|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
Lenses ป่องได้ Retina ก็โค้งได้ เราอาจมาถูกทางแล้ว....
.....หรือเปล่า ไม่ได้จะชวนคุยเรื่องการเมือง หรืออะไรให้ปวดหัวครับ เพียงแต่ตั้งหัวเรื่องเอาไว้ เพราะเห็นข่าวเกี่ยวกับ Technology หลายชิ้นแล้วทำให้มานั่งนึกๆดู...ก็แปลกดี
เมื่อเร็วๆนี้ ทีมวิจัยของศาสตราจารย์ Yonggang Huang แห่งมหาวิทยาลัย Northwestern ได้ทำการพัฒนาจอรับภาพแบบโค้งได้เป็นผลสำเร็จ
ได้เห็นข่าวนี้ตอนแรก ก็ทำให้นึกถึงข่าวเมื่อก่อนหน้านี้ เรื่องการประดิษฐ์เลนส์แบบเหลว ที่ใช้เลนส์แบบที่บรรจุไว้ด้วยของเหลวใสภายใน ซึ่งหากเราสามารถควบคุมรูปร่างของเลนส์ให้ป่องมากหรือน้อยได้แล้ว ก็เท่ากับว่าเราจะได้เลนส์ที่เปลี่ยนทางยาว Focus ได้ โดยใช้เลนส์แค่ตัวเดียว โดยบริษัทที่นำไปพัฒนาเชิงพาณิชย์คือ Varioptic
ข้อดีคือไม่เสียแสงเลย ถ้าเป็นเลนส์กล้องคงจะได้ค่า f ต่ำมากๆ เพราะชุดเลนส์ที่ทำจากกระจกหรือพลาสติคทุกวันนี้ ประกอบด้วยชิ้นส่วนเลนส์หลายชิ้น เนื่องจากต้องพยายามให้แสงที่ผ่านเลนส์เดินทางเป็นเส้นตรงตั้งฉากกับจอรับภาพ ซึ่งแป็นแผ่นแบน เลนส์ยิ่งมากชิ้นก็ยิ่งยุ่ง ทั้งเรื่องการหักเหของแสงแต่ละสีที่ไม่เท่ากัน (Chromatic Aberration) และเรื่องความสว่างที่ลดลงไปตามจำนวนชิ้นเลนส์ที่เพิ่มขึ้น
นอกจากเลนส์จะทำตัวให้โค้งหรือเว้าแบบธรรมดาได้แล้ว มันยังทำตัวเลนส์ให้เบี้ยวไปมาแบบไม่สมมาตรได้ด้วย เพื่อให้ทำงานเหมือนเป็นระบบกันสั่น (Optical Image Stabilization) ขนาดจิ๋วนั่นเอง
ซึ่งหาก Liquid Lenses ดังกล่าว นำมาประกอบกับแผงรับภาพที่โค้งได้ด้วยแล้ว ก็จะทำให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในเรื่องการปรับตัวรับภาพให้โค้งสอดรับตามความป่องของเลนส์ที่เปลี่ยนไป ในภาพข้างล่างที่เป็นระบบต้นแบบ จะเห็นท่อของเหลวต่ออยู่กับชิ้นเลนส์เฟื่อปรับรูปร่างเลนส์ และอีกสองท่อด้านล่างเพื่อปรับความโค้งของตัวรับแสง
อีกหน่อยกล้องในอุปกรณ์ขนาดเล็กก็จะมีคุณภาพมากขึ้น และกล้อง SLR รวมทั้งเลนส์คงต้องเปลี่ยนโฉม การ Zoom อาจใช้การบีบและคลาย แทนการหมุนเข้าหมุนออกของกระบอกเลนส์
เล่ามาตั้งยาว.....เล่าทำไม ?? นั่นน่ะซิ
ทั้งหมดที่เล่ามาข้างบนนั่น ผมว่ามันคือ ส่วนประกอบของลูกตามนุษย์นะครับ เลนส์ที่ป่องได้กับ Retina แบบโค้ง รวมทั้งการมาของ iPhone4 ที่อ้างว่า ณ ความละเอียดระดับ 326 จุดต่อนิ้ว นี่คือขีดจำกัดของ Retina ของตาคนเรา นั่นคือการมีอุปกรณ์บันทึกภาพที่ดีพอและไม่ซับซ้อนคงมาถึงในไม่ช้านี้
ก็เลยบอกว่าเราอาจมาถูกทางแล้ว ธรรมชาติมักจะเรียบง่ายเสมอ
แต่อีกเรื่อง ที่ผมว่าอาจจะยังไม่แน่ใจว่าจะมาถูกทางหรือเปล่า ก็คือ ความเร็วครับ อุปกรณ์ที่ใช้ Chip ประมวลผลทั้งหลาย มีความเร็ว Clock สูงเหลือเกิน เพราะกฎของ Moore เป็นจริงหรือเปล่าไม่ทราบ แม้แต่ Chip ในโทรศัพท์มือถือหลายรุ่นก็ทะลุ 1 GHz กันไปแล้ว และกำลังจะวางขายรุ่นที่เป็น Dual Core กันอีก
ว่ากันว่า ความเร็วของสมอง ทำงานที่เพียงไม่เกิน 200Hz เท่านั้น (ประมาณจากความเร็วของระบบประสาทที่มีระยะเวลาการ Refresh ที่ 5 ms) แต่ก็สามารถวิเคราะห์ข้อมูล จดจำใบหน้า แยกแยะเพศชาย เพศหญิง รวมทั้งเพศฉิง ได้อย่างรวดเร็ว (แต่หลังๆก็มักจะแยกแยะผิดบ่อยครั้ง )
ตอนนี้ความเร็วของ Chip ในอุปกรณ์อย่างเช่นโทรศัพท์มือถือบางรุ่นเร็วกว่าสมองไปแล้ว 5 ล้านเท่า คงต้องตั้งหลักกันใหม่ เพราะการทดลองเชื่อมเส้นประสาทเข้ากับแผงวงจรเริ่มคืบหน้าแล้ว
หากไม่ลด Clock Speed ลงมา อีกหน่อยพวก Android หรือแม้แต่พวกเราๆ (ถ้ายังอยู่)อาจต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อไปลด Clock จากอาการ Neuron ไหม้
Create Date : 30 มกราคม 2554 |
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2554 10:26:22 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1887 Pageviews. |
|
|
|
โดย: สองดี วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:19:50:56 น. |
|
|
|
|
|
|
|