฎาคม 2556 เวลา:17:09:56 น.  

 
 
 
อ้าวววว โพสเสร็จ ก็ดั๊น เหลือบไปเห็น อิอ่อนมาเพ่นพ่านแถวนี้
บ๊ายบายจร้าาาาาาาาาาา อิอ่อนจ๋าาาาาาาาาาา
ในเมื่อ ตอนนี้ ยังหลอกกินตับ อิอ่อน เป็นมื้อ ดินเนอร์ บ่ ได้
งั้น ทั่นด๊อกฯ ไป รับประทาน ยำรวมมิตรทะเลรสแซ่บ ก๊ะ อิเจ้าการ์ฟิลด์ ก่อนนะเธอว์ เหอ...เหอ...

บ๊ายบาย จิง ๆ จร้าาาาาาาาาาาาา ^ 0 ^

2361
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 29 กรกฎาคม 2556 เวลา:17:15:50 น.  

 
 
 
อืม...พิมพ์ เฉ่ง อิแค่รูป ไปตั้งแยะ
เกี่ยวกับการ พยาม จะ ชำแหละ และ ไซโค อิฉัน
ในเรื่อง เรียนเภสัช ( โดยเปรียบเทียบเป็นนัยยะ กะ การหนีเมียไปบวช )

แต่ คอมพ์เจ้ากรรม ดันเจ๊ง ซะนี่
ว้าาาาาา อดกินตับเยยยยยยยยยยยยยยย อะซิก...อ่ะซิก...
แถมวันนี้ ก็ขี้เกียจ พิมพ์ แระ จร้าาาาาาาาาาา
งั้นยกประโยชน์ให้จำเลยไป ชั่วคราว ก่อนเน๊าะ
ไว้ครึ้ม ๆ ค่อยระลึกชาติ มาพิมพ์เฉ่งมันใหม่ ก็แระกัน เอิ๊ก ๆ

ส่วน อิอ่อน นี่ แนะนำ ให้ ไปทำความเข้าใจ
เรื่อง วงปฏิจจสมุปบาท และ ปัจจุบันขณะ บ้างก็ดี
ตอบกี่ที ๆ ก็ยกชาตินู้นชาตินั้น มาอ้างตรึมเลย
ก็ไม่รู้ว่า มันจะช่วยให้ แก้ตัวให้ ไอดอล ของ อิอ่อน ได้ซักกี่น้ำกันนะ อิอิ


อืม...วันนี้ นึกครึ้ม เอาคำถาม ต้องเลือก ระหว่าง
+++++++++++++++++++++++++

A .ให้ แม่ลูกคู่หนึ่ง ต้องมาถูกเอาไปบูชายัญ
( ทำให้เกิดความทุกข์ใจเหมือนตายทั้งเป็น )
เพื่อให้ได้มาซึ่ง การตรัสรู้ เป็น สัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้ว เอา องค์ความรู้ที่ได้ กลับมาเทศน์โปรด คนตอบ
ให้ มีโอกาสเห็นดวงตาธรรม จนถึง มรรคผล นิพพาน


ฺB.ปลดปล่อย แม่ลูกคู่นี้ จากการเป็นเหยื่อของชะตากรรม
เจ้าชาย ไม่ต้องหนีเมีย ไปบวชก็ได้ มรรคผลนิพพานอะไร ไม่เอาก็ได้
เจ้าชายสิทธัตถะ จะชวด การเป็น สัมมาอรหันต์
แล้ว เรา อดได้ เห็นดวงตาธรรม ก็ช่างแมงมัน


++++++++++++++++++++++++++++

ไปให้ คนในที่ทำงานลองตอบ ว
ปรากฏว่า คำตอบที่ได้ ทำให้ อิฉัน เกิด ความฉงนสนเท่ นะ
น่าแปลกใจจัง ทำไม คำตอบของ ปุถุชนคนไกลวัดอย่างพวกเขา
ดัน สวนทาง กับ คำตอบของ นักปฏิบัติธรรม อย่างอิอ่อน ซะนี่

เอ ? สงสัย คนพวกนี้ จะ ไร้ซึ่ง ...

" สามัญสำนึก เฉกเช่น วิญญูชน พึงมี " ก็ได้ล่ะมั้ง

แหม๊ ? น่าจะจับไป ปฏิบัติธรรม กับ หลงพ่อไก่ เป็นเพื่อนป๋าโจ จัง อิอิ
เออ นี่ ๆ ว่าง ๆ ลอง เอา คำถาม ข้างบนนี้
ไปถาม ป๋าโจ ก๊ะ ฮาร์ทจัง ให้ทีดิ อยากรู้เหมือนกันว่า คำตอบจะเป็นไง
ส่วน น้องจูน นี่คงไม่ต้องถาม หรอกมั้ง เด็กคนนี้ ดู ลักษณะโหงวเฮ้ง แล้ว อีได้แม่มาเต็ม ๆ ว่ะ
ฉะนั้น ก็คงจะรู้รักษาตัวรอด เป็นยอดดี ไม่ต่างกันนักหรอก
ที่โรงบาล เอง ก็มีคนรู้จัก ที่มี โหงวเฮ้ง แบบ ลูกสาว อิอ่อน นี่แหล่ะ
ได้สัมผัส นิสัยของ She แล้ว ยังอดชื่นชม ไม่ได้เลยว่า......
พ่อแม่ She เลี้ยงลูกมายังไง กันหนอ ?
She ถึงได้เก่งในเรื่อง รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดดี ขนาดนี้
( ถึง สีข้างของ She จะถลอก บ่อย ๆ ก็เหอะ ) อิอิ


เออ จิงดิ เห็น อิอ่อน มันพล่าม เรื่องความแตกต่าง ระหว่าง
ทางโลก กับ ทางธรรม บ่อยจัง ก็เลย เกิดคำถาม อ่ะ ว่า

ไอ้ ทางธรรม ที่ อิอ่อนมันพล่าม ๆ ออกมาเนี่ย

"ธรรม" ในที่นี้ มันคือ อะไร ?
ธรรมชาติ ธรรมดา ? หรือว่า หมายถึง ธรรมมบทไหน กันแน่ ?
แล้ว ธรรมดังกล่าว เกี่ยวข้องสัมพันธ์ กับคำว่า
ความถูกต้องชอบ"ธรรม" ( หรือว่า ความยุติ"ธรรม" ) ยังไง ?

รบกวน อิอ่อนผู้รู้ธรรมช่วยชี้แนะ
สำแดงให้ฟัง เป็น ธรรมะรับประทานทีดิ
จะได้ รู้ว่า อิอ่อน มันเป็น พวก ด.ช.มาร์ค ดีแต่ปาก
หรือว่า เป็นพวก รู้มากอยากนาน แบบ ซือแป๋หมัก ขวัญใจไอ้โซ๊ยตี๋ กันแน่

อนึ่ง เห็นด้วยว่า เรื่องทางโลก ก็คิดถูกผิดตัดสินถูกผิดแบบโลกๆ
แต่เรื่องธรรม การเจริญทางธรรม มันเป็นเรื่องการพ้นโลก
บางอย่างถูกทางโลกแต่ผิดทางธรรม
บางอย่างผิดทางโลกแต่ถูกทางธรรม

แล้ว งี้ ไอ้สิ่งที่ " ถูกทั้ง ทางธรรม และ ทางโลก " นี่
มันมี "อะไร" เป็น เหตุปัจจัย ที่ทำให้ เกิดความแตกต่าง ไปจาก ..
"สิ่งที่ ผิดทางโลกแต่ถูกทางธรรม " ล่ะ ?
( เห็นผู้รู้ทางธรรม อย่าง อิอ่อน มาพล่ามให้ฟังแล้ว ก็ให้ค้างคา อ่ะหุหุ )

1781
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 29 กรกฎาคม 2556 เวลา:23:48:53 น.  

 
 
 
ธรรม ในฟามหมายที่อิอ่อนมันใช้บ่อยๆน่ะหมายถึงสัจจะความเป็นจริงของธรรมชาติ ไง แบบว่า กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา แปลในแบบของอิอ่อน ก็ประมาว่า แบ่งแยกได้เป็น กุศลธรรม อกุศลธรรม และธรรมที่ไม่เป็นกุศลและอกุศลคือเป็นกลางๆ การปฏิบัติธรรมของอิอ่อนก็คือการรู้เห็นความจริงตามจริงของธรรมชาติหนึ่งในขณะหนึ่งๆ(วิปัสนากรรมฐาน) ส่วนการจะให้มีจิตตั้งมั่นรู้ได้นานๆก็ต้องฝึกสมาธิด้วยสมถะกรรมฐานประกอบกันไปมีสมาธิมากก็ตั้งมั่นรู้ได้มากได้นาน มีสมาธิน้อยก็ตั้งมั่นรู้ได้น้อย

มีสมาธิได้แล้ว รู้ธรรมะได้ถูก ก็เอามาวิจัยธรรม พิจารณาธรรม ให้เข้าถึงธรรม ถ้ายังปลีกวิเวกแยกตัวไปอยู่สันโดษไม่ได้ ก็อยู่ร่วมกับโลกไปด้วยฝึกปฏิบัติไปด้วย โดยส่วนมากคนที่ปฏิบัติไปจนบารมีเต็มแล้วเมื่อถึงเวลาก็จะรู้ตัวว่าต้องทำไง ก็จะสละครอบครัว สละทรัพย์สมบัติทางโลก สละโลกออกเอง เพราะมันหมดความสนใจในทางโลกแล้ว หมดความสุขทางโลกมีแต่เห็นทุกข์ทางโลก มีความเห็นสวนทางกับชาวโลกมันก็อยุ่ร่วมกับเขาไม่ได้ คนที่บารมีเต็มนี่หมายถึงพระอริยะเจ้าระดับพระอนาคามีเป็นต้นไปนะ

โดยส่วนตัวนะยังไม่ได้รู้จริง เรื่องทางธรรมคือการสวนกระแสโลกทั้งนั้น จะให้ถูกทั้งทางโลกและทางธรรม จะมีหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ อย่างเรื่องครอบครัวถ้าไม่สละออก ก็กระเตงกันไปเรื่อย ถ้าจะรอให้ทุกคนในครอบครัว พร้อมใจกันสละออก ก็ไม่รู้จะมีวันนั้นหรือเปล่านะ ถ้าบำเพ็ญแบบเป็นแบบพระปัจเจกพุทธเจ้าแบบยกครัว ก็ไม่รู้จะไปจบกันยังไงให้พร้อมกัน จบไปคนเดียวยังยากเลยนิ ถ้ารอเป็นพระอรหันต์พร้อมกัน ก็ต้องมีผู้นำซึ่งก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งการบำเพ็ญแบบนี้มันก็ต้องสละลูกเมียและชีวิตเป็นทานก่อนถึงจะไปต่อได้ ก็ต้องมีลูกเมียร่วมชาติ ต้องมีเรื่องสละครอบครัวอยู่ดี ยิ่งคิดมากยิ่งปวดหัว อิอิ เอาเป็นว่าจะเอาเจริญทางธรรมให้ถึงที่สุดนี่ยังไงก็ต้องสละโลกออกก่อนถึงจะไปได้ ถ้าติดบ่วงของโลกมันก็จมกับโลก แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่อิอ่อนมันจะคิดถูกทำถูกนะ เพราะทั้งหมดนี่ก็มาจากจินตะ ง่ะ ยังไม่ได้รู้จริง เพิ่งจะเริ่มกระดึ๊บๆมาหัดรู้จริงกะเขาบ้างเท่านั้น ยังทำผิดๆถูกๆ โดนป๋าโจเตะตัดขาเรื่องรู้จริงอยู่ทุกวัน มาจี้นี่ผิด โน่นผิด นี่ทำยัง โน่นทำยัง สติไม่มี สมาธิก็ไม่ได้ อิอิ

ก๊อปธรรมของผู้รู้มาประกอบการวินิจฉัย เนาะ
บันทึกธรรม เรื่อง "ทางโลกและทางธรรม" โดยพระชุมพล พลปญฺโ
ทางโลก
คือ การแสวงหาสุขแล้วไปเจอทุกข์ เหมือนกับปลาที่ฮุบไส้เดือนแล้วไปเจอเงี่ยงเบ็ด
ทางธรรม
คือ การกำหนดหยั่งรู้ทุกข์ แล้วปล่อยวางความสุข เหมือนกับการสละไส้เดือนเพราะเห็นโทษแห่งการติดเบ็ด

ทางโลก
คือ เส้นทางที่จะไปตกเหวตาย ที่สรรพสัตว์ทั้งหลายชักนำกันไป สิ่งที่จะไปเจอคือความผิดหวัง เพราะสิ่งที่รออยู่ข้างหน้าคือ ความแก่ ความเจ็บ ความตายและความพลัดพราก น้ำตาคือรางวัลแก่ผู้เข้าเส้นชัยที่ดำเนินไปในทิศทางของโลกโดยไม่คิดหันหัวรถ
ทางธรรม
คือ เส้นทางหวนกลับของสุนัขจนตรอก เพราะเมื่อมนุษย์ทั้งหลาย ถ้าหากถูกกิเลสไล่แล้วก็ทำไปตามกิเลสความอยากของตน จะต้องไปเจอทางตันอย่างแน่นอน เพราะเราไม่สามารถจะหาสิ่งมาตอบสนองความอยากของเราได้ตลอด ฉะนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องหันกลับมาฟัดกับกิเลสของเรา เหมือนกับสุนัขที่ถูกไล่ไปจนตรอก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหันกลับมาต่อสู้ เส้นทางธรรมคือเส้นทางเดียวที่ชาวโลกมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหันหัวกลับมาเดิน เพราะว่าทิศทางของทางโลกจะไปเจอทางตัน รางวัลแก่ผู้เข้าเส้นชัยที่ดำเนินไปในทิศทางของธรรม คือ ความพ้นทุกข์ทั้งปวง

ทางโลก
คือ การทำตามใจกิเลส อันเป็นเหตุแห่งความเดือดร้อน
ทางธรรม
คือ การดับกิเลส อันเป็นเหตุแห่งความสงบเย็น

ทางโลก
คือ การกินของหวานที่ทำให้เกิดร้อนใน
ทางธรรม
คือ การกินของขมที่ทำให้หายร้อนใน

ทางโลก
คือ ตัวยึด
ทางธรรม
คือ ตัววาง

//www.palapanyo.com/content/node/288

5308
*.*
 
 

โดย: อิิอิ IP: 110.168.82.240 วันที่: 30 กรกฎาคม 2556 เวลา:9:47:24 น.  

