Group Blog
 
All Blogs
 

ผมชอบสว.ระเบียบรัตน์จริงๆ เรื่องเพลงที่มีเนื้อเช็ดภรรยาเช็ดสามีคนอื่นควรโดนแบน

ถ้าไม่คิดอะไรมาก ผมว่าระเบียบรัตน์เนี่ย ฮาดี มีมุขใหม่ๆมาให้ฮาได้ตลอด
เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ที่บอกว่า "ไม่อยากเป็นคนดีที่ไม่มีความสุข"
ความหมายของเพลงก็คือ ญ รัก ช แต่ ช คนนั้นเป็นพั๋วของอีก ญ หนึ่ง ญ คนแรกก็เลยไม่ยอมใช้สมอง แต่ใช้อารมณ์และความอยาก ไม่ต้องการเป็นคนดี แต่ขอเป็นคนเลว ที่ได้เช็ดพั๋วของอีก ญ นึง
เรื่องเช็ดเมียเช็ดพั๋วชาวบ้านมาเป็นของตัวเอง ผมว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรนะ
แต่อย่างว่า สมัยนี้เห็นกันเยอะแยะ จนขนาดเพลงเอามาร้อง ซึ่งก็เป็นความจริงอย่างที่เจ๊เบียบว่า ที่คนที่ใช้อารมณ์ตัดสิน มากกว่าใช้สมอง จะอินและมีแนวโน้มที่จะทำตาม เพราะ ใจจริง ก็อยากจะให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

แต่ถ้ามองตามความเป็นจริง เพลงไทยสมัยนี้ ร้อยทั้งร้อย จะมีเนื้อเพลงทำนองว่า ฉันรักเธอ แต่จะให้เธอรักฉันนั้นเป็นไปไม่ได้ ฉันเลยต้องมาคร่ำครวญ ด้วยความทุกข์ช้ำระกำใจ
น่าเสียดาย ที่คนส่วนใหญ่ดันเป็นไปตามเพลงแบบนี้กันทั้งนั้นเลยครับ มัวแต่คิดว่า ถ้าได้รับความรักจากอีกคน จะทำให้ตัวเองมีความสุข ผมว่า แห้วตลอดกาลครับ ถ้ามัวแต่คิดแบบนี้

บางคนอาจจะแย้งว่า เพลงไม่สามารถทำให้คนคล้อยตามได้ ไม่งั้น คนที่ฟังเพลงป้าเบิ๊ด ก็คงเป็นตุ๊สกันทั้งบ้านทั้งเมือง
พูดถึงเพลงเนี่ย ผมว่าพวกนักร้องเพลงเพื่อชีวิต(ตัวมันเอง) เป็นพวกร้องเพลงหลอกแDกสังคมไปวันๆ
น้าแอ๊ด รณรงค์ให้ใช้ของไทย แต่ตัวมันขี่ฮาเล่ย์ นุ่งกางเกงลี
พงสิท ร้องเพลงเพื่อสิทธิสตรี แต่มีกิ๊กหลายคน
ฯลฯ
เอาเป็นว่า ผมเห็นด้วยกับสว.ระเบียบรัตน์นะ เนื้อเพลงที่สอนให้คนใช้อารมร์ใฝ่ต่ำมากกว่าใช้สมองควรจะลดๆลงหน่อย อย่างน้อยก็ลดสิ่งชั่วๆรอบกายเยาวชนลงหน่อยเหอะนะ




 

Create Date : 21 มกราคม 2549    
Last Update : 21 มกราคม 2549 0:04:34 น.
Counter : 619 Pageviews.  

วิธีไหนที่จะอ่านหนังสือได้อึดๆช่วงใกล้สอบ?

ถ้าพูดถึงช่วงสอบเนี่ย ร้อยทั้งร้อย กรูว่าต้องมีอาการวิตก กังวล กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ขับถ่ายไม่สะดวก อ้วกจะราด ประสาทจะแDก กันทั้งนั้น บ้างก็กลัวว่าวิชาที่กำลังจะสอบเนี่ย จะเอฟหรือด๊อก (กรูคือหนึ่งในนั้น) บ้างก็เครียดจัด เพราะกลัวว่าจะไม่ท็อปหรือไม่ได้ a (ไม่ใช่กรูแน่ๆ)

