'ทำไมคนไทยไม่รักกัน' คำถามยอดนิยมในยุคสังคมแตกแยก ?

มีคนเคยตั้งคำถามกับเราว่า 'ทำไมคนไทยไม่รักกัน'

ข้อความ SMS ในรายการคุยข่าวเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ถือว่าสะดุดตามากในยุคที่มีความแตกแยก ทั้งทางชนชั้นและทางความคิด ระหว่างคนจนกับคนชั้นกลาง

กระแส 'ไม่เอานายกฯ' จากม็อบชนชั้นกลางคงเป็นสิ่งที่กระทำกันอย่างต่อเนื่อง แม้จะดูกระจัดกระจายก็ตาม ทั้งฝ่ายทางคุณสนธิที่ส่งไม้ต่อให้กับ 'พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย' หรืออย่างการเคลื่อนตัวของกลุ่มพลังคณาจารย์-นิสิต นักศึกษา โดยเฉพาะการออกแถลงการณ์จากคณาจารย์ ในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เรียกร้องให้นายกฯ ทักษิณ ลาออกจากตำแหน่ง ด้วยเหตุผลที่ว่า 'หมดความชอบธรรม' ในการบริหารประเทศ และการล่ารายชื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรี โดยกลุ่มนักศึกษาหลายสถาบัน

ส่วนชาวบ้านคนจน และคนที่หาเช้ากินค่ำทั้งหลาย ก็ออกมาสนับสนุนนายกฯ ทักษิณ ทั้งการจัดตั้งม็อบ 'คนรักทักษิณ' เข้าไปให้กำลังใจกันจนล้นทำเนียบรัฐบาล ในหลายจังหวัด บรรดา ส.ส.ไทยรักไทยในพื้นที่เชิญชวนชาวบ้านนัดรวมพลให้กำลังใจนายกฯ และประท้วงการเคลื่อนไหว โดยพุ่งเป้าโจมตีไปที่ 'สนธิ ลิ้มทองกุล' ผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลตั้งแต่ต้น ให้เลิกสร้างความวุ่นวาย

ความเหลื่อมล้ำทางความคิดและปัญญาของประชาชน เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ประชาชนเริ่มมีความคิดแตกแยกในขณะนี้ ระหว่างคนที่ 'รู้ทันรัฐบาล' กับคนที่ 'เห็นรัฐบาลชอบ'

ในสายตาชาวบ้านระดับรากหญ้า ความคิดที่ว่า 'คนรวย...ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด' เป็นสิ่งที่ชาวบ้านยึดถือ และโดยเฉพาะนายกฯ ทักษิณ ที่มีภาพลักษณ์สง่างามด้วยดีกรีเป็นถึงด็อกเตอร์ (แปลกไปซักหน่อยที่เป็นด็อกเตอร์ด้าน 'อาชญวิทยา' ) และจากการเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวย ก่อนตัดสินใจลงมาเล่นการเมือง รวมถึงความแปลกใหม่ในด้านการปฏิรูปข้าราชการ และ 'นโยบายประชานิยม' ที่ประชาชนรากหญ้าจะได้รับประโยชน์เต็มๆ ทั้งโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองฯ และสารพัดโครงการเอื้ออาทรต่างๆ

ส่วนคนในระดับชนชั้นกลาง หรือคนชั้นสูงที่ไม่มีโอกาสเอื้อประโยชน์ให้กับรัฐบาล หากได้รับรู้ความเคลื่อนไหวจากสื่ออีกด้านหนึ่ง จะเห็นได้ว่า การบริหารประเทศในช่วงที่ผ่านมา มีความล้มเหลวโดยรวมอย่างสิ้นเชิง รวมไปถึงความไม่ชอบมาพากลในประเด็น 'การทุจริตคอรัปชั่น' ในบรรดาเครือญาติและพวกพ้องหลายโครงการ การเลือกปฏิบัติกับประชาชนแบบ 'ดับเบิ้ล สแตนดาร์ด' ที่หากใครไม่ได้เลือกไทยรักไทย จะมีโอกาสในการช่วยเหลือน้อยกว่าชาวบ้านที่เลือกพรรคไทยรักไทย

