|
|||
ขับรถเที่ยวเยอรมันโรแมนติกโรด ตอนที่5 Neuschwanstein-Linderhof-Salzburg (Germany Romantic Road-5)
ตื่นเช้าลงมากินอาหารเช้าเจ้าของบ้านออกมาต้อนรับยิ้มแย้มอบอุ่น แถมจัดโต๊ะจุดเทียนน่ารักโรแมนติกพร้อมอาหารครบครันทำให้ลืมความหงุดหงิดเรื่องห้องน้ำไปชั่วขณะอิอิ ที่นี่มีไข่ลวกให้ด้วย ส่วนตัวประทับใจกับขนมปังไคเซอร์(Kaiser Roll bread) ซึ่งทุกที่ๆไปพักจะมีนางเป็นนางเอก อร่อยจริงๆเปลือกนอกเหมือนจะแข็งแต่ข้างในนุ่มแน่นเหนียวด้านบนปั๊มเป็นรูปกังหัน เสริฟมาอุ่นๆทาชีสลงไปสุดบรรยาย อาหารเช้าที่เยอรมันเหมือนๆกันหมดคือเป็นแบบเย็นมีขนมปัง เนย นม ชีส แยม คอร์นเฟล็ก แฮมเย็นๆ แตงกวา ไข่ น้ำผลไม้ ใครชอบชีสแบบเราคงมีความสุขที่นี่ชีสถูกและอร่อยมาก
อิ่มท้องแล้วก็เริ่มออกทัวร์ปราสาท วันนี้ทัวร์ปราสาททั้งวันจริงๆ เนื่องจากเพนชั่นอยู่ไม่ไกลจากท่าขึ้นรถบัสเลยจอดรถทิ้งไว้แล้วเดินไปค่อนข้างสะดวก ขนาดมาเช้าตรู่แถวยังยาวทัวร์ญี่ปุ่นเยอะทีเดียว ตั๋วซื้อบนรถกับคนขับเลยนะคะแล้วก็บอกด้วยว่า roundtrip รึเปล่าเพราะบางคนอยากชมวิวเดินลงเอง ใครอยากขึ้นรถม้าก็มีบริการนะคะ รถขึ้นเขามาแป๊บเดียวก็ถึงจุดแรกเป็นช่องเขาให้เราไปถ่ายรูปมุมยอดฮิตปราสาท Neuschwanstein เสียดายเช้าเกินแดดยังไม่มา จากนั้นเดินต่ออีกเล็กน้อยก็จะถึงตัวปราสาท ระหว่างทางสามารถมองลงมาเห็นวิวด้านล่างกับปราสาท Schwangau ได้ด้วย ถ้าจะเข้าชมด้านในก็เสียเงินซื้อตั๋วโดยเค้าจะเปิดให้ชมเป็นรอบๆ แต่ว่าเรามีเวลาน้อยประกอบกับอ่านจากหลายๆรีวิวเห็นว่าข้างในสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์เนื่องจากพระเจ้าลุดวิกที่2สิ้นพระชนม์ซะก่อน มีเพียงปราสาท Linderhof เท่านั้นที่เสร็จสมบูรณ์ถึงแม้จะไม่ใหญ่โตแต่ว่าข้างในวิจิตรงดงาม เราเลยแพลนว่าจะเข้าแค่ปราสาท Linderhof ที่เดียว หลังจากถ่ายรูปอิ่มแล้วก็นั่งบัสลงมาข้างล่างแล้วเดินต่อไปยังปราสาท Schwangau ซึ่งอยู่บนเนินเขาฝั่งตรงข้ามสีเหลืองสดใส ทางขึ้นไม่สูงมากสามารถเดินเองได้ ปราสาท Schwangau เป็นปราสาทของพระบิดาของพระเจ้าลุดวิกนั่นเองค่ะไม่ได้เข้าชมด้านในอีกเหมือนกัน เคยดูรูปจากเว็บไซต์ส่วนใหญ่เป็นข้าวของเครื่องใช้ทั่วไปไม่ได้หรูหรามากนัก ถ่ายรูปเล็กน้อยก็เดินลงมาด้านหลังปราสาทผ่านป่าโปร่งสดชื่นมีทะเลสาบ Alpsee ด้านล่าง ใกล้ๆเป็นพิพิธภัณฑ์ Museum derbayerischen Konige แต่ไม่ได้เข้าไปชม สุดอาคารพิพิธภัณฑ์มี Maibaum