Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2551
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
28 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 

A Home At The End Of The World--บ้านคือที่ให้วิ่งหนี แล้วรอวันกลับมา

บ้านคือที่ให้วิ่งหนี แล้วรอวันกลับมา






ผมไม่ใช่คนที่อ่านหนังสือภาษาอังกฤษบ่อยๆ แต่ก็จะมีติดกระเป๋าทุกครั้งที่เล่มล่าสุดจบลง ไม่ใช่คนที่ติดตามว่าตอนนี้เล่มไหนน่าอ่าน หรือหนังสือเล่มไหนได้รางวัล อีกทั้งทักษะด้านภาษาอังกฤษก็ไม่เข้าขั้นว่าอ่านรู้เรื่องทุกบรรทัด ทุกคำ ทุกวลี

หนังสือภาษาอังกฤษที่ซื้ออ่านมักมาจากปัจจัยเล็กๆ น้อยๆ ที่เกี่ยวกับ โชคชะตาและพรหมลิขิตเสมอ

ผมอ่าน The Color Purple ของ Alice Walker เพราะหนังชื่อเรื่องเดียวกันจากฝีมือการกำกับฯ ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก หนังที่ผมคิดว่าเป็นหนังที่ดีที่สุดจากฝีมือการกำกับฯ ของเขา

ผมอ่าน The Virgin Suicides ของ Jeffery Eugenide เพราะหนังชื่อเรื่องเดียวกันของโซเฟีย คอปโปล่าและเขาทำให้ผมต้องปวดหัวต่อกับเรื่อง Middlesex เช่นเดียวกับ Platform ของ Michelle Houellebecq หนังสือที่ผมชอบที่สุด จากการดูหนังเรื่อง 9 Songs ผู้กำกับฯ หนังบอกว่าได้แรงบันดาลใจในการสร้างหนังอันอื้อฉาวเรื่องนี้จากหนังสือของนักเขียนชาวฝรั่งเศสคนนี้ และ Michelle ก็ทำให้ผมอ่านเล่มต่อมาของเขา Atomised ต่อ ก่อนจะผิดหวังเป้นอย่างมากกับเวอร์ชั่นที่ทำเป็นภาพยนตร์

ผมอ่าน Buddha Of Suburbia ของฮานีฟ คูเรชิ เพราะอยากรู้ว่าตัวละครที่เป็นแรงบันดาลใจในเรื่องสั้นชื่อ ‘หญิงสาวผู้ตกหลุมรักพระพุทธเจ้า’ นั้นเป็นอย่างไร



หนังสือเของเขาทำร้ายผมอย่างสาหัสทีเดียว
ผมได้ดูภาพยนตร์ชื่อเรื่องเดียวกันนี้ และอยากรู้ว่า สิ่งที่ตัวละครคิด แต่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาผ่านแผ่นฟิล์มนั้น เป็นอย่างไร Bobby เป็นคนอย่างไร รวมถึง Jonathan และ Clare


แต่ที่ได้มากกว่านั้นคือ เรื่องราวของคน 4 คน Bobby Jonathan Clare และ Alice แม่ของโจนาธาน

คนทั้งสี่ ที่บางคนพยายามจะหนีออกจากบ้าน บางคนพยายามจะสร้างบ้าน

ผมโกรธตัวเองเหลือหลายที่ทักษะภาษาอังกฤษไม่ดี เวลาว่างไม่เพียงพอ จึงทำให้ต้องหยิบอ่านหนังสือเล่มนี้หลายต่อหลายครั้ง กว่าจะจบ และมีเวลาเฉพาะก่อนนอน ซึ่งทุกคืนก็มักล่วงเลยไปถึงเช้าเสมอ

ทุกครั้งที่อ่านก็มักจะร้องไห้เสมอ—เช่นเดียวกัน

ไมเคิล คันนิ่งแฮม ใช้ภาษาได้สวยงามและกินใจ ถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างเจ็บปวด มันเป็นความเจ็บปวดลึกๆ ของตัวละครที่ต่างแตกสลาย แต่พยายามจะต่อสู้ อยู่ บนโลกใบนี้ หาอะไรบางอย่าง สร้างอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ไม่อาจเรียกว่า ‘รัก’ ไม่อาจเรียกว่า ’ครอบครัว’

