Osaka - Kyoto 1 Day Trip


Hi KANSAI (Countdown 2017 In Japan Ep.1)Smiley


      ครั้งแรกกับการเขียนรีวิวในเพจสาธารณะ โดยแรงสนับสนุนของเพื่อนร่วมแก็ง "ลูกหมู 3 ตัว" หากมีอะไรผิดพลาดประการใด ขออภัยล่วงหน้านะคะ บอกเลยตื่นเต้นจริงๆ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

      วันพุธที่ 28 ธค. 2559 เรา 3 คนออกเดินทางโดย Nokscoot เที่ยวบิน TZ 298 เดินทางจาก ท่าอากาศยานดอนเมือง ตั้งแต่ 9:35 น. ถึง ท่าอากาศยานคันไซ เวลา 16:15 น. กลัวหิวเลยสั่งอาหารไว้ด้วย พวกเราวางแผนกันตั้งแต่ต้นปี 59 จึงซื้อตั๋วได้ในราคาคนละ  7,030 บาท รวมน้ำหนักกะเป๋า 20 kg. รวมค่าอาหารและรวมค่าใช้จ่ายในการระบุที่นั่งเรียบร้อยแล้ว (ส่วนเที่ยวกลับ ขึ้นที่ สนามบินนาริตะ โตเกียว โดย Airasia จะขอเล่าในโอกาสหน้านะคะ) 


เมื่อถึงสนามบินคันไซ ปรากฏว่าใช้เวลาในสนามบินเยอะเกินไปทำให้แผนที่วางไว้เที่ยวย่าน SHINSAIBASHI และ DOTONBORI ผิดพลาดไปเลยพวกเราพักย่าน SHINSAIBASHI อาศัย Hyperdia.com เปรียบเทียบระยะเวลาเดินทางและจุดเชื่อมต่อของแต่ละสถานี เพราะเรามีกระเป๋าเดินทางขนาด 24 นิ้ว ที่เป็นภาระด้วยเราจึงเลือกแผนนี้

     จากสนามบินคันไซ ตรงดิ่งเข้า OSAKA CITY โดยรถไฟด่วนพิเศษ Nankai Ltd. Exp Rapid ไปลงสถานี TENGACHAYA



     ที่สถานี  TENGACHAYA เราต้องเปลี่ยนขบวนมาเป็น Osaka City Subway Sakaisuji Line เพื่อมาลง สถานี NAGAHORIBASHI จากนั้นก็เปลี่ยนขบวนเป็น Osaka City Subway Nagahori Tsurumiryokuchi Line เพียงสถานีเดียวเท่านั้นเพื่อมาลงสถานี SHINSAIBASHI รวมใช้เวลาทั้งสิ้น 55 นาที

     พวกเราใช้ Hyperdia.com ร่วมกับ Google Map เป็นผู้นำในการเดินทาง แต่ก็ควรเขียนหรือปริ้นส์แผนมาถือไว้ขณะเดินทางดีกว่า Save ไว้ในมือถืออย่างเดียว เป็นแผ่นกระดาษ เวลาหยิบใช้ได้ก็สะดวกและรวดเร็ว อันนี้คงแล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน Smiley

     อ่อ! ลืมบอกไปค่ะ แผนของเราในวันรุ่งขึ้นจะไปเที่ยวเมืองมรดกโลกอย่างเกียวโต และจะเข้าถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเกียวโตได้นั้น ต้องอาศัยรถบัส พวกเราจึงซื้อ Kansai Thru Pass (KTP) สำหรับ 2 วัน ราคา 4,000 เยน ใช้ได้กับการเดินทางสาธารณะทั้งรถไฟและรถบัสเอกชนทั้งหมด (แต่ถ้าหากเป็นพวกรถไฟขนวบด่วนพิเศษ อาจต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มนะคะ) ดูรายละเอียด KTP ตามนี้ //www.jnto.or.th/newsletter/kansai-thru-pass/ 