เป็นเสาประดับสัญลักษณ์น่ารักดี เสร็จแล้วเราก็ต้องรีบกลับไปเพนชั่นเพื่อออกเดินทางไปยังปราสาท Linderhof ต่อ โชคดีเรามาถึงใกล้เวลาพอดี เจ้าหน้าที่ขายตั๋วบอกให้รีบๆเดินเพราะจากจุดขายตั๋วถึงตัวปราสาทค่อนข้างไกล ตัวปราสาทดูเหมือนเล็กแต่ปรากฏว่าพอเข้าไปด้านในมีห้องเยอะมาก ตกแต่งหรูวิจิตรอลังการเสียดายห้ามถ่ายรูปอีกเหมือนเดิม การเข้าชมมีเวลาเป็นรอบๆต้องเช็คเวลาให้ดีไม่งั้นเสียเวลารอเงิบ ด้านหน้าปราสาทมีสระน้ำประดับด้วยรูปปั้นและกระถางดอกไม้ช่วงฤดูใบไม้ผลิคงจะสวย ได้เห็นแต่กระถางก็ยังดีเพราะถ้าเป็นฤดูหนาวเจ้าหน้าที่จะเอาลังไม้มาครอบไว้หมด ออกจากปราสาทท้องก็ร้องเวลาล่วงเลยมาบ่ายกว่าหลุดแผนนิดหน่อย ขับรถต่อไปยังหมู่บ้าน Oberammergau ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆกำแพงบ้านมีภาพวาดปูนเปียกส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวทางศาสนา วนหาที่จอดรถมีอยู่หลายจุด จอดเสร็จต้องดูป้ายว่าฟรีช่วงไหนไม่ฟรีช่วงไหน เสร็จแล้วก็กวาดตาหาตู้จ่ายเงินเอาใบเสร็จมาแปะหน้ารถตามเคย เป้าหมายเราคือมื้อเที่ยง เจอร้านอาหารของโรงแรม Alte Post เคยผ่านตาจากรีวิวหรือบล็อกสักที่นึง คนเยอะเชียวค่ะ อาหารคุณภาพจริงๆเครื่องเคียงจัดเต็ม เราสั่งหมูอบไวน์แดงกับมิกซ์กริลไปพร้อมซุปมะเขือเทศ อร่อยค่ะแถมได้กินหน่อไม้ฝรั่งสีขาวด้วยคุ้นๆว่าหายากและแพง เสร็จแล้วออกเดินทางต่อไปยัง Salzburg ประเทศออสเตรีย จริงๆตามแผนจะขับเลียบไปตามเทือกเขาแอลป์ชมวิวสวยๆ แล้วแวะซื้อไส้กรอกที่เมือง Mittenwald เพราะอ่านจากบล็อกนึงเห็นว่าอร่อยมากๆ แต่ปรากฏว่าเวลาไม่พอกลัวจะถึงที่พักมืดเลยต้องวิ่งเข้าทางด่วน ก่อนที่จะเข้าเขตทางด่วนฝั่งออสเตรียต้องซื้อ Vignette ก่อน Vignette เป็นสติ๊กเกอร์เหมือนเป็นตัวบอกว่าเราเสียค่าทางด่วนแล้วเพราะว่าที่ออสเตรียไม่ได้วิ่งฟรีเหมือนเยอรมันค่ะ ซื้อได้จากร้านสะดวกซื้อบนทางด่วนฝั่งเยอรมันนะคะ แล้วเอามาแปะไว้ที่กระจกหน้ารถ ใครไม่มีโดนจับปรับหนักนะเออ ในที่สุดเราก็มาถึงโรงแรม Itzlinger Hof ตึกสีส้มเห็นเด่นชัดแต่ทางที่จะมาคดเคี้ยวลดเลี้ยวแท้แถมรถรางไฟฟ้าวิ่งขวักไขว่เต็มถนนไปหมด โรงแรมมีที่จอดรถข้างๆแต่ไม่กว้างนักตอนเรามาถึงก็เย็นแล้วที่จอดแน่นเอี๊ยดไม่มีที่แทรกเลยต้องขับไปวนหาที่อื่นแต่ก็ไม่มี โชคดีกลับมาอีกทีมีรถออกไปคันนึงเลยรอดตาย ใครจะมาพักก็ไปเร็วๆหน่อยนะคะ ตัวโรงแรมไม่มีลิฟท์แถมเราโชคร้ายได้ห้องชั้นบนสุดต้องแบกกระเป๋าขึ้นชั้น4 