คลังความรู้เรื่องวิศวกรรมและการเกษตร ที่คนทั่วไปก็สามารถเข้าใจได้

<<
เมษายน 2556
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
11 เมษายน 2556
 

การพัฒนาวิชาการและถ่ายทอดเทคโนโลยีพืชเกษตรอินทรีย์เพื่อการส่งออก

 เกษตรอินทรีย์ เกิดขึ้นจากความต้องการของผู้บริโภคอาหารสุขภาพ (health foods) และนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ต้องการอาหารสะอาดจากธรรมชาติปราศจากสารเคมี อีกทั้งกระบวนการผลิตก็สามารถจะอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้ปลอดจากสภาพมลภาวะของ สารเคมี ซึ่งเป็นอันตรายต่อห่วงโซ่อาหารในธรรมชาติ
    เป็นระบบการเกษตรที่ไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช หรือในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช ตลอดจนไม่ใช้ปุ๋ยเคมีในการปรับปรุงดิน แต่ให้ความสำคัญต่อการปรับปรุงดิน ความอุดมสมบูรณ์ของดินและฐานทางชีวภาพ โดยใช้อินทรีย์วัตถุในการปรับปรุงดิน นอกจากนี้ยังห้ามใช้พืช เมล็ดพันธุ์พืชที่มีการตัดต่อพันธุกรรม หรือห้ามใช้จุลินทรีย์ที่มีการตัดต่อยีนในกระบวนการหมักปุ๋ยชีวภาพ
    มีหลักการและความมุ่งหมายตามสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (มกท.) ที่สำคัญมีดังนี้
    1. พัฒนาระบบการผลิตไปสู่แนวเกษตรผสมผสานที่มีความหลากหลายทางชีวภาพของพืชและสัตว์
    2. พัฒนาระบบการผลิตที่พึ่งพาตนเองในเรื่องอินทรีย์วัตถุและธาตุอาหารภายในฟาร์ม
    3. ฟื้นฟูและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ โดยใช้ทรัพยากรหมุนเวียนมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
    4. รักษาความสมดุลของระบบนิเวศในฟาร์ม และความยั่งยืนของระบบนิเวศโดยรวม
    5. ป้องกันและหลีกเลี่ยงการปฏิบัติที่ทำให้เกิดมลพิษแก่สิ่งแวดล้อม
    6. สนับสนุนระบบการผลิตและกระบวนการจัดการทุกขั้นตอนที่ต้องคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม
    7. ยึดหลักปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวและการแปรรูปที่เป็นวิธีการธรรมชาติ ประหยัดพลังงาน และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด

จากหลักการและความมุ่งหมายดังกล่าว จึงได้มีการดำเนินโครงการพัฒนาวิชาการและถ่ายทอดเทคโนโลยีพืชเกษตรอินทรีย์เพื่อการส่งออก ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน กับ บริษัท แอกโกร-ออน (ไทยแลนด์) จำกัด ดำเนินการบนพื้นที่ 200 ไร่ ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน มีระยะเวลาในการดำเนินโครงการ 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2546 - 28 ก.พ. 2549 โดยมีวัตถุประสงค์
    1. เพื่อเป็นศูนย์ข้อมูลในการผลิตพืชเกษตรอินทรีย์ตามมาตรฐานสากล
    2. เพื่อเป็นแหล่งค้นคว้าวิจัยและพัฒนาการผลิตพืชเกษตรอินทรีย์ให้มีศักภาพสูง
    3. เพื่อเป็นแหล่งศึกษาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตพืชเกษตรอินทรีย์ให้แก่เกษตรกรและผู้สนใจทั่วไป
    4. เพื่อเป็นแหล่งผลิตพืชเกษตรอินทรีย์ตามมาตรฐานสากล