ผมชอบที่ผู้เขียนใช้วิธีการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของคนทั้ง 4 เรื่องราวเดียวกัน แต่เราได้เห็นมุมมองของแต่ละคน โจนาธานคิดอย่างไร บ๊อบบี้คิดอย่างไร แคลร์คิดอย่างไร อลิซคิดอย่างไร

และพวกเขาเจ็บปวดอย่างไร

บ๊อบบี้คือเด็กบ้านแตก เขาสูญเสียพี่ชายจากอุบัติเหตุ พี่ชายซึ่งเหมือนพระเจ้าสำหรับเขา ชีวิตของบ๊อบบี้เหมือนคนที่ไม่เคยตื่นจากความฝันที่เลวร้ายเสียที คนที่พยายามจะมีบ้าน อีกครั้ง สร้างบ้านอีกครั้ง และมีครอบครัวอีกครั้ง

โจนาธาน เด็กหนุ่มที่อยากจะหนีออกจากบ้าน เขาคือเพื่อนคนเดียวกับบ๊อบบี้ เพื่อนอันเลยเถิด ไม่ว่าจะด้วยรัก หรือด้วยฮอร์โมนเพศ แต่เขาก็เป็นเพื่อนคนเดียวของบ๊อบบี้ เพื่อนคนที่ดึงบ๊อบบี้เข้าสู่ ‘บ้าน’ และ ‘ครอบครัว’

แคลร์ สาวใหญ่ที่ผ่านเรื่องราวในชีวิตมาอย่างโชกโชน เธอตกหลุมรักผู้ชายสองคน ทั้งบ๊อบบี้และโจนาธาน คนหนึ่งด้วยความใสซื่อต่อโลกของเขา อีกคนด้วยมิตรภาพ ด้วยความผูกพัน

อลิซ แม่ผู้ซึ่งใช้ชีวิตอยู่กับห้องครัว และความคิดที่จะโบยบินออกจากบ้านไปมีชีวิตของตัวเอง หนีจากสามี หนีจากลูก

ไมเคิล เล่าชีวิตของตัวละครทั้ง 4 ทุกคนต่างสับสน เจ็บปวด จิตใจแตกสลาย แต่ก้พยายามที่จะกอบกำชิ้นส่วนที่แตกกระจายของตัวเอง ประกอบเข้าเป็นชีวิต และพยายามรวมกันเข้าเป็นครอบครัว—ที่ไม่เหมือนใคร

บ๊อบบี้กับโจนาธานไม่เคยถามกันและกันว่าเรื่องราวในอดีตนั้น เป็นเพราะอะไร โจนาธานนั้นสับสน และอยากหาคำตอบ ส่วนบ๊อบบี้บอกแต่เพียงว่าเป็นเพราะโจนาธานอยากให้เขา ‘ทำ’ และเขาก็รักโจนาธาน—ไม่ว่ารักนั้นจะเป็นรักประเภทใดก็ตาม เขาจึงปล่อยให้โจนาธาน ‘ทำ’

และเมื่อบ๊อบบี้ได้พบแคลร์ เธอและเขามีความสัมพันธ์กัน จนแคลร์ตั้งท้อง เรื่องราวของเขาทั้ง 3 คน ไม่ใช่รัก 3 เศร้า แต่เป็น รัก 3 ขา ที่ไม่รู้ว่าขาทั้งสามจะหยัดยืนอย่างไรเพื่อไม่ให้ทุกคนล้มลง และเจ็บปวด
บ๊อบบี้กับโจนาธานนั้นมีอดีตที่เจ็บปวดเกินไป มีชีวิตที่หม่นเศร้าและยังสับสน ชีวิตที่รายล้อมไปด้วยการตาย ไม่ว่าจะเป็นพี่ชายของบ๊อบบี้ พ่อของโจนาธาน หรืออีริค บุคคลที่ยังไม่สามารถจัดประเภทความสัมพันธ์กับเขาได้—ผู้ซึ่งกำลังจะตายในไม่ช้า