หรืออย่าล่าสุดที่ผู้นำประเทศ อย่าง 'นายกฯ ทักษิณ' ที่ถูกโจมตีอย่างหนักในเรื่องคุณธรรม และจริยธรรมในตัว หลังประเด็นการขายหุ้น 73,000 ล้านบาทให้กับกลุ่มเทมาเส็ก รัฐวิสาหกิจจากสิงคโปร์ จนองค์กรและภาคประชาชนหลายฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับจริยธรรมในการบริหารประเทศ ต้องออกมาขับไล่รัฐบาลจนถึงทุกวันนี้

สิ่งที่ทำให้ประชาชนมีความคิดขัดแย้งในขณะนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ 'สื่อ' ที่สะท้อนให้เห็นอยู่ในขณะนี้ มีความเหมือนที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละจุด ทำให้การรับรู้เรื่องราวของประชาชน 'ต่างกัน' โดยสิ้นเชิง

หากเป็นสื่อวิทยุ-โทรทัศน์ ที่มีอำนาจรัฐเป็นตัวควบคุมกลไก รัฐบาลพยายามเซ็นเซอร์ตัวเอง และสร้างภาพโครงการต่างๆ ในด้านดี เอาใจประชาชนที่ยังสนับสนุนรัฐบาลมาโดยตลอด แต่ถ้าเป็นสื่อที่ดำเนินการโดยเอกชน โดยเฉพาะสื่อหนังสือพิมพ์ประเภทอินไซด์เดอร์ อย่างสื่อในเครือมติชน ไทยโพสต์ เนชั่น ผู้จัดการ และโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมอย่างเนชั่นชันนัล หรือเอเอสทีวี จะสะท้อนให้เห็นอีกด้านหนึ่งที่เป็นผลลบต่อรัฐบาล

ทั้งประเด็นความล้มเหลวในการบริหารประเทศ ถึงจะประสบความสำเร็จในด้านผลตอบรับนโยบายต่างๆ จากประชาชน แต่ก็มีเสียงสะท้อนอีกส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจนเกิดปัญหา หรือการเกาะติดการทุจริตและความไม่ชอบมาพากลอีกรูปแบบหนึ่ง ที่สื่อพยายามนำมาตีแผ่อย่างต่อเนื่อง แม้บางสื่อที่มี 'สปอนเซอร์' เป็นตัวควบคุมกลไก จะทำให้การทำหน้าที่ของสื่อ รู้สึกอึดอัดคับข้องใจไปบ้าง หากแต่ชาวบ้านที่รับรู้ความเป็นไปในรัฐบาลอีกด้านหนึ่งแล้ว ย่อมทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ ที่มีความรู้อย่างชนชั้นกลางนั้น เริ่มที่จะไม่พอใจการบริหารประเทศของรัฐบาล

โดยเฉพาะปรากฎการณ์ 'สนธิ ลิ้มทองกุล' ที่ใช้รายการ 'เมืองไทยรายสัปดาห์' เป็นเวทีสัญจรฯ แทนหน้าจอฟรีทีวีที่รัฐบาลสั่งถอดรายการ ออกมาพูดถึงเรื่องความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลมากเกือบครึ่งปี แม้บางครั้งการดำเนินรายการดูเหมือนจะใช้อารมณ์สร้างสีสันและปลุกอารมณ์ร่วมในการจัดรายการก็ตาม จนกระทั่งหลายคนเข้าใจว่า เป็นความแค้นส่วนตัวระหว่าง 'สนธิ' กับ 'ทักษิณฯ'

อย่างน้อยที่สุด ด้วยความร่วมมือต่อกลุ่มชาวบ้านที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐบาล และคนที่เห็นความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลตั้งแต่ต้นทำให้ปรากฎการณ์ 'คนไม่เอาทักษิณ' ย่อมมีมากขึ้นจนกลายสภาพเป็น 'ม็อบกู้ชาติ'

คนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล คงไม่สามารถโน้มน้าวให้ประชาชนแสดงพลังขับไล่รัฐบาลได้ทุกคน ขณะเดียวกัน รัฐบาลคงไม่สามารถล้างสมองประชาชนให้เชื่อมั่นในตัวรัฐบาลได้ทั้งหมด ยังมีหลายคนที่เริ่มมีอาการรู้เท่าทันความคิดแฝงเร้นของผู้นำประเทศ และคนในรัฐบาล ที่ยังเซ็นเซอร์ตัวเอง ไม่เคลียร์ตัวเองอย่างใสสะอาดพอ และไม่ออกมาตอบคำถามในสิ่งที่ประชาชน ซึ่งคิดแตกต่างกับรัฐบาลต้องการคำตอบ ...

ไม่มีวิธีใดที่ได้ผลที่สุดในการสยบปัญหา เพราะยิ่งแก้ก็เหมือนกับยิ่งยุ่งเหยิง หากต่างคนต่างเคลื่อนไหวกันได้ โดยแต่ละฝ่ายมีคำตอบซึ่งกันและกัน ไม่ออกมายั่วยุให้เกิดความแตกแยกตั้งแต่ต้น ปัญหาก็คงไม่เกิดขึ้น ... คำพูดที่นายกฯ ออกมาดูถูกประชาชนที่ไปชุมนุมว่า 'ไอ้จ๊าดง่าวไม่กี่ตัว ช่างแม่งเต๊อะ...' แทนที่จะออกมาสร้างความเข้าใจในคำถามต่างๆ แก่ประชาชน ยิ่งอันตรายแก่ความสามัคคีของคนในชาติมากขึ้น

หลายคนออกมาห้ามปรามว่า 'รักพ่อ...อย่าทะเลาะกัน' แปลความหมายอ้อมๆ ก็คือ อย่าทะเลาะกันให้บ้านเมืองวุ่นวายจนประมุขของประเทศอย่าง 'พระบาทสมเด็จะพระเจ้าอยู่หัว' ทรงไม่สบายพระทัย ทีนี้ เสียงสะท้อนจากผู้ชุมนุม และผู้ที่ไม่เอารัฐบาลเห็นว่า ลูกที่มีนิสัยขโมยเงินพ่อ ฉ้อราษฎร์บังหลวง นำทรัพย์สมบัติของแผ่นดินไปขายให้กับต่างชาติ ก็อยากให้ประชาชนที่เห็นรัฐบาลเช่นนั้นจัดการลงโทษให้เข็ดหลาบ รัฐบาลอื่นๆ จะได้ไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่าง

คนที่อยู่ในเหตุการณ์ เริ่มเข้าใจแล้วว่า ปัญหาในประเทศ ณ ปัจจุบันนี้ ไม่ใช่แค่ความแค้น 'ส่วนตัว' ระหว่างคนสองคนเสียแล้ว หากแต่ปัญหาภาพลักณ์ของผู้นำประเทศ เป็นปัญหาที่ทำให้สังคมได้พูดถึงกันวงกว้าง มากกว่าแค่วงจำกัดเสียด้วยซ้ำ

แต่เมื่อบรรดาประชาชนชาวรากหญ้าที่ล้างสมองมาแล้ว ออกมาท้าชนแบบ 'ม็อบชนม็อบ' กันอย่างนี้ ด้วยความจงใจหรือไม่จงใจของ ส.ส.ในพรรคการเมืองซีกรัฐบาล

นี่แหละ ... ถึงได้ตอบว่า ทำไมคนไทยไม่รักกัน ไม่สามัคคีกัน และบ้านเมืองก็ไม่สงบซักที

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2549		3 comments
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2549 19:47:20 น.
Counter : 1462 Pageviews.
Share Tweet