 
 
 
มีเรื่องป๋าโจ มาโม้นิหน่อย
เมื่อวันก่อน ป๋าโจบอกว่า ตอนล้างจาน เห็นจิตตัวเองเข้าภวังค์ ก็เลยดูนาฬิกาไว้จะจับเวลาว่ามันจะหลงไปนานแค่ไหน คือแกจะไม่แทรกแซงจิต ตามรู้จิตไปเรื่อยๆ ปล่อยให้เข้าภวังค์แล้ว พอมันรู้ตัวออกจากภวังค์ ก็มาดูนาฬิกา แกจะตามรู้ตัวตลอดเวลา เห็นจิตเข้าสมาธิ ออกจากสมาธิิ เห็นจิตหลงเข้าภวังค์ออกจากภวังค์ เห็นตัณหากำลังงงอกออกมา เห็นกิเลสมันครอบงำจิต แกบอกว่า โลภ โกรธ หลง หน้าตามันไม่เหมือนกัน เวลามันเริ่มงอกก็จับความแตกต่างได้ แกพูดเองว่าไม่ได้ตัดรากเหง้ามันก็งอกออกมาได้เรื่อยๆ แต่ถ้ารู้ทันมันก็ดับไปไม่ทันงออกออกมาครอบงำจิตได้ ป๋าแกมีฟามสามารถพิเศษคือ จิตมันเข้าสมาธิได้เองทุกอริยบถ ทั้งนั่เดิน ยืน นอน ซักผ้า ล้างจาน แล้วยังตั้งรีโมทบอกจิตไว้ก่อนล่วงหน้าว่าอย่าเข้าสมาธิลึกเกินกว่าระดับ 2 ล๊อคการทำงานว่าให้เดินไปที่รถ แล้วแกก็ปล่อยจิตทำงานไปแกตามรู้ตามดูจิตเฉยๆ ทำอะไรๆ ประมาณนี้แหละ ให้จิตทำงานเองแบบระบบออโต้ไพลอต แล้วทำความรู้สึกตัวไว้ตลอดทำการตามรู้จิตไปเรื่อยๆ ในชีวิตประจำวัน ตอนนี้ก็ประมาณนี้

ส่วนเรื่องปัตจัตตังของป๋าน่ะ อิอ่อนมันก็บอกป๋าไปว่า ที่เห็นน่ะเห็นจริง สิ่งที่เห็นจะเป็นจริงหรือเปล่าไม่รู้(จำตำรามาพูดนะ แหะๆ) ทุกอย่างที่เห็นจึงไม่ได้ปักใจเชื่อทั้งหมด บางอย่างก็มีไปสอบถามกับหลวงพ่อไก่ในสิ่งที่เห็นเรื่องในอนาคตเกี่ยวกับลูก ท่านตอบว่าจริง แกก็อึ้งไปนะ หลวงพ่อบอกว่าตอนนี้เอ็งใส่หมวกฤาษี ศีล5เป็นของดีนะ ให้รักษาต่อไปอย่าทิ้ง

7469
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 110.168.82.240 วันที่: 30 กรกฎาคม 2556 เวลา:10:28:35 น.  

 
 
 
มีเรื่องมาโม้ เมื่อวานก่อนฟังธรรมจากยูทูบ หลวงพ่อเกษมวัดป่าสามแยก เรื่องท่านเปรียบหลอดไฟเป็นจิต แสงไฟเป็นอาการของจิต ถ้าจิตมีปัญญามากแสงสว่างก็มาก เมื่อจิตดับไปแล้วแสงสว่างก็ดับตามแต่แสงอาจส่องสว่างได้นานหลังจากจิตดับไปแล้วก็ได้ เหมือนหลอดไฟดับแล้วแต่แสงดับทีหลัง เปรียบจิตพระพุทธเจ้าดับไปแล้วแต่แสงสว่างจากจิตอาจอยู่ได้นานเป็นพันล้านปี ส่องไปไกลได้ทะลุจักรวาลออกไป ถ้าเป็นแสงจากจิตพระอรหันต์แบบต่างๆ ปฏิสัมภิทาญาณ อภิญญา6 วิชชา3ก็ส่องสว่างได้นานน้อยกว่าลดหลั่นกันไป ส่วนพระอรหันต์สุขวิปัสโกแสงดับพร้อมจิต จำๆมาๆได้ประมาณนี้ ฟังแล้วก็ทึ่งดี ฟังไว้เป็นข้อมูลเฉยๆ เพราะเราไม่รู้ความจริงไง เชื่อก็โง่ ไม่เชื่อก็โง่ ทำตามหลักกาลาสสูตรก็คือไปพิสูจน์ความจริงกันเอาเอง แต่ถ้าไม่มีปัญญาไปพิสูจน์ความจริงด้วยตัวเองก็เป็นคนไม่รู้ไปเรื่อยๆจะให้ไปฟันธงตัดสินความรู้ของคนอื่นได้ไงล่ะ

ปล.แสดงมุมมองของอิอ่อนต่อเรื่องที่ที่ได้ยินได้ฟัง ว่ามันเป็นคนแบบนี้ ชอบจินตะ ชอบฟัง แต่ไม่ชอบฟันธงเพราะปัญญารู้จริงยังไม่มีตัดสินใครไม่ได้ นะ

7256
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 110.168.82.240 วันที่: 30 กรกฎาคม 2556 เวลา:11:11:11 น.  

 
 
 
อ้างถึง....
ไปให้ คนในที่ทำงานลองตอบ ว
ปรากฏว่า คำตอบที่ได้ ทำให้ อิฉัน เกิด ความฉงนสนเท่ นะ
น่าแปลกใจจัง ทำไม คำตอบของ ปุถุชนคนไกลวัดอย่างพวกเขา
ดัน สวนทาง กับ คำตอบของ นักปฏิบัติธรรม อย่างอิอ่อน ซะนี่

อิอิ....
อยู่แล้ว ฉายา "รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดชะนี" ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วยหรอกนะ หุหุ ก็ยอมรับตามนั้นแหละ ไม่ได้เป็นคนดีของคนทางโลกอยู่แล้ว แหะ แหะ
แต่ปถุชนคนเข้าวัด เขาไม่ได้เป็นอย่างอิอ่อนกันทุกคนหรอกนะ สันดานแบบอิอ่อนนะไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ อย่างที่ป๋าโจเขาเห็นไส้เห็นพุงอิอ่อนน่ะ เคยบอกไว้สันดาน อิอ่อนน่ะ ทั้งใจจืดใจดำงกโลภมากเห็นแก่ตัวทำผิดก็ไม่เคยยอมรับผิด ลำเอียงก็ที่หนึ่ง รักลูกก็ไม่เท่ากัน ชอบทำร้ายจิตใจคนอื่นไร้น้ำใจ ฯลฯ ประมาณนี้แหละ อิอิ

ก็ตามนั้นแหละ 555

8954
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 110.168.82.240 วันที่: 30 กรกฎาคม 2556 เวลา:11:25:34 น.  

 
 
 
อ้างถึง....

ส่วน อิอ่อน นี่ แนะนำ ให้ ไปทำความเข้าใจ
เรื่อง วงปฏิจจสมุปบาท และ ปัจจุบันขณะ บ้างก็ดี
ตอบกี่ที ๆ ก็ยกชาตินู้นชาตินั้น มาอ้างตรึมเลย
ก็ไม่รู้ว่า มันจะช่วยให้ แก้ตัวให้ ไอดอล ของ อิอ่อน ได้ซักกี่น้ำกันนะ อิอิ

ตอบว่า เคยทำความเข้าใจเรื่องวงปฏิจาสมุปบาทแล้ว แต่ไม่เก็ตเอาซะเลย ก็เลยต้องวางไว้ก่อน ส่วนเรื่องปัจจุบันขณะ ก็กำลังทำฟามเข้าใจอยู่นะ ส่วนที่ต้องยกชาตินู้นชาตินี้มาอ้างเพราะไม่มีญาณหยั่งฟามจริงว่ะค่ะ ก็เลยต้องย้อนไปดูชาตินู้นชาตินี้เพื่อหาฟามจริงจากข้อมูลเก่าๆของคนนั้นๆเอามาประกอบการวิจัยธรรมะในเรื่องถกกันอยู่ เพราะเราอ้างเรื่องตำรามาถกกันก็ต้องไปค้นตำราในหลักฐานเดียวกันมาประการวินิจฉัย จริงๆไม่อยากตัดสินหรอกเพราะอย่างที่บอกบ่อยๆว่าไม่มีญาณหยั่งรู้ความจริงของใครๆไม่รู้เจตนาของผู้ใดตามจริงก็ต้องใชัจินตะเอาจากข้อมูลเก่าๆ เวลาโดนจี้ให้ตัดสินใครก็เลยเป็นอย่างที่เห็นต้องยกมหาสมุทรทั้งจักรวาลมาประกอบการตัดสินที่เข้ากับทิฏฐิของตัวเองที่ยึดถือเอาไว้อยู่ ง่ะ

ทิฏฐิของใคร ใครก็หวง เนอะ เอาไว้รู้จริงได้ด้วยตัวเองก็จะทำลายทิฏฐินั้นลงเองแบบว่าลองผิดลองถูกไป รู้ผิดก็วางเอง ไม่นิยมรับทิฏฐิคนอื่นมาไว้แทนที่ที่ทิฏฐิอันเดิม ยกเว้นทิฏฐินั้นมันไปทางเดียวกันได้ อิอิ ทิฏฐิเก่าที่รับไว้ก็เพราะพิจารณาว่าดีถูกกับจริตตัวเองไง จึงรับไว้ก็ต้องหวงเป็นธรรมดา เวลาโดนกระทบโดนแย้งจาากทิฏฐิอื่นที่แตกต่างกันก็ต้องปฏิเสธ-โต้-แถ-ลง ต่อต้านไว้ก่อน เดี๋ยวตัวตนอันที่ทีรักยิ่งจะถูกทำลายลงก่อนเวลาอันควร 555

3781
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 110.168.82.240 วันที่: 30 กรกฎาคม 2556 เวลา:11:44:08 น.  

 
 
 
ไปเจอบทความนักเทคนิคเรื่องหุ้น อ่านแล้วเหมือนรูปแบบการปฏิบัติธรรมแบบลองผิดลองถูกและมีพัฒนาการขึ้นของทั้งระบบ แปลกดี
Ed Seykota – ทุกคนได้สิ่งที่เขาต้องการ
Ed อ่านพบบทความของ Richard Donchian เขียนเกี่ยวกับ purely mechanical trend following system ว่าระบบนี้สามารถเอาชนะตลาดได้ ด้วยความที่เขาไม่เชื่อ Ed จึงตัดสินใจทดสอบความเชื่อนี้ด้วยการลองทำตามระบบ ผลปรากฏว่ามันประสบความสำเร็จ *.*

20. กฏการซื้อขายส่วนตัว 5 ข้อของ Ed คือ cut loss (ยอมตัดขาดทุน), ride winner (ถือตัวที่กำไรให้เดินต่อไป), keep bet small (คุมความเสี่ยงให้น้อย), follow the rule without question (ทำตามกฏอย่างไม่มีข้อสงสัย) และ know when to break the rule (รู้ว่าเมื่อใดควรจะแหกกฏ) ความน่าสนใจในกฏ 2 ข้อหลังนี้คือ เขาเชื่อในทั้งสองข้อนี้ เขาทำตามกฏเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาเรียนรู้ว่าบางครั้งเขาพบกฏใหม่ที่ค้านและนำมาทดแทนกฏข้อเดิม บางครั้งตัวเขาเองก็มีจุด break ที่ต้องตัดสินใจออกจากตลาด และพักร้อนจนกว่าเขาจะรู้สึกว่าพร้อมที่จะซื้อขายตามระบบอีกครั้ง Ed ไม่คิดว่า นักลงทุนสามารถจะทำตามกฏของตนเองได้นาน ตราบใดที่กฏเหล่านั้นไม่ได้สะท้อนแนวทางการลงทุนของตน ไม่เร็วก็ช้าคน ๆ นั้นจะทนทำตามกฏไม่ได้จนกว่าจะปรับเปลี่ยนหรือสร้างกฏเกณฑ์ใหม่ที่เขาทำตามได้ สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนาและการสร้างประสบการณ์ของนักลงทุนผู้นั้นเอง

//hoontoday.com/ed-seykota/

ปล.ลองเปลี่ยนคำพูดเรื่องหุ้น มาเป็นเรื่องการพัฒนาตนเอง ก็เข้าเค้าดีนะ ระบบ AI ที่พัฒนาตนเองให้เอาชนะโจทย์ได้ แต่คงจะเอาชนะไม่ได้ทุกโจทย์หรอกมั้ง เจอแจ๊คพ๊อตเข้าไประบบแพ้นีอคไปเลยก้มี แหะๆ

3125
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 110.168.82.240 วันที่: 30 กรกฎาคม 2556 เวลา:15:07:15 น.  