    พืชที่ได้รับการรับรองมาตรฐานโดย BCS Öko-Garantie Cimbermstr. 21,90402 Numberg, Germany (Phone:+ 499(0)911 492239, EU-Code-No:DE-001-Öko-Kontrollstelle) คือ ข้าวโพดฝักอ่อน ข้าวโพดหวาน พริก ถั่วเขียว และถั่วเหลือง โดยมีขั้นตอนการเตรียมแปลงปลูกพืชเกษตรอินทรีย์และการปฏิบัติ ดังนี้
    1. เลือกพื้นที่เพาะปลูก
       - พื้นที่ไม่เคยใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมีมาก่อนอย่างน้อย 3 ปี
       - พื้นที่ไม่มีความเสี่ยงกับสารปนเปื้อนข้างเคียง
       - พื้นที่ไม่มีสารปนเปื้อนตกค้างในดินและแหล่งน้ำ
       - พื้นที่ต้องมีการอนุรักษ์ป่า เป็นที่อยู่อาศัยของแมลงทำให้เกิดความสมดุลทางธรรมชาติ
    2. ชนิดและพันธุ์ของพืชปลูก
       - ควรเลือกพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น
       - ต้านทานต่อโรคและแมลง
       - เมล็ดพันธุ์ปราศจากการคลุกสารเคมี
       - ห้ามใช้เมล็ดพันธุ์พืชการดัดแปลงทางพันธุกรรม (GMO)
    3. การจัดการดิน น้ำ ปุ๋ย
       - ควรมีการตรวจวิเคราะห์ดินอย่างน้อย 1 ครั้ง/ปี
       - น้ำควรมีการตรวจวิเคราะห์อย่างน้อย 2 ครั้ง/ปี ในฤดูแล้ง ฤดูฝน
       - ควรมีการปลูกพืชตระกูลถั่วหรือพืชบำรุงดินเป็นปุ๋ยพืชสดอย่างน้อย 3 ครั้ง/ปี
       - หลีกเลี่ยงหรือลดการใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ เพราะทำให้เนื้อดินแน่นแข็ง ไม่ร่วนซุย
       3.1 การปรับปรุงบำรุงดิน
           - ผู้ผลิตต้องพยายามนำอินทรียวัตถุจากพืชและสัตว์ภายในฟาร์มมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดลดการนำเข้าจากภายนอกฟาร์ม
           - การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ต้องมีแผนการใช้อย่างผสมผสานและเหมาะสม โดยคำนึงถึงความสมดุลของธาตุอาหารในดินและความต้องการธาตุอาหารของพืชที่ ปลูก
           - ห้ามนำมูลสัตว์ที่ยังไม่ผ่านการหมักเบื้องต้นมาใช้กับพืชโดยตรง ยกเว้นมีการอบผ่านความร้อนจนแห้งดีแล้วหรือใช้ในการเตรียมดินโดยคลุกดินทิ้ง ไว้ไม่น้อยกว่า 1 เดือนก่อนการปลูกพืช
           - ในกรณีที่ใช้มูลสัตว์จากฟาร์มภายนอก ต้องมาจากฟาร์มที่เลี้ยงแบบปล่อยรวมเป็นฝูงและปราศจากสารปนเปื้อน
           - ห้ามใช้อินทรียวัตถุที่มีส่วนผสมจากอุจจาระของมนุษย์มาใช้เป็นปุ๋ย
       3.2 การอนุรักดินและน้ำ
           - ห้ามเผาตอซังหรือเศษวัสดุในแปลง เพราะเป็นการทำลายอินทรียวัตถุและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดิน
           - กรณีพื้นที่มีความเสี่ยงต่อการพังทลายของดิน ต้องมีมาตรการป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน
    4. สารเร่งการเจริญเติบโตและสารอื่นๆ
       - อนุญาตให้ใช้สารเร่งการเจริญเติบโตจำพวกจุลินทรีย์ที่หมักได้จากพืชและสัตว์ โดยไม่มีสารปนเปื้อนตกค้างในผลิตภัณฑ์
       - ห้ามใช้สารเคมีสังเคราะห์เร่งการเจริญเติบโตทุกส่วนของพืช
    5. ป้องกันกำจัดศัตรูพืช / โรคพืช / วัชพืช
       - ควรส่งเสริมให้มีการแพร่ขยายชนิดของสัตว์และแมลงที่มีประโยชน์ ตัวห้ำ ตัวเบียน การปลูกพืชเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์และแมลงที่มีประโยชน์ ปลูกไม้ดอกแซม
       - ควรปลูกพืชขับไล่แมลงเป็นพืชร่วมในแปลงปลูกพืช ลดปัญหาแมลงศัตรูพืชได้
       - หลีกเลี่ยงการปลูกพืชชนิดเดิมซ้ำบนแปลงเดียวกัน เพื่อลดการระบาดของโรคและแมลง
       - ใช้พืชสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการป้องกันและขับไล่โรคและแมลงศัตรูพืช
       - ใช้วิธีเขตกรรมเพื่อควบคุมการเจริญเติบโตของวัชพืช เช่น การไถกลบ การปลูกพืชหมุนเวียน การปลูกพืชร่วม การปลูกพืชคลุมดิน การใช้วัสดุคลุมดินจากธรรมชาติ