อย่างแน่นอนเป็นที่สุด กรูว่าไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบของนักศึกษา ไม่ว่าจะเป็น เอก โท หรือ ตรี ต้องมีอะไรไว้ดับง่วงช่วงอ่านหนังสือยามค่ำคืน ถึงแม้ว่าใจมันไม่อยากจะอ่านแต่ก็จำต้องแหกขี้ตามาอ่านอะนะ ไฟมันจะลนก้นตายha'อยู่แล้ว มัวทำเป็นใจเย็นไปเดี๋ยวได้ไปนั่งปรับทุกข์ในชมรมคนติด f แล้วมันจะแสลงใจน่าดูนะ

อะไรที่ทำให้ไม่ง่วง อะไรที่ทำให้อ่านหนังสือได้ทน หรือ อะไรที่ทำให้มีจิตใจฮึกเหิมอยากจะอ่านtext book หนานิ้วกว่าๆให้จบได้อย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง

เท่าที่กรูดูๆมา สิ่งที่ทำให้ไม่ง่วง แน่นอนว่ามันจะทำลายสุขภาพทางอ้อมด้วยเสมอๆ มีตั้งแต่ทำลายน้อยๆ ไปจนทำลายเยอะ เรียงตามลำดับที่กรูเคยถามจากหลายๆคนก็คือ

1.เปิดวิทยุฟังเพลงไปด้วยอ่านไปด้วย(การทำลายสุขภาพคือแค่ทำให้เสียอารมณ์กรณีเจอดีเจชอบจ้อเกินควร)
2.ยัดหูฟังซาวอะเบ๊าเข้าหูพร้อมเปิดเพลงไปด้วย (ทำให้แก้วหูและประสาทหูเสื่อมในระยะยาว แถมทำให้ขี้หูเยอะขึ้น)
3.เคี้ยวหมากฝรั่ง(ทำให้ปวดกราม และกรามอาจจะโตเหมือนคนกินข้าวเหนียวบ่อย)
4.กาแฟชงเอง (คาเฟอีนไม่สูงมาก แต่ก็มีผลเสียต่อหัวใจและอารมณ์ ถ้าดื่มเกิน 7 แก้วต่อวัน แต่จะมีผลเสียมาก สำหรับคนที่กินเสร็จแล้วไม่ล้างแก้ว ทิ้งไว้ ซักพัก แล้วไปชงใหม่ ขี้อาจจะแตกได้)
5.กาแฟเซเว่น (แรงขึ้นมาหน่อย กินแก้วละสิบสามบาท สามแก้วต่อวัน มือจะสั่น ปากจะซีด)
6.กาแฟกระป๋อง (คาเฟอีนเยอะโคตร ถ้ากินไม่บ่อย แค่กระป๋องเดียว ก็ตาสว่าง คึกเป็นม้า แต่อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง มือไม้ แข้งขา สั่นเป็นเจ้าเข้า)
7.เครื่องดื่มบำรุงกำลัง เช่น เอ็มร้อยห้าสิบ คาราบาวแดง กระทิงแดง แรงเย่อร์ ลิโพวิตั้นดี ลูกทุ่ง หมีคอมมานโด ฯลฯ (อันนี้เรียกอีกอย่างว่าน้ำปฏิกูล ไม่มีประโยชน์ คาเฟอีนล้วนๆ กินแล้วเยี่ยวเหลือง เยี่ยวถี่ ตาค้าง อ่านหนังสือย่อหน้าเดียวซ้ำไปซ้ำมาก็ยังไม่เข้าใจ)
8. ยาบ้า (เดิมทีชื่อยาม้า ต่อมาไดโนเสาร์เหนาะเปลี่ยนชื่อเป็นยาบ้า และคญ.สุดารัตน์เคยอยากเปลี่ยนชื่อเป็นยาโง่ แต่คนไม่เล่นด้วย อันนี้เป็นอันตรายต่อร่างกายสูงสุด คือได้ไปนอนมุ้งสายบัวแน่ๆ แต่ขอบอกว่ากินแล้วเนี่ย ทำให้คนกินรู้สึกอยากวิ่งไปด้วยอ่านหนังสือไปด้วย)

กรูเคยลองมาหมดแล้วอะนะ ยกเว้นอันสุดท้าย เพราะยังไม่อยากย้ายไปเรียนหนังสือในเรือนจำเท่าไหร่ เหตุเพราะกรูเป็นคนที่สมาธิต่ำมากในเรื่องการอ่านหนังสือเรียน ประมาณว่า กว่าจะเริ่มอ่านได้ ต้องโหมโรงก่อนโดยการทำนั่นทำนี่เป็นชั่วโมง อ่านได้แค่ไม่กี่หน้าประมาณสิบนาที หนังตาก็จะเริ่มตก สายตาจะเริ่มพร่า หน้าเริ่มจะทิ่มเข้าใกล้หนังสือ แมร่ง เป็นแบบนี้ทุกที เลยต้องใช้ตัวช่วยไม่ให้ง่วงนี่ละวะ