 
 
 
ถึง อิแค่รูป

อ้าง
------------------------------------
อะไรที่ทำให้ นู๋บี เป็นเภสัชละ หรือนู๋บีไม่มีความอยากเป็น
++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอบ
ใครบอกอ่ะ ว่า อิฉัน "อยาก" จะเป็นเภสัช ?
อิฉัน "อยากจะเป็น" นักประพันธ์ นามอุโฆษ ตะหากว้อยยยย
แต่ทว่า อีกใจ ก็ " ไม่อยาก" กินหมึกพิมพ์ แทน ข้าว
แถม ป๊ะป๋า ก๊ะ หม่ามี๊ ก็ ระริกระรี้ อยากให้เรียนทางนี้ มากกว่า
ก็เลย เอาวะ เรียน เภสัช ก็ได้ว่ะ อดข้าวดอกหนา ชีวาวาย ไม่ตายดอก เพราะ อดได้ ซีไรท์ 555


อ้าง
-----------------------------------
แล้วทำไม ถึงไม่ช้วยงานที่บ้าน หรือนู๋บี ไม่ได้เป็นเภสัช แล้ว คนทั้งโลกเขาต้องตายเพราะไม่มีคนจ่ายยาหรือ คิดสูตรยา
+++++++++++++++++++++++++
ตอบ
เรื่องไร ต้อง ดักดาน ช่วยงาน พ่อแม่ ให้โง่ล่ะ แบ่บว่า ขี้เกียจอ่ะ
สบช่องแล้ว มันเก๊าะต้อง หาเรื่องเปิดหูเปิดตา
ด้วยการเอา เรื่องเรียน บังหน้า มั่งดิ อิอิ

ส่วนไอ้เรื่อง จะมีใครตาย 5 เพราะไม่มีคนจ่ายยา
หรือ คิดสูตรยา นี่ก็เรื่องของพวกมันดิ
ไม่ใช่ โคตรพ่อโคตรแม่ อิฉันนิหว่าจะไปใส่ใจ อะไรมากมาย วะ
ก็ขนาด ป๊ะป๋าตัวเองเป็นมะเร็งจนตาย 5
อิฉันก็ยังไม่เห็นจะรู้สึกสึกรู้สา นักหนา อะไรนิ
และทำไม จะต้อง ไปใส่ใจคนอื่นด้วยล่ะ
ถ้า พวกมันโง่ ไม่รู้จักขวนขวายหาหยูกหายามารับประทานเอง
ก็ปล่อยให้มัน อมโรคตาย 5 อยู่อย่างนั้นแหล่ะ



อ้าง
-----------------------------------
แล้วพ่อแม่นู๋ ทำงานหาเงินมาส่งนู๋เรียน นี้ต้องลำบากเพราะนู๋หรือเปล่าละ
ทำไมนู๋ถึงไม่มีความคิดว่า ฉันไม่เป็นก็ได้เภสัช ไม่เรียนพ่อแม่จะได้ไม่ลำบาก นี้เป็นกุศลหรือเปล่าละ ห้ามคิด ๒ มาตฐานนะ
+++++++++++++++++++++
ตอบ
อืม... "กุศล" หรือ ไม่ ก็ช่าง แมงมัน จิค๊ะ
รู้แต่ว่า มาตรฐาน ในการบริหารจัดการกับเรื่อง การเรียนเภสัช นั้น
อิฉัน ไม่ได้ใส่ใจ เฉพาะเรื่องของ กุศล / อกุศล เท่านั้น
อิฉัน ให้ความสำคัญ เกี่ยวกับ การขับเคลื่อนของวงปฏิจ
ในรูปแบบบูรณการ ในทุก ๆ มิติ และ ทุก ๆ ระนาบ ด้วย
ว่า ปฏิฆะ ระหว่างกัน มันเกิดขึ้นหรือไม่ และ อะไรเป็นเหตุปัจจัย

และ เมื่อ พิณา ก็จะพบว่า ในเรื่องที่ อิฉัน ตัดสินใจเรียนเภสัชนั้น
มันไม่เกิด ปฏิฆะ ระหว่างกัน ระหว่างผู้ที่ เกี่ยวข้อง ( พ่อ - แม่- อิฉัน )
การขับเคลื่อนของ วงปฏิจฯ ก็เป็นไปอย่าง ชิล ๆ
และ จบแบบแฮ่ปปี้เอนดิ้ง วิน-วิน ด้วยกัน ทั้ง 2 ฝ่าย
ทั้ง เบื้องต้น เบื้องกลาง และ เบื้องปลาย
แถมยัง โปร่งใส ตรวจสอบได้ อีกด้วยอ่ะ


ฉะนั้น ถ้าคิดจะ เอา ไอ้เรื่อง เรียนเภสัช ของอิฉัน
ไปมาเปรียบเทียบกับ การหนีเมียไปบวช จนตรัสรู้ได้ มรรคผล นิพพาน แล้วล่ะก้อ
จะตอบให้เอาบุญ ก็ได้ จะได้รู้กันไปเลย ว่า กระบวนการคิดของอิฉัน
มัน เจ๋ง กว่า ขอทานแขกแดร่กหมู ที่พวกคุณกราบไหว้ปะหลก ๆ แค่ไหน อิอิ

อนึ่ง เมื่ออิฉัน สอบติดโควต้ามหาลัย และต้องการจะเรียนเภสัช
อิฉันก็ ปฏิบัติตาม ขั้นตอนดังนี้

1. แจ้งเรื่องนี้ ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ
ซึ่งก็ได้แก่ ป๊ะป๋าหมาน-หม่ามี๊แก้ว ผู้เป็น บุพการี
และ เป็น สปอนเซอร์ ส่งเสีย ให้อิฉัน ได้ร่ำเรียน

2.บอกความประสงค์ของตน ให้พ่อกับแม่รับรู้
ว่า ต้องการจะไป ศึกษาวิชาการทำยาเบื่อ ที่สำนักท่าโพธิ์
ป๊า กะ ม๊า จะ โอเค นะคะ ยอมให้ไถเงินไปเรียน เอ๊ย ยอม อุปการะส่งเสีย ด้วยป่ะ ?
จากนั้น ก็ให้สิทธิ กับพ่อแม่ ในการตัดสินใจ ในเรื่องนี้ ว่าจะเอาไงดี

3.ถ้า ป๊า กะ ม๊า โอเค นะคะ ด้วย
มันก็จบ ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลยนิ
ในเมื่อ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง กับเรื่องนี้
มี " การปรึกษาหารือ และ ถามไถ่ความสมัครใจ " จาก คู่กรณี
แล้ว ได้บทสรุปออกมาว่า อุปสงค์อุปทาน ของทุกฝ่าย สอดคล้องต้องกัน
ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ต้องขุ่นข้องหมองใจ จากการร่ำเรียนเภสัช ของอิฉัน

นี่จะบอก อะไร ให้นะ สมัยที่อิฉัน สอบติดโควต้าเข้ามหาลัยนั้นน่ะ
พ่อแม่งี้หน้าบานเป็นกะโล่เลยมั้ง แทบจะอุ้มอิฉันไปส่งที่หน้ามหาลัยเลยมั้ง
ยิ่ง อิคุณนายแก้วดีอ่ะนะ ถึงขนาด ยอมทุ่มทุน ติดสินบน จะให้ เงินขวัญถุง
ถ้าอิฉันยอมไปเรียนสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ ด้วยซ้ำ
เพราะ ตอนนั้นน่ะ อิฉัน ดัน นึกครึ้มอยากเป็น วิศวะ น่ะ
( บังเอิญเกิดมาเก่งแถม สวยเลือกได้อ่ะ เลย สอบติดทั้ง 2 อย่าง 55555 )

ก็ ในเมื่อ สถานะการณ์ และ เหตุปัจจัย ของอิฉัน มันเป็นงี้
มันจึงทำให้ อิฉัน ค่อนข้างชัวร์ว่า พ่อกะแม่ ยินดีที่จะเหนื่อยยากลำบากกาย
ให้เงินมาให้ อิฉันไปร่ำเรียนศิลปะวิทยา อ่ะจร้าาาาาาาาาา


ในเมื่อ รูปการเป็นแบบนี้ ทำไม จะต้องรู้สึกผิด
และ หาเรื่อง ลาออก มาช่วยแม่ขายส้มตำงก ๆ ด้วยวะ
ขืน ดราม่า แบบไม่รู้กาลเทศะ แหกปากพิรี้รำพัน บอกว่า...

" อะซิก....อะซิก....พ่อแม่นู๋ ทำงานหาเงินมาส่งนู๋เรียน นี้ต้องลำบากเพราะนู๋
งั้น นู๋ ไม่เป็นก็ได้เภสัชแร้วอ่ะ พ่อแม่จะได้ไม่ลำบาก ฯลฯ "

พ่อแม่ฟังแล้ว ก็ คงผิดหวัง อาจหัวใจสลายจนอกแตกตาย ได้สิคะ
แล้ว เรื่องอะไร อิฉันจะโง่ ทำอะไรที่มันเข้าข่าย ขัดใจ บุพพการี
หาเรื่องถูกตัด ออกจากกองมรดก ทำไมล่ะ
ในเมื่อ ทั่นเต็มใจจะ เหนื่อยยากลำบากกาย
ยอม ตำส้มตำงก ๆ ส่ง อิฉันเรียน ก็ฉลองศรัทธา พ่อ กะแม่ ไปดิ
จะไปคิดเองเออเอง แล้ว สร้าง ดราม่า ปัญญา อ่อน ทำไมให้เมื่อย
คนเป็นพ่อเป็นแม่อ่ะนะ เหนื่อยกาย มันไม่เท่าไรหรอกจร้าาา
แต่ เหนื่อยใจ เพราะ ลูกมัน ม่ายล่ายดังใจ นี่ดิ มันทุกข์ใจแสนสาหัส นะ



4. แต่ ถ้าป๊า กะ ม๊า ตัดสินใจ ในทางตรงข้ามกับความประสงค์ ของอิฉัน
บอกว่า อย่าเรียนเลยอินู๋เอ๊ยยยยยย พ่อแม่ขี้เกียจลำบาก ส่งเสียเอ็งเรียน
ตอนนี้ ข้าวสารกรอกหม้อ ก็ยังไม่ค่อยจะมี เห็นทีจะไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมให้หรอก

อิฉัน ก็ พร้อมที่จะ น้อมรับคำพ่อกะแม่
และ ไปกู้เงินมาเรียน เองก็ได้นิ ไม่เห็นอยาก

หรือ ถ้า พ่อกับแม่ บอกว่า เฮ้ยยย จะเรียนไปทำติ้งอะไรวะ อินู๋บี
เอ็งจงมา ช่วยพวกตรู ตำส้มตำขาย เพื่อแบ่งเบาภาระ ให้พ่อกะแม่ ดีกว่า
เนี่ย เหนื่อยยากเสียอัฐ เลี้ยงเอ็งมาก็หลายอยู่ โตแล้ว ก็ หัดมาทดแทนคุณมั่งสิวะ ฯลฯ

อิฉันก็จะ ดร็อปเรียนเภสัช ไว้ก่อน แล้วออกมาขายส้มตำ
ช่วยพ่อกับแม่ทำมาหากิน เพื่อทดแทนบุญคุณไปพลาง ๆ
ตกกลางคืนว่าง ๆ ก็ไปเรียน กศน. เก็บหน่วยกิต ตุนเอาไว้ก่อนก็ได้ นิ
ไม่งั้น ก็ครึ้ม ๆ ก็ไป ขายตัว หาลำไพ่พิเศษ เก็บไว้เป็นค่าเทอม ในอนาคต ก็ได้
ประเหมาะเคราะห์ดี อาจเจอ อาบังกระเป๋าหนัก ชวนไปเป็น เมียคนที่ 4
ก็จะได้ มีเงินไป จุนเจือให้พ่อแม่ และ ได้ไปเรียนเภสัช สมใจ
โดย ไม่ทำให้ เกิด ปฏิฆะ กะ ทุกฝ่าย ด้วยไง เห็นไหม ? วิน-วิน อิอิ

เฮ้อออ คนเราอ่ะนะ ถ้ามัน มีปัญญา รู้จักโยนิโส
มันก็หาทางไป ในทั้งนั้นแหล่ะ ไม่ใช่โง่ดักดาน แบบ คนบางคนนิ
พอ อยากจะเรียนเภสัช ก็มีจินตนาการบรรเจิด
เกิด กลัวว่า พ่อแม่จะไม่ให้เรียน เลย หอบผ้าหอบผ่อน หนีไปเรียน จนได้
ไม่เคย เอาใจเขามาใส่ใจเรา แล้ว จับเข่าคุยกัน ให้มัน เคลียร์ ๆ เลย
นึกถึงความต้องการของตนเป็นที่ตั้ง งี้ มันเป็น สัมมาฯ ที่ตรงไหน กันน๊อออ ?

ว่าแต่ คุณเหอะ อ่านตัวหนังสือ ของอิฉัน แล้ว
คุณเห็น ความ เหมือน ที่ แตกต่าง อะไร เกี่ยวกับเรื่อง การเรียนเภสัช ของอิฉัน
และ การ หนีเมียไปบวช ของ สมณะโคดม บ้างล่ะ ?





อ้าง
----------------------------------------
ผมส่งสารพ่อแม่นู๋จริงๆ ที่ลำบากลำบนเลียงหนูมาเพื่อนินทาท่านลับหลัง
นี้ อกุศล
+++++++++++++++++++++++++

ตอบ
ไอ้เรื่อง นินทา พ่อแม เนี่ย อย่าว่า แต่ ลับหลัง เลยว่ะ
ด่าตรง ๆ ต่อหน้า ก็เคยมาแระจ้าาาาาา
ก็ไม่เห็น พวกอี จะว่า อะรัย อิฉันเลย
แถม เผลอ ๆ บางที ยังมีการ บอกอีกแหน่ะ ว่า.....

