Group Blog
 
 
กันยายน 2548
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
19 กันยายน 2548
 
All Blogs
 
becoming CSI : [Part 1/Day 1]








วันนี้มีอบรม
"ผู้ช่วยชันสูตรพลิกศพและตรวจสถานที่เกิดเหตุอย่างเป็นระบบ"
จัดโดยกลุ่มตรวจสถานที่เกิดเหตุ
หรือที่รู้จักกันดีว่า CSI นั่นแหล่ะ


การจัดอบรมครั้งนี้ ประเด็นไม่ใช่การต้องการเทรนให้ผู้ที่เข้าร่วมการอบรมเป็น CSI แต่ต้องการที่จะให้การทำงานที่ทำกันอยู่ในขณะนี้เป็นไปอย่างถูกต้อง และอยู่ในมาตรฐานเดียวกัน


ปกติแล้ว การจะออกที่เกิดเหตุนั้น CSI แต่ละคนที่เห็นว่าทำงานกันอยู่ใน scene จำเป็นจะต้องได้รับ certificate ซะก่อน ว่าได้ผ่านการอบรมมาเรียบร้อยแล้ว


โดยการจัดอบรมแบบนั้นก็จะมีประมาณปีละ 2 ถึง 3 ครั้ง และจะถูกจัดขึ้นโดยสำนักมาตรฐานฯ


ตอนที่นุ่นเข้ามาทำงานที่นี่ เค้าเพิ่งจัดกันไปพอดี
ก็คงต้องรออีกสักพัก เค้าถึงจะจัดกันอีกรอบ


แต่จริง ๆ แล้ว มันก็ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องรอการอบรม ถึงจะเรียนรู้งานได้ ของแบบนี้มันคงต้องใช้ความใส่ใจส่วนตัวมากกว่า


ตอนนี้ที่ยังไม่ได้อบรมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ก็สามารถเรียนรู้งานได้เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ การเข้าฟัง journal club การคุยกับคนที่เป็น CSI อยู่แล้วหรือการเข้าอบรมแบบนี้


.
.


การจะเป็น CSI มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดนะ ขอบอก


.
.


คนทั่วไป อาจจะรู้จัก CSI จากการดูในทีวี
แล้วก็อาจจะเห็นแค่ว่า โอเค คนกลุ่มนี้เข้าไปที่ที่เกิดเหตุ
แล้วก็เก็บนู่นนี่ใส่ถุง แล้วเอากลับมาวิเคราะห์ต่อที่ lab


ความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้ง่ายแค่นั้นน่ะซิ


ในความเป็นจริง CSI จะแบ่งกันเป็นทีม
ในทีมนึง จะประกอบไปด้วย 6 หน้าที่หลัก ๆ ด้วยกัน
ก็คือหัวหน้าทีม, ผู้บันทึก, ผู้ร่างภาพ+วัดระยะ, ผู้เก็บรวบรวมวัตถุพยาน, ผู้ช่วยแพทย์และผู้ถ่ายภาพ


[และก็ในความเป็นจริงอีกเช่นกัน ที่ทีม CSI มักจะไม่ได้ประกอบไปด้วยคน 6 คนครบถ้วนเท่านี้หรอก บางทีอาจจะมีแค่ 3 หรือ 4 คน และบางคนอาจจะทำ 2 หรือ 3 หน้าที่ในเวลาเดียวกัน]


ในการเข้า scene แต่ละครั้ง คนที่จะเข้า scene ก่อนคือหัวหน้าทีมและช่างภาพ รวมถึงร้อยเวร เพื่อเป็นพยานทางกฏหมายให้เรา


การเข้าไปรอบแรกนี้ คือการเข้าไปประเมิน case และสถานะการณ์ ก่อนจะกลับออกมาเพื่อแจกจ่ายหน้าที่ให้กับลูกทีมที่เหลือ ส่วนช่างภาพ ก็มีหน้าที่เข้าไปถ่ายภาพที่เกิดเหตุ ก่อนที่จะถูกใครหรืออะไรมารบกวน


การเดินเข้า case ก็ต้องระวังเรื่องรอยเท้าหรือรอยรองเท้า ซึ่งอาจจะเป็นของคนร้ายหรือของผู้ตาย ทางที่ดี ก็ควรจะเดินในที่ที่คนร้ายไม่น่าจะเดิน อย่างเช่นการเดินเลาะขอบห้องไปเรื่อย ๆ


รวมถึงการเข้าออกจากที่เกิดเหตุนั้น ควรจะมีทางเข้าออกแค่ทางเดียว เดินเข้าทางไหนเวลาจะเดินออกก็ต้องย้อนกลับออกมาตามทางเดิม