ตอนม.4อ่านหนังสือสอบไฟนอล เคี้ยวหมากฝรั่ง แต่เอาไม่อยู่ยังสัปหงกได้ ดีที่มันไม่หลุดเข้าไปติดในคอ

ตอนม.5 อ่านหนังสือสอบเอ็นฯ กินกาแฟชงเอง ยิ่งใกล้สอบ ยิ่งกินถี่ ประมาณว่า กาแฟหนึ่งแก้วต่อการอ่านหนังสือ 1 ชม. ต่อการทำโจทย์ฟิสิกส์10ข้อ

ตอนป.ตรีไม่ว่าจะเป็นสอบอะไร ก็ต้องกาแฟเซเว่นค่อยเอาอยู่ แก้วละสิบสามบาท กดน้ำแข็ง2-3เม็ด ได้น้ำกาแฟเยอะเหมือนซื้อสองแก้ว เรียงคิวจ่ายตังค์ ก็กินไปด้วย พอมันพร่องก็กลับไปเติมใหม่ เติมจนเต็มใหม่แล้วค่อยไปจ่ายตังค์ (หลังๆไม่ทำอย่างงี้แล้ว อายฟ้าดิน)

ตอนป.โท ต้องอ่านtext book ล้วน คราวนี้เลยต้องเป็นพวกเครื่องดื่มบำรุงกำลังทั้งหลายแหล่นั่นละ ยี่ห้อที่กรูเล่าไว้ข้างบน เคยลองมาหมดแล้ว อร่อยสุดก็เอ็มร้อยห้าสิบ แม้มันจะเป็นน้ำปฏิกูลอย่างที่คนทั่วๆไปเรียกกันก็เหอะ

กรูไม่รู้นะ ว่าคนอื่นๆเป็นอย่างกรูรึเปล่า ที่ต้องอาศัยคาเฟอีนเป็นตัวช่วยหลักในการอ่านหนังสือ ประมาณว่าถ้าโลกนี้ไม่มีเครื่องดื่มผสมคาเฟอีน กรูคงไม่ได้เรียนหนังสือมาจนถึงป่านนี้แล้วละ

กรูคิดว่า ผู้หญิงเนี่ย คงไม่ต้องการตัวช่วยแบบนี้เท่าผู้ชายมั้ง เพราะผู้หญิงน่าจะสมาธิและความมุ่งมั่นในการอ่านหนังสือสอบมีมากกว่าผู้ชาย ที่สำคัญคือ ทนต่อการง่วงได้ดีกว่า ไม่น่าจะดื่มกาแฟเท่าไหร่ ยิ่งพวกเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ยิ่งไม่น่าจะดื่ม

แต่วันนึงกรูจึงได้เปลี่ยนความคิดไป...

วันนั้นกรูไปหาหนังสือที่หอสมุดกลางจุฬา เจอสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม น่ารัก นั่งอ่านหนังสืออยู่กับเพื่อนหญิงด้วยกันสามคน

เป็นธรรมดา เจอสาวน่ารัก ใครจะไม่มองละ ใช่มั้ย ไม่ใช่พวกแอบจิตหรือพระอิฐพระปูนนี่ จะได้เฉยๆไม่สนใจใยดี

สาวหน้าใส เห็นรอยยิ้มแล้วน่ารักดีแต๊ๆ ดูท่าจะเรียนเก่งด้วยนะ อยากรู้จังว่า ทำไงสาวน้อยถึงอ่านหนังสือได้อย่างดูมีสมาธิจังเลย

แอบมองได้สักพักจึงร้องอ๋ออออ เห็นเธอแอบๆหยิบขวดสีน้ำตาลขึ้นมา เป็นขวดคาราบาวแดง เปิดแล้วซดเข้าปากกับเพื่อนหญิงอีกคน คนละครึ่งขวด

แหม้ ที่แท้พวกเดียวกันนี่หว่า กรูน่าจะเข้าไปทำความรู้จักหน่อ่ยนะเนี่ย เผื่อจะคุยกันรู้เรื่อง นึกว่ามีแต่กรูคนเดียวซะอีกที่เป็นแบบนี้

แล้วกรูก็ก้าวเท้าเดินไปหาน้องๆสาวๆที่โต๊ะนั้นด้วยรอยยิ้มและหน้าตาที่เป็นมิตรสุดๆ แล้วเริ่มต้นบทสนทนา......