    6. การแปรรูปและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว
       - ภาชนะ เครื่องมือและกรรมวิธีแปรรูปต้องสะอาดถูกสุขลักษณะทุกขั้นตอนและมีการป้องกัน การปนเปื้อนจากสิ่งอื่นเช่น จุลินทรีย์ พาหะนำโรค สารเคมี
       - ห้ามใช้ภาชนะอลูมิเนียมในการแปรรูปอาหารที่เป็นด่าง
       - หากมีการใช้สถานที่ เครื่องมือ ภาชนะ และเครื่องจักรร่วมกับการแปรรูปผลิตภัณฑ์อื่นที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์อินทรีย์ ผู้ประกอบการต้องไม่ดำเนินการผลิตในช่วงเดียวกันและทำความสะอาดภาชนะ เครื่องมือและเครื่องจักรให้สะอาดปราศจากสิ่งตกค้างก่อนดำเนินการแปรรูปผลิตภัณฑ์อินทรีย์
       6.1 การบรรจุภัณฑ์
           - บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ใส่ผลผลิตเกษตรอินทรีย์ที่มาจากฟาร์มต้องไม่เคยใช้บรรจุสารเคมี ปุ๋ยเคมี หรือสิ่งที่เป็นพิษมาก่อน
           - ควรใช้บรรจุภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด โดยควรเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือนำไปผลิตซ้ำใหม่ได้
           - บรรจุภัณฑ์ที่นำมาใช้ต้องไม่ผ่านการอบด้วยสารฆ่าเชื้อราหรือสารเคมีอื่นๆ
           - ไม่อนุญาตให้ใช้โฟมเป็นบรรจุภัณฑ์
       6.2 การขนส่ง
           - ต้องมีใบเช็คสต็อกสินค้าเกษตรอินทรีย์เข้า-ออกที่ชัดเจน
           - การขนส่งผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์สามารถขนส่งรวมกับสินค้าทั่วไปได้ ถ้าหากผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์มีการติดฉลากไว้ชัดเจนและมีภาชนะบรรจุที่แยก ชัดเจนสามารถป้องกันสารปนเปื้อนได้
    7. การตลาด
       - ผลผลิตทั้งหมดเป็นสินค้าส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ซึ่งมีตลาดในสหราชอาณาจักรเป็นตลาดหลัก ออสเตรเลีย ไต้หวัน สิงคโปร์ และประเทศในตะวันออกกลาง ในขณะที่บริษัทฯ ยังมีความต้องการผลผลิตจากไร่อีกเป็นจำนวนมาก เพื่อส่งมอบพืชเกษตรอินทรีย์ให้ได้ตามความต้องการของลูกค้า

ขอขอบคุณแหล่งความรู้จาก

  • มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  • สมบัติ ชิณะวงศ์1 ปราโมทย์ สฤษดิ์นิรันดร์1 และ วุฒิชัย ทองดอนแอ2
    1ภาควิชาพืชสวน  คณะเกษตร กำแพงแสน
    2ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง สถาบันวิจัยและพัฒนา กำแพงแสน
    มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  • สำนักบริการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ชอบกด Like & Share เป็นกำลังใจให้ด้วยน่ะจ๊ะ




Create Date : 11 เมษายน 2556
Last Update : 11 เมษายน 2556 13:32:28 น. 0 comments
Counter : 804 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

Mr.Evo_IV
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




[Add Mr.Evo_IV's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com