Limited Freedom
<<
มีนาคม 2553
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
15 มีนาคม 2553

สาย (1)

สาย(1)

ข่าวในทีวีทำผมแทบไม่เชื่อสายตาและหูของตัวเอง เพราะสิ่งที่ผมได้ยินและได้เห็นนั้น มันทำให้ผมตกใจมาก ยิ่งกว่าการได้เห็นข่าวการเกิดสึนามิรอบที่สองเสียอีก
ผมยืนค้างในท่าที่ปากกำลังคาบแซนด์วิชและมือถือแก้วนม ดีนะที่ไม่ร่วงหล่นพื้น เพราะภาพของผู้หญิงที่ผมได้เห็นในทีวี คือนักศึกษาคนหนึ่งที่เรียนที่เดียวกันกับผม แค่ได้รู้ว่าเธอเรียนที่เดียวกับผม ผมก็ตั้งสติแทบไม่อยู่แล้ว แต่นี่ เธอคือคนที่ผมแอบมองอยู่ จริงๆแล้วก็คือแอบชอบนั่นแหละ
ชื่อของเธอที่ปรากฏทางทีวี เป็นชื่อของคนญี่ปุ่น ผมที่ยังคงช็อกอยู่คิดในใจ ไม่คิดเลยว่าผมจะได้รู้จักชื่อเธอแบบนี้ และเพิ่งรู้ด้วยว่าเธอเป็นคนญี่ปุ่น ตามรายงานข่าวแจ้งว่า แท็กซี่ที่เธอนั่งมาเกิดอุบัติเหตุ ประสานงากับรถกระบะที่เขาคาดว่าคนขับคงเมา
คนขับแท็กซี่เสียชีวิตคาที่ แต่เธอเพิ่งเสียชีวิตเมื่อช่วงก่อนเช้านี่เอง เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว และข่าวยังบอกอีกว่า คนขับรถกระบะตอนนี้รู้สึกตัวแล้ว ให้ปากคำได้แล้ว
ผมยังคงมองทีวีตาไม่กระพริบ จนภาพข่าวนั้นหายไป กลับมาเป็นภาพผู้ประกาศข่าว พร้อมกับข้อคิดเห็นเล็กๆน้อยๆต่อข่าวนี้
“น่าสงสารนะครับ ที่น้องต้องมาเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เพิ่งเข้ามหา’ลัยด้วย ยังเป็นเฟรชชี่อยู่เลย ก็ได้แต่หวังว่าทางตำรวจจะเอาจริงเอาจังกับการขับรถขณะมึนเมามากขึ้นนะครับ ก็ถือเป็นอุทาหรณ์ ข่าวต่อไป......”