เออ แล้วพวกมรึงละ เวลาใกล้สอบทำไงถึงจะอ่านหนังสือได้อึดๆ จะได้เอาไปลองดูบ้าง 55




 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 8 กรกฎาคม 2548 23:11:16 น.
Counter : 2918 Pageviews.  

แหล่งทำมาหารับประทานของเอกอัคราชทูตไทย ณ ต่างประเทศ

ในฐานะที่กรูเป็นคนที่ได้มีโอกาสเดินทางไปไหนมาไหนบ่อยๆ ก็เลยมีคนที่รู้จักอยู่ในกระทรวงการต่างประเทศที่ประจำ ณ สถานทูตประเทศต่างๆอยู่บ้าง ซึ่งดูเผินๆ ข้าราชการในฐานะตัวแทนประเทศชาติเหล่านี้ ช่างได้ทำงานที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีเพื่อชาติซะจริงๆ

แต่พอกรูได้ไปสัมผัสบ่อยๆด้วยตัวเอง ก็พบว่าโอละพ่อ มันเน่าๆพอๆกันกับข้าราชการกรมกองอื่นเลยนี่หว่า คำพูดที่บอกว่าต้องจากบ้านจากเมืองไปเพื่อชาติก็แค่พูดเพื่อให้ดูโก้เฉยๆ ของจริงที่ทำให้ท่านอยากไปอยู่ประเทศไกลๆเพราะมันทำมาหารับประทานได้ง่ายๆนี่เอง

ว่ากันตามตรง ข้าราชการจะแDกนิดแDกหน่อยก็ถือว่าเป็นเรื่องพอยอมรับได้ในระบบราชการไทย เพราะทำกันมาจนเป็นเรื่องธรรมชาติไปแล้ว แต่ถ้าแDกหนัก แDกไม่พออิ่ม แDกไม่บันยะบันยัง อันนี้มันก็น่าจะมีการจัดการกันบ้าง กรูว่านะ

กรูเดินทางไปประเทศไกลโพ้นประเทศหนึ่ง ซึ่งคนไทยน้อยคนที่พิศมัยจะไปที่นั่น ประมาณว่า ถ้าไม่เป็นเพราะธุรกิจของบริษัท กรูก็คงไม่คิดจะย่างกรายไปเหมือนกัน

เป็นธรรมดาที่ถ้าไปทำธุรกิจ ณ ต่างประเทศ การไปพบเอกอัคราชทูต เรียกสั้นๆว่าทูตละกันนะ เป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะอย่างน้อย ก็เป็นการให้สถานทูตได้รับทราบว่า มีคนไทยเข้ามาทำธุรกิจ ณ ประเทศแห่งนี้ และพร้อมจะให้การช่วยเหลือถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น

ตอนที่กรูไปประเทศนั้นครั้งแรก อะไรๆก็ดีนะ ทูต เมียทูต และเจ้าหน้าที่สถานทูตก็พูดคุยให้การต้อนรับด้วยดี มีพาไปเลี้ยงที่บ้านทูตบ้าง หรือที่ร้านอาหารไทย ณ ประเทศนั้นบ้าง ก็ดูอบอุ่นตามประสาคนไทยจำนวนน้อยนิด ณ ดินแดนที่ไม่น่าพิศมัยที่คนไทยร้อยละเก้าสิบเซย์โนไม่อยากไป

ทูตท่านก็บอกว่า ที่ท่านช่วยเหลือไม่หวังอะไรนะ ขอเพียงเป็นการทำเพื่อชาติ ท่านทำได้ทุกอย่าง ในนามของสถานทูตไทย ณ ประเทศ... และเจ้าหน้าที่ทุกคน ก็ขอให้กรูและคณะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ ณ ประเทศแห่งนี้ ธุระปะปังอะไร สถานทูตจะอำนวยความสะดวกให้ทั้งหมด

กรูได้ฟังแล้วนี่แมร่ง ปลื้มใจ ที่อย่างน้อยยังมีข้าราชการที่ทำเพื่อคนไทยและประเทศชาติโดยไม่หวังผลใดๆเป็นการตอบแทน แมร่ง... ปลื้ม

แต่ทว่า... จากการที่กรูได้เดินทางไปบ่อยๆ ได้รู้อะไรภายในสถานทูตแล้วจึงรู้ว่า ที่ท่านๆพูดมามันเป็นแค่คำพูดโก้ๆเท่านั้น จริงๆแล้วมันเป็นแหล่งทำมาหาแDกก้อนโตที่ใครๆก็อยากมาอยู่ เพราะไกลบ้านเกิดเมืองนอน ตรวจสอบยาก แDกคำใหญ่ๆก็ได้ไม่มีใครมาตรวจสอบ