บันไดก็ทั้งแคบทั้งชันเล่นเอาหอบ แต่ตัวห้องค่อนข้างกว้างห้องน้ำใหญ่เวอร์แถมเป็นที่แรกที่มีน้ำดื่มให้ด้วย หลังจากเก็บของเรียบร้อยก็เดินออกไปหาอะไรกิน ตอนนั้นมืดแล้วเดินไปไม่เจอร้านอะไรเลยบรรยากาศเงียบวังเวงเลยรีบหนีกลับมากินร้านอาหารที่โรงแรมดีกว่า ปรากฏวันนั้นเชฟป่วยอีกเหลือแต่ผู้ช่วยเชฟสั่งอะไรพิสดารไม่ได้ เลยได้กินหมูกอร์ดองเบลอกับแฮมเบิร์กไหม้ๆ อาหารรอนานมากแถมรสชาติพอไหวแต่ไม่ลดราคานะแหง่มๆ ปิดทริปวันนี้ไปแบบตื่นเต้นเล็กๆ ขับรถเที่ยวเยอรมันโรแมนติกโรด ตอนที่4 Rothenburg-Wieskirche-Schwangau (Germany Romantic Road-4)
ครึ่งเช้าเดินชมในเมือง Rothenburg จุดสำคัญอยู่ที่ประตูเมืองแต่ละด้านกับอาคารบ้านเรือนสีสันน่ารักหลังคาแดง
ร้านขายตุ๊กตาหมี ตรงหน้าต่างด้านบนมีน้องหมีนั่งเป่าฟองสบู่น่ารักฝุดๆ ร้านขายเบเกอรี่กับไส้กรอกก็มี โรงแรมสวยๆมีให้เลือกอยู่หลายที่เลย แต่ละร้านจะมีตราสัญลักษณ์แขวนอยู่น่ารักดี มาถึงมุมสวยยอดฮิต Ploenlein รอนานมากกว่าจะไม่มีคน เสร็จแล้วเดินไปทางประตูเมืองด้านตะวันตกเสียดายมีป้าๆนั่งกินอาหารกะรถจอดรูปเลยไม่เพอร์เฟก ด้านหน้าประตูเป็นลานกว้างสวนสวยมองไปสามารถเห็นอาคารบ้านเรือนด้านในลิบๆด้วย เดินต่อไปชมประตูเมืองด้านทิศใต้ก็สวยไม่แพ้กัน มีสวนเล็กๆอยู่ด้านในป้อมด้วย ทั้งเมืองมีกำแพงล้อมรอบและเป็นเมืองเดียวที่ไม่ถูกทำลายในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ใครอยากชมเมืองจากด้านบนมีทางเดินให้สามารถเดินได้รอบเลย เห็นบ้านเรือนสวยไปอีกแบบ รูปขวาเป็นบ้านนายกเทศมนตรี เดินย้อนกลับมาที่จัตุรัสกลางเมือง Marktplazt บนหอคอย(อาคารสีขาว)ทุกชั่วโมงจะมีตุ๊กตานายกเทศมนตรีออกมากระดกแก้วเบียร์หรือไวน์ไม่แน่ใจให้ได้ชม หลังจากเดินจนเหนื่อยแล้วก็กลับมากินมื้อเที่ยงที่ Gasthof Butz เพราะจากสังเกตุการณ์ที่นี่น่าจะอร่อยจริง แล้วก็ไม่ผิดหวังเลย รสชาติอร่อยให้เยอะ ราคาไม่แพง ก่อนกินคุณฝาชีพูดว่า ยูว่ามันฝรั่งหน้าตาแปลกๆมั๊ย 555ไม่แปลกค่ะมันเหมือนหน่มน๊มชัดๆ หลังจากอิ่มท้องก็ออกเดินทางไปตามเส้นทางสายโรแมนติก สองข้างทางจะเป็นทุ่งหญ้าปลูกพืชเลี้ยงสัตว์อากาศสดชื่นแต่ช่วงนี้ครึ้มฝนไปหน่อยมีตกปรอยๆเป็นระยะ ระหว่างทางผ่านเมือง Augburg เพื่อจะหาซุปเปอร์ซื้อของกินตุนไว้บ้าง เจอหลายที่เลยแต่ดันอยู่ฝั่งตรงกันข้ามซะหมดเลยไม่ได้แวะ ในตัวเมืองมีรถไฟฟ้าวิ่งดูสะดวกดีจัง ก่อนถึง Schwangau