เออ อิบี มันพูดเรื่องจริง ! 55555

อพิโธ่เอ๊ยยยยยย ตระกูลอิฉันน่ะ
มัน อดัมส์ แฟมิลี นะคุณ เลยเห็นพ่อแม่เป็น ลูกบอล 5555
แล้วก็ ไม่ ต้อง ห่วงเรื่อง อกุศล อะไร แทน อิฉันด้วย
เพราะ ขนาดเอาเรื่องที่นินทาพ่อแม่ ในเนต ไปเม้าส์ ให้หมานฟัง
เอา ตัวหนังสือ ในเวบเพจ ที่ นินทาแม่ ไปให้ แก้วดี ดู
หมาน กะ แก้ว ก็ยัง ขำก้าก ได้อยู่เลยอ่ะ
ไม่เห็นจะ มาขุ่นข้องหมองใจ อะไร อิฉันเลย


ในเมื่อ คนในครอบครัว เขา ก็เม้าส์กัน อย่างนี้เป็นปกติสุข
เจ้าตัวคนถูกนินทา ยังไม่ว่า อะไร และ "ยอมรับได้แบบ ชิล ๆ "
กับการพูดจาประสา อดัมส์แฟมิลี่ เช่นนี้
คนนอกอย่างคุณ จะมาวิตกจริต เป็นเดือดเป็นร้อน แทน หมาน กะ แก้ว ทำไม
สะกด คำว่า มารยาทเป็นป่ะ สาระแหน่แม่ยิ้ม ไปคิดแทนชาวบ้าน ซะงั้น


ถึง อิอ่อน

เนี่ย ทั่น ด๊อกฯ ฝากมาบอกว่า
คืนนี้ มัว ระลึกชาติ เฉ่ง อิแค่ รูป เพลิน จนคึกไปหน่อย
เก๊าะ เลย ยังไม่มีเวลา ถลกหนังหัว อิอ่อนมันเลย
งั้น ยก ผลประโยชน์ ให้ จำเลย ชัวคราว แระกัน
เพราะ ทั่น ด็อกฯ จะเข้าบรรทม แระ

แต่ถ้า อิอ่อน มัน อยากจะเก็ท เรื่อง วงปฏิจฯ
ก็ลองอ่าน ตัวหนังสือ ที่ ทั่นด็อก มันเฉ่ง อิแค่รูปดิ เผื่อจะเกิด ซาโตริ ขึ้นมาบ้าง
แล้ว เด๋ว ว่าง ๆ จะมา หาเรื่องถลกหนังหัวอิอ่อนต่อ นะจ๊ะ
( แต่ว่า พรุ่งนี้ คงไม่สะดวก อ่ะจร้าาาาาา ไว้วันอื่นก็แระกัน หุหุ )


อ้อ และ ถ้า อิอ่อน มันยังคิดว่า การหนีเมียไปบวช ของ เจ้าชายสิทธัคถะ
มันเป็น สัมม๊า สัมาาาาาาาาาาา จริง ๆ
ก็อย่าลืม สอนให้ ลูกชาย เจริญรอยตาม ด้วยล่ะ

อย่าลืมสอนฮาร์จัง ด้วยว่า

ฮาร์ทจังจ๋า ถ้านู๋มี เจตนาดีที่บริสุทธ์ใจ แล้วนะลูก
ถึงนู๋จะมีลูกมีเมียแล้ว นู๋ก็สามารถหนีครอบครัว
เพื่อไปแสวงหาทางพ้นทุกข์ เหมือน สมณะโคดม ได้นะจ๊ะ
แม่สนับสนุน เต็มที่ อิอิ


เออ จริง ตะคืน เอา คำถาม ต้องเลือก A or B
ไป ถามน้องที่ทำงานอีกคน พยามชักแม่น้ำทั้ง 5
บอก ข้อดีของ นิพานัง ปรมัง สุขขัง
เพื่อหว่านล้อมให้มัน เลือก เอา สองแม่ลูก ไปบูชายัญฯ แค่ไหน
มันก็ส่ายหน้าหวือ หัวเราะแหะ ๆ แล้วบอกว่า...

ไม่อ่ะ ถ้าจะให้นู๋ มีความสุขบนความทุกข์ ของคนอื่น งี้ หนูทำไม่ลง vjt

เฮ้ออออ ฟังน้องมันพูด แล้ว สะเทือนใจจัง
จริงอย่างที่ อิเจ้า สับสน มัน บอกไว้จริง ๆ ด้วยว่า...

สิ่งที่คนเรา สอนกันไม่ได้ คือ "สามัญสำนึก" อิอิ

4771

 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 30 กรกฎาคม 2556 เวลา:23:55:23 น.  

 
 
 
ตามฉะบายของทั่นด๊อกฯเลยจ้า อิอิ
สะดวกจะชำแหละเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น

เรื่องฮาร์ทจังน่ะ ถ้ามีเจตนาบริสุทธิ์และมีปณิธานเหมือนเจ้าชายชายสิทธัตถะ ที่จะช่วยลูกเมียและคนอื่นๆให้พ้นทุกข์ถาวร อิอ่อนมันก็สนับสนุนเต็มที่อะจ้า แม้ป๋าโจก็เหมือนกัน เพราะถ้าช่วยเหลือซึ่งกันและกันโดยยอมลำบากเป็นทุกข์ชั่วคราวเพื่อจะพ้นทุกข์ถาวรไปด้วยกัน มันก็คุ้มแหละ ดีกว่าจะกอดคอจมทุกข์จมโลกกันไปตลอด มองยาวๆ ดีกว่ามองสั้นๆ เรียกว่ารู้จักเสียสละความสุขส่วนตัวและความสุขของครอบครัวเพื่อเป้าหมายร่วมกัน ถ้าทุกคนในครอบครัวเข้าใจเป้าหมายตรงกันเชื่อใจกัน ก็ไม่น่ามีดราม่า นะ อิอิ

ส่วนเรื่องนู๋บีทำกรรมดีเป็นกุศลโดยตลอดแล้ว งดงามทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง และเบื้องปลาย ก็อนุโมทนาด้วยจ้า ส่วนเรื่องของ"สามัญสำนึก" ก็ของใครของมัน อะจ้า เราว่าทำแบบนี้ดีคนอื่นเขาว่าไม่ดี ก็ไม่เป็นไรนิ จะว่าขาดสามัญสำนึกก็ไม่เป็นไร มีปณิธาณของตัวเองที่ตั้งใจแล้วก็ต้องมุ่งไปให้สำเร็จ ใครเห็นดีงามก็ไปด้วยกัน ใครเห็นชอบอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น สุดท้ายทุกคนก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการอยู่ดี ถึงบอกว่าคนที่จะเอาชนะโลกเข้าทางธรรมมันถึงอยู่กับคนที่รักจะจมอยู่ในทางโลกได้ยาก เพราะจะมีบ่วงต่างๆมาผูกไว้ไปไหนไม่รอดเพราะตัดห่วงไม่ได้มันติดในสามัญสำนึกทำไม่ลง แต่ยอมจมทุกข์ติดอยู่ในบ่วงทางโลกคือสามัญสำนึกที่ดีแบบนั้น ก็ยินดีกับคนเหล่านั้นด้วยนะ ส่วนอิอ่อน น่ะ บ๊ายบายไม่ยอมติดในเรื่องแบบนี้ ยอมหักดิบกันให้เสียใจลำบากในวันนี้เพื่อจะได้สบายด้วยการหลุดพ้นโลกในวันหน้าดีกว่า แบบว่า รู้รักษาตัวรอดเป็๋นยอดชะนี อะแหละ ใครไม่เห็นดีด้วยก็ทิ้งได้หมด ใครเห็นดีด้วยก็เดินไปทางนี้ด้วยกัน รอกันไม่ไหวจ้าความอดทนเค้ามีน้อย เพราะสามัญสำนึกมันไม่ได้ไปในทางเดียวกันแล้วมันก็จะเป็นทุกข์ถ้าต้องอยู่ร่วมกัน อิอิ คนที่ชอบเอาตัวรอดแบบอิอ่อนน่ะ ในโลกนี้ก็หายากอยู่แล้วนะเธอว์ ทั้งโรงบาลนู๋บี ก็คงหาที่คิดเหมือนอิอ่อนไม่ได้หรอกมั้ง อิอิ ต่อให้อิอ่อนมันคิดต่างทำต่างจากคนทั้งโลก โดนคนทั้งโลกตำหนิ ก็จะทำถ้ามันเป็นเรื่องที่ถูกในทางธรรม ทำแล้วพ้นจากความทุกข์ทางโลกได้

ส่วนเรื่องกินหมู ไปพูดแบบนั้นก็เหมือนใส่ร้ายเขานะ พูดความจริงไม่หมด เขาให้กินได้ทุกอย่าง ยกเว้นเนื้อ12อย่าง แต่ต้องพิจารณาอาหารที่กินเข้าไปไม่ให้ติดใจในรสของอาหารทั้งเนื้อสัตว์และที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ การยังชีพแบบภิกษุแท้มันไม่ง่ายแบบที่คนทั่วไปคิดกันหรอก เพราะไม่มีคนหาให้กิน ก็ต้องยอมอดตาย ไม่มีคนสละให้กินก็ต้องยอมอดตาย พระแท้ๆไม่กลัวตาย ไม่กลัวลำบาก ไม่กลัวคนติฉินนินทา อยู่แบบคนสละความสุขแบบโลกๆแล้ว จะกินอะไรก็พิจารณาให้เป็นธรรมไม่ใช่อยู่แบบคนเห็นแก่กิน มีข้าวก็กินข้าว ไม่กินหมูก็โยนให้หมากิน แต่คนที่ไม่กินหมูเขาไม่มาว่าคนที่กินหมูหรอกถ้าเจตนาเขากินเพื่อยังชีพไม่ได้มีเจตนากินเพราะติดรสเนื้อ ถ้าชาวบ้านเชื่อฟังคำสอนพระมีศีลหมดทุกคนเลิกฆ่าสัตว์มากินกันได้ ก็เป็นเรื่องดี ก็ไม่ต้องทำเนื้อสัตว์มาให้พระกิน พระก็ไม่ต้องมามีปัญหาให้คนอื่นๆติฉินนินทาเรื่องกินเนื้อสัตว์ที่มีคนเอามาให้ฉัน ถ้าพระติดรสเนื้อก็ไม่ใช่พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้แต่พระติดรสที่ไม่ใช่เนื้อก็ไม่ใช่พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเหมือนกัน ต้องไม่ติดอะไรเลย ถึงจะเรียกว่าพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

นะ รู้รักษาตัวรอดคือชะนี จิงจิ๊ง อิอิ

6917
*.*
 
 

โดย: อิิอิ IP: 58.11.129.116 วันที่: 31 กรกฎาคม 2556 เวลา:10:15:32 น.  

 
 
 
อ้าง
-----------------------------------
ว่าแต่ คุณเหอะ อ่านตัวหนังสือ ของอิฉัน แล้ว
คุณเห็น ความ เหมือน ที่ แตกต่าง อะไร เกี่ยวกับ
เรื่อง การเรียนเภสัช ของอิฉัน
และ การ หนีเมียไปบวช ของ สมณะโคดม บ้างล่ะ ?
++++++++++++++++++++++++
นู๋มีโอกาศชี้แจง เหตุผล
 
 

โดย: ว. IP: 223.206.190.53 วันที่: 31 กรกฎาคม 2556 เวลา:21:23:18 น.  

 
 
 
เอาให้เคลียร์ อีกนิสนุง นะ อ้างถึงคำถามนี้น่ะ

อืม...วันนี้ นึกครึ้ม เอาคำถาม ต้องเลือก ระหว่าง
+++++++++++++++++++++++++

A .ให้ แม่ลูกคู่หนึ่ง ต้องมาถูกเอาไปบูชายัญ
( ทำให้เกิดความทุกข์ใจเหมือนตายทั้งเป็น )
เพื่อให้ได้มาซึ่ง การตรัสรู้ เป็น สัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้ว เอา องค์ความรู้ที่ได้ กลับมาเทศน์โปรด คนตอบ
ให้ มีโอกาสเห็นดวงตาธรรม จนถึง มรรคผล นิพพาน


ฺB.ปลดปล่อย แม่ลูกคู่นี้ จากการเป็นเหยื่อของชะตากรรม
เจ้าชาย ไม่ต้องหนีเมีย ไปบวชก็ได้ มรรคผลนิพพานอะไร ไม่เอาก็ได้
เจ้าชายสิทธัตถะ จะชวด การเป็น สัมมาอรหันต์
แล้ว เรา อดได้ เห็นดวงตาธรรม ก็ช่างแมงมัน


++++++++++++++++++++++++++++

ถึงตัวคนตอบอย่างอิอ่อนจะไม่ได้ประโยชน์ตอบแทนในเรื่องดวงตาเห็นธรรมจากเรื่องนี้ ก็จะเลือกข้อ A อยู่ดี การสนับสนุนให้คนๆหนึ่งได้บรรลุมรรคผลนิพพานมีดวงตาเห็นธรรม ถือเป็นกุศลทั้งนั้น ในความเห็นของอิอ่อนนะ การที่คนในครอบครัวคัดค้านไม่เห็นด้วยจนถึงขั้นเป็นทุกข์แสนสาหัสนั้น ก็เพราะเขาไม่รู้จักทุกข์ที่แท้จริงไง ไม่รู้ว่าไฟกำลังไหม้บ้านอยู่ พ่อบ้านจะออกไปหาน้ำมาช่วยดับไฟก็ไม่ให้ไป จะให้ตกอยู่ในกองไฟด้วยกันอย่างนั้น คนที่เป็นพ่อบ้านนั้นรู้มากกว่า รู้ว่าอยู่ในกองไฟ รู้ว่าจะช่วยอย่างไร การตัดสินใจหนีไปคนเดียวเพื่อเหาน้ำมาช่วยดับไฟโดยที่คนในครอบครัวไม่เห็นด้วยแถมยังขัดขวางนี่ ใครขาดปัญญามากกว่ากัน และใครควรจะทำตามใคร ใครควรจะไว้ใจใครให้เป็นผู้นำครอบครัว ปล่อยพ่อบ้านไปทำงานที่ควรทำ หรือจะยึดพ่อบ้านไว้ให้อยู่กับครอบครัวต่อไปจนกว่าพวกเขาจะรู้สึกว่าไม่ทุกข์ถ้าขาดพ่อบ้านแล้ว ใครมีสามัญสำนึกที่ถูกต้องมากกว่ากัน ใครคือคนที่เสียสละ ใครคือคนที่เห็นแก่ตัว

ยุคพระโคดมพุทธเจ้า เป็นยุคของปัญญา ทุกอย่างต้องใช้ปัญญาในการตัดสินพิจารณาทุกเรื่องยกตัวอย่างตามตำราคือในยุคพระกัสสปพุทธเจ้า อายุมนุษย์สองหมื่นปีพระองค์เกิดในตระกูลพราหมณ์ บิดานามว่า พรหมทัต มารดานามว่า ธนวดี หลังจากเจริญชันณษาแล้ว ทรง อภิเษกกับ มเหสีนามว่า สุนันทา ทรงมีราชโอรส วิชิตเสน ทรงเป็นฆราวาสอยู่ 2,000 ปี เมื่อถึงคราวทรงเห็นเทวทูตทั้งสี่ ได้ละทางโลก แล้วทรงออกผนวช บำเพ็ญเพียรอยู่ 7 วันก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็ดำเนินไปตามครรลองธรรม แต่มายุคของพระโคดมพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะ ด้วยความที่พระบิดาอยากให้สืบราชสมบัติจึงสร้างปราสาท3ฤดู ไม่ให้ออกนอกวัง ปิดหูปิดตาไม่รู้เรื่องของชาวโลกนอกวัง หาเมียให้ หวังจะผูกพันเจ้าชายสิทธัตถะไว้ให้เจริญอยู่ในทางโลกที่พระองค์เห็นดีเห็นงาม แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้เห็นเทวฑูตทั้ง4แล้ว ก็ละทางโลก รู้ว่าต้องทำอะไร เกิดมาเพื่ออะไร จำเป็นต้องทำในสิ่งที่ทุกคนในครอบครัวคัดค้าน เพราะท่านรู้ความจริงแล้ว แต่คนอื่นๆในครอบครัวยังไม่มีใครรู้ไม่มีใครเข้าใจ เพราะท่านเป็นผู้นำท่านจึงต้องเลือกสิ่งที่ถูกต้อง เรื่องที่ออกบวชโดยครอบครัวคัดค้านนั้นไม่ใช่จะมีแต่พระองค์ ท่านสารีบุตรก็มีเรื่องแบบนี้เหมือนกัน แม่พระสารีบุตรมีน้องชาย ๓ คน และน้องสาวอีก ๓ คน ภายหลังพระสารีบุตรได้ชวนน้องทั้งหกคนออกบวช คือ พระจุนทะ พระเรวตะ พระอุปเสนะ และน้องสาว คือ พระจาลาเถรี พระอุปจาลาเถรี และพระสีสุปจาลาเถรี การที่พระสารีบุตรชวนน้องทั้งหกคนบวชนั้นเป็นเหตุให้นางพราหมณีสารีผู้เป็นมารดานั้นไม่ค่อยพึงพอใจนัก เพราะคิดว่าทอดทิ้งนางออกไปบวช ถ้าท่านสารีบุตรยอมตามแม่ให้แม่เป็นผู้นำชีวิต ก็คงจะไม่มีวันช่วยแม่ให้พ้นมิจฉาทิฏฐิได้

