|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ตอนที่ 12 จำพราก
บาปรัก 12 จำพราก
ทั้งผมและโตต่างตกใจมาก เพราะนึกไม่ถึงว่าพี่ยศจะเข้ามาในเวลานี้ ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณตีสามแล้ว ผมนึกขึ้นได้ว่าพี่ยศบางครั้งก็ตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อสำรวจความเรียบร้อยรอบๆบ้าน เนื่องจากแถวนี้มีคดีย่องเบางัดแงะอยู่บ้าง แต่ผมก็ลืมเรื่องนี้ไปสนิท พี่ยศคงตื่นขึ้นมาสำรวจรอบบ้านและเห็นแสงไฟที่ลอดจากช่องประตูห้องนอน จึงเปิดเข้ามาดู
เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึก 'อาย' ที่พี่ยศเห็นเรือนร่างอันเปล่าเปลือยของผมทั้งๆที่เราก็มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกัน ผมรีบคว้าเสื้อผ้ามาปิดบังร่างกาย โตก็เช่นเดียวกัน ผมเห็นใบหน้าของพี่ยศถมึงทึงเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องนี้ ส่วนโตนั้นยืนหน้าซีดตัวสั่นอยู่ข้างๆผม ผมไม่เคยเห็นใบหน้าของพี่ยศดุดันและน่ากลัวเช่นนี้มาก่อนเลยตั้งแต่รู้จักกันมาเกือบยี่สิบปี
พี่ยศยืนนิ่งคล้ายกำลังควบคุมอารมณ์อยู่ ส่วนผมและโตนิ่งเงียบ สักครู่พี่ยศก็ออกคำสั่งเสียงเฉียบ
"เป้ แต่งตัวแล้วลงไปหาพี่ที่ห้องทำงานข้างล่างหน่อย" แล้วหันมาสั่งโต "โตไม่ต้องตามลงไปนะ"
จากนั้นพี่ยศก็หมุนตัวกลับออกจากห้องไป โตรีบมาคว้าแขนผม ผมหันไปมองเห็นโตหน้าซีด มีสีหน้าตกใจและกังวล โตมองผมอย่างคล้ายกับจะขอความช่วยเหลือ
ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร เพราะไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น คนมักพูดกันว่าคนที่เงียบๆ เย็นๆ เวลาโกรธขึ้นมาจะระเบิดราวภูเขาไฟ รุนแรงยิ่งกว่าคนขี้โมโหโกรธเป็นไหนๆ วันนี้ผมคงได้พิสูจน์คำกล่าวที่ว่านี้แล้ว ผมบีบมือโตเบาๆเป็นเชิงปลอบใจ แล้วรีบแต่งตัวลงไปข้างล่าง ที่ห้องทำงานของพี่ยศ ผมเห็นพี่ยศยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง สีหน้าของพี่ยศเคร่งเครียดและทมึนยิ่งกว่ารัตติกาลภายนอกหน้าต่างเสียอีก ผมรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาที่ก้นบึ้งของหัวใจ
"พี่ครับ" ผมเรียกเบาๆ พี่ยศหันหน้ามามองผม พี่ยศมองผมราวกับเป็นคนแปลกหน้า ส่วนผมเองก็รู้สึกว่าพี่ยศที่ผมเห็นอยู่นี้ไม่ใช่พี่ยศคนเดิมที่ทั้งใจดีและอบอุ่น แต่เป็นพี่ยศที่ดุร้ายน่ากลัว
"เป้ ทำไมทำอย่างนี้กับหลาน เลวมาก" พี่ยศพูดเสียงสั่นด้วยความโกรธ
ผมรู้สึกจุกในลำคอ พี่ยศที่เคยรักและเอ็นดูผมเสมอมาถึงกับออกปากด่าผมว่า 'เลวมาก' โดยยังไม่ฟังคำอธิบายจากผมสักคำ พี่ยศไม่เคยพูดอะไรที่รุนแรงกับผมมาก่อนเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ผมพูดไม่ออก ดวงตารู้สึกพร่าเพราะเอ่อไปด้วยน้ำตา ตอนนั้นผมรู้สึกทั้งผิดหวัง เสียใจ ผมรู้สึกว่าได้รับความอยุติธรรม ความรู้สึกเหล่านี้แหลมคมประดุจคมมีดที่กรีดเชือดลงไปที่หัวใจของผม
"พี่ครับ ฟังผมก่อน
" ผมพูดเสียงเครือ พยายามเค้นเสียงอย่างยากเย็นกว่าเสียงจะผ่านก้อนสะอื้นที่จุกลำคอออกมาได้
"จะให้ฟังอะไรอีกล่ะ พี่เห็นมากับตา" พี่ยศตะคอกเสียงดัง พี่ยศไม่เคยตะคอกผมมาก่อนเลย ดูเหมือนว่าวันนี้ผมได้พบกับอะไรๆที่เป็น 'ครั้งแรก' จากพี่ยศหลายอย่างหลังจากที่รู้จักและผูกพันกันมานาน
ผมนึกอะไรไม่ออก หัวหมุนไปหมด คิดจะเรียบเรียงคำพูดให้เป็นลำดับเพื่ออธิบายก็เรียบเรียงไม่ถูก นึกอยู่อย่างเดียวคือต้องช่วยโตไว้ก่อน เพราะเรื่องนี้โตเป็นคนก่อขึ้นมา
"พี่ครับ โตยังเด็กอยู่ พี่อย่าไปโทษโตเลยครับ" ผมพยายามอธิบาย แต่คำพูดที่สั้นเกินไปของผมพี่ยศกลับเข้าใจผิดไปกันใหญ่
"พี่จะไปโทษโตได้ยังไง ก็ในเมื่ออามันเป็นคนชักจูง เด็กมันก็ขัดขืนไม่ได้น่ะสิ" พี่ยศพูดเสียงตะคอกอีก
ผมนิ่ง มองหน้าพี่ยศเหมือนกับไม่เคยเห็นชายคนนี้มาก่อน ความโกรธทำให้พี่ยศกลายเป็นคนละคนไป ผมไม่นึกเลยว่าพี่ยศจะเหมาเอาง่ายๆว่าทั้งหมดเป็นความผิดของผมเช่นนี้ ตอนนั้นน้ำตาลูกผู้ชายของผมรื้นเต็มสองตาแล้ว แต่ผมไม่ยอมปล่อยสะอื้นออกมา ผมต้องเข้มแข็งเพื่อรับมือกับสถานการณ์
"โตเป็นเกย์นะครับ"
ผมตัดสินใจบอกความลับของโตออกไป แล้วเตรียมจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่ยศฟัง แต่พี่ยศกลับมีท่าทีรับไม่ได้กับสิ่งที่ผมพูดออกไป พร้อมทั้งตะคอกผมอีก
"เฮ้ย มันจะเป็นไปได้ยังไง ก็มันยังเดินควงเพื่อนสาวของมันอยู่เลย แกคงยัดเยียดให้มันเป็นล่ะสิ ไม่น่าปล่อยให้นอนห้องเดียวกันเลย นี่ถ้ามันกลายเป็นเกย์จริงๆจะเอาให้ตายทั้งคู่เลย"
'แก' เป็นคำเรียกที่พี่ยศไม่เคยเรียกผมมาก่อน แต่วันนี้ผมก็ได้ยินแล้ว ผมตกใจกับท่าทีอันโกรธเกรี้ยวเมื่อผมบอกพี่ยศว่าโตเป็นเกย์มาก ผมคิดว่าถ้าพี่ยศมีปืนอยู่ในมือตอนนั้นพี่ยศก็คงยิงผมได้อย่างไม่ลังเลเลย
"พี่ ฟังผมก่อน" ผมพยายามฉุดรั้งอารมณ์ของพี่ยศเอาไว้ แต่พี่ยศไม่ยอมฟัง
"กลับไปก่อนเถอะ ตอนนี้ยังไม่อยากเห็นหน้า" พี่ยศตัดบท ผมรู้สึกใจหายกับประโยคสุดท้ายที่พี่ยศพูด พี่ยศไม่เรียกตัวเองว่า 'พี่' และไม่เรียกผมว่า 'เป้' เหมือนก่อน กลายเป็นประโยคที่ไม่มีสรรพนาม มันบ่งบอกอะไรบางอย่าง คล้ายกับว่าพี่ยศชิงชังผมอย่างที่สุด
จนไม่อยากนับญาติกัน
จนไม่ต้องการแม้แต่จะเอ่ยชื่อ
เมื่อถูกออกปากไล่เช่นนี้ ผมก็สุดที่จะด้านหน้าอธิบายอยู่ต่อไปได้ หลบไปเสียก่อนก็ดีเหมือนกัน รอให้พี่ยศอารมณ์เย็นลงแล้วค่อยอธิบาย แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่วายห่วงโต แม้โตจะขู่กรรโชกผม แต่ผมก็ไม่ได้ถือสา ยังคงรักเอ็นดูโตเช่นเดิมและต้องการจะปกป้องโตเอาไว้ ก่อนไปผมยังไม่วายเตือนสติพี่ยศว่า
"พี่อย่าไปทำอะไรรุนแรงกับโตนะครับ ถ้าพี่ทำ พี่ก็กำลังจะกลายเป็นคนที่พี่ไม่อยากเป็น
เป็นเหมือนพ่อพี่"
ผมออกจากบ้านพี่ยศกลางดึกในคืนนั้นเองด้วยความสะเทือนใจ และหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
หลังจากวันที่เกิดเรื่อง ชีวิตของผมกลับกลายจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากคนที่เคยสดชื่นรื่นเริงกลับกลายเป็นคนหมดอาลัยตายอยาก ผมพยายามไปทำงานทั้งๆที่ทำงานไม่รู้เรื่อง แต่ผมไม่ต้องการหยุดงานเพราะการหยุดอยู่คนเดียวเงียบๆจะยิ่งทำให้ผมฟุ้งซ่าน เพื่อนๆที่ที่ทำงานต่างก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของผม แม้ผมพยายามจะซ่อนมันไว้แต่ก็ซ่อนไม่ได้ เพราะความกระทบกระเทือนใจครั้งนี้ใหญ่หลวงเกินกว่าที่ผมจะแสร้งทำชีวิตให้เป็นเช่นปกติได้
หลายครั้งที่ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะโทรไปอธิบายให้พี่ยศฟังถึงเรื่องราวทั้งหมด แต่อีกใจหนึ่งก็เกิดทิษฐิ ในคืนวันนั้นถ้าพี่ยศใจเย็นกว่านี้สักเล็กน้อยก็คงจะยอมฟังผมอธิบายบ้าง แต่พี่ยศไม่ยอมฟังเลย ทั้งยังไล่ตะเพิดผมอย่างไม่มีเยื่อใย กลางคืนผมต้องนอนน้ำตาไหลเมื่อคิดถึงการกระทำของพี่ยศที่ทำกับผม มันไม่เหมือนคนที่รักกันเลย แต่มันเป็นเหมือนคนที่ชิงชังกันมากกว่า
ผมหวนนึกทบทวนถึงช่วงเวลาอันมีความสุขที่ผ่านมา มันช่างผ่านไปรวดเร็วเสียจริงๆ ฝันสุขฝันดีมีเมื่อใด ผมเคยคิดที่จะปลีกตัวจากพี่ยศมาเพื่อให้ความสงบสุขกลับคืนมาสู่ครอบครัวของพี่ยศ แต่ผมก็นึกไม่ถึงว่าจะต้องจากมาด้วยสภาพเช่นนี้ พร้อมด้วยตราบาปว่าล่อลวงหลานมาเสพสุข กลางคืนผมนอนไม่หลับเพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน
ผมครุ่นคิดทบทวนชีวิตที่ผ่านมาอยู่ 3 วัน ช่วงเวลา 3 วันนี้แม้ผมจะคิดมาก แม้ผมจะต้องหลั่งน้ำตา แต่แปลกที่หัวใจผมไม่รู้สึกเจ็บปวด ผมเคยเห็นคนงานก่อสร้างเกิดอุบัติเหตุถูกเครื่องมือตัดนิ้ว คนงานบอกกับผมว่าหลังถูกตัดแล้วรู้สึกชาอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงเริ่มรู้สึกเจ็บปวด หัวใจของผมคงเป็นเช่นนี้กระมัง ยังชาด้านอยู่
และแล้วผมก็ตัดสินใจ ผมตัดสินใจตอนที่หัวใจยังชาด้าน ซึ่งอยู่คงดีกว่าตอนที่เจ็บปวด เพราะสติของผมยังไม่ถูกความเจ็บปวดเข้าครอบงำ ผมตัดสินใจไปจากกรุงเทพฯ ผมลาออกจากงาน ตามระเบียบของบริษัท ผมต้องลาออกล่วงหน้า 1 เดือน แต่เนื่องจากผมยังมีวันลาพักร้อนสะสมอยู่ 2 สัปดาห์ ดังนั้นผมจึงต้องอยู่ทำงานจริงๆอีกเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น
ผมใช้เวลาที่เหลืออยู่จัดการเกี่ยวกับเรื่องบ้านแม่ที่ผมอาศัยอยู่ ผมรู้ว่าแม่รักบ้านหลังนี้ และผมเองก็รักบ้านหลังนี้เช่นเดียวกัน บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ให้ความอบอุ่นแก่ผมมาแต่น้อยคุ้มใหญ่ ยิ่งตอนนี้ยิ่งรู้สึกรักมัน เพราะมันทำให้ผมนึกถึงแม่ ถึงตอนนี้เองที่ผมได้ตระหนักถึงความจริงว่าไม่มีใครรักผมจริงเท่ากับแม่ แม่พร้อมให้อภัยผมได้ทุกเรื่อง แต่พี่ยศไม่
เดิมผมตั้งใจจะจากกรุงเทพฯไปโดยไม่กลับมาอีกเลย ไม่อยากมีห่วงอยู่ที่กรุงเทพฯให้พะวง รวมทั้งไม่คิดปรับความเข้าใจกับพี่ยศอีกแล้วด้วย เพราะผมหมดอาลัยตายอยากเสียแล้ว จึงอยากจะขายบ้านหลังนี้ไปเสีย แต่เมื่อมาคิดอีกที ผมกลับไม่อาจตัดใจขายได้ จึงฝากให้ญาติข้างแม่ช่วยดูแลไปสักระยะหนึ่งก่อน จนกว่าผมจะตัดสินใจได้
เมื่อถึงวันที่ผมเป็นอิสระจากงานประจำ ผมเตรียมเงินสดก้อนหนึ่ง และเดินทางขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ ก่อนออกจากบ้าน ผมมองดูรอบๆบ้านเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความอาลัยอาวรณ์ ผมคลำรอยบิ่นที่เสาราวบันไดพร้อมกับรำลึกถึงความหลัง รอยบิ่นนี้เกิดจากฟันของผมเองตอนที่ผมซนจนกลิ้งตกบันไดเมื่อเด็กๆ สามสิบกว่าปีแล้วมันก็ยังคงอยู่ วัตถุธาตุยังคงอยู่ แต่คนและจิตใจคนกลับเปลี่ยนแปลงไป
ผมกำลังจะจากทุกสิ่งทุกอย่างไป ผมมองดูแจกันใส่ดอกไม้ใบโปรดของแม่ พร้อมทั้งเอารูปถ่ายของแม่ใบเล็กๆใบหนึ่งมาใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ ใจหนึ่งผมยังอาลัยอาวรณ์ต่อทุกคนและทุกสิ่งทุกอย่าง แต่อีกใจหนึ่งก็บอกตนเองว่าผมจำเป็นต้องไป
คราวนี้เป้จะพาแม่ไปด้วยนะแม่
ไปเป็นเพื่อนเป้หน่อย
เพื่อนๆที่ที่ทำงานไม่มีใครรู้ว่าผมลาออกไปไหน ผมอยากหายตัวไปเงียบๆ มีเพียงญาติที่ผมฝากบ้านไว้เท่านั้นที่รู้ว่าผมจะไปจากกรุงเทพฯ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าผมไปไหนอยู่ดี
ผมเดินทางขึ้นเหนือพร้อมเป้และเต๊นท์คู่ใจที่ไม่ได้ใช้มาหลายปีแล้ว ในอดีตผมรักชีวิตการเดินทางและแค้มปิ้งกลางป่าเขา มาถึงวันนี้ ผมตัดสินใจที่จะหวนกลับไปสัมผัสกับชีวิตแบบนั้นอีกสักครั้ง ผิดกันแต่ว่าทุกครั้งผมมีเพื่อนๆร่วมเดินทางไปด้วย แต่ครั้งนี้ผมต้องเดินทางอย่างเดียวดายและสิ้นหวังในชีวิต
มีเพียงความรู้สึกลมๆแล้งๆว่ามีแม่อยู่เคียงข้าง การเดินทางของผมครั้งนี้เปรียบเหมือนการแสวงหาครั้งใหม่ของผม ผมกำลังแสวงหาอะไรบางอย่างที่ผมสูญเสียไป หรือไม่ก็เป็นอะไรบางอย่างที่ผมไม่เคยได้มันมาก่อน
เงินทองที่ผมสะสมอยู่คงช่วยให้ผมเดินทางได้สักปีโดยไม่ต้องทำงาน หลังจากนั้นค่อยมาคิดกันอีกทีว่าผมควรทำอย่างไรต่อไป
การเดินทางคนเดียวแทนที่จะทำให้ผมได้คิดและปลงตก ตรงกันข้าม มันกลับทำให้ผมจมอยู่ในห้วงทุกข์ ผมรอนแรมไปตามป่าเขาของอุทยานแห่งชาติแห่งต่างๆ คล้ายๆกับพระธุดงค์ แต่ใจของผมไม่ได้สงบนิ่งเช่นผู้ทรงศีล ความเดียวดายทำให้ผมคิดมากและฟุ้งซ่านมากยิ่งขึ้น ความเจ็บปวดในจิตใจได้กัดกร่อนผมมาตั้งแต่เริ่มการเดินทาง และยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ผมยอมปล่อยให้ความเจ็บปวดเข้าครอบงำและกัดกร่อนจิตใจ ด้วยหวังว่ามันจะช่วยลดทอนบาปกรรมที่ผมได้แย่งชิงคนรักของผู้อื่นมาครอบครองไว้ได้บ้าง
Create Date : 10 มิถุนายน 2551 |
|
0 comments |
Last Update : 27 มกราคม 2553 10:13:08 น. |
Counter : 944 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|