ซึ่งเป็นที่พักคืนนี้ ขับผ่านเมือง Rottenbuch มีป้ายทางไปโบสถ์ Wieskirche ที่ตอนแรกนึกว่าจะไม่ได้แวะซะแล้วแต่เห็นตำตาขนาดนี้เลยต้องไปซะหน่อย ตัวโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมแบบ Rococo ซึ่งได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก้ สวยปนขลังแต่ตอนนี้ด้านหน้ากำลังอยู่ระหว่างการบูรณะ ออกจากโบสถ์มาได้ไม่ไกลก็เจอซุปเปอร์สมใจซื้อแฮม ไส้กรอกขาว ส้มกับน้ำดื่มมาเล็กน้อย ที่เยอรมันส่วนใหญ่ตรงแคชเชียร์พนักงานเค้าจะยิ้มแย้มทักทายก่อนเลยว่า Hello น่ารักดี ในที่สุดก็มาถึงที่พักคืนนี้ Romantic Pension เล่นเอาเกือบมืด จากที่แพลนไว้ว่าจะขับรถไปกินข้าวในเมือง Fussen ที่อยู่ใกล้กันเลยไม่ได้ไป ตัวบ้านโดยรวมก็น่ารักอยู่วันนี้เป็นแขกคู่เดียวที่มาพักแอบหยอง เข้ามาดูในห้องเหมือนถูกหลอกนิดนึงตรงที่ในเว็บบอกว่ามี shower เหมือนที่อื่นๆแต่ปรากฏมีแต่ที่อาบน้ำจริงๆค่ะ ห้องส้วมต้องไปเข้าส่วนกลางแชร์กันทุกห้อง มีอยู่ห้องเดียวด้วย โหถ้ามีแขกอีก 3 ห้องเข้าพักด้วยนี่ตายเลย พื้นห้องเป็นไม้ค่อนข้างเก่าอ่อนปวกเปียกเดินไปนี่ยวบยาบกลัวจะถล่มจริงเชียว ด้านหน้าที่พักสามารถเห็นปราสาท Schwangau ด้านหลัง Neuschwanstein ใกล้มากๆ เก็บของเสร็จก็เดินออกไปหาร้านอาหาร เจออยู่ร้านเดียวนอกนั้นเงียบสงัดมืดเชียว ในร้านคึกคักมากเปิดเป็นที่พักด้วยในตัว เราเข้ามานั่งแล้วก็ขอเมนู ปรากฏว่าพนง.ถามว่าพักที่นี่รึเปล่าถ้าไม่พักที่นี่ไม่รับ เหวอรับประทานค่ะใครจะมากินที่นี่ก็ระวังหน้าแตกแบบเราอ่ะ คือไม่รู้ว่าเพราะตอนนั้นแขกเยอะเกินรึเปล่านะ ตอนเรากำลังจะเดินออกมีครอบครัวน่าจะเป็นชาวอังกฤษตามมาถามว่าทำไมเหรอ พอเราบอกไปแกก็ทำหน้าแบบเหอๆ Interesting!!! แล้วก็ตามออกมาก่อนจะหน้าแตกแบบเรา กลับมาตายรังต้มบะหมี่กินกะแฮมไม่ง้อค่ะ อร่อยประหยัดด้วย คืนนี้สลบค่ะ ราตรีสวัสดิ์ ขับรถเที่ยวเยอรมันโรแมนติกโรด ตอนที่3 Heidelberg-Wurzburg-Rothenburg (Germany Romantic Road-3)
วันที่2 ออกเดินทางจาก Frankfurt ตั้งแต่ไก่โห่ขับรถประมาณ1ชม.ก็มาถึงHeidelberg ที่จอดรถรอบปราสาทมีหลายจุดเลยแต่ละที่จะมีป้ายบอกว่าเหลือที่ว่างกี่คันด้วยค่ะ จากที่หาข้อมูลไว้เราเลือกที่ใกล้ปราสาทที่สุดคือ P13-Karlsplatz รถยังโหลงเหลงอยู่อิอิ ใกล้ๆที่จอดรถมีร้านเบเกอรี่ Cafe Gundel เจ้าอร่อย จะเห็นว่าคนท้องถิ่นต่อแถวจนยาวออกมานอกร้านเลย ในร้านมีขนมปัง เค้ก คุกกี้ พายเยอะมากๆอยากชิมไปหมดเลย