ความกตัญญูรู้คุณของพระสารีบุตร คือ การไปตอบแทนคุณมารดาด้วยการกลับไปนิพพาน ณ ห้องที่ท่านเกิดที่บ้านของท่าน ตอนแรกที่นางสารีพราหมณีทราบว่าพระลูกชายกลับมาบ้าน โดยนางไม่รู้ว่าพระสารีบุตรมีความต้องการจะตอบแทนคุณมารดาด้วยการเทศนาธรรม และนางไม่เชื่อว่าพระลูกชายเป็นพระอรหันต์ เมื่อพระสารีบุตรพร้อมด้วยพระจุนทะพระน้องชายพร้อมบริวารเข้าไปในสถานที่ที่โยมมารดาให้คนจัดให้ตามประสงค์แล้วตกดึกพระสารีบุตรก็ป่วยด้วยโรคปักขันทิกาพาท(ถ่ายจนเป็นเลือด)อย่างปัจจุบันทันด่วน ท่านได้รับทุกขเวทนาอย่างมากพระจุนทะและบริวารช่วยกันดูแลอย่างใกล้ชิดฝ่ายมารดาเห็นว่าท่านอาพาธหนักถึงเข้ามาดูอาการด้วยความห่วงใย ขณะนั้นเทวดาองค์สำคัญๆ ต่างมาเยี่ยมอาการป่วยของท่านตามลำดับคือ ท้าวมหาราชทั้งสี่ ได้แก่ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์ ท้าววิรุฬหก และท้าวเวสสุวัน ผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์ )ผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสุยามผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นยามา ท้าวสันดุสิตผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นดุสิต ท้าวสุนิมมิตผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นนิมมานรดีและท้าวปรนิมมิตวสวัตดี เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้น ปรนิมมิตวสวัตดีรวมทั้งท้าวมหาพรหมแห่งพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ก็ได้มาเยี่ยมอาการป่วยของท่านด้วย เทวดาและท้าวมหาพรหมแต่ละองค์นั้นล้วนมัศมีกายเปล่งปลั่งงดงาม ต่างพามาเยี่ยมอาการป่วยของท่านด้วยความเป็นห่วงและเคารพยิ่ง นางสารีเห็นเหตุการณ์นั้นตลอด เมื่ออาการของพระเถระค่อยบรรเทาลง นางได้เข้าไปหาแล้วสนทนาด้วย โดยได้ถามถึงเทวดาองค์สำคัญๆ ที่มาเยี่ยมซึ่งนางไม่ทราบว่าเป็นใคร ท่านได้บอกให้โยมมารดาทราบตามลำดับจนกระทั่งถึงท้าวมหาพรหม

“อุปติสสะ” โยมมารดาเรียกชื่อเดิมของท่านด้วยความอัศจรรย์ใจ “นี่ลูกของแม่ใหญ่กว่าท้าวมหาพรหมอีกหรือ”
“ใช่...โยมแม่” ท่านตอบรับ ทันใดนั้นโยมแม่ก็เกิดปีติอย่างใหญ่หลวง สีหน้าอิ่มเอิบเมื่อได้ทราบว่าพระลูกชายยิ่งใหญ่กว่าท้าวมหาพรหมที่ตนเคารพ
“อุปติสสะลูกชายเรายิ่งใหญ่ขนาดนี้แล้วพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระศาสดาของลูกชายเราเล่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหน” นางสารีคิดไปถึงพระพุทธเจ้า
พระสารีบุตรสังเกตดูโยมมารดาตลอดเวลา เมื่อเห็นจิตจิตใจเริ่มอ่อนโยนเหมาะจะรับน้ำย้อม คือ คำสอนทางพระพุทธศาสนาได้ จึงเริ่มแสดงธรรมโปรดโดยพรรณนาถึงพระพุทธคุณนานาประการ อาทิ พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระอรหันต์ห่างไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง โยมมารดาฟังแล้วเลื่อมใสยิ่งนักเมื่อจบฟังธรรมเทศนานางก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล พระเถระได้ตอบแทนคุณโยมมารดาด้วยการตอบแทนที่ล้ำค่า คือให้พ้นความเห็นผิดที่มีมานานเสียได้

นี่ก็เป็นตัวอย่างเรื่องของคนในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้า ที่มีเรื่องแบบนี้เยอะ ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้มาก นอกจากนี้ในกลุ่มพระญาติของพระองค์ก็ออกบวชหมด รวมถึงพระราหุล เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบ ก็โทมนัสเสียพระทัยยิ่งนัก รีบเสด็จไปเฝ้าพระ
ผู้มีพระภาคเจ้ายังพระวิหาร แล้วทูลขอประทานพระพุทธานุญาตว่า “ตั้งแต่นี้ต่อไปในภายหน้ากุลบุตรผู้ใดแม้ประสงค์จะบวชหากมารดาบิดา ยังไม่ยินยอมพร้อมใจอนุญาตให้บวชแล้ว ขอให้ทรงงดไว้ก่อน อย่าเพิ่งให้
บรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรผู้นั้น” พระบรมศาสดาก็ประทานพรแก่พระพุทธบิดา

ประวัติพระเจ้าสุทโธทนะ
พระเจ้าสุทโธทนะเป็นกษัตริย์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรมและยึดมั่นในราชประเพณีอย่างเคร่งครัดในการปกครองบ้านเมือง ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขตลอดรัชสมัยของพระองค์] ทรงมุ่งหวังที่จะให้พระโอรสโดยเฉพาะสิทธัตถะได้รับเลือกจากสภาศากยะให้เป็นราชาสืบต่อจากตน แต่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช และพอทราบว่า เจ้าชายสิทธัตถะได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จึงเชิญพระศาสดากลับมาที่กรุงกบิลพัสดุ์
เมื่อพระบรมศาสดาที่เสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์คราวนี้ พระเจ้าสุทโธทนะได้สดับรับฟังพระธรรมเทศนา ทรงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา บรรลุพระโสดาบันเป็นอุบาสกพุทธบริษัทและบรรลุพระอรหัตผลนิพพานในพรรษาที่ 5 ของพระพุทธเจ้า

ปล.เอามาให้ดู ประกอบการวินิจฉัย เนาะ จะได้เข้าอกเข้าใจตรงกัน เรื่องพุทธะ การตรัสรู้ในช่วงอายุมนุษย์ 100 ปี ไม่ง่าย แม้แต่พระศาสดายังมีพระชนม์เพียง 80 พรรษา เท่านั้น และยังอยู่ในท่ามกลางมนุษย์ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิมากมาย กิจในทางธรรมก็ไม่ค่อยจะมีคนเห็นด้วย ต้องทวนกระแสโลกอย่างมาก ต้องใช้ปัญญาในการเห็นมาก ที่น่าเสียดายคือ ท่านพระอาจารย์โอฬารดาบสและอุทกดาบส ตายหลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้เพียง 1 วัน และอีกคน 7 วัน ทำให้ท่านพระอาจารย์ต้องพลาดการตรัสรู้ในชาตินี้ไปอย่างน่าเสียดาย เกิดเป็นอรูปพรหม ไม่รู้ว่าอีกพุทธันดรจึงจะได้พ้นทุกข์ได้ เมื่อเวลามีน้อยทุกอย่างก็ต้องทำให้เต็มที่เต็มเวลาให้ทันเวลาที่จะช่วยคนที่บำเพ็ญบารมีมาร่วมกับท่านในหลายๆชาติ อย่างพระองคุลีมาร ก็เกือบไม่ทัน กำลังจะฆ่าแม่เพื่อเอานิ้วพอดี เพราะมิจฉาทิฏฐิพาไป ดังนั้นในยุคนี้จะมีคนดิดเห็นไม่ชอบใจการกระทำของเจ้าชายสิทธัตถะและพระโคดมพุทธเจ้า ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นยุคที่ต้องใช้ปัญญาเอาชนะอุปสรรค เรื่องสามัญสำนึกที่ถูกและผิดต่อชาวโลก ก็ตามนั้น ใครจะติฉินอย่างไร อิอ่อนก็ยอมรับได้ตามนั้นแหละไม่เถียง แต่ขอแสดงความเห็นเฉยๆเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน อิอิ

ปล. ปิด แถ-ลง เรื่องการแก้ตัวให้กับสามัญสำนึกที่สวนทางกับชาวโลก อิิอิ

2056
*.*


 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.144.56 วันที่: 1 สิงหาคม 2556 เวลา:10:25:02 น.  

 
 
 
พอจะเดาได้ว่านู๋เข้าใจอยู่แล้ว แต่ยกโพสขึ้นมาทดสอบคนอื่น
 
 

โดย: ว. IP: 223.206.190.53 วันที่: 1 สิงหาคม 2556 เวลา:15:08:17 น.  

 
 
 
ถึง คุณ ว.

อืม...ตกลง "นู๋" ไหน เข้าใจอยู่แล้ว
และ "นู๋" ไหน ได้รับโอกาส ให้ชี้แจงเหตุผล ล่ะ
นู๋บี หรือว่า นู๋ขวัญ ?

เอ ว่าแต่ ว. นี่ ว.ไหนน๊ออออออออออ ?
ว.วีระชัย หรือ ว.วรพจน์ หรือ ว.วันฉัตร WM เวบชื่อดัง
เอ ?หรือว่า จะเป็น หลวงเจ้เจริญพวง กันแน่ล่ะหว่า 555

เอาเป็น ว่า นู๋บี ไม่ขอรับโอกาส ที่จะชี้แจงเหตุผล ก็แระกัน
แบ่บว่า ขี้เกียจตอบว่ะ ถามทิ้งถามขว้าง ไปงั้นเอง
ส่วนใครอ่านคำถามแล้ว ได้ประโยชน์ จากคำถามนี้ไหม
ก็สุดแล้วแต่ วาสนาจริต อิอิ

9716
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 1 สิงหาคม 2556 เวลา:21:58:28 น.  

 
 
 
ถึงอิอ่อน

อ้าง
----------------------------------
ธรรม ในฟามหมายที่อิอ่อนมันใช้บ่อยๆน่ะหมายถึงสัจจะความเป็นจริงของธรรมชาติ ไง แบบว่า กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา แปลในแบบของอิอ่อน ก็ประมาว่า แบ่งแยกได้เป็น กุศลธรรม อกุศลธรรม และธรรมที่ไม่เป็นกุศลและอกุศลคือเป็นกลางๆ

ถึงตัวคนตอบอย่างอิอ่อนจะไม่ได้ประโยชน์ตอบแทนในเรื่องดวงตาเห็นธรรมจากเรื่องนี้ ก็จะเลือกข้อ A อยู่ดี การสนับสนุนให้คนๆหนึ่งได้บรรลุมรรคผลนิพพานมีดวงตาเห็นธรรม ถือเป็นกุศลทั้งนั้น


+++++++++++++++++++++

งั้น อะไร คือ กุศลกรรม อะไรคือ อกุศลกรรม
อะไรคือ สัมมา อะไร คือ มิจฉา ฯ

กุศลกรรม สำหรับ อิฉัน คือ
กรรมที่ขับเคลื่อนโดย ปราศจาก กิเลสตัณหา
เมื่อ ทำไปแล้ว จะช่วยลด กิเลส ตัณหา ฯ ในตน

สัมมา ฯ สำหรับ อิฉัน คือ ทางที่เมื่อดำเนินไปแล้ว ทำให้เกิด กุศลขึ้น ในจิต

อิอ่อน เห็นด้วยหรือไม่ ?

แล้ว การ กระสันอยาก ในโพธิญาณ
หรือ เรียกให้ไพเราะ ว่า การ ปรารถนา
จะช่วยให้สรรพสัตว์ พ้นทุกข์อย่างถาวร ของ เจ้าชายสิทธัตถะ นั้น
มัน ขับเคลื่อน ด้วยสิ่งใด ใช่ ภวตัณหา-วิภวตัณหา หรือไม่

การละทิ้งครอบครัว จนลูกเมียเป็นทุกข์
เพื่อ ให้ ตัณหาของตน ได้รับการตอบสนอง
แล่นไปตาม ความกระสันอยาก ของตนนั้น
มันเป็น กุศล ที่ตรงไหน ? และ มันเป็น สัมมาฯ ได้อย่างไร ?

การสนับสนุนให้คนๆหนึ่งได้บรรลุมรรคผลนิพพานมีดวงตาเห็นธรรม
จะ ถือเป็นกุศล ตราบเท่าที่ ทางที่เดินไปสู่มรรคผลนิพพานนั้น
มันไม่ได้ ใช้ ความทุกข์ของผู้อื่น เป็นบันไดเหยียบ อย่างนี้

และ ถ้า จะบอกว่า ...