อาหารหลักที่ท่านแDกประจำเดือนคือ

1.เลี้ยงนักธุรกิจคนไทยที่ไปเยี่ยมสถานทูต
รายการนี้ท่านเบิกทุกวัน ฝ่ายการเงินทำรายการค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงนักธุรกิจคนไทยทุกวัน ทั้งๆที่ความเป็นจริง เดือนนึง มีไปที่นั่นซักก๊วนสองก๊วนก็ถือว่าเยอะแล้ว แถมราคาอาหารที่ลงในรายการก็แพงเกินความเป็นจริงไปเยอะมาก โดยได้รับความร่วมมือในการแDกเป็นอย่างดีจากเจ้าของร้านอาหารไทยทำบิลเงินสดให้ทุกวันแม้โดยส่วนใหญ่หลายๆวันจะไม่มีการพาคนไทยไปแDกอาหารที่นั่นเลยก็เหอะ

พวกมรึงพึงทราบไว้นะว่าร้านอาหารไทย ณ ต่างประเทศจะเป็นร้านหรู และราคาแพง ถ้าไปกินกันซักสิบคน กินเอาแค่อิ่ม อย่างต่ำก็ตกไม่ต่ำกว่าสองหมื่น ถ้าคิดเป็นเงินไทย แต่ท่านบวกรายการเข้าไปในบิลอีกอื้อหลายเท่า...

2.การจัดงานวันสำคัญต่างๆของประเทศไทย(วันเฉลิม วันมาฆะ วันสงกรานต์ ฯลฯ) โดยสถานทูตไทยเป็นเจ้าภาพ เชิญชวนทูตจากประเทศต่างๆเข้าร่วมงาน ถ้ามีคนเข้าร่วมงานห้าสิบคน แต่ค่าอาหารท่านแปลงให้เป็นสองร้อยคนได้โดยไม่มีใครมาคอยนับว่าจริงๆมีคนร่วมงานกี่คน เพราะทูตนั่นละเซ็นต์เองแDกเอง 55 ปีนึงมีจัดหลายวัน ท่านเลย make money ได้เยอะน่าดู

3. เอกสารทางด้านสินค้าที่คนไทยเอาเข้ามาทำธุรกิจในประเทศแห่งนี้ สถานทูตจะขอไว้ เพื่อเอาไปเป็นเอกสารประกอบในการเบิกค่าดำเนินการในการสนับสนุนนักธุรกิจไทยกลุ่มนี้ ขอบอกว่าเป็นเงินก้อนโตเลยละวะ น่าเสียดายว่าไม่ได้เอามาใช้ช่วยในการสนับสนุนธุรกิจอะไรซักนิด ไม่ว่าจะเป็นด้านประสานงานกับทางราชการประเทศนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่นจะเอาของออกจากportได้ ต้องวิ่งเต้นเป็นเดือนกว่าศุลกากรที่นั่นมันจะให้ผ่าน red tape ยุบยับไปหมด ต้องจ่ายพิเศษแม่งซะอาน ขอให้สถานทูตช่วยในการประสานงานก็ต้องรอนานยิ่งกว่า

4. วีซ่าปลอม หึหึหึ อันนี้ไม่อยากพูดมาก รายได้ก้อนใหญ่ ก้อนหนัก แDกเนื้อๆ รวยเน้นๆ ก็บอกแค่ว่าคนในประเทศเหล่านี้อยากจะเข้ามาเมืองไทยกันมาก เพราะเมืองไทยเป็นแหล่งรวมของแก๊งค์คนต่างชาติอยู่หลายกลุ่ม ซึ่งทางการไทยก็จับตาอยู่พอสมควรไม่ยอมให้คนประเทศนี้ขอวีซ่าเข้ามาได้ง่ายๆเหมือนแต่ก่อน ของจริงมันขอยากนัก ทำของปลอมให้เลยดีกว่า ง่ายดี 555 สมประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ประเทศไทยคนไทยก็ต้องยอมรับชะตากรรมเจอพวกต่างชาตินอกกฏหมายพวกนี้เดินป้วนเปี้ยนเต็มไปหมดในเมืองไทยไปตามยถากรรม

นอกนั้นก็มีค่าเล็กๆน้อยๆอีกเยอะแยะ เช่นค่าเช่าอาคารสถานทูต ค่าพนักงานที่เป็นคนท้องถิ่น(จ้าง 30 คนทำงานริง10 คน) ค่าอาหารหมา (ยังแย่งหมาแDกด้วยนะคนเรา) ค่าน้ำมันรถ(น้ำมันแพงกว่าบ้านเราสามเท่า) ฯลฯ