จากนั้นเราก็ออกไปเดินเล่นชมวิวสองฝั่งแม่น้ำเนคตร้า ลมแรงหมอกหนาจนมองไม่เห็นปราสาทเลย หัวสะพานมีเจ้าลิงถือเหรียญ ข้างๆเป็นหนูจี๊ดตัวเล็กนิดเดียว ฝั่งตรงกันข้ามเป็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัยน่าอิจฉาคนที่นี่จริงๆ แล้วไปขึ้นรถรางที่สถานีKornmarkt เพื่อขึ้นไปชมปราสาทด้านบน จริงๆสามารถขึ้นไปถึงยอดเขาเพื่อชมวิวได้ แต่ว่าเราลงแค่ที่ปราสาท ตัวปราสาทถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่2ไปเยอะเลย จากปราสาทสามารถมองลงมาเห็นวิวอาคาร โบสถ์ ร้านรวงหลังคาสีแดงสวยงาม เดินเข้าด้านในจะมี2อาคารอยู่ติดกัน ด้านซ้ายเป็นทางลงไปชมถังหมักไวน์ใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนด้านขวาจะเป็นพิพิธภัณฑ์ยา หน้าถังหมักไวน์มีรูปปั้นชายที่ชอบดื่มไวน์เป็นชีวิตจิตใจ พอโดนสั่งห้ามไม่ให้ดื่มถึงกับตรอมใจตายเลย ส่วนพิพิธภัณฑ์ยามีขวดยาโบราณสวยๆเยอะมาก พอลงจากปราสาทก็เดินเที่ยวชม Heidelberg Old town ทางเดินที่สองข้างทางเป็นตึกแถวสีสันน่ารัก เปิดเป็นร้านขายของ คาเฟ่ ร้านอาหารต่างๆ ยังมีสถานที่สำคัญอีก 2 จุดก็คือโบสถ์ Church of the Holy Ghost (Heiliggeistkirche) ใจกลางจัตุรัส และโรงแรม Ritter ซึ่งเป็นโรงแรมเก่าแก่ที่ต้องไม่พลาดแวะถ่ายรูป ก่อนออกจากเมืองแวะกินข้าวที่ร้านอาหารเก่าแก่ที่หน้าร้านเป็นสัญลักษณ์รูปแกะสีทอง มาตามบล๊อกนึงแนะนำแต่ว่าไม่อร่อยแล้วก็แพง เป็นเพราะสั่งไม่เป็นรึเปล่าไม่รู้เหอๆ แล้วก็แวะซื้อของที่ระลึกที่ร้าน Kathe มีตุ๊กตาและของตกแต่งสำหรับคริสต์มาสทั้งร้านใหญ่อลังการจริงๆ มาซื้อช๊อกโกแลตที่ร้าน Chocolate Kiss ช๊อกโกแลตในตำนาน ลองชิมแล้วอร่อยดีแต่ราคาแพงกว่าช๊อกโกแลตตามซุปเปอร์พอสมควร จริงๆถ้าใครมีเวลาอยากให้นอนค้างที่ Heidelberg ซักคืนจะดีมากเลย ริมฝั่งแม่น้ำโรแมนติกสุดๆ เสียดายเราเวลาน้อยกินข้าวเที่ยงแล้วต้องรีบออกตัวไปที่เมืองWurzburg ต่อทันที Wurzburg Residence เป็นพระราชวังเก่าซึ่งบางส่วนถูกทำลายในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 แต่ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่สวยเหมือนเดิมข้างในห้ามถ่ายรูปฮือๆ มีประตูแยกไปด้านหลังเจอกับสวนสวยๆให้เข้าชมฟรีด้วย เสร็จจากวังก็รีบดิ่งไปยังเมือง Rothenburg เพื่อเช็คอินที่ Gasthof Butz hotel จริงๆเป็นอาคารโบราณด้านล่างเป็นร้านอาหาร ชั้นสองเป็นห้องพักดูคร่าวๆมีประมาณ 