|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
ขั้นตอนการจัดพอร์ตของป๋ม ^^ |
|
(แบบ Global Asset Allocation)
1. กำหนดระดับความเสี่ยง 2. ปรับระดับความผันผวน 3. วางกลยุทธ์และแผนการ Rebalance -- แบบคร่าวๆนะ --
1. การกำหนดระดับความเสี่ยง หาเราลงทุนในหุ้น 100% เราก็เสี่ยง 100% เพราะฉะนั้นจึงควรกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์อื่นบ้าง ในที่นี้คือ หุ้นและตราสารหนี้ โดยมี Framework ง่ายๆดังนี้ - เสี่ยงสูง 80/20, 70/30 - เสี่ยงปานกลาง 60/40, 50/50 - เสี่ยงต่ำ 30/70, 20/80
2. ปรับระดับความผันผวน ในส่วนของหุ้นนั้น แม้ระยะยาวจะให้ผลตอบแทนดี โดยในตลาดที่ดีๆนั้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 7-10% ต่อปีเลยทีเดียว แต่ระยะกลางๆระหว่างทางการลงทุนก็เหวี่ยงได้ใจเช่นกัน ติดลบ 10-20% เป็นเรื่องปกติ ดังนั้นเราจะลดความผันผวนด้วยการกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคต่างๆทั่วโลก เพราะหุ้นลงหนักที่ภูมิภาคหนึ่ง แต่อีกภูมิภาคหนึ่งอาจขึ้นดีก็เป็นได้ ส่วนจะกระจายไปที่ไหนบ้างและด้วยสัดส่วนเท่าไหร่ก็แล้วแต่ครับ ด้วยวิธีการนี้พอร์ตเราจะไม่ขึ้นแบบหวือหวา แต่ก็จะไม่ตกแบบน่าตกใจด้วยเช่นกัน ^^ สำหรับกลยุทธ์ในการกระจาย ก็อาจดูสถิติผลตอบแทนย้อนหลังของแต่ละประเทศหรือภูมิภาคเป็นตัวตั้งก็ได้ แล้วระหว่างทางก็อาจปรับสัดส่วนตามแต่ละสถานการณ์ปัจจุบัน
3. วางแผนการ Rebalance ระหว่างการลงทุน สินทรัพย์ต่างๆที่เราลงทุนย่อมมีขึ้นมีลง และมันก็จะทำให้สัดส่วนรวม (หุ้น/ตราสารหนี้) เปลี่ยนแปลงไปจากที่เราออกแบบไว้ เราจึงต้องทำการปรับให้กลับเข้ามาที่ระดับความเสี่ยงที่เราตั้งใจไว้ การปรับนี้จะเป็นการบังคับให้เรา ซื้อถูกขายแพง ไปโดยอัตโนมัติครับ เช่น หุ้นขึ้นก็ต้องขายมาโป๊ะตราสารหนี้ หรือหุ้นลงก็ต้องขายตราสารหนี้มาซื้อหุ้นเพิ่ม นั่นเอง ^^ ส่วนเราจะ Rebalance ถี่แค่ไหน ก็ไปออกแบบกันเอง นอกจากนี้การปรับพอร์ตแต่ละครั้ง ถ้าเรายังคงยึดสัดส่วนเดิมเป็นหลัก เราก็เรียกว่า Strategic Asset Allocation แต่หากเราปรับแต่ละครั้งสัดส่วนมีการปรับด้วยตามสถานการณ์ เราก็เรียกว่า Tactical Asset Allocation ครับ
การปฏิบัติใช้จริง ในส่วนของหุ้นต่างประเทศ ก็ใช้บริการกองทุนรวม ง่ายดี ในส่วนของไทยก็แล้วแต่ อยากซื้อเองหรือใช้กองทุนรวมก็แล้วแต่ครับ อ่อ แล้วอย่าลืมวัดผลด้วยหล่ะ โดยอาจเซ็ตอัพตัววัดผล (Benchmark) เช่น ใช้ SET Index แล้วก็คอยเทียบดูว่าผลตอบแทนและความผันผวนของพอร์ตเราทำได้ดีกว่าหรือไม่ ^^
แถมๆ ใครที่มีเวลาและสนุกกับการลงทุน ก็อาจจัดแบบ Tactical Asset Allocation ก็ได้ คอยหาข้อมูลเพื่อปรับเปลี่ยนพอร์ต ส่วนใครที่ไม่ค่อยมีเวลาก็ต้องวางแผนขั้นต้นให้ดีและชัดเจนไปเลย และก็ยึดสัดส่วนตาม Strategic Asset Allocation นั้นไปหรือที่เขาเรียก Lazy Buy and Hold นั่นเอง แต่วิธีการไหนก็แล้วแต่ ยังไงก็ต้อง Rebalance ด้วยนะ อย่าสับสนกัน
Create Date : 24 มิถุนายน 2560 |
|
0 comments |
Last Update : 15 สิงหาคม 2560 19:54:14 น. |
Counter : 339 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|