เรื่องนี้มัเห็นๆกันอยู่ กรูเซ็งในหัวใจไม่น้อยเลยหวะ คนที่ทำงานสถานทูตคือตัวแทนประเทศไทย โดยเฉพาะเอกอัคราชทูต ตำแหน่งอันมีเกียรติที่ใครๆก็อยากเป็น ก็ดั๊นกลายเป็นหัวหอกในการแDกไปซะฉิบ ทั้งๆที่ทุกคนที่ทำงานที่สถานทูต จะมีรายได้ที่กรูขอบอกว่าก้อนโตที่ทางการจ่ายให้อยู่แล้วในฐานะที่มาอยู่ต่างประเทศ ซึ่งช่วงเวลาสี่ปีที่อยู่ที่นั่น พอกลับมาเมืองไทย ก็มีเหลือกลับมาหลายล้านเชียวละวะ

นี่ขนาดระดับแค่ซีเล็กๆยังได้ไม่ต่ำกว่าสองถึงสามล้านนะ แล้วทูตละมันจะขนาดไหน แต่อย่างว่า ของอย่างงี้มันไม่เข้าใครออกใครนี่หว่า

กรูเข้าออกประเทศที่ว่านั่นบ่อยอะนะ ทูตเปลี่ยนหน้าไปแล้วสองคน ทำงานพอๆกัน ขยันทำมาหาแDกไม่ต่างกัน จนข้าราชการซีต่ำๆยังทนกันไม่ค่อยได้ที่เห็นมหกรรมสวาปามกันแบบนี้

ยอมรับว่าเป็นการแDกเพื่อชาติจริงๆ




 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 3 กรกฎาคม 2548 10:48:31 น.
Counter : 561 Pageviews.  

หนึ่งในตัวอย่างที่ TOYOTA คิดว่าคนไทยโง่

ในความคิดของคนไทยส่วนใหญ่(ขำย้ำว่าส่วนใหญ่ไม่ใช่ทั้งหมดนะ) คิดว่ารถยนต์นั่งมีอยู่สองยี่ห้อ คือ ไม่โตโยต้า ก็ฮอนด้า ยี่ห้ออื่นเป็นเกวียน

เพราะกรูเจอผองเพื่อนมากมายที่คิดจะซื้อรถ มักจะมาพูดกับกรูว่า จะเอาโตโยต้าหรือฮอนด้าดี โดยไม่คิดแม้แต่จะชายตามองยี่ห้ออื่น ทั้งๆที่รถยี่ห้ออื่นก็ขับดีพอๆกัน แถมไม่ดูถูกความโง่ของคนไทยเหมือนสองเจ้าพ่อยักษ์ใหญ่ที่ว่านี้อย่างแน่นอน

เพราะโตโยต้าอ่านออกว่า เบื้องลึกในความคิดของคนไทยเป็นแบบนี้ จึงคิดที่จะตีหัวเข้าบ้าน เอาแมวด่างมาย้อมสีเป็นแมวเปอร์เซีย แล้วเอามาขายให้คนไทยในราคาแพงๆ

กะว่าตีหัวเข้าบ้านนอนแDกกำไรสบายพุง เพราะคิดว่าเอารถห่วยๆอะไรมาขายคนไทยก็ซื้อ ขอให้พะยี่ห้อโตโยต้าเท่านั้นเป็นพอ

ตัวอย่างที่จะขอกล่าวก๊อคือโตโยต้า AVANZA จะอ่านว่าอาแวนซ่า หรือ อีเวรซ่า ก็ว่ากันไป

รถรุ่นนี้เป็นรถเจ็ดที่นั่ง เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ที่พ่อแม่ขยันปั๊มลูก มีสามแถว แถวหน้านั่งสองคน แถวกลางสามคน และแถวหลังสองคน รวมเป็นเจ็ด เข้าเทร็นด์ของคนไทยที่กำลังอยากได้รถประเภท mpv พอดิบพอดี

แต่อนิจจา ของที่โตโยต้ากะเอามาฟันเงินของคนไทยด้วยราคาที่เห็นแล้วขี้จะแตกตายในราคารุ่นท็อปกว่าเจ็ดแสนนี้ มีอะไรที่ไม่คุ้มค่าคุ้มราคาเอาซะเลย มีเพียงพะตราสามห่วงที่คนไทยคิดเองเออเองเท่านั้นว่า ต้องเป็นของดีแต๊ๆ