ผมปิดทีวีแล้วออกเดินทางไปมหาลัย ด้วยจิตใจที่หดหู่ มึน งง ไม่อยากยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น มันยากที่จะยอมรับจริงๆ ผมเองคิดว่าสักวันจะต้องได้ทำความรู้จักกับเธอ แต่ผมก็ไม่กล้าพอ ผมคิดเรื่องเธอวนไปวนมาจนถึงมหาลัยโดยไม่รู้ตัว
อากาศยามเช้าช่างหม่นหมองยิ่งนัก เมื่อได้รู้ว่าเธอคนนั้นไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว เธอคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมอยากมามหาลัยเช้าๆ มาแอบมองหน้าเธอที่เหมือนยังตื่นไม่เต็มที่ เธอจะมาถึงมหาลัยตอน 8 โมงเป็นประจำ
แต่ก็ไม่ทุกวัน บางวันเธอก็เรียน เที่ยง เรียนบ่ายบ้าง แต่ผมชอบหน้าของเธอตอนเช้าสุดแล้ว พอนึกถึงเธอ ผมก็เผลอยิ้มในใจ
ผมไม่เป็นอันเรียนวิชาตอนเช้าเลย เพื่อนผมที่รู้ว่าผมชอบน้องคนนั้นก็มาถามผมว่าได้ข่าวหรือยัง ผมไม่ไม่ตอบ แต่มันเห็นสีหน้าของผมมันก็คงรู้ มันเลยปลอบใจผม มันยิ่งปลอบผมก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ ที่ตอนที่เธออยู่ผมไม่เคยคิดจะไปทำความรู้จักเธอ ไม่ใช่ไม่คิด คิดแล้ว แต่ผมไม่กล้าพอ ผมมองเธอทีไร เธอก็ไม่เคยมองตอบ แต่ผมก็ไม่กล้าจะเดินเข้าไปถามแม้แต่ชื่อเธอ สิ่งที่ผมเสียใจคือ การที่เธอจากไปโดยที่ไม่ได้รู้จักผม และผมก็ไม่ได้รู้จักเธอ
ตอนเที่ยงที่โรงอาหาร ผมเจอกลุ่มเพื่อนเธอ ที่ดูเหมือนจะยังคงโศกเศร้า บางคนในกลุ่มยังคงร้องไห้อยู่ อย่างสังเกตได้ชัด คนที่ปลอบคนที่ร้องไห้ก็เศร้าพอกัน ดูแล้วช่างเศร้าเหลือเกิน ดูแต่ละคนไม่มีกระจิตกระใจจะกินข้าวเลย ผมก็เช่นกัน เพราะปกติผมจะแอบมองดูเธอตอนกินข้าวเวลานี้บ่อยๆ ได้เห็นเธอคุยกับเพื่อน ได้เห็นเธอหัวเราะ แต่วันนี้ไม่มีแม้แต่เงา เหลือไว้เพียงความโศกเศร้าเท่านั้น
ตอนเย็น ขณะขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน ผมเจอเพื่อนเธอคนหนึ่งโดยบังเอิญ ปกติผมเจอเธอกับเพื่อนเธอคนนี้บนรถไฟฟ้าบ่อยๆ เราลงสถานีเดียวกัน แต่ผมก็ไม่เคยได้ทักเธอสักที เพราะเธอมากับเพื่อน เพื่อนเธอที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเสียใจแค่ไหน ที่ต้องกลับบ้านคนเดียว
ผมชั่งใจจะถามเพื่อนเธอเรื่องงานศพ เพราะอย่างน้อยได้ไปหาเธอก็ยังดี แต่ผมก็ไม่กล้าจนถึงสถานีปลายทาง เธอกำลังจะลง ผมจึงตัดสินเรียกเธอ หลายครั้ง
“น้องครับ น้องครับ น้องนั่นแหละคนที่ใส่แว่นอ่ะ”
เธอหันมาทำหน้างงๆ “เรียกหนูเหรอคะ” เธอยิ้มแบบเขินๆ เหมือนปกปิดความเศร้า ผมว่าเธอคงเหม่อจนไม่ได้ยินผมเรียก เพราะผมเรียกเธอดังมาก จนคนทั้งสถานีหันมามองผม โดยเฉพาะคนที่ใส่แว่น
“ใช่ครับ พี่อยากจะถามเรื่องเพื่อนน้องหน่อย พี่เห็นข่าวเมื่อเช้า เด็กที่มหาลัยเราที่ประสบอุบัติเหตุเมื่อวานเป็นเพื่อนน้องใช่ไหมครับ”
“อ๋อ ใช่ค่ะ” เธอขยับแว่นเล็กน้อย แล้วจ้องหน้าผม “อ๋อพี่นี่เอง” น้ำเสียงเธอดูตื่นเต้น “อันที่จริงหนูก็กะจะบอกพี่ตั้งแต่ที่โรงอาหารแล้วเหมือนกันแหละ แต่เพื่อนยังช็อกกันอยู่น่ะค่ะ”
ผมทำหน้างง “อะไรนะครับ เมื่อกี้น้องก็บอกว่าจะบอกพี่ตั้งแต่ที่มหาลัยแล้วเหรอ”
เราเดินขวางบันได จนคนเดินเบียด ผมเลยบอกให้เธอเดินไปคุยไป