      การเดินทางมาที่พัก ต้องลงสถานี SHINSAIBASHI ถึงโรงแรมก็ราวทุ่มกว่าๆ ที่ THE BRIDGE HOTEL โรงแรมนี้เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือน พย. 59 ที่ผ่านมานี้เอง ยังใหม่มาก ทำเลก็เหมาะกับนักท่องเที่ยวเป็นที่สุด (แต่ที่จอดรถน้อย มีเฉพาะด้านหน้าโรงแรมเท่านั้น) เรานอนพักที่นี่ 2 คืนค่ะ 







มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้งฟรีจักรยานให้ปั่นเที่ยว 1 ชั่วโมง ฟรีเก้าอี้นวดไฟฟ้า ฟรีคอร์สทำบะหมี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้บริการฟรีเวลา 22:00 น. - 23:00น. ฯลฯ พวกเราจองผ่าน Booking.com ลองหาข้อมูลดูนะคะ

เราเลือกปั่นจักรยานของโรงแรมไป DOTONBORI ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะร้านอาหารปิดเกือบหมดแล้ว ก็ 2 ทุ่มกว่าแล้วนิ มื้อเย็นยังไม่ตกถึงท้อง อีกอย่างตะคริวเริ่มถามหา 5 องศา C ขาชาไปหมด เลยปั่นกลับโรงแรมคืนจักรยาน แล้วเดินหาของกินละแวกใกล้ๆ เอาดีฝ่า Smiley










      หลังจากเก็บจักรยาน พวกเราก็เดินมึนๆ ตาลายๆ หน้าตึงๆ ปะทะลมหนาว มาเจอร้านนี้ ไม่ไหวแล้ว ไม่เลือกแล้วเอาที่นี่แหละ น่าจะเป็นร้านกินดื่ม (Izakaya) ของหนุ่ม-สาวออฟฟิสหลังเลิกงาน อะไรก็ดีหมด อาหารสด อร่อย ได้เร็ว เสียอย่างเดียว รู้สึกแสบคอเหลือเกิน เพราะเค้าให้สูบบุหรีในร้านได้ แต่ทำลายบรรยากาศคนไม่สูบจริงๆ ค่ะ Smiley




      ด้วยความหิวจัด ชื่อร้านก็อ่านไม่ออก เมนูก็ใช้จิ้มอย่างเดียว ค่าเสียหายออกมา 15,226 เยน สำหรับ 3 คน คิดเป็นเงินไทยราวๆ 4 พันกว่าบาก สำหรับ 3 คน Smiley  แม่จ้าว!! แพงมว๊ากกก









เช้าวันรุ่งขึ้น วันพฤหัสบดีที่ 29.ค. 2559 แก๊ง" ลูกหมู 3 ตัว" แทบจะอยากหลับตาอาบน้ำ ตั้งปลุกนาฬิกาตอนตี 4 เพิ่งได้นอนเมื่อตอนตี 1กว่าๆ ไม่ค่อยอยากจะลุกจากที่นอนเลย อาจเพราะเวลาที่นี่เร็วกว่าบ้านเรา ชั่วโมงด้วย ต้องเดินราวๆ 5 - 6 นาที จากที่พักถึงสถานี SHINSAIBASHI วันนี้เราจะไปเที่ยว KYOTO กัน เวลา 05:43 น. ก็ได้ขึ้นรถไฟขบวน Osaka City Subway Midosuji Line เพื่อไปลงสถานี YODOYABASHI ต้นสถานีของรถไฟขบวนKeihan Main Line Ltd. Exp. เพื่อไปลงสถานี FUSHIMI-INARI ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 1 ชั่วโมง 6 นาที




       พิกัดแรกของพวกเราวันนี้ คือ ศาลจิ้งจอกขาว (FUSHIMI-INARI SHRINE) ที่นี่ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเข้าชม และยังเปิด 24 ชั่วโมงอีกด้วย ไม่ได้เดินรอบหรอกค่ะ ได้ถ่ายภาพกับเสาแดงแค่ช่วงต้นๆ แล้วก็กลับออกมา เพราะยังมีอีกหลายที่ตามแผนการเดินทางวันนี้