วันที่มันเอามาเปิดตัว กรูดั้นด้นไปดูให้เห็นกะตา เพราะเห็นมันตีปิ๊บล่วงหน้ามาว่าจะเอาของดีมาโชว์ และพอได้เห็นกะตา กรูก็ต้องร้องโอละพ่อในทันที

รถรุ่นนี้ใช้เครื่องเบนซินขนาดความจุ 1.3 ลิตร ซึ่งถือว่าเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับรถยนต์นั่งยุคปัจจุบัน ที่อย่างต่ำก็ 1.5 ลิตรแล้ว

กรูลองเปิดฝากระโปรงดูให้เห็นกะตา ไอร้ห่า เครื่องเล็กนิดเดียวจริงๆ ยังกะเครื่องปั่นไฟใช้ตามนากุ้ง จนกรูพาลคิดไปว่ามันไปซื้อเครื่องเลหลังมาจากนากุ้งแถวสมุทรสงครามรึเปล่า มรึงสังเกตดูง่ายๆตรงฝากระโปรงก็ได้ ว่าฝากระโปรงแมร่ง โคตรเล็กนิดเดียวจริงๆ ฮอนด้าแจ๊ซกรูว่ากระจุ๋มกระจิ๋มแล้ว อันนี้แมร่ง หาคำมาเปรียบเปรยไม่ไหว

กรูสงสัยเหลือเกินว่า ถ้านั่งอัดกันครบเจ็ดคนพร้อมเปิดแอร์เต็มๆ แล้วขับขึ้นเขา หรือขึ้นที่จอดรถบนตึก มันจะขึ้นไหวเหรอวะเนี่ย... ไม่ลากเครื่องตายห่าหรอกเหรอ

มิต้องให้ลูกๆลงไปเข็นช่วยหรอกหรือวะ

รถรุ่นนี้นำเข้ามาจากโรงงานที่ประกอบในประเทศอินโดนีเซีย โดยเป็นรถที่ออกแบบมาสำหรับอินโดฯโดยเฉพาะ เพราะที่นั่นเค้านิยมใช้รถที่นั่งได้หลายๆคนมานานแล้ว โดยมีรุ่นแฝดพี่ ที่คันใหญ่และเครื่องใหญ่กว่าหน่อย ชื่อ TOYOTA KIJANG

กรูไปเห็นมากะตาที่อินโด ว่า AVANZA ที่นั่น มีอ๊อปชั่นครบพร้อมมากกว่าที่ส่งมาขายในเมืองไทย คือ มีอุปกรณ์ตกแต่งติดมาให้ตั้งแต่ถอยออกมาจากโชว์รูมเลย ส่วนไอร้ที่ส่งมาขายที่เมืองไทย ก๊อถอดอะไรต่างๆไปซะหมด เพื่อลดต้นทุนเต็มที่ ขอให้มียี่ห้อสามห่วงปะอยู่ คนไทยเอาหมด

นี่ขนาดว่ามันห่วยของมันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ยังอุตส่าห์โดนถอด accessories ไปซะเกือบหมด จนหานิยามอะไรให้รถคันนี้ไม่ได้นอกจากคำว่า "ห่วยแตก"

กรูเห็นทรวดทรงของรถ รูปแบบซุ้มล้อ ตูดรถ รวมทั้งอากัปกริยาตอนมันวิ่งแซงรถพ่วงแล้วเสียว ดูเหมือนมันจะอยากจะมุดเข้าไปอยู่ใต้ท้องรถ หรือ โดนลมพัดปลิวออกไปข้างทางจริงๆ

กรูว่า นะ กำเงินเจ็ดแสนไว้ในมือ แล้วไปหาซื้อรถอื่นที่คุณภาพดีกว่าได้เยอะแยะ

โชคดีคนไทยไม่โง่มากอย่างที่โตโยต้าคิด รถรุ่นนี้เลยขายได้แบบนกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำก็ไม่มีใครเอาแล้ว แต่ก็ยังขายได้ไม่น้อยละเพราะมีคนใจเร็วด่วนได้อยู่บ้างเหมือนกัน

คนที่ซื้อไปใช้แล้วต้องร้องไห้ ก็จงจำไว้เป็นอุธาหรณ์นะว่ายักษ์ใหญ่ในวงการรถที่สร้างภาพว่าดีแบบนี้ เอาเปรียบผู้บริโภคเป็นกิจวัตร

สิ่งสำคัญที่ทำให้คนส่วนใหญ่ควรจะคิดได้ก็คือ คนที่ซื้อรถรุ่นนี้มาไว้ในครอบครอง โตโยต้าเค้าแถมนกเอี้ยงตัวนึงไว้เกาะหลังให้อีกด้วยนะ!!?!