" ก็เป็นกุศล เป็นสัมมาฯ ในเบื้องปลาย ไง
ผลที่ออกมาถูกต้อง ตรัสรู้สำเร็จ พาคนอื่นหลุดพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายได้ เป็นตำนานหนึ่งไปแล้ว เพราะสุดท้าย ละแล้วซึ่งกิเลส ตัณหา ในตน ฯลฯ "

เช่นนั้น อิฉันก็ ขอ อนุญาติ ย้ำ
ขอให้ อิอ่อน กลับมา อยู่กับ ปัจจุบัน ขณะ

ซึ่ง ณ ปัจจุบันขณะ สถานะการณ์ ที่เรา พูดถึง และ หยิบมาถกกัน
เราพูดถึงแบบ แยกส่วน โดยยกเอา ปัจจุบันขณะ ณ จุดที่ มีการตัดสินใจไปบวช มาวิดคราะห์
ไม่ได้ พูดถึง ภาพรวม ซึ่งถ้า อิอ่อนมันใช้ ปัจจุบันขณะ มาวิเคราะห์ จริง ๆ แล้ว
ก็คงไม่มีการ หยิบเอา วิบากในอดีตชาติ หรือ ผลอนาคตกาล ( ต่อจาก จุดที่ หนีเมียไปบวช )
ว่า แต่ละคนได้รับผลดีจาก การหนีเมียไปบวชครั้งนี้ยังไง
แล้ว เอ่ยอ้าง เพื่อ หาความ "ถูกต้องชอบธรรม" ให้ พฤติกรรม ของไอดอลของตัวเอง หรอกนะ


ถึงได้บอกไง ว่า ให้วิเคราะห์ พิณา
เฉพาะ ปัจจุบันขณะ โดย อาศัย "สามัญสำนึก"
ส่วนเรื่องของ"สามัญสำนึก" ก็ของใครของมัน นั้น
อิฉันเห็นด้วย ก็แค่บางส่วน อ่ะนะ
เพราะ อิฉันคิดว่า สามัญสำนึกพื้นฐาน ที่มี
ทั้ง ในตัวบุคคล ตลอดจน เดรัจฉาน บางพวก อย่าง ลิงชิมแปนซี
ก็คือ ทุกคน/ทุกตัว ยอมรับใน การตัดสินใจที่ มีความเป็นธรรม ( หรือ ความยุติธรรม ) อ่ะ


อิอ่อนเอง มันก็เคยเอา งานวิจัย
เรื่อง การแบ่งกล้วยของลิงชิมแปนซึ มาโพส ให้ อ่านเลยนิ
ประมาณว่า ขนาด เดรัจฉาน อย่าง ลิงชิมแปนซี ยังมี "สามัญสำนึก" รักความเป็นธรรม


อนึ่ง และ จาก ที่ อิฉัน เคยจำขี้ปากชาวบ้าน มาแพล่มไว้ ในนี้ ว่า

สจฺเจ อตเถ จ ธมฺเม จ อหุ สนฺโต ปติฏฺฐิตา ....

สัตบุรุษทั้งหลายดำรงอยู่ในสัจจะที่เป็นประโยชน์ และเป็นธรรมคือยุติธรรม

ฉะนั้น ขอถาม "สามัญสำนึก" ของ อิอ่อน หน่อย ดิ ว่า

การมีความสุข บนความทุกข์ ของผู้อื่น มันเป็นเรื่องที่ชอบธรรม แล้วหรือ ?

การที่ แม่ลูกคู่หนึ่ง ต้อง ถูกผัวตัวเอง ทิ้ง
เพราะ ผู้ชาย มัน กระสันอยากจะ ไปแสวงหาทางพ้นทุกข์
จึง ตัดสินใจ เลือกที่จะใช้ ความทุกข์ใจของ อีกฝ่าย มาเป็นบันไดเหยียบ ไปค้นหาโพธิญาณ
โดยไม่เคย "ถามไถ่ความสมัครใจ" ของ ผู้ที่เกี่ยวข้อง กับตน เลย
ว่าเขาเหล่านั้น จะยินยอม หรือไม่

การดันทุรังแล่นไปตามความกระสันอยากของตน
นึกถึงแต่ ความต้องการของตัวเองเป็นที่ตั้ง
โดยไม่คิดจะ เปิดใจรับฟังความคิดเห็น ของผู้อื่น ที่เห็นต่างกับตน
จนถึงขั้น " มัดมือชก" เช่นนี้นั้น มันเป็น เรื่องที่ ชอบธรรม ( ยุติธรรม)สำหรับ อีกฝ่าย แล้วหรือ


เจ้าชายสิทธัตถะ มี "สิทธิ" อะไร ในการไปทำร้ายจิตใจแม่ลูกคู่นั้น
หรือว่า ถ้า ใครก็ตามที่ ทำไปเพื่อ "พระโพธิญาณ " นั้น
มันจะเกิดความ"ชอบธรรม" ต่อทุก ๆ กรรม ที่ได้ กระทำลงไป
ถึงแม้ว่า การกระทำนั้น มันจะเป็นการ ข่มขืนทางจิตใจของ ผู้อื่นก็ตาม

ไอ้ครั้นจะอ้างว่า มันเป็น บุพกรรม ที่ทำร่วมกันมาในอดีตชาติ
มันเป็น "หน้าที่" ที่แม่ลูกคู่นี้ จะต้องยอมเสียสละ ตัวเอง ไปบูชายัญ
เพื่อเซ่นสังเวย ให้กับ ความกระสันอยากในโพธิญาณ ของคนเป็นผัว

แล้วล่ะก็
อยากจะบอกว่า หากคิดเช่นนั้น
เจ้าชายสิทธัตถะ มัน ยึดติดกับ สัญญาเก่า ๆ อดีต เกินไปป่ะ
แล้ว ถ้า ณ ปัจจุบันขณะ แม่ลูกคู่นั้น เปลี่ยนใจ
ไม่อยากจะพลีกาย เป็น แพะในพิธีบูชายัญ ครั้งนี้ แล้วล่ะ
พวกเขา จะมีสิทธิ ที่จะ ปฏิเสธ ได้ไหม
ทำไม ไม่ให้สิทธิ ในการเลือกกับพวกเขา ณ ปัจจุบันขณะ ล่ะ
อะไร ที่ทำให้ ต้อง "มัดมือชก" กัน เช่นนี้ด้วย


เฮ้ออ อิฉัน คงชื่นชมกับการปล่อยวางทางโลก
ความ เสียสละ แล้วซึ่งลูกเมีย เพื่อค้นหา โพธิญาณ
แบบ พระเวสสันดร หรือ เจ้าชายสิทธัตถะ ไม่ลง หรอกนะ
ขืนทำยังงั้น สามมัญสำนึกของตัวเอง คงตะขิดตะขวงใจพิลึก
( ก็คง คล้าย ๆ กับตอนที่ ศีลมันกระตุก นั่นล่ะมั้ง อิอิ )



อ้าง
-------------------------------------------------
หนีเมียไปบวช อิอ่อนมันยืนยันว่าเป็นสัมมา
ใครพร้อมสละครอบครัวและทรัพย์สมบัติยศฐาบรรดาศักดิ์ทางโลกออกไปปลีกวิเวกปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นก็เป็น สัมมาทุกกรณี

คนที่เหลือทางโลกก็ต้องพึ่งพาตนเองต่อไป
จนบารมีทางธรรมเต็มก็จะสละโลกออกไปตามวิถีโลกวิถีธรรมแหละ
คนที่มีบารมีทางธรรมเต็มที่แล้วมันก็เบื่อโลกอยู่ต่อก็เป็นทุกข์
คนที่ยังติดโลกจะให้ไปอยู่ในวิถีธรรมมันก็เป็นทุกข์

ดังนั้นเมื่อถึงจุดที่ต้องแยกกัน มันก็ต้องไปตามทางของคนนั้น
จะไปยื้อยุดให้เขามาอยู่ในทุกข์แห้งตายในทางโลก
เพราะคำว่าต้องรับผิดชอบชีวิตคนอื่นก็แล้วแต่ครอบครัวแบบนั้นนะ

+++++++++++++++++++++++++++
ตอบ
นี่ ๆ รู้ป่ะ ประโยชน์ อย่างหนึ่ง ของ ความ "รับผิดชอบ" คืออะไร
ประโยชน์อย่างหนึ่งของมัน ก็คือ...
ใช้เป็น สิ่งที่จำแนก การ "ปล่อยวาง" ออกจาก"ความมักง่าย" ไง

วิถีพุทธที่แท้ นั้น มัน สอนให้ ปรับแก้ที่ แฟคเตอร์ภายนอก
หรือ ให้แก้ ที่ แฟคเตอร์ภายใน คือ ใจ ตัวเอง กันแน่
เหตุใด เจ้าชายสิทธัตถะ จึงไม่ ยอมรับ ยถาสภาวะ ณ ปัจจุบันขณะ
ว่า ตัวเองมีพันธะในเรื่อง ครอบครัว ให้ต้องรับผิดชอบด้วย

ก็บอกแล้วว่า เมื่อเรียนผูก ก็ต้องรู้จักเรียนแก้ อย่างละมุนละม่อม ด้วย
เสื่อกโง่ กระสันจะไปเอาเมียเอง จะไปโทษใครได้ วัน
ก็คงต้อง ยอมรับ วิบากของความกระสันอยากนั้น
รับผิดชอบกันไปตาม ยถากรรม เอาเอง

ไม่ใช่ ชิ่งหนีด้วยการแหวะช่องน้อยแต่พอตัว เพราะ อยากจะได้ โพธิญาณ งี้
ที่สำคัญ ไอ้ โพธิญาณ 5เหว อะไร เนี่ย
มันจะได้มา ด้วยการ หนีลูกหนีเมีย ไปบวช เท่านั้นหรือ
ถึง ได้บอกไง ว่า คนเรา ถ้ามันรู้จักโยนิโสฯ ซะอย่าง
อยู่ใน ยถาสภาวะใด มันก็ไม่ต้องวิตกทุกข์ร้อน ว่า ตัวเองจะก้าวข้าม อุปสรรคไม่ได้
แต่ถ้ามัน ปัญญทึบนัก ก็ปล่อยให้มันอยู่ในทุกข์แห้งตายในทางโลกไปดิ


อนึ่ง คำว่า ครอบครัว น่ะ มันมาพร้อมกับ ภาระหน้าที่ ที่ต้อง รับผิดชอบนะ
ไม่ใช่มี อิสระ เหมือน คนโสด ที่นึกจะทำอะไร ก็ทำได้ ตามใจตัวเองเป็นที่ตั้ง
ไฟกำลังไหม้บ้านอยู่ ถ้าพ่อบ้าน มันโง่นัก ไม่รู้จัก โยนิโส
คิดแต่จะ ผลุนผลัน จะออกไปหาน้ำมาช่วยดับไฟ ท่าเดียว
โดย ไม่เจียดเวลา ชั่วประเดี๋ยว มา บอกเล่าเก้าสิบ
หรือ ปรึกษาหารือ ถามไถ่ความ สมัครใจ กับ คนในครอบครัว เลย
เอาแต่ ความกระสันอยากในโพธิญาณของตน เป็นที่ตั้ง เช่นนี้
มันมีความถูกต้องชอบธรรม แล้วหรือ ?

ทำไม ไม่รู้จัก คิดอะไร นอกกรอบ ซะมั่ง
เมียไม่ให้ ไปหาบน้ำ มาดับไฟ ก็ โทรเรียก ดับเพลิงมา ดิ
จะ หนีไปหาบน้ำน้ำมาดับไฟ ทำไม ทรายก็ใช้ดับไฟได้
ถังดับเพลิงอเนกประสงค์ ที่ติดไว้ข้างฝาบ้านก็มี ไม่รู้จักสำเหนียก
อ้อ แล้ว ถ้าจะ เอาให้มัน เจ๋งจริงอ่ะนะ พอ ไฟไหม้ "บ้าน"
ก็ปลอบลูกปลอบเมียไป ไปดิ๊ ว่า

" บัดนี้ ไฟได้ เผาผลาญ เรือน ของเรา จนสิ้นแล้ว
เย้ ๆๆๆๆๆ ดีใจจัง ที่ ต่อไปเราจะได้ไม่ต้อง เหนือยแรง ไป รื้อทำลายเรือนนี้ ด้วยตัวเอง ! "


เห็น ป่ะ แค่นี้ ก็วิน - วิน ด้วยกันทุกฝ่าย


และ ถ้าจำไม่ผิด พระพุทธเจ้าบางองค์ ยังเคย ตรัสรู้ได้
ขณะที่ ประทับอยู่ใน เขต พระราชอุทยาน ของตน
ไม่เห็น ต้อง ทำ ดราม่า หาเรื่อง หนีเมียไปบวช เลยนิ
การหนีเมียไปบวช มิใช่ วิถีทางในการ บรรลุโพธิญาณ เสมอไปหรอกนะ
ของงี้ มันอยู่ที่ ระดับ สติปัญญา และ ศักยภาพส่วนบุคคล



ไง ? คราวนี้ อิอ่อน มัน เริ่มเก็ท เกี่ยวกับ เรื่อง วงปฏิจจฯ
และ เรื่อง ปฏิฆะ ระหว่างกัน บ้างไหมล่ะ
แล้ว เห็น ความ เหมือน ที่ แตกต่าง อะไร
เกี่ยวกับเรื่อง การเรียนเภสัช ของอิฉัน
และ การ หนีเมียไปบวช ของ สมณะโคดม บ้างล่ะ ?

5360
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 1 สิงหาคม 2556 เวลา:22:02:44 น.  

 
 
 
อ้อ อีกอย่าง การจะมาบอกว่า มรรคผลนิพพาน
คือ สุดยอดปรารถนา ที่คนทั้งโลกต้องการ นั้นมันก็ ออกจะ อคติ ไปหน่อยล่ะมั้ง
การ ตีค่า ของ สิ่งต่าง ๆ มันต้องขึ้นอยู่กับ จริต ของคน ๆ นั้นด้วย
คนบางคนอาจจะ อยากนิพพาน จนตัวสั่น จึงเหมาเอาว่า มันเป็น ความฝันอันสูงสุด
แถมยัง คิดเองเออเอง เที่ยวไปฉุดกระชากลากถู นึกว่า ผู้อื่นก็ต้องการเหมือนตน
จนนำไปสู่ การข่มขืนทางจิตใจ งี้ มัน ถูกต้อง และ ชอบธรรม ยังไง

อิอ่อน มันก็เหมือน ยูไทโฟร นั่นแหล่ะ
พอเห็นบุคคล ที่ตนเลื่อมใสศรัทธา อย่าง เทพเจ้าซีอุส
กระทำการหน่วงเหนี่ยวกักขังพ่อตัวเองไว้
ก็ หลงชื่นชมไปว่า การกระทำนั้น ถูกต้องชอบธรรม
เป็น การกระทำที่เป็น สัมมา พอ ๆ กับ การกระทำของ ก๊วยเจ๋ง
และ การ หนีเมียไปบวช ของเจ้าชายสิทธัตถะ


แต่ เคยถามตัวเอง บ้างไหม ว่า ...