              เดินกลับมาที่ สถานี FUSHIMI-INARI อีกครั้ง มารอขบวน Keihan Main Line Sub-Exp. และเดินทางต่อไปยังสถานี KIYOMIZU-GOJO จุดหมายที่ 2 ก็คือ วัดน้ำใส (KIYOMIZU DERA TEMPLE) วัดนี้ จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเข้าด้านใน คนละ 300 เยน เปิด 6 โมงเช้า ปิด  6 โมงเย็น จากสถานี KIYOMIZU-GOJO เดินไกลพอควร ระยะทางจาก Google Map 1.3 กม. ราวๆ 12-15 นาที 









วัดนี้มีจุดเด่นที่น่าสนใจมากมาย ทั้งศาลาไม้ที่มีอายุมากกว่า 300 ปี โดยการก่อสร้างเดิมไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว






ตรงโถงกลางมีระเบียง ขนาดใหญ่ ที่รองรับด้วยเสาไม้ขนาดใหญ่เช่นกัน ซึ่งมีความสูง 13 เมตร ตอนนี้ทางวัดฯ เค้าจะปิดปรับปรุงภายใน มค. 2017 นี้ และจะเปิดอีกครั้ง ในปี 2020 โดยประมาณ 3 ปี ใครมีแพลนจะไปเกียวโตเร็วๆ นี้ อาจต้องตัดวัดนี้ออกจากแผนไปก่อน (หรือทางวัดฯ อาจจะให้ชมได้แต่บริเวณด้านนอก ไม่ให้เข้าเขตพื้นที่บูรณะ ลองหาข้อมูลเพิ่มดูอีกทีนะคะ) 






      สิ่งสำคัญอีกอย่างที่จะมาที่นี่ ก็คือ การดื่มน้ำ ชำระล้างมือหรือบ้วนปาก ด้วยน้ำที่ไหลมาจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ซึ่งเป็นที่มาที่คนไทยเรียกว่า วัดน้ำใส นี้เอง








       หรือจะเช่าเครื่องรางสำหรับพกติดตัว นำไปเป็นของใช้ เช่น เป็นพวงกุญแจ หรือที่ทับกระดาษ เป็นต้น จะเก็บไว้ใช้เองหรือเป็นของฝากก็มีความหมายที่ดีทีเดียวค่ะ








     จากวัดน้ำใส ก็ถึงเวลาสำหรับอาหารกลางวันแล้ว เคยเห็นหลายท่านรีวิวแนะนำ ซูชิรสชาติดั้งเดิมตามแบบฉบับของชาวเกียวโตโบราณ ณ ร้าน IZUJU หรือ IDUJYU โดยลักษณะเด่นของซูชิของที่นี่ คือ มีการผสมโชยุลงไปในข้าวเรียบร้อยเลย ไม่ต้องมาจิ้มกันข้างนอกให้ยุ่งยากอีก  










        สเน่ห์อีกอย่างของร้าน IZUJU ที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้เลย นั่นก็คือ การจองคิว โดยให้ลูกค้า ใช้พู่กันจุ่มหมึก เขียนชื่อตนเองและจำนวนคนที่มาต้องการจอง บริเวณหน้าร้าน ช่างคลาสสิกจริงๆ




        พิกัดร้านตั้งอยู่หัวมุมถนน ฝั่งตรงข้ามศาลเจ้ายาซากะ (YASAKA SHIRNE) ไม่ไกลจากกันจากวัดน้ำใสเท่าไหร่ เราจึงใช้การเดินค่ะ คือ จริงๆ ศาลเจ้านี้ก็อยู่ในแผนนะคะ แต่เพราะใช้เวลาไปยืนต่อคิว ร้าน IZUJU นี้นานไปนิดนึง เลยต้องฝากไว้ครั้งหน้า Smiley