4-5 ห้อง โรงแรมตัวห้องน่ารักสะอาดห้องน้ำกว้างดีด้วย พนักงานน่ารักเป็นกันเอง ร้านนี้น่าจะเป็นที่นิยมของคนที่นี่มีคนมาแวะเวียนกินกันตลอด ที่จอดรถหน้าโรงแรมค่อนข้างน้อยต้องขับวนตั้งสามรอบกว่าจะมีที่ว่างเวลาจอดจะมีช่วงเวลาที่จอดฟรีและเสียเงิน ถ้าจำไม่ผิดฟรีตั้งแต่หัวค่ำจนถึง11โมง ถ้ารู้ตัวว่าอยู่นานกว่านั้นต้องรีบไปหยอดตู้เสียเงินล่วงหน้าไว้เลยต้องคำนวณเองว่าเราจะจอดกี่ชั่วโมง แล้วเอาใบเสร็จไปแปะไว้หน้ารถเพราะจะมีคุณป้าคอยเดินตรวจ ปิดท้ายวันนี้ด้วยมื้อเย็นที่ร้าน Gafthof Marktplatz ซึ่งอยู่ตรงใจกลางจัตุรัสอร่อยแล้วก็ไม่แพงด้วย ขับรถเที่ยวเยอรมันโรแมนติกโรด ตอนที่2 ออกเดินทาง (Germany Romantic road-2)
หลังจากวีซ่าเรียบร้อยก็เตรียมเหินฟ้ากันเลย จากสนามบินอินชอนถึงแฟรงค์เฟิร์ตใช้เวลาเกือบ 12 ชั่วโมงนั่งกันเมื่อยเลยทีเดียว เราเลือกไปกับเอเชียน่าแอร์ไลน์เป็นอะไรที่เลิศมากจริงๆ อาหาร2มื้อหลักๆให้เยอะอร่อย แถมรอบดึกยังมีตอติญ่าห่อไก่ให้อีก
พอไปถึงตรงตม.หน้าตาดุมาก เนื่องจากพาสเราหมดอายุต่อเล่มใหม่มาซิงๆหน้าจึงว่างเปล่ามีแค่เชงเก้นแปะ ไม่รู้ฮีคิดว่าเราจะมาขายตัวหรือว่าแอบมาทำงานหรือยังไง ถามคำถามรัวเป็นชุดมาทำอะไร จะไปไหนบ้าง อยู่กี่วัน มีตั๋วกลับรึเปล่าแหม้เล่นเอาเซ็งอารมณ์นี่ขนาดมีวีซ่าแล้วนะ หันไปหาสมีด้านหลังยูๆขอตั๋วหน่อย แล้วก็บอกอีตม.ว่าชั้นมาเที่ยวกะสมีย่ะมันเลยให้ผ่านไป ตอนไปถึงก็เย็นแล้วต้องรีบไปรับรถก่อนฟ้าจะมืดเดี๋ยวไม่ชินทางหลงไปจะแย่ เดินๆหาป้ายบริษัทรถเช่าจะอยู่รวมๆกัน พนักงานจะมีลิสต์ชื่อลูกค้าที่จะมาวันนั้นอยู่แล้ว พอไปเคาท์เตอร์บอกชื่อเค้าก็จะบอกทางที่จะไปเอารถแล้วเราต้องเดินต่อไปเอง ของเฮิร์ททันสมัยมาก มีป้ายอิเล็กโชว์ชื่อกับหมายเลขรถ เราก็ดูว่ารถเราเบอร์ไหนไปถึงจะมีกุญแจกับเอกสารวางอยู่เราก็ตรวจเช็ครถให้เรียบร้อยเซ็นต์ชื่อแล้วขับออกไปตรงทางออก จะมีเจ้าหน้าที่รอรับเอกสารอยู่ จ่ายเงินเรียบร้อยก็ปล่อยเราออกไป อยากย้ำว่าถ้าไม่รู้จักทางให้ตั้งนาวิเกเตอร์ให้เรียบร้อยก่อนออกรถไม่งั้นจะเป็นเหมือนเราขับวนไปมานอยมากๆกว่าจะเสิร์ชเสร็จ ในสนามบินมีป้ายบอกตลอดทาง สุดท้ายก็มาถึงที่พักคืนแรก Holiday Inn Express Frankfurt Airport ใกล้มากเลยประมาณ 15 นาทีติดถนนใหญ่หาง่าย ที่จอดรถต้องกดปุ่มรับบัตรแล้วจ่ายเงินตอนเช็คเอาท์ที่จอดไม่ฟรีค่ะ รร.