พอกลับออกมา หัวหน้าทีมก็ต้อง brief ให้ลูกทีมฟัง ในส่วนของรายละเอียด แล้วทีมที่ 2 ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ร่างภาพ, ผู้บันทึกและหัวหน้าทีมก็จะกลับเข้าไปที่ scene กันอีกรอบเพื่อเก็บข้อมูลต่าง ๆ


ผู้ร่างภาพ+วัดระยะ ก็จะมีหน้าที่วาดผังของสถานที่เกิดเหตุ วัดระยะระหว่างศพ วัตถุพยานต่าง ๆ โดยมีจุด fix point ที่แน่นอน .. และจำไว้ว่าในการวัดระยะของสิ่ง ๆ ต่าง ๆ ต้องรอให้ถ่ายรูปเสร็จก่อนแล้วถึงจะทำได้


ผู้บันทึกก็จะต้องบันทึกข้อมูลโดยละเอียด


และในส่วนของผู้เก็บวัตถุพยานนั้น ก็จะต้องมองหาวัตถุพยานรอบ ๆ scene ก่อนจะวางป้ายเลขวัตถุพยาน โดยไล่จากทางเข้าไปจนถึงด้านในสุด .. ในกรณีที่มีการพบวัตถุพยานเพิ่มเติมในภายหลัง ให้วางป้ายต่อจากเลขสุดท้ายไปเลย เช่นหากพบวัตถุพยานไปแล้ว 10 ชิ้น ก็ให้วางป้ายหมายเลข 11 ไปตรงบริเวณวัตถุพยานชิ้นที่เพิ่งพบใหม่ได้เลย โดยไม่ต้องคำนึงถึงการไล่เลขจากทางเข้าแล้ว


ขั้นตอนของการเก็บวัตถุพยานตามหลักแล้วก็คือ
วางป้าย > ถ่ายรูป > วัดระยะ > เก็บวัตถุพยาน > ถ่ายรูปอีกที


ในการเก็บวัตถุพยานก็มีข้อที่ต้องคำนึงถึงมากมาย ไม่ใช่ว่าเจออะไรแล้วก็จะหยิบใส่ถุงได้เลย


วัตถุพยานบางอย่างต้องเก็บแยกพิเศษ บางอย่างต้องเก็บบในกล่องที่ใส่สำลีไว้ บางอย่างให้ใส่ถุงพลาสติกได้เลย ฯลฯ


ประเด็นคือเราควรจะเข้าใจการทำงานของ lab ด้วย ว่าถ้าเราส่งวัตถุพยานชิ้นนั้น ๆ ไปที่ lab แล้วที่ lab จะต้องทำอะไร หรือหาร่องรอยตรงไหนบนวัตถุพยานบ้าง


อย่างกระสุนปืน ก็มีจุดที่โดนได้ และโดนไม่ได้ วิธีเก็บให้ใช้ที่คีบคีบหัว-ท้ายเป็นต้น


รายละเอียดในการเก็บวัตถุพยานต่าง ๆ มีอีกเยอะมาก ซึ่งคงจะพูดในนี้ไม่หมด เอาไว้ถ้ามีโอกาสก็คงจะกลับมาเขียนเรื่องนี้เพิ่มเติมในภายหลัง


อ้อ ลืมพูดไปในส่วนของแพทย์


แพทย์จะเข้าที่ scene ภายหลังสุด และจะสามารถแตะต้องศพได้หลังจากที่ได้ทำการถ่ายรูปไปแล้วเท่านั้น


โดยพื้นฐาน แพทย์จะตรวจว่าการตายนั้นเป็นการตายแบบธรรมชาติหรือผิดธรรมชาติ หากเป็นการตายแบบธรรมชาติ แพทย์ก็จะสามารถรับรองการตายและปล่อยศพได้เลย แต่หากเป็นการตายแบบผิดธรรมชาติก็จะต้องส่งศพไปผ่าก่อน


.
.


วันนี้ที่เขียนมาก็เยอะมากแล้วเน๊อะ
ไม่รู้ว่าตกหล่นเรื่องอะไรไปบ้างรึเปล่า เำพราะนึกอะไรได้ก็พิมพ์ลงไปเลย

ถ้าใครอยากรู้อะไรเพิ่มเติมหรือคิดว่านุ่นตกหล่นอะไรตรงไหนไปก็รบกวนช่วยบอกกันมาด้วยนะคะ









ปอลอ. ที่เขียนมานี่ยังไม่ได้ครึ่งของความรู้ที่ได้มาในวันนี้เลย แต่ว่าคงเขียนในรายละเอียดลึกกว่านี้ไปไม่ได้แล้ว เพราะคงต้องใช้เวลามากกว่านี้อีกเยอะ .. ขอเก็บแรงเอาไว้อบรมพรุ่งนี้ต่อก่อนนะ


Create Date : 19 กันยายน 2548
Last Update : 19 กันยายน 2548 22:52:45 น. 0 comments
Counter : 230 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

i-t i m...
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add i-t i m...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.