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2548    
Last Update : 27 มิถุนายน 2548 17:22:20 น.
Counter : 866 Pageviews.  

รู้สึกเหม็นหน้าพวก"วีรชนหลังรบ"กันบ้างไหม?

พูดถึง"วีรชนหลังรบ" กรูว่าพวกมรึงทั้งหลายต้องเคยเจอก๊วนอย่างว่าไม่มากก็น้อยในชีวิต ดีไม่ดีเจอแมร่งทุกวันเลยก็มี

พวกนี้จะเป็นวีรชนจริงๆ คือรู้แมร่งหมดทุกอย่าง ทำเป็นเก่งไปซะทุกเรื่อง ถนัดเชี่ยวชาญไปซะหมด แต่เอาเข้าจริงไม่รู้หมาจะแดรกรึเปล่า

พวกนี้มักจะไม่เห็นหัวตอนที่เราทำกิจ หรือทำการงานอะไรที่ต้องมีการตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะมีผลต่อความสำเร็จของงานนั้น

ช่วงเวลาสำคัญแบบนี้พวกที่ว่ามักจะหายหัว ไม่เห็นแม้แต่เงาแว่บผ่านตา คิดว่าพวกมันคงไปเดินเตร่โชว์ออฟโชว์ดุ้นให้สาวๆดูกรณีที่เป็นเพศชาย และคงไปเดินอ้อยสร้อยโชว์เนื้อหนังมังสาใส่สายเดี่ยวเสียวหลุดให้เฒ่าหัวงูน้ำลายสอเล่นกรณีที่เป็นเพศหญิง

แต่พอผ่านขั้นตอนนั้นไปแล้ว ถ้างานที่ออกมาไม่ประสบผลสำเร็จ หรือพูดๆง่ายก็คือตัดสินใจผิด พากันเจ๊งบ๊งไปซะทั้งหมด

พวกมันก็จะโผล่หน้ามาทันที พร้อมกับคำพูดฮิตติดปากประจำตัวว่า "กรูว่าแล้ว" (ไอ้(E)ควายยยย มรึงว่าตอนไหนวะ)

พวกมันจะไสหัวเข้ามาทันที พร้อมกับสาธยายว่า เห็นมั้ย น่าจะทำอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างโน้น ฯลฯ ทำแบบนี้ไม่ดี มันก็เลยเจ๊งอย่างที่เห็น ทำแบบนี้ไปได้ยังไงกัน คนเก่งๆเค้าต้องคิดแบบ A ทำแบบ B ตัดสินใจแบบ C แล้วจะทำได้สำเร็จ

กรูเจอประจำเลยหวะพวกนี้ ไอร้ห่า ไม่ต่างกับพวกที่หวยออกไปแล้ว ค่อยมาบอกทีหลังว่าฝันตรงกับตัวเลขที่หวยออกไม่มีผิด

กรูเรียกพวกนี้อีกอย่างว่าเป็นพวก NATO(No Action, Talk Only) เพราะพูดเป็นต่อยหอย รู้ไปหมด ถ้างานที่ออกมาสำเร็จมันก็จะเศือกหน้ามาบอกว่า ถ้ามันไม่มีมันสมองของมันกลั่นออกมาให้ จะได้ดีอย่างนี้หรือ แต่พอให้ทำจริงก็หายหัว แม้แต่ขนซักเส้นยังไม่โผล่มาให้เห็น

เพื่อนรักกรูคนนึงแต่งงาน แล้วสุดท้ายก็ต้องอย่ากับเมียเพราะเข้ากันไม่ได้ ช้ำใจในชีวิตแต่งงานไม่พอ ยังต้องมาเจอพวกวีรชนหลังรบพ่นน้ำลายเน่าว่า "กรูว่าแล้วว่าสุดท้ายมรึงก็ต้องหย่ากัน แมร่งมองไม่ผิดเลย เห็นหน้ากรูก็รู้แล้วว่าเข้ากันไม่ได้แน่ๆ เสียดายกรูบอกมรึงก่อนแต่งไม่ได้เพราะรู้ว่ายังไงมรึงก็ไม่เชื่อ"

เบื่อจริงๆ ไอ้พวกนักรบสไตล์"กรูว่าแล้ว" ทำไมมันเยอะเต็มบ้านเต็มเมืองแบบนี้วะ...




 

Create Date : 24 มิถุนายน 2548    
Last Update : 24 มิถุนายน 2548 11:42:57 น.
Counter : 590 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

บิลลี่
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add บิลลี่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.