       เสร็จจากมื้อกลางวัน (บ่าย 2 โมงกว่าแล้น!) แผนต่อไปเราต้องมารอรถบัสที่ Gion Bus Stop นั่งสาย 12 เพื่อที่จะไปลงป้าย Kinkaku-Ji Michi Bus Stop หรือ Kinkaku-Ji Mae Bus Stop ก็ได้ จุดมุ่งหมายปลายทาง คือ ไปเยี่ยมบ้านท่านโชกุน อาชิคางะ โยชิมิสุ (Asnikaga Yoshimitsu) ที่เรารู้จักกันดีจากการ์ตูนอิกคิวซัง!!!






   ท่านโชกุน ได้ยกบ้านพักของท่านให้เป็นให้เป็นทรัพย์สินของวัดนิกายเซน ซึ้งก็คือ วัดคินคาคุจิ (KINKAKU - JI TEMPLE) นี้ หรืออีกชื่อหนึ่ง คือ วัดทอง ที่คนไทยรู้จัก เงาของปราสาทสีทองสะท้อนกับผืนน้ำ สวยงามจริงๆ 





วัดนี้ จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเข้าด้านใน คนละ 400 เยน เปิด 9 โมงเช้า และ ปิด  5 โมงเย็น





เสร็จจากวัด คิคาคุจิ ก็ต้องใช้บริการรถบัสอีกเช่นเคย คราวนี้ไปรอที่ป้าย Kinkaku-Ji Michi ขึ้นสาย 205 มาลง ป้าย Kitano hakubai-cho เพื่อที่จะต่อสาย 203 มาลงป้าย Shijo-Takakura เนื่องจาก เป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟขบวน Hankyu-Kyoto Line ที่จะกลับ Osaka พอดี การใช้บริการรถบัสในเกียวโตดูรายละเอียดตานนี้นะคะ //www.emagtravel.com/archive/kyoto-city-bus.html
Note: ข้อควรระวัง!! รถบัสบางสาย เดินรถเฉพาะวันหยุดเท่านั้น ต้องดูให้ดีๆ นะคะ

       หมดวันแล้วค่ะ ที่ญี่ปุ่นช่วงฤดูหนาว 4 โมงเย็น ฟ้าก็มืดแล้ว อีกอย่างเดินกันมาทั้งวัน เมื่อยๆ มากๆ ซ้ำยังต้องมีภาระกิจค้างจากเมื่อวานคือ กระเป๋า ANELLO ย่าน SHINSAIBASHI ซึ่งใกล้ๆ กับที่พัก เพราะเมื่อวานนี้มาถึงโรงแรมเกือบ 2 ทุ่ม คือ หิว เรื่องกินเรื่องใหญ่ค่ะ สำหรับหมู 3 ตัว เลยไม่ได้เดินช๊อปปิ้งเลย ที่สำคัญ แผนเดินทางในเช้าวันถัดไปเราจะข้ามภูมิภาคไปแทบคันโต เพื่อจุดหมายต่อไป คือ LAKE KAWAGUCHIKO รอติดตามนะคะ Smiley

===================================================



Create Date : 12 มกราคม 2560
Last Update : 4 มีนาคม 2560 13:30:38 น.
Counter : 1819 Pageviews.

1 comments
  
โดย: สมาชิกหมายเลข 3637187 วันที่: 13 มกราคม 2560 เวลา:10:04:41 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 3637187
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



รักการท่องเที่ยว ชอบวางแผนเที่ยวเอง เพื่อกำหนดค่าใช้จ่ายไม่ให้บานปลาย ถ้าเส้นทางไหนดูแล้วปลอดภัย ตัวคนเดียวก็เที่ยวได้เสมอ ปัจจุบัน มีเวลาเหลือเฟือ อยากแชร์ประสบการณ์ โดยเริ่มเขียน blog เพื่อจะเป็นประโยชน์กับคนทั่วไปบ้าง
มกราคม 2560

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
12 มกราคม 2560