แล้วเธอก็เริ่มเล่าให้ผมฟัง
“ คือว่า...พวกหนูว่าจะชวนพี่ไปงานศพเพื่อนหนูอยู่พอดีเลยค่ะ พี่พอจะว่างหรือเปล่าคะพรุ่งนี้”
ผมงงหนักกว่าเดิม “คือ...พี่ก็กะจะมาถามเรื่องนั้นอยู่พอดีเลย พรุ่งนี้ว่างครับ ไม่มีเรียน”
เธอทำหน้ายิ้ม “ดีเลยพี่ถ้าเพื่อนหนูรู้ว่าพี่ไปมันคงดีใจ”
ผมที่ยังงงอยู่ก็งงหนักกว่าเดิม “แล้วเขาจะดีใจทำไมล่ะครับ”
เธอถอนหายใจ “ไม่รู้จะบอกพี่ดีไหมแต่ไหนๆก็ไหนแล้ว คือเพื่อนหนูเขาแอบชอบพี่อยู่น่ะค่ะ”
คราวนี้ผมอึ้ง ทึ่ง งง ช็อค ผมพูดอะไรไม่ออกจนเดินชนช่องที่กั้นประตู
ผมหยิบบัตรรถไฟฟ้าออกมาทาบ น้องแว่นที่เดินออกไปก่อนแล้วกันกลับมามองแบบยิ้มๆ
“เมื่อกี้น้องว่าไงนะ พี่ฟังผิดหรือเปล่า” ผมถามย้ำอีกที
“ไม่ผิดหรอกค่ะ เพื่อนหนูน่ะแอบชอบพี่มานานแล้ว ตั้งแต่งานประกวดดนตรีที่มหาลัยเทอมที่แล้วน่ะค่ะ มันโหวตให้วงพี่ด้วยนะคะ ที่เขาให้ซื้อดอกกุหลาบโหวตให้วงที่ชอบน่ะ พี่จำได้หรือเปล่า ประมาณช่วงเดือนกันยามั้งคะ”
แล้วผมก็นึกออก ใช่ ผมเจอเธอครั้งแรกวันนั้น ตอนอยู่บนเวที ผมมองลงมาข้างล่างเห็นเธอ แล้วมันก็ทำให้ผมเกิดอาการประหม่า ไม่รู้ว่าเขินเธอหรือผมตื่นเวทีกันแน่ แต่ถึงผมจะไม่ชนะเลิศ แต่การได้เจอกับเธอก็เหมือนกับเป็นรางวัลของผมแล้ว
“จำได้ครับ วันนั้น เป็นครั้งแรกเลยที่พี่เห็นเพื่อนน้อง นานแล้วเหมือนกันนะ”
“พี่ก็ชอบเพื่อนหนูเหมือนกันใช่หรือเปล่า เห็นเพื่อนในกลุ่มบอกเห็นพี่แอบมองมาทางเพื่อนหนูบ่อย”
ผมกระอักกระอ่วน “เอ่อ...อันที่จริงก็ใช่ครับ แต่มันสายไปแล้วใช่ไหมครับ ถ้าพี่จะไปบอกเขาตอนนี้”
“โหย เสียดายแทนอ่ะ ทำไมพี่ไม่กล้าๆหน่อย”
ผมเองก็เสียดายเช่นกัน “อันที่จริงพี่กะ จะบอกเขาวันวาเลนไทน์อาทิตย์หน้านี่แหละครับ อีกแค่อาทิตย์เดียวเอง เขาดันไปเสียก่อน อะไรมันก็ไม่แน่ไม่นอน ถ้ารู้แบบนี้พี่เข้าไปหาตั้งแต่ตอนปีใหม่แล้ว”
ผมใจหนึ่งก็ดีใจ แต่อีกใจหนึ่งก็เสียดาย และอีกใจหนึ่งก็เสียใจ
น้องแว่นมองหน้าผมด้วยสายตาที่บอกว่าเข้าใจนะ เธอทำท่าเหมือนจะพูดอะไรอีกแต่ก็เงียบไป
แล้วเธอก็เล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านั้น น้องคนนั้นโทรมาชวนให้เธอออกไปข้างนอกด้วยแต่เธอไปไม่ได้เพราะต้องทำงาน น้องคนนั้นเลยต้องไปคนเดียว เธอบอกถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้เธอคงไปด้วยแล้ว แล้วเธอก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ เธอไม่คิดว่านั่นจะเป็นโทรศัพท์ครั้งสุดท้ายจากเพื่อนเธอ

ก่อนแยกกันผมขอเบอร์และเมลน้องแว่นไว้ เพื่อนัดหมายไปงานศพของน้องคนที่ผมแอบชอบพรุ่งนี้

วันนี้รถติดมาก ผมใช้เวลานานกว่าจะถึงบ้าน แต่ระหว่างทาง ผมก็อดคิดเรื่องเธอไม่ได้ ทำไมนะ ทำไมผมถึงไม่กล้ากว่านี้ เสียดายจริงๆ ถ้าผมกล้ากว่านี้เราจะเป็นยังไง ป่านนี้ผมก็คงไม่ต้องมาทั้งเสียใจและเสียดายแบบนี้ แค่เสียใจอย่างเดียวก็พอ