สะดวกสะอาดมาตรฐาน พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้ ห้องน่ารักดีมีกาต้มน้ำให้แต่ไม่มีน้ำดื่มเซ็งเป็ด รอบๆโรงแรมไม่มีร้านค้าถ้าจะไปกินข้าวหรือร้านสะดวกซื้อต้องข้ามถนนไปอีกฝั่งนึง แต่เราซื้อขนมปังที่สนามบินมาแล้วกันเหนียวพร้อมกับบะหมี่กึ่งเลยสบายไป คืนนั้นเลยต้องต้มน้ำก๊อกกินแก้ขัด ใครจะมาเยอรมันก็เตรียมซื้อน้ำตุนไว้เลยเพราะเกือบทุกที่ไม่มีน้ำให้คร่า วันแรกไม่มีอะไรเยอะขอเวลาปรับตัวกันนิ๊ดนึง ขับรถเที่ยวเยอรมันโรแมนติกโรด ตอนที่1 เตรียมตัว (Germany Romantic road-1)
หลังจากตกลงกับสามีว่ามูนรอบสองนี้เราจะไปเยอรมันกัน โดยฮีให้โจทย์แค่ว่าเราจะบินไปกลับจากสนามบินแฟรงค์เฟิร์ตและไปนอนที่ออสเตรีย2คืนตั้งแต่11-18 ตุลาคม ให้เราเป็นคนแพลนทริปทั้งหมดฮีขับรถตามคำสั่งอย่างเดียว ความเครียดเริ่มตามมาค่ะ เยอรมันคืออะไรอยู่ตรงไหน มีอะไรให้เที่ยว เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับประเทศนี้เลยนอกจากเบียร์ มีเวลาเตรียมตัวแค่1เดือนเท่านั้น
อันดับแรกเปิดแผนที่โลกก่อนค่ะ อ่อๆอยู่ยุโรปตอนกลางนี่เอง เยอรมันถูกล้อมรอบด้วยเนเธอแลนด์ เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์และออสเตรีย ประเทศยอดฮิตทั้งนั้นเลย (ภาพจากกูเกิ้ล) ต่อมาดูจากหลายๆคนเริ่มจากสายโรแมนติกโรดซึ่งอยู่ในแคว้นบาวาเรีย เป็นเยอรมันตอนล่างจากนั้นค่อยข้ามไปออสเตรีย(ภาพจากกูเกิ้ล) เราเลยเลือกเมืองที่จะแวะตามเส้นทางนี้ โดยดูจากรีวิวแต่ละเมืองสถานที่เที่ยวต่างๆ ได้ออกมาคร่าวๆตามนี้1. Heidelberg : Heidelberg Castle เป็นปราสาทโบราณ 2. Wurzburg : The Residenz พระราชวังที่สวยงามและมีสวนสวยด้านหลัง 3. Rothenburg : เมืองโบราณซึ่งโอบล้อมด้วยกำแพงสามารถเดินชมวิวได้โดยรอบ บ้านแต่ละหลังถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดีหลังคากระเบื้องสีแดงเหมือนเมืองในเทพนิยาย 4. Schwangau : Nauschwanstein ปราสาทนอยชวานสไตน์ เป็นปราสาทในเทพนิยายที่วอลท์ดิสนีย์เอาไปสร้างการ์ตูนหลายๆเรื่อง 5. Linderhof Palace : ปราสาทลินเดอร์ฮอฟ สวยและสร้างเสร็จสมบูรณ์หรูหราที่สุดโดยพระเจ้าลุควิดที่2 6. Oberammergau : หมู่บ้านที่มีภาพวาดปูนเปียกบนกำแพงตามบ้าน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวทางศาสนา 7. Salzburg : Old town บ้านเกิดของโมสาร์ท 8. Hallstatte : ทะเลสาบที่ใสสะอาดอากาศโอโซนและถูกจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก้ 9. St.Wolfgang : ทะเลสาบใสสะอาดคล้