ซีอุส มี อภิสิทธิ และ ความชอบธรรมอะไร
ถึงจะไป กักขัง หน่วงเหนี่ยว พ่อตัวเองไว้เช่นนั้น
อะไร คือ แรงขับเคลื่อนพฤติกรรม
แล้ว กรรมที่ก่อในครั้งนี้ เป็นสัมมา และ ชอบธรรม จริงหรือ ?


ก๊วยเจ๋ง มี อภิสิทธิ อะไร ที่จะไปตัดแขนก๊วยพู
อะไร คือ แรงขับเคลื่อนพฤติกรรม
แล้ว กรรมที่ก่อในครั้งนี้ เป็นสัมมา และ ชอบธรรม จริงหรือ ?


เจ้าชายสิทธัตถะ มี อภิสิทธิ อะไร ที่จะตัดช่องน้อยแต่พอตัว
ละทิ้ง หน้าที่ และ ความรับผิดชอบในฐานะ พ่อ และ ผัว
อะไร คือ แรงขับเคลื่อนพฤติกรรม
แล้ว กรรมที่ก่อในครั้งนี้ เป็นสัมมา และ ชอบธรรม จริงหรือ ?


ถ้า คิดว่า มันเป็น สัมมา จริง ๆ
อิอ่อน มันกล้า เอา ความเชื่อนี้ ไปสอน ลูกชายไหมล่ะ ว่า...

ถ้า ฮาร์ทจังมี เจตนาดีที่บริสุทธ์ใจ จริง ๆ
ถึงจะมีลูกมีเมียแล้ว ฮาร์ทจังก็สามารถหนีครอบครัว
เพื่อไปแสวงหาทางพ้นทุกข์ เหมือน เจ้าชายสิทธัตถะ ได้นะจ๊ะ


ไม่ต้อง ตอบคำถาม พวกนี้ก็ได้นะ
ยิ่งตอบ อิอ่อน มันก็ยิ่งสุ่มเสี่ยง
ที่จะถูก ทั่นด๊อก ชำแหละ แทะตับเล่น อ่ะ
ก็ ขนาด ปุถุชนคนธรรมดา ๆ ทั่วไป ที่มี สามัญสำนึกแบบโลก ๆ
ยังมักจะ โดน ทั่นด๊อก จับมาทำเป็นซ่กเล็กเลยนิ

นับประสาอะไร กับ คนที่จำเป็นต้อง รับประทาน ยาโรคประสาท เป็นประจำล่ะ
เก๊าะเล่น มิองเห็น สัจธรรม แลมี สามัญสำนึกทางธรรม ซะขนาดนั้น
ทั่นด็อก มันก็เลย อยาก หม่ำเป็นมื้อดินเนอร์ อ่ะดิ อิอิ


อ้อ แล้ว ไอ้แทคติก ชิง วิจารณ์ตัวเอง เสียแต่เนิ่น ๆ แล้วแกล้งเหน็บแบบเนียน ๆ
ก่อนที่ คนอื่นจะเดินมา ด่า เนี่ย เลิกเหอะจร้าาาาาาาาาาาาาาาา
เพราะ ว่า ไอ้กลยุทธแบบ นางงามเจนเวทีพวกนี้ นั้นน่ะ
อะฮั้น เคยงัดมาใช้ หมดแล้วทุกเม็ด จร้าาาาาาาาาาาาาา
แอ๊บเนียนยังไง ก็ตบตากัน ไม่ได้ หรอกมั้ง เอิ๊ก ๆ


ปอลิง 1

คุยกับ อิฉัน นั้นน่ะ ไม่ต้อง ยก ชาดกหลอกเด็กมา อ้างให้เมื่อยหรอก
Ref ที่ อิอ่อนมันก็ยังพิสูจน์ ไม่ได้ว่า เป็นเรื่องจริงไม่จริง อย่างนั้น
ยิ่ง เอามาแปะ ก็ยิ่ง เปิดเผยให้เห็น ฉันทาคติ อันมืดบอด ของ อิอ่อนมันนะ
เลื่อมใสศรัทธ ซะจน สูญเสีย สามัญสำนึกทางโลก ไปเลยมั้ง
แถม กะอิแค่ เรื่อง ความสัมพันธ์ที่สืบเนื่องกันใน วงปฏิจฯ
กับ เรื่อง การ ยอมรับ ยถาสภาวะ ณ ปัจจุบัน ขณะ ก็ยังไม่เก็ท งี้
สามัญสำนึกทางธรรม ก็คงจะบิดเบี้ยวไปตามฉันทาคติในใจนั่นแหล่ะ


ปอลิง 2
รู้ป่ะ ถ้าอิฉัน ต้องเปิดศึกชิงลูกสาว กับ พี่สะใภ้ แบบ อิอ่อน อ่ะนะ
อิฉันจะทำยังไง ? อิฉันก็จะทำ ในสไตล์ เดียว กัน กับ...
ตอนที่ให้สิทธิ พ่อแม่ เป็นผู้ ตัดสินใจเลือกวิถีชีวิต ให้ อิฉันนั่นแหล่ะ
ว่า ท่าน จะให้ อิฉัน เรียน เภสัช ไหม ?

อนึ่ง อิฉันจะให้ ลูกสาวตัวเอง เป็นผู้ตัดสินใจเลือก เองว่า จะอยู่กับใคร
และเมื่อ ลูกสาวอิฉัน มันตัดสินใจเลือกแล้ว อิฉันจะเคารพใน วิจารณญาณ ของมัน
เพราะเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่มีเกี่ยวข้อง และ เกิดผลกระทบกับเจ้าตัวมากที่สุด
เพื่อให้เกิดความชอบธรรม( ยุติธรรม ) สำหรับทุกฝ่าย
การให้ เจ้าตัวต้นเรื่อง เป็น ผู้ตัดสินใจ นั้น ชอบธรรม ที่สุดแล้ว

เรื่องนี้ มันไม่เกี่ยวหรอกว่า
ใครจะเลี้ยงเค้าได้สุขสบายที่สุด /ใครจะเลี้ยงเขาให้เป็นคนดี มากที่สุด
หรือ จะมีเจตนาดีกับเขามากที่สุด ฯลฯ
แต่ สิ่งสำคัญ ก็คือ เราได้ "ให้สิทธิ" ในการเลือก ทางเดินชีวิตกับเขาหรือไม่
ว่า เขาอยากจะอยู่กับใคร ?


เรื่องนี้ จะมา อ้างการ ครอบครองสิทธิ โดยสายเลือด คงไม่ได้หรอกมั้ง
ก็ในเมื่อ ตัวแม่ มันเห็นแก่ความขี้เกียจเลี้ยงลูก ไปตกปากรับคำ สร้างพันธะสัญญา
ยก ลูกสาวให้ ชาวบ้านเขา ได้สิทธิ เอาไปเลี้ยงดูแล้ว ไงก็ต้องรักษาสัจจะ ว่ะ

ถ้า มีเหตุให้สามารถจะกลืนน้ำลายตัวเอง ได้
เพราะ พี่สะใภ้ ละเมิดเงื่อนไข ใด ๆ ก็ตาม
ก็ต้อง ทำแบบแฟร์ ๆ ให้ ผู้ที่เกี่ยวข้อง รู้สึกว่า มันเป็นไปโดยชอบธรรม ด้วย
ปฏิฆะ ระหว่างกัน จะได้ บรรเทาเบาบางไป
ไม่ใช่หักหาญจนขึ้นโรงพัก อาศัยมือของกฏหมาย มาช่วยให้ตัวเองได้ลูกคืนมาสมใจ
เรียนผูกเอง ก็ต้องรู้จักเรียนแก้ด้วย ไม่ใช่ ให้ คุณตำรวจไปช่วยแก้

ปุจฉา !
อนึ่ง วิธีเปิดศึกชิงโลก ของ อิอ่อน ก๊ะ วิธี ของอิทั่นด๊อก ฯ นั้น
ของใคร จัดเป็น สัมมาฯ มากกว่า กัน การเป็นผู้เลือก หรือ การ ยอมเป็นผู้ถูกเลือก ?


ปอลิง 3

เออ ฝากถาม หลงพ่อไก่ อาจาน ป๋าโจ ให้ด้วยนะ
ว่า ไอ้การ อวดอุตริ ฯ นี่ มัน เป็นยังไง เข้าข่าย อาบัติ ปราชิก หรือไม่
แล้ว ไอ้ การปากพล่อย ไป พูดทำนายทายทัก วาระจิต ชาวบ้าน เสียจนเป็นตุเป็นตะ
แถม สะระแหน่ ไป รับรอง ว่า สิ่งที่เห็นเรื่องในอนาคตเกี่ยวกับลูก ของป๋าโจ อีกตะหาก

มันไม่สำคัญ หรอกว่า สิ่งที่หลงพ่อพูดไปนั้น มันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่
แต่ การไปสร้างความ หวัง หรือ ความ วิตกกังวล
ทำให้คนมันยึดติดกับ สัญญาในอนาคต ที่ ยังมาไม่ถึงเนี่ย
มันใช่กิจที่สงฆ์พึงกระทำหรือไม่ ? สะกดคำว่า มหาปเทส 4 เป็นหรือไม่
หรือว่า หลุดพ้นจากทางโลกแล้ว เลยยึดถือ แต่ สามัญสำนึกทางธรรม
พระงี้ อ่ะนะ ต่อให้ นอนไม่หนุนหมอน ตั้งแต่ แบเบาะ
ก็คงอ่อนหัดมากมาย ในเรื่องเทคนิกการตัดวงปฏิจฯ อ่ะ
ระวังจะ ตกม้าตาย เหมือน หลงพ่อ ป..... นะคร้าาาาาาาา อิอิ


ปอลิง 4
เอาล่ะ ทั่นด็อกฯ มันแพล่มเสร็จแระ
ขอ อนุญาต หายหัว ชิ่ง ยาววววววววว เลยน้าาาาาาา
วันหยุดนี้ กะว่า จะ ไปอ้อน คุณนายแก้วดี ซะหน่อย อ่ะจร้าาาา อิอิ



5918
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 1 สิงหาคม 2556 เวลา:22:03:48 น.  

 
 
 
ชักงง สับสน ไม่รู้ว่ามี นู๋บี หรือว่า นู๋ขวัญ ด้วย ยังงั้น ข้อความ
"" ปิด แถ-ลง เรื่องการแก้ตัวให้กับสามัญสำนึกที่สวนทางกับชาวโลก ""

ของใครละ

นู๋บี ไม่ขอรับโอกาส ที่จะชี้แจงเหตุผล ก็ไม่เป็นไร
ยังไงก็เข้ามา อ่านแล้ว ได้ัประโยชน์ ตามสมควร
 
 

โดย: วิ. IP: 223.206.190.53 วันที่: 1 สิงหาคม 2556 เวลา:22:18:43 น.  

 
 
 
หลังไมค์ เดอะ ท็อป ซีเคร็ต

+++++++++++++++++++++++++

อยากเตือนสติ (อีกที)

โดย: L

เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 21:33 น.
มีใครบ้างในนี้: L, สมาชิกหมายเลข 854873

L, เมื่อวานนี้ เวลา 21:33 น.

เหมือนครู เหมือนอาจารย์ เหมือนพ่อแม่ ที่เราควรให้ความเคารพอย่างเหมาะสม ถึงแม้พวกท่านอาจจะไม่ใช่คนดีสมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ และหากท่านสอนอะไรที่ดีๆ เราก็ควรจะรับฟังแล้วนำมาปฏิบัติ อะไรที่เราคิดว่าไม่ดีเราก็เตือนๆ พวกท่านบ้าง ตามกาลฯ แล้วก็พยายามอย่าไปทำอย่างพวกท่าน

นึกถึงเรื่องที่พ่อเตือนสอนลูกว่า "อย่ากินเหล้า อย่าเล่นพนัน" แล้วโดนลูกเถียงกลับว่า "พ่อเองก็กินเหล้า พ่อเองก็เล่นหวย"

จริงอยู่ ถ้าตัวพ่ออยากให้คำพูดมีน้ำหนัก พ่อก็ควรเป็นแบบอย่างสำหรับคำสอน แต่การที่พ่อไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดี ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกสมควรจะล่วงเกินพ่อ หรือไม่รับฟังคำสั่งสอนของพ่อ จริงไหม?

สำหรับคนทั่วไป หากพ่อไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย แต่อยู่ๆ มีคนมาด่าพ่อเรา เราก็คงจะโมโหใช่ไหม? คนที่คุณชอบกระทบกระเทียบ เป็นคนที่สอนอะไรหลายๆ อย่างที่คุณนำมาใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติตนในทุกวันนี้ อย่างน้อยคุณก็ควรจะให้ความเคารพอย่างเหมาะสมในฐานะอาจารย์

เคยเตือนหลายทีแล้ว เรื่องการระวังคำพูด โดยเฉพาะเวลาตั้งหรือตอบกระทู้หน้าบอร์ดสาธารณะ อยากให้คิดถึงกาลเทศะ โสเครติสสามารถนับเป็นปราชญ์คนนึงได้ แต่ที่เขามีจุดจบเช่นนั้น ส่วนนึงผมเชื่อว่าเป็นเพราะคำพูดของเขาไม่เป็นพึงพอใจของผู้อื่น แล้วเขาก็ไม่ยอมเลือกกาลฯ ที่จะพูด

อยากให้มีสติ ลดความคึกคะนอง จะได้อยู่ร่วมบอร์ดกันนานๆ ผมยังเห็นว่าคุณเป็นคนที่ใช้ได้ และก็ยังสนุกกับการอ่านกระทู้ของคุณอยู่


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

7776

 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 1 สิงหาคม 2556 เวลา:22:34:40 น.  