แต่แคลร์และลูกนั้นต้องการชีวิต และครอบครัวที่สดใส

แล้วบ๊อบบี้ล่ะ

ดูเหมือนตัวละครอย่างบ๊อบบี้จะเป็นผู้ชายที่ลึกลับ แต่ในวันที่แคลร์ลูกจากไป บ๊อบบี้บอกว่า บ้านมีไว้ไห้หนี และรอการกลับมา

อดีตเขาไม่มีบ้าน ปัจจุบันเขากำลังสร้างบ้านไว้แล้ว

บ๊อบบี้ต้องการมีบ้าน ครอบครัว ที่ถึงแม้จะดูโครงเครง ไร้ความมั่นคง แต่เขาก็กำลังพยายาม บ้านที่เขาหวังว่าสักวันหนึ่งคนที่วิ่งหนีจะกลับมา

ผมชอบตอนหนึ่ง ในขณะที่บ๊อบบี้เป็นเด็ก เขาหนีออกจากบ้านตอนกลางคืน เพื่อมาบ้านโจนาธาน เขายืนหลบอยู่ในเงามืด คอยจับตาทุกๆ คนในบ้าน ทั้งอลิซ พ่อของโจนาธาน และโจนาธาน ยืนดูจนกระทั่งแสงสุดท้ายในบ้านดับลง

ไม่ว่าจะโตแค่ไหน บ๊อบบี้เป็นเพียงเด็กชายที่อยากมีบ้าน ครอบครัวที่อบอุ่น ไม่ว่าบ้านนั้นจะอยู่ที่ใด หรือมีส่วนประกอบอย่างไร เขาก็พร้อมที่จะนิยามมันว่าบ้าน และครอบครัว

ผมชอบวิธีที่ไมเคิลอธิบายตัวละครอย่างอลิซ วันที่เธอสารภาพว่าต้องการหนีจากชีวิตสามีมาตลอดสามสิบกว่าปี เพียงแต่เธอจินตนาการไม่ออกว่าชีวิตที่ปราศจาก ‘ครัว’ อันเคยชินนั้นจะเป็นอย่างไร
อลิซทำให้ผมคิดถึงตัวละครตัวหนึ่งในหนังสือเรื่อง ‘ฉันเคยรัก’ ภรรยาที่ไม่ยอมหย่าถึงแม้สามีจะไปมีผู้หญิงอื่น เพียงเพราะเธอจินตนาการไม่ออกว่าจะใช้ชีวิตที่แตกต่างออกไปจากนี้อย่างไร ชีวิตที่ไมได้เดินไปร้านขายของร้านเดิม ร้านซักร้านเดิม

มันเศร้า—เหลือเกิน

เช่นเดียวกันกับหนังสือเล่มนี้ มันเศร้าเหลือเกิน กับตัวละครที่เปราะบาง แตกสลาย ชีวิตที่สับสน อดีตที่เจ็บปวด

แต่ทุกคนก็อยากมีบ้าน มีครอบครัว ไม่ว่าจะนิยามหรือให้ความหมาย ให้องค์ประกอบมันอย่างไรก็แล้วแต่

หลังจากที่ใช้ชีวิตทั้งชีวิตหนีออกจากมันมา--เราก็ฝันที่จะสร้างมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง


เพราะสุดท้าย บ้านคือที่ที่เราจะวิ่งกลับไป—เมื่อเวลานั้นมาถึง








 

Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2551
17 comments
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2551 5:49:58 น.
Counter : 1721 Pageviews.

 

อ่านแล้ว อยากกลับบ้านมากๆ

 

โดย: " คุณชายช่างฝัน " 28 กุมภาพันธ์ 2551 6:17:47 น.  