หลังกินข้าว และอาบน้ำเรียบร้อย ผมเปิดคอมเพื่อคุยกับน้องแว่นทางเน็ต ผมขอเธอดู Facebook และ Hi5 ของเพื่อนเธอ เธอบอกให้ผมแอดไปได้เลย เดี๋ยวเธอจะรับแทน เพราะเธอรู้รหัส
ผมนั่งดูรูปเธอแล้วน้ำตาจะไหล แล้วสุดท้ายมันก็ไหลออกมาจนได้ ผมจับหน้าจอคอม ตรงที่เป็นรูปของเธอ คิดในใจเสียดาย เสียดาย และเสียดาย เราน่าจะรู้จักกันเร็วกว่านี้ ผมทิ้งข้อความไว้อาลัยเธอเป็นครั้งสุดท้ายในFacebook
“สวัสดีครับ เราน่าจะได้รู้จักกันเร็วกว่านี้นะครับ น้องน่ารักมากๆ ขอบคุณสำหรับดอกไม้และเสียงเชียร์ในวันนั้นนะครับ มีบางอย่างที่พี่อยากให้น้องรู้เอาไว้ พี่แอบชอบน้องมาตั้งแต่วันนั้นแล้วนะครับ ดีใจที่ครั้งหนึ่งเราเคยได้เจอกันบนโลกใบนี้นะครับ ถ้าชาติหน้ามีจริง ถ้าพี่เจอน้องอีกพี่จะรีบจีบเลย ลาก่อนชั่วนิรันดร์”

หลังจากนั้นก็มีคนมาโพสต่อจากผมมากมาย หลายๆคนแช่งคนขับกระบะ หลายๆคนชมเธอ หลายๆคนแสดงความในใจ ถึงแม้เธอจะไม่อยู่ ผมก็หวังว่าเธอจะรับรู้มันนะ ผมบอกลาน้องแว่น เธอย้ำเรื่องเวลาและสถานที่อีกที แล้วผมก็ขอตัวไปนอน
ผมทิ้งตัวลงนอนแล้วแต่จิตใจผมกลับกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ คงเป็นเพราะเรื่องของเธอยังเวียนวนอยู่ในหัวผม ผมอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าผมมีความกล้ามากกว่านี้ จะเป็นยังไง ผมและเธอถ้าเกิดเป็นแฟนกันจะเป็นยังไง
ผมไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนแล้วชอบตั้งแต่แรกเห็นมาก่อน ผมอยากบอกเธอเหลือเกินว่าผมรู้สึกยังไงกับเธอ บอกไปตอนนี้เธอก็คงไม่อยู่รับรู้แล้ว แล้วผมก็ถอนหายใจ
ผมเพิ่งรู้ด้วยซ้ำว่าเธออยู่ปี 1 ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอในวันที่สาย เพียงแค่เพราะผมไม่กล้าแค่นั้นเอง ผมเสียดาย ผมน่าจะมีช่วงเวลาดีๆกับเธอให้ได้จดจำบ้างนอกเหนือจากการแอบมองเธอตอนเช้า แอบดูเธอกินข้าวตอนเที่ยง และบังเอิญกลับบ้านพร้อมกับเธอตอนเย็น คิดไปคิดมาแล้วผมก็หลับไป

เสียงโทรศัพท์มือถือดัง ผมงัวเงียๆควานมือหาโทรศัพท์ แล้วกดรับ
“ฮาโหล” เสียงงัวเงียๆ
“เฮ้ย ตื่นได้แล้ว วันนี้มาเร็วๆหน่อย มาซ้อมกันสักรอบก่อน” เสียงเพื่อนผมดังมาตามสาย
“ซ้อมไรวะ วันนี้ไม่มีเรียนนี่” ผมถามงงๆ
“ก็ใช่ไง แต่วันนี้มีประกวดดนตรีไง ลืมแล้วเหรอ”
ผมสะดุ้ง คิดว่าเพื่อนแกล้งหรือเปล่า “ประกวดไรของมึง บ้าเปล่า วันนี้......” ผมหันเหลือบไปเห็นนาฬิกา วันนี้วันที่ 19 กันยายน!
แล้วผมก็หายง่วงทันที



ติดตามตอนต่อไป...............




 

Create Date : 15 มีนาคม 2553
0 comments
Last Update : 15 มีนาคม 2553 11:41:31 น.
Counter : 789 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


antifreeze
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add antifreeze's blog to your web]