 
 
 
หมายเหตุ

เออแฮะ เหลือบเห็น รหัสส่งข้อความมันเป็น เลขจ๋วย
เลยโพสแปะ อีก จั๊กดอกส์ อิอิ

เฮ้ออ เห็นมีคนหลังไมค์ เตือน อิฉัน เรื่องชะตากรรมของ โสเครติส
แล้ว ก็ให้สงสัยจังแฮะ ระหว่าง

A . การละทิ้งครอบครัว หนีเมียไปบวช เพื่อหาทางพ้นทุก
จะได้ แหกคุก ออกจาก สังสารวัฏ

กับ

B.การทนอยู่กับเมียขี้บ่น ทุกค่ำเช้า
พอถูกพิพากษา ต้องโทษตาย ก็ไม่ยอมแหกคุกหนีไปไหน ตามที่ใครชักชวน
แต่กลับ ยอม รับคำพิพากษา กระเดือกยาพิษ นอนตาย 5 คาคุก
แบบ โสเครติส

A หรือ B มีความเป็น สัมมา กว่ากันน๊อออ ?

9684
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 1 สิงหาคม 2556 เวลา:22:35:34 น.  

 
 
 


อ้าวววเฮ้ยยย โพส แป๊บ ๆ ก็ เจอ คุณวิฯ มาปาด ซะงั้น อิอิ

อืม...

"" ปิด แถ-ลง เรื่องการแก้ตัวให้กับสามัญสำนึกที่สวนทางกับชาวโลก ""

เป็นของ นู๋ขวัญ = อิอ่อน = อิอิ

ถ้ากลัวงง ให้ สังเกตุ ไอพี
ของ นู๋บี จะเป็น 110.77.138.136 อันเดียวมั้ง

ปอลิง

อืม...ถ้าทายไม่ ผิด สำนวน หงิม ๆ งี้
คุณวิฯ จะต้อง เป็นคนเดียว คุณป๋ากามนิต
ที่เคยเสวนาภาษาดอกไม้จันทน์ กะ คุณหลานวาสิฏฐีฯ แหง๋ ๆ เลย
เซ้นส์มันบอกอ่ะ รู้สึกตะหงิด ๆ ตั้งแต่ เห็นชื่อ ย่อ ว. แระ
ยิ่ง เห็นเป็น ว.วิ ยิ่งทะแม้ง ๆเอ ? ตกลง ว.วิ นี่..
ย่อมาจาก ;b=yp อ๊ะปล่าวน๊อออออออ หุหุ

บ๊ายบายคร้าาาาาา :P

9401
 
 

โดย: ตะละแม่วาสิฏฐีไพรีเผ่น ! IP: 110.77.138.136 วันที่: 1 สิงหาคม 2556 เวลา:22:50:27 น.  

 
 
 
ชักจะเป็นน้ำหมุนวนแระ ไม่หลุดซักที 555
เอาเป็นว่า อิอ่อนมันผิดเองก็แล้วกันที่ไปพาดพิงถึงหลวงพ่อไก่ เพราะคนที่ได้ประโยชน์คือเรา แต่คนอื่นจะเสียประโยชน์เปล่าๆ การตัดสินใจทำเรื่องใดๆ เป็นเอกสิทธิ์ของคนๆนั้น วิบากกรรมก็เป็นไปตามกรรมนั้นแหละ เจ้าชายสิทธัตถะท่านก็ทำงานของท่านจนถึงที่สุดแล้ว ที่เหลือก็แล้วคนจะวิพากษ์วิจารณ์ผลงานของท่านตามจริง และผลของการวิจารณ์ก็ไม่ได้ตกแก่เจ้าชายสิทธัตถะ แต่มันตกกับคนที่วิจารณ์เท่านั้น อิอ่อนยังไม่รู้จริงก็ยอมรับ ที่พูดไปทั้งหมดก็มาจากทิฏฐิ แถ-ลง ทั้งนั้นไม่ได้รู้จริง ดังนั้นตอบไปก็ตามนั้นเราเห็นชอบสิ่งใดเราก็ทำไป เราคิดว่านี่เป็นกุศลแล้วเราก็ทำไป นี่เป็นอกุศลเราก็เลิกไป ดังนั้นจะให้ตอบกี่ทีก็ยังเหมือนเดิม เพราะมุมมองมันยังเหมือนเดิม ทิฏฐิก็อันเดิม เรามองแบบนี้ว่าถูกเป็นสัมมาเป็นกุศล แต่อีกคนมองว่าขาดสามัญสำนึก ก็แล้วแต่เขา เรื่องจริงมันไม่ใช่นิยาย เรื่องจริงมันไม่มีถูกหรือผิด มันมีแต่เจตนาทำแบบนี้ผลเป็นแบบนี้ เจตนาทำแบบนั้นก็ได้ผลอย่างนั้น ใครเป็นคนเดือดร้อน คนที่เดือดร้อนก็คือคนที่ทำกรรมไง ยุติธรรมมันมีอยู่แล้วตามกรรม สิ่งใดเป็นกุศลมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น สิ่งใดเป็นอกุศลมันเป็นอยู่อย่างนั้น มันไม่ได้เป็นกุศลหรืออกุศลเพราะลมปากเราหรือเพราะทิฏฐิเราเห็นว่านี้ถูกนี้เป็นสัมมานี่เป็นกุศลหรอก ต่อให้อิอ่อนมันบอกว่านี่เป็นสัมมา แต่ถ้าความจริงมันไม่ใช่สัมมา มันก็ไม่ใช่สัมมาอยู่วันยังค่ำจริงไหม ดังนั้นความเห็นของคนมันไม่สำคัญเท่ากับว่าทำกรรมอะไรแล้วได้ผลอะไรแล้วเห็นความจริงนั้นตามจริงไหม เรื่องที่คนอื่นทำก็ไม่เกี่ยวกับเราเพราะคนที่ได้รับวิบากกรรมก็คือคนที่ทำกรรมนั้นไม่เกี่ยวกับเรา ดังนั้นควรจะสนใจแต่กรรมที่ตนเองทำและผลที่จะตามมาจากกรรมนั้นๆตามจริงของตนเองดีกว่า อิอิ สำหรับที่ อิอ่อนมันพยายามจะแถ-ลงมาทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงการแสดงทิฏฐิส่วนตนเท่านั้นว่ามันคิดว่าอย่างนี้ ไม่ได้จะสร้างภาพคือแก้ตัวแทนใครๆ เพราะมันแสดงแต่ความเห็นเท่านั้นไม่ได้แสดงความรู้ และไม่ได้บอกว่ามันรู้จริงทุกเรื่อง ดังนั้นใครเห็นต่างก็โอเคนะคร๊ะ อิอิ การไปตัดสินคนอื่นนั้นมีแต่ขาดทุนกับเสมอตัว ถ้าตัดสินผิดก็เป็นการสร้างอกุศลเป็นโทษ ถ้าตัดสินถูกก็รอดตัวไปไม่มีโทษ แต่ถ้าตัดสินแต่ในเรื่องที่ตนเองทำมีแต่กำไรไม่มีขาดทุนเพราะเป็นการเพ่งโทษที่ตนไม่เพ่งโทษคนอื่นทำกุศลก็รู้ว่าได้รับกุศล ทำอกุศลก็รู้ว่าได้รับอกุศล แต่ถ้าเห็นบิดเบือน ทำอกุศลแต่เห็นว่าได้รับกุศล ก็กรรมใครกรรมมันนะเคอะ ถึงจะเรียกว่าได้ประโยชน์ตน แล้วก็รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดชะนี เหมือนเดิม หาทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์กับตน อันไหนไม่มีประโยชน์ ก็ชิ่งดิคะ จะสานกรรมต่อให้เปลืองตัวทำไม อิอิ

ปล.จบ แถ-ลง ครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ อิอิ

ปล.2 เรื่องครอบครัว อิอ่อนก็กำลังรับกรรมอยู่นะฮ๊าบ ใกล้จะแห้งตายอยู่แระ เป็นทุกข์เพราะมีครอบครัวอยู่เนี่ย รู้ทุกข์อยู่ทุกวัน ไม่เป็นบ้าก็ถือว่าโชคดีแร้ว ใครจะสมน้ำหน้าก็ตามฉะบาย นะจ๊ะ เราไม่ว่ากัน อิอิ

ปล.3 พอดีปัญญามีน้อยต้องใช้สอยแบบประหยัด เด๋วปัญญาน้อยๆจะพาอับจนได้ 555 ดังนั้น ผู้มีปัญญามากและรู้จริงอย่างทั่นด๊อกฯ จะว่าไง ก็ตามนั้นอะจร้า ไม่อาจเทียบทั่นด๊อกฯได้อยู่แล้ว เอาเป็นว่าจะคอยชมปัญญาทั่นด๊อกฯละกัน ส่วนคำตอบใดๆของอิอ่อน ก็ถือเป็นการแสดงมิจฉาทิฏฐิในตนก็แล้ว ทั่นด๊อกฯจะว่ามันเป็นไม่ใช่สัมมา ก็ตามนั้น โอเค นะคร๊ะ จะรับฟังทั่นด๊อกไว้เฉยๆ อิอิ ฟังแล้วก็แล้วๆไป

1585
*.*
 
 

โดย: อิิอิ IP: 124.120.243.162 วันที่: 2 สิงหาคม 2556 เวลา:10:06:39 น.  

 
 
 
อ้างถึง...
ชักงง สับสน ไม่รู้ว่ามี นู๋บี หรือว่า นู๋ขวัญ ด้วย ยังงั้น ข้อความ
"" ปิด แถ-ลง เรื่องการแก้ตัวให้กับสามัญสำนึกที่สวนทางกับชาวโลก ""

ของใครละ

นู๋บี ไม่ขอรับโอกาส ที่จะชี้แจงเหตุผล ก็ไม่เป็นไร
ยังไงก็เข้ามา อ่านแล้ว ได้ัประโยชน์ ตามสมควร

ตอบ เป็นคำพูดของนู๋ขวัญ หรือ อิอ่อน หรือ อิอิ เจ้าค่ะ เป็นคนเดียวกัน แหะ แหะ พอดีแถมาหลายโพสต์ เรื่องของการขาดสามัญสำนึกที่ชาวโลกดีๆจะพึงมีค่ะ แบบว่า รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ไม่เห็นใจคนอื่นที่จะเป็นทุกข์เพราะตัวเรา ชิ่งหนีทุกข์ได้ก็จะรีบชิ่ง อะค่ะ เห็นคนทิ้งครอบครัวไปออกบวชเพื่อแสวงหาทางหลุดพ้นคือสัมมาทิฏฐิในความเห็นของอิอ่อน มีความเห็นต่างกับคนอื่นๆ และนู๋บีในเรื่องนี้น่ะค่ะ มองว่าทุกข์ของลูกเมียเป็นทุกข์ชั่วคราวเป็๋นทุกข์แบบโลกๆ การออกบวชเพื่อหลุดพ้นเป็นเรื่องควรทำมากกว่าการติดอยู่ในสามัญสำนึกเรื่องความรับผิดชอบลูกเมีย ประมาณนั้น และเพราะไม่ได้รู้จริงว่าเรื่องใดเป็นสัมมาหรือไม่ แต่คิดว่าการหนีบวชเป็นเรื่องสัมมา เท่านั้นค่ะ เพราะมองในมุมต่างจากคนอื่นๆในโลก แหะ แหะ ที่เน้นว่า แถ เพราะรู้ว่าเป็นทิฏฐิเราที่คิดแบบนี้ ไม่ใช่รู้จริง และที่แถไปหลายโพสท์ เพราะขาดสติ ค่ะ แหะ แหะ แต่ก็ยังจะทำ ถ้าแสดงแล้ว ก็แล้วๆ ไป ก็ไม่มีอะไรแล้วค่ะ ถ้ารู้ว่าแสดงความเห็นแบบนี้จะเป็นโทษกับตัวเองก็จะไม่ทำค่ะ ที่ทำไปทั้งหมดก็มีแต่โทษแหละค่ะ หาประโยชน์ไม่ได้เลย เพราะเราไม่เข้าใจคนอื่น และเราเข้าใจคนอื่นไม่ได้ มีแต่ต้องเข้าใจตัวเอง และหยุดทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์ซะ มีแต่เรื่องน่าขำแหละค่ะ

ปล.ยินดีที่ได้คุยให้ฟังค่ะ มีเรื่องที่วนเวียนในหัวเยอะ พอได้ปล่อยมามันก็โล่ง พอดีนู๋บีเขารับฟังได้ทุกเรื่องไม่อาฆาตพยาบาทใคร ก็เลยกล้าพูดความคิดของตัวเองให้ฟังแบบเนี้ยเพราะคิดว่าไม่มีโทษ แต่ถ้าเห็นว่ามีโทษรำไรก็หยุดค่ะ เพราะอะไรที่ทำแล้วไม่สบายใจเราก็หยุดซะ เพื่อความสบายใจของตัวเอง แหะๆ

4418
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.243.162 วันที่: 2 สิงหาคม 2556 เวลา:11:18:05 น.  

 
 
 
คำตอบสำหรับทั่นด๊อกฯ ก็ตามนั้นอีกเช่นเคย
ทั่นด๊อกฯ ชำแหละไว้อย่างไร ก็ตามนั้น ชำแหละแต่อิอ่อนก็แล้วกันนะ อย่าไปชำแหละพาดพิงไปถึงบุคคลที่3 เพราะจะทำให้อิอ่อนมันไม่สบายใจ มันเป็นทุกข์ ว่ะค่ะ บุึคคลที่3 ได้แก่ ลูก สามี และหลวงพ่อ นะ ส่วนประเด็นเจ้าชายสิทธัตถะ ขี้เกียจถกและ ไม่มีประโยชน์ต่ออิอ่อน ง่ะ มีแต่ขาดทุนหากำไรไม่เจอ เนื้อไม่ได้กินยังมีกระดูกแถมมาติดคออีก เพลียวุ้ย!!!

ปล. เวลาท่านด๊อกฯถามความเห็นอิอ่อน มันก็ตอบตามที่คิดให้แล้วนะ ส่วนคำวิจารณ์ก็จะน้อมรับไปพิจารณาก็แล้วกัน อิอิ ถ้าคิดต่างกันก็จะไม่แถ-ลงแล้ว เพราะขี้เกียจแถ-ลง แล้ว เบื่อเรื่องทางโลกมากมาย

3451
*.*

 
 

โดย: อิิอิ IP: 124.120.243.162 วันที่: 2 สิงหาคม 2556 เวลา:13:58:06 น.  

 
 
 
ครบ 100 โพส แระ โหลดเริ่มช้า
ขอ อนุยาด ขึ้น หน้าใหม่ อ่ะจร้าาาาาาาาาาา ^ 0 ^

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&month=08-2011&date=12&group=3&gblog=5

8772
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 7 สิงหาคม 2556 เวลา:23:15:02 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

นู๋บี
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
[Add นู๋บี's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com