 

แค่ประโยคข้างบนก็โดนสุดๆแล้วน่ะ

"บ้านคือที่ให้วิ่งหนี แล้วรอวันกลับมา"

เป็นความจริงอยู่เสมอ


อ่านจนจบแล้วรู้สึกว่า....
ยังไม่ควรแตะต้องหนังสือเล่มนี้โดยเด็ดขาด555
เดี๋ยวจะเศร้าโศก เกิดดีเพรสชั่นขึ้นมา เดี๋ยวจะยุ่ง

 

โดย: Unravel 28 กุมภาพันธ์ 2551 10:25:08 น.  

 

อยากกลับบ้าน

 

โดย: แพนด้ามหาภัย 28 กุมภาพันธ์ 2551 11:05:44 น.  

 

..เห็นด้วยกับความคิดเห็นข้างบนค่ะ...

 

โดย: G_LoVeLy 28 กุมภาพันธ์ 2551 11:16:50 น.  

 

อยากเอาค้อนทุบหัวนายจัง

แบบว่าตะละอย่างที่เอามาเขียนเนี่ย อ่านแระอยากจะร้องไห้แงๆๆ

แต่...ในฟามโศกเศร้ามันมีฟามงามงดในนั้นเราคิดงี้นะ..


ราวเป้นคนนึงที่หนีบ้านมา...กี่ปีแร้วหว่า...
แบบว่าตั้งแต่ ม.ปลาย..ยังไม่เคยได้กลับไปอยุ่บ้านจริงจังเลย ..

ถ้าไม่หนีอะไรมาก็คงไม่รู้สึกถึงคำว่าคิดถึงง่ะนะ
บ้าน..ก็เป้นอีกอย่างที่เราหนีมา คิดถึงมากๆๆเลยตอนนี้

จขบ. คิดถึงบ้านล่ะเสะ.....

 

โดย: ซซ 28 กุมภาพันธ์ 2551 11:30:48 น.  

 

ถ้าหนูอ่านหนังสือแบบนี้บ่อยๆ ในใจคงเศร้ามากเลย...

ถ้ามันทำให้เจ็บปวดแล้วเรารู้ อย่าเลยค่ะ

เลือกได้ถ้าไม่อยากเจ็บซ้ำ



ลองวางหนังสือพวกนี้แล้วไปนั่งเล่นตามสวนสาธารณะ


พี่ว่าหนูจะโปร่งขึ้นค่ะ

 

โดย: พี่แหม๋ว (ฟ้าคงสั่งมา ) 28 กุมภาพันธ์ 2551 12:05:09 น.  

 

ประโยคโดนดีค่ะ

น่าอ่านเชียว

 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2551 12:47:40 น.  

 

อ่านแล้วติดถึงคำพูดของคุณโน๊ต อุดม(มั้งนะคะ จำไม่ค่อยแม่น) ที่บอกว่า

คนเราควรจะหนีออกจากบ้านกันคนละครั้ง จะได้รู้ว่าบ้านนั้นดีแค่ไหน

ประมาณเนี้ยค่ะ

 

โดย: BoOKend 28 กุมภาพันธ์ 2551 18:07:05 น.  

 

รสนิยมเรื่องวรรณกรรมดีมากครับ
เดี๋ยวผมไปหาอ่านมั่ง

 

โดย: pecochan 29 กุมภาพันธ์ 2551 1:35:27 น.  

 

อืมม...อ่านแล้วคิดถึงบ้านนะ...
บ้าน...ในความรู้สึกของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน
แต่...บ้าน...ก็มักจะเป็นที่ที่ทุกคนจะกลับไปในท้ายที่สุด...เราคิดว่างั้นนะ...

 

โดย: Almondblist 29 กุมภาพันธ์ 2551 2:18:48 น.  

 

พ้มก็หนีมาเหมียนกัน...หนีไป หนีมา..

เลยหาบ้านมันทั้งสองที่เลย...เฮ้อ..จะได้ไม่หนี ต่อปายย..อิอิ

 

โดย: ลิงจ๊ากจ๊าก 29 กุมภาพันธ์ 2551 2:23:08 น.  

 

ทำไมหม่นหมองจังค่ะพี่...

ตัวละครทุกตัวผูกปมได้เศร้า หดหู่และน่าติดตามมากเลยนะ
แต่ถ้าอ่านเล่มนี้ตอนนี้ มีหวังน้ำตาแตกท่วมหนังสือตายไปเลย

"บ้านคือที่ให้เราวิ่งหนี และรอวันให้เรากลับไป"
แหม!! คิดได้ยังไงคะเนี่ย...มันถูกเป็นอย่างยิ่งเลยนะ
ยิ่งกับสิ่งที่กำลังประสบและเป็นอยู่ตอนนี้เนี่ย...
พยายามหนีออกมาตลอด พอออกมาแล้วก็รู้สึกว่า
บ้านเป็นที่สุดท้ายที่เราจะกลับไป...ชอบ ๆ ๆ

อ่านเท่าที่พี่รีวิวแล้วเข้าใจอลิซเลยนะคะ...
อยากหนีจากชีวิตเดิม ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตแบบไหน
ก็คนมันเบื่อ มันหน่ายกับสิ่งที่เป็น แต่ก็ไม่รู้ว่า
จะมีความสุขในรูปแบบอื่นได้ยังไงกันดี?
เป็นความรู้สึกส่วนใหญ่ของคนปัจจุบันนี้เลยทีเดียวเชียว

...............

จะไปเที่ยวญี่ปุ่นเหรออออออออออ อยากไป ๆ ๆ ๆ ๆ
สายการบินปอยเสียดาย ไม่มีรูทไปญี่ปุ่นง่า...

ก็จริงนะคะ เราไม่เคยรักใครจากการรับรู้อดีตของเขามาก่อน
แต่หลังจากที่เราได้เรียนรู้แล้ว เรายอมรับได้หรือเปล่า
อืมม.....
แล้ว sky of love เป็นไงคะ? จะเอามารีวิวลงบลอคป่ะ?



เม้นต์ยาวเลย

 

โดย: นางสาวดุ่บดั่บ 29 กุมภาพันธ์ 2551 23:55:45 น.  

 

แค่ปกก็เหงาเศร้าแล้ว

 

โดย: MaRiMeKKo 1 มีนาคม 2551 2:16:33 น.  

 

หนังสือเล่มนี้ผมเองยังไม่ได้อ่านอย่างแน่นอนครับ แต่ถ้าภาพยนต์ที่สร้างจากหนังเรื่องนี้ มีแนวโน้มกำลังจะได้ดูสุดสัปดาห์นี้แล้วน่ะครับ เพราะสอยตอนลดราคาที่ซีคอนมาเป็นเจ้าของเรียบร้อยแล้ว



เห็นด้วยครับ ว่าบ้านเป็นที่ๆ ให้กลับมาเสมอ ส่วนผมเองก็รอสร้างบ้าน ที่เป็นบ้านของตัวอง และให้กลับไปอยู่เช่นกันครับ

 

โดย: เข็มขัดสั้น 4 มีนาคม 2551 22:02:19 น.  

 

หวัดดีค่ะพี่...แวะมาทักทายตอนดึก ๆ
นอนไปยังเนี่ย...

จะได้อ่านป่าวรีวิว sky of love ค่ะ
หรือว่าต้องรออ่านในหนังสือพี่ค้า?

ฝันดีค่า ๆ ไม่ก็ตั้งใจทำงานเน้อค่ะ

 

โดย: นางสาวดุ่บดั่บ 5 มีนาคม 2551 2:19:21 น.  

 

เคยฟัง A Girl Called Eddy มั้ยครับ
ตอนนี้ผมกำลังบ้าคลั่งเลยอ่ะ



 

โดย: Unravel 5 มีนาคม 2551 11:37:58 น.  

 

มหาลัย Ritsumeikan Asia Pacific University อ่ะครับ
อยุ่ Beppu, Oita Ken คิวชูนู่นนน

 

โดย: Unravel 5 มีนาคม 2551 22:37:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


แอบชอบ คห. ข้างล่าง
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ผู้ชายที่ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจัย 5 อย่าง หนัง เพลง หนังสือ กาแฟ และบุหรี่
Friends' blogs
[Add แอบชอบ คห. ข้างล่าง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.