|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
บ้านต้นไม้
ชีวิตใหม่ของผมได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ภายหลังจากที่ผมตรากตรำทำงานอย่างหนักติดต่อกันยาวนานหลายปี โดยแทบไม่มีวันหยุดพักผ่อน แล้วจู่ๆ ผมก็หักมุมด้วยการตัดสินใจทิ้งภารกิจมากมายในบริษัทของผมเอง ไว้กับน้องๆ ทีมงานในบริษัท ผมตัดสินใจวางมือจากทุกอย่างเป็นการชั่วคราว ผมทิ้งแม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือส่วนตัว ทั้งๆ ที่มันไม่เคยห่างกายผมเลยตลอดเวลานับสิบปี
ผมเก็บเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ตัวใส่เป้เล็กๆ มุ่งหน้าสู่เกาะเสม็ดเพียงลำพัง การตัดสินใจครั้งนี้ของผมได้สร้างความประหลาดใจอย่างมาก กับคนใกล้ชิดทุกคน เพราะตลอดชีวิตของผม ผมไม่เคยเดินทางไปไหนตามลำพังเลย อย่างน้อยก็ต้องมีผู้ติดตาม 1 คนเสมอๆ และที่น่าประหลาดใจมากขึ้นไปอีกก็ตรงที่ผมทิ้งโทรศัพท์มือถือเครื่องโปรดของผมไว้ที่บ้านด้วย เพราะผมคาดหวังว่าการเดินทางพักผ่อนของผมในครั้งนี้ จะต้องเป็นการพักผ่อนครั้งสำคัญของชีวิต ที่ผมต้องการพักผ่อนจริงๆ ตัดโลกภายนอกทิ้งไปทั้งหมด ไปใช้ชีวิตเรียบง่าย อยู่กับธรรมชาติ อยู่กับทะเลเพียงลำพังคนเดียว
คืนก่อนออกเดินทางผมได้พาทีมงานทุกคนในบริษัทไปร้องเพลงคาราโอเกะกันที่ Karaoka City พวกเราร้องเพลงกันสนุกสนานมาก ดื่มเบียร์สดไปตั้งหลายหลอดแน่ะ เราอยู่กันจนร้านปิดแถมยังนั่งคุยกันต่อเกือบชั่วโมง แล้วก็ไปต่อกันที่รัชดาซอย 4 อีกเล็กน้อย กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบจะตี 3 เห็นจะได้ ผมใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการเก็บเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นสำหรับการเดินทางครั้งนี้ หลังจากเก็บเสื้อผ้าเสร็จผมก็เคลียร์งานผ่านระบบอินเตอร์เน็ตต่อจนเกือบจะตี 5 แล้วผมก็เดินทาง ไปขึ้นรถตู้ที่จอดให้บริการตรงหน้าห้างเซ็นจูรี่
รถตู้ออกเดินทางจากหน้าห้างเซ็นจูรี่เที่ยวแรกสุดก็คือ ตี 5 พอดี ผมออกเดินทางโดยไม่ได้นอนมาตลอดคืน ดังนั้น เมื่อรถเริ่มสตาร์ทผมก็เริ่มหลับอย่างไม่รีรอ มาตื่นอีกทีก็ถึงจังหวัดระยองพอดีราวเวลาแปดนาฬิกา จากนั้นผมก็ขึ้นเรือลำแรกสุดที่มีให้บริการในจังหวะนั้น ราว 30 นาทีก็เดินทางถึง "ท่าเรือหน้าด่าน" แรกๆ ความตั้งใจของผม คิดว่าผมน่าจะไปหาที่พักแถวๆ หาดทรายแก้ว เพราะไม่ได้ไกลจากท่าเรือหน้าด่านมากนัก และถือเป็นแหล่งชุมชนที่ใหญ่สุดบนเกาะเสม็ด แต่เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นหาดจนกระทั่งถึงปลายหาด ก็ได้ตัดสินใจว่า "ไม่เอาดีกว่า" จากนั้นผมก็รัดเลาะไปหาดถัดไปเรื่อยๆ โดยเป้าหมายในใจก็ไกลไปถึง "อ่าวลุงดำ" โน้นล่ะ
ผมเดินรัดเลาะไปตามอ่าวต่างๆ อยู่หลายชั่วโมง เริ่มต้นจาก "ท่าเรือหน้าด่าน" ผมก็เดินไปจนถึง "หาดทรายแก้ว" เริ่มจากต้นอ่าวผมก็เดินยาวไปจนสุดอ่าว และทะลุไปยังหาดอื่น ไล่เรียงไปเรื่อยๆ บางจุดก็ต้องผ่านหุบเหวริมอ่าว บางจุดก็เดินผ่านป่าและทางเดินแคบๆ ระหว่างเดินไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกเปล่าเปลี่ยวอยู่ไม่น้อย แถมยังได้เจอ "งู" เลื้อยผ่านหน้าไปซะอีก 1 ตัว ดีที่มันไม่มาเฝ้ากัดเอาซะก่อนที่จะได้พักผ่อน กว่าจะถึงที่หมายก็เกือบเที่ยงพอดีล่ะ นับระยะทางเดินเท้าของผมในการเริ่มต้นพักผ่อนครั้งนี้ ไม่น่าจะน้อยกว่า 7 กิโลเมตรเห็นจะได้
ผมโชคดีมากสำหรับการเดินทางอย่างทรหดที่ได้มีโอกาสได้พักบน "บ้านต้นไม้" เพราะเป็นจังหวะดีที่แขกคนเก่าได้เช็คเอ้าท์ออกพอดี ผมตัดสินใจพักทั้งหมด 4 คืน โดยใน 3 คืนแรกต้องจ่ายค่าเช่าคืนละ 700 บาทเพราะเป็นช่วงจังหวะวันหยุดพิเศษ ส่วนคืนที่ 4 ผมจ่ายแค่ 600 บาท แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าเป็นราคาที่น่าพอใจ ไม่ถูกและไม่แพงจนเกินไปนัก หลังจากที่ผมได้ตกลงราคาเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จ่ายเงินค่าที่พักไปก่อนทันที แล้วก็นั่งรอพนักงานทำความสะอาดห้องพักก่อน และระหว่างรอผมก็ถือโอกาสสั่งอาหารมื้อแรกมาทานในช่วงมื้อเที่ยงพอดี "ทะเลรวมมิตรผัดผงกะหรี่ราดข้าว" ถือเป็นอาหารมื้อแรกบนเกาะเสม็ดของผม สำหรับการการพักผ่อนครั้งนี้ ภายหลังจากที่อิ่มหนำสำราญดีแล้ว พนักงานก็จัดห้องพักเสร็จพอดี ผมก็ได้จังหวะขึ้นพัก ณ "บ้านต้นไม้" โดยไม่รีรอ เนื่องจากเพลียมาตั้งสองวัน โดยยังไม่ได้นอนแม้แต่น้อย ก็เลยหลับไปซะก่อนเลยราว 3 ชั่วโมงเศษ
ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้เข้าพักใน "บ้านต้นไม้" เพราะมันเหมือนกับบ้านในเทพนิยายของวอล์ลดีสนี่ย์เลยทีเดียว ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าผมต้องเดินบันไดไปยังห้องพักที่ถูกสร้างขึ้นบนต้นไม้ ที่ทอดกิ่งโน้มลงไปในทะเลที่มีคลื่นซัดสาดอยู่ตลอดเวลา แถมหน้าต่างห้องนอนก็มองทะลุออกไปไกลจนสุดฟ้า ด้านซ้ายก็มองเห็นสะพานที่ทอดยาวลงไปในทะเล ส่วนด้านขวาก็มองเห็นแหลมหินอีกด้านหนึ่งของอ่าวลุงดำ อากาศที่พัดผ่านเข้ามาในห้องนอน ก็เย็นสบาย สดชื่นจนยากที่จะบรรยายเลยทีเดียว
แค่เพียงวันแรกวันเดียวของการเริ่มต้นเดินทางของผม ก็ได้สร้างความประหลาดใจให้กับคนรอบข้างมากมาย เริ่มตั้งแต่การตัดสินใจปลีกวิเวกออกเดินทางตามลำพัง แถมยังจะทิ้งโทรศัพท์มือถือเครื่องโปรดไว้ที่บ้านซะอีก และที่น่าประหลาดใจสุดๆ ก็คือ ทุกคนคาดไม่ถึงว่าผมจะตัดสินใจทิ้งโลกแห่งไซเบอร์ไปได้อย่างไม่ใยดี ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ผมใช้ชีวิตอยู่บนโลกแห่งไซเบอร์ไม่น้อยกว่าวันละ 10-15 ชั่วโมงเลยทีเดียว และที่แปลกจนดูเหลือเชื่อคือ "ผมตัดสินใจไปทะล" ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยชอบทะเลมาตลอดชีวิต เพราะทุกครั้งที่ผมไปทะเลตอนกลับบ้าน ผมจะต้องตัวดำจนแทบจะมองไม่เป็นผู้เป็นคนทุกที
ก่อนออกเดินทางผมได้บอกกับตัวเองว่า "ผมต้องลองไปในที่ที่ผมกลัวดูบ้างเผื่อจะได้พบกับอะไรใหม่ๆ" แล้วผมก็ยังบอกกับตัวเองอีกว่า "กลัวอะไร เกลียดอะไร ไม่อยากทำอะไร ก็ลองทำทุกอย่างซะนั่นล่ะ" ให้มันได้รู้กันไปสักทีก็ดีเหมือนกันว่า ถ้าเราหักมุมชีวิตดูเสียบ้าง ชีวิตมันจะเป็นยังไงกัน
ในวันแรก ผมตื่นนอนราวเกือบ 4 โมงเย็นสิ่งแรกที่ผมทำคือ เปลี่ยนกางเกงขาสั้น ลงอาบน้ำทะเล อย่างสนุกสนาน (แม้ว่าจะเล่นอยู่คนเดียว) ผมเพลินกับการว่ายน้ำ ดำน้ำ ลอยตัว โดยไม่ต้องไปสนใจว่าในทะเลจะมีคนอยู่กี่คน ผมสนแต่ว่าผมสนุกสนาน เพลิดเพลินก็พอใจแล้ว ไม่ต้องพูดกับใคร ไม่ต้องสนใจใคร ทำอะไรแล้วสุขใจก็ลุยเลย ขณะที่ผมเล่นน้ำทะเลไป ผมก็บอกกับตัวเองตลอดเวลาว่า ผมจะต้องปล่อยให้หัวใจของผมเป็นอิสระสักที หัวใจอยากจะทำอะไร อยากจะคิดอะไร อยากจะทำอะไร ก็ปลดปล่อยให้เป็นอิสระ
ใจอยากทำอะไรก็ทำ ! ใจอยากนอนก็นอน ! ใจอยากกินก็กิน !
หลังจากที่ผมเล่นน้ำทะเลนานกว่าชั่วโมง ก็เล่นเอาเหนื่อยอยู่เหมือนกัน ผมก็ไปอาบน้ำ สระผม เสร็จแล้วก็สั่งอาหารมื้อเย็นมากิน มื้อนี้ผมสั่ง "ต้มข่าไก่" และข่าวเปล่า 1 จานมากิน ก็อร่อยถูกปากทีเดียวล่ะ แม้ว่าราคาจะแพงไปสักหน่อย ต้มข่าไก่ถ้วยละ 120 ข้าวเปล่าจานละ 20 บาท น้ำอีกขวดละ 20 บาท กว่าจะอิ่มก็หมดเงินไป 160 บาทแน่ะ
ผมได้สูดอากาศบริสุทธิ์จนเต็มปอดทุกลมหายใจเข้าออก ผมรู้สึกว่าช่างเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตเสียจริงๆ ในแต่ละวันผมแทบไม่ต้องพูดกับใครสักคนนอกจากเวลาสั่งอาหารเท่านั้น ผมไม่ได้รับโทรศัพท์จากใคร ผมไม่ต้องดูโทรทัศน์ให้รู้สึกปวดหัวไปกับข่าวร้ายๆ ไม่เว้นแต่ละวัน ผมไม่ได้มกมุ่นอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ ผมไม่ต้องแชทกับใคร ผมไม่ต้องแต่งตัวเรียบร้อย ไม่ต้องหวีผมตอนอาบน้ำเสร็จ
ตลอดเวลาผมได้ยินแต่เสียงคลื่น เสียงลมโชยไหวอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตุ๊บๆ อย่างมีความสุข ตลอดช่วงเวลาที่ว่างผมก็หยิบหนังสือ 5 เล่มที่เตรียมติดตัวมาด้วย ผมนั่งอ่านตรงระเบียงห้องนอนที่มองเห็นทะเลยาวไกลไปจนสุดสายตา บางขณะที่ผมอ่านหนังสือไป ผมก็เหลือบสายตาขึ้นชื่นชมความงามของทะเลอยู่เนืองๆ แล้วผมก็แอบยิ้มกับตัวเองว่า "โชคดีจริงเรา" แถมท้ายนิดๆ อีกว่า "คนอะไรช่างโง่น่าจะมาพักผ่อนเสียนานแล้ว" คิดไป คิดไป ก็แอบยิ้มกับตัวเองอีกนั่นล่ะ
เช้าวันใหม่ ผมได้ยินเสียงหัวใจกระซิบบอกกับตัวเองว่า "ตื่นนอนได้แล้วไปอาบน้ำทะเลเถอะ" น่าประหลาดใจเสียจริง ท่าทางจะเว่อร์เสียแล้วซิเรา ทันทีที่ผมลุกจากที่นอนก็ไปล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็เปลี่ยนผ้าลงเล่นน้ำทะเลก่อนจะกินอาหารมื้อเช้าเสียอีกแน่ะ กว่าจะผ่านเวลาไปถึงอาหารมื้อเที่ยง หลังจากอิ่มผมก็เปลี่ยนผ้าอาบน้ำทะเลอีกล่ะเป็นรอบที่สอง เสร็จแล้วก็มานั่งอ่านหนังสือสบายๆ ตรงระเบียงห้องนอน และก่อนจะรับประทานอาหารมื้อเย็น ก็อีกล่ะ ลงเล่นน้ำทะเลอีกเป็นรอบที่ 3 ของวัน คิดๆ ก็ช่างตลกตัวเองดีไม่น้อย ที่แอบกลัวทะเลมาทั้งชีวิตเพราะไม่อยากให้ตัวเองดำไปกว่าที่ควรเป็น แต่พอมาคราวนี้ มาคลั่งไคล้น้ำทะเลเอาซะดื้อๆ ยังงี้ล่ะ
ยังไม่พอนะครับ หลังทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ ผมยังสร้างบรรยากาศแปลกๆ ให้กับตัวเอง ด้วยการไปนั่งเชยชมกับกลิ่นอายทะเล ซะตรงปลายสะพานโน้นล่ะ พร้อมกับสั่งเบียร์ไฮเนเก้นขวดใหญ่เย็นๆ มานั่งดื่มเสียคนเดียวตรงปลายสะพาน ระหว่างนั้นก็นั่งนับดาวที่ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาดึกมากขึ้นเรื่อยๆ ผมนอนหงายซะตรงปลายสะพานนั่นล่ะ แล้วนับดาวไปทีละดวงๆ ยิ่งนับดาวก็ยิ่งมาก จนลายตาไปหมด ... แปลกดีเหมือนกันคนเรา จู่ๆ ก็ทิ้งงานมานอนนับดาวซะคนเดียวนี่ล่ะ
ผมคงต้องเรียกช่วงชีวิตครั้งนี้ของตัวผมเองว่า "อิสรภาพของหัวใจ" อย่างไม่เคอะเขินจริงๆ เพราะผมมีความสุขที่ได้นอนนับดาวคนเดียวตรงปลายสะพาน ผมมีความสุขที่ได้ยิ้มกับเกลียวคลื่นในทะล ผมยิ้มได้กับสายลม ยิ้มกันต้นไม้ (ผมยังไม่ได้บ้านะครับ) แค่ผมรู้สึกหัวใจพองโต ที่ได้สูดอากาศบริสุทธิ์จนเต็มปอดทุกนาที แค่นั้นเองล่ะ ทั้งๆ ที่ผมอยู่คนเดียวตลอดทุกวัน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหงาแม้แต่น้อย จนบางขณะเวลา ผมยังไม่เชื่อตัวเองเลยจริงๆ ว่าเป็นไปได้ยังไง ทั้งๆ ที่ตลอดชีวิตผมจะกลัวความโดดเดี่ยว ผมกลัวความมืดที่สุด และที่สำคัญที่สุดผม "กลัวผี" ด้วยล่ะซิ แต่มาตอนนี้ ผีเผอหายไปจากใจจนหมดสิ้น
บางเวลาผมก็นอนร้องเพลงอยู่บนห้องนอน บางเวลาผมก็เดินร้องเพลงอยู่คนเดียวระหว่างเดินเล่นที่หาดทรายด้วยเท้าเปล่า แล้วผมก็ไม่ใยดีแม้แต่น้อยว่าบนหาดทรายหรือในทะเลจะมีคนอยู่กี่คน เพราะถึงยังไงผมก็ไม่ได้คิดว่าจะไปคุยกับใคร เนื่องจากเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ ผมคิดแค่จะ "ปลีกวิเวก" ให้กับชีวิตผมเพียงแค่นั้นพอล่ะ แต่ละนาทีที่ผ่านไปในแต่ละวัน ผมเพลิดเพลินกับการอาบน้ำทะเลบ้าง ร้องเพลงบ้าง ชมวิวทิวทัศน์บ้าง แล้วก็อ่านหนังสือเล่มโปรด 5 เล่ม ค่อยๆ อ่านไปทีละเล่มๆ อ่านไปจนฟ้ามืดมองตัวหนังสือไม่เห็น ก็ค่อยหยุดอ่าน
เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนสายฟ้า ไม่น่าเชื่อว่าเวลาผ่านไป 5 วันมันสั้นเหมือนแค่กระพริบตาเดียวนั่นล่ะ รู้สึกใจหายเหมือนกันที่เวลาแห่งความสุขสดชื่นของชีวิต กำลังจะต้องหมดลงไปอย่างรวดเร็วชนิดไม่ทันได้ตั้งตัวเลย กะว่าจะต่ออีกสัก 5 วันก็ยังเกรงว่า หากทิ้งงานนานเกินไปก็อาจจะทำให้ใครต่อใครในบริษัทเดือดร้อนกันได้อยู่เหมือนกัน ผมจึงต้องทำใจกับการเตรียมตัวเดินทางกลับ
เตียงนอนนุ่มๆ ที่สามารถมองทะลุผ่านหน้าต่างห้องนอนไปยังสะพานที่ทอดยาวลงไปในทะเล และสามารถมองเห็นความงดงามของทะเลไปได้ไกลจนสุดขอบฟ้า คิดๆ ก็น่าใจหายทีเดียว แต่ก็นั่นล่ะ ผมไม่ลืมที่จะให้คำมั่นกับตัวเองว่า ต่อไปนี้...ผมจะกลับมาที่นี่อีกบ่อยๆ
ผมไม่ลืมที่จะเก็บภาพสวยๆ มากมายหลายร้อยภาพ มาฝากน้องๆ ที่ออฟฟิต แม้ว่าจะไม่มีภาพผมเลยแม้แต่สักภาพ แต่นั่นก็ไม่ใช่จะเป็นเรื่องสำคัญใดๆ เพราะความสุขของผมมันได้ถูกบรรจุไว้จนเต็มหัวใจไปเรียบร้อยแล้ว
Dinner มื้อสุดท้าย ณ อ่าวลุงดำ ของผมถือเป็นมื้อพิเศษกว่าทุกๆ วันที่ผ่านมา คืนนี้ผมสั่งอาหาร 3 อย่าง มีไก่ย่าง มีส้มตำไข่เค็ม แล้วก็ต้มข่าทะเล กับข้าวเปล่า แถมด้วยเบียร์ไฮเนเก้นเย็นๆ 2 ขวดใหญ่ ... เอาซะพุงกางเลยทีเดียว คืนนี้ผมไม่รู้สึกอยากนอนเลย อยากเก็บเกี่ยวเวลาเอาไว้ในใจ
จังหวะนี้ล่ะที่ผมเริ่มนึกถึงภารกิจมากมายที่รอการกลับมาสานต่อของผมอยู่ ที่จริงผมก็สุขใจเหมือนกันที่ได้พักผ่อนจนเต็มที่แล้ว เมื่อกลับมาจะได้ทำงานอย่างเต็มที่อีกครั้ง
ผมกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง พร้อมกับหัวใจที่พองโต ผมตื่นเต้นที่จะได้กลับมาพบกับน้องๆ ที่น่ารักทุกคนในบริษัทของผม ผมรู้สึกดีใจที่ทีมงานของผมทุกคนในบริษัท รักกันกลมเกลียวเหมือนว่าเราเกิดมาเป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกัน ทุกคนมีผมเป็นพี่ใหญ่ แล้วก็ไล่เรียงไปถึงพี่รอง ไล่ไปจนถึงน้องเล็ก ซึ่งเป็นสมาชิกคนล่าสุดในครอบครัว IMC ของพวกเรา
ผมตั้งใจแล้วล่ะว่าอาจจะราวเดือนหน้า ผมจะพาทีมงานของผมทุกคน กลับคืนสู่...เกาะเสม็ดอีกครั้ง คราวนี้ล่ะผมจะได้มีน้องๆ มากมายมาร่วมกันเล่นน้ำทะเลด้วยกัน เฮฮากันให้ลั่นเกาะเลย ... น่าอิจฉาไหมครับ ?
ผมไม่ลืมที่จะเก็บภาพ "ตะวันขึ้น" ในเช้าวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับสู่กรุงเทพมหานคร มาฝากเพื่อนๆ ด้วยนะครับ ... แล้วเราจะได้พบกันอีก เมื่อตอนที่ทีมงานของผมทุกๆ คนได้มาพักผ่อนร่วมกันในราวปลายเดือนหน้านี่ล่ะ คอยติดตามตอนต่อไปนะครับ !!! "สวัสดีครับ"
Create Date : 24 กรกฎาคม 2552 |
Last Update : 1 พฤษภาคม 2553 22:28:49 น. |
|
20 comments
|
Counter : 9262 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: หนุ่ม IP: 124.120.118.63 วันที่: 24 กรกฎาคม 2552 เวลา:16:31:02 น. |
|
โดย: กาละแม IP: 118.172.244.31 วันที่: 24 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:20:19 น. |
|
โดย: ด้วงกว่างน้อย IP: 125.24.22.14 วันที่: 24 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:13:39 น. |
|
โดย: brake IP: 124.157.187.122 วันที่: 24 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:15:52 น. |
|
โดย: นายภัทร ณ นครนายก IP: 222.123.116.251 วันที่: 24 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:48:54 น. |
|
โดย: หมีอ้วน IP: 125.24.132.219 วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:43:50 น. |
|
โดย: นายเต้ IP: 118.172.147.215 วันที่: 31 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:30:43 น. |
|
โดย: wayo IP: 203.151.38.2 วันที่: 4 สิงหาคม 2552 เวลา:14:27:14 น. |
|
โดย: นักเคมี วันที่: 23 ธันวาคม 2552 เวลา:21:48:52 น. |
|
โดย: rudee2513 IP: 118.173.99.149 วันที่: 13 มกราคม 2553 เวลา:12:51:21 น. |
|
โดย: หนึ่ง IP: 125.27.83.151 วันที่: 1 พฤษภาคม 2553 เวลา:12:14:44 น. |
|
โดย: Tumkung IP: 110.49.12.230 วันที่: 1 พฤษภาคม 2553 เวลา:22:29:19 น. |
|
โดย: bee bee IP: 118.173.67.230 วันที่: 1 พฤษภาคม 2553 เวลา:23:10:18 น. |
|
โดย: จักร IP: 202.91.18.194, 64.255.164.107 วันที่: 18 มิถุนายน 2553 เวลา:9:30:53 น. |
|
โดย: oat IP: 110.49.145.232 วันที่: 3 สิงหาคม 2553 เวลา:0:16:03 น. |
|
โดย: kinji IP: 125.24.114.164 วันที่: 17 สิงหาคม 2553 เวลา:13:02:38 น. |
|
โดย: sersee.witch IP: 192.168.1.75, 182.52.167.67 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2553 เวลา:15:53:05 น. |
|
โดย: CapricornGirl IP: 124.121.69.186 วันที่: 18 มกราคม 2554 เวลา:11:24:32 น. |
|
โดย: อาจารย์วรกร IP: 115.87.152.23 วันที่: 3 กรกฎาคม 2560 เวลา:23:31:28 น. |
|
โดย: Jessegoord IP: 51.210.176.129 วันที่: 30 มีนาคม 2567 เวลา:4:44:56 น. |
|
| |
|
บ้านต้นไม้ |
|
|
|
|
ใครจะไปรู้หล่ะครับว่า..การที่จะไปทำอย่างนี้จะมีความสุขแค่ไหน..ถ้าไม่ได้ไปสัมผัสเอง..
ถึงแม้รูปที่ถ่ายจะวิวสวยแค่ไหนก็ตาม...
อาหารจะบอกว่าอร่อยมากก็ตาม...
ที่พักได้นอนที่บ้านต้นไม้ก็ตาม..
แต่ว่าถ่ายภาพและคำบรรยายนั่นมันก็ทำให้ผมอยากไปลองใช้ชีวิตแบบนั้นดูแล้วสิครับ..ว่าจะมีความสุขมาแค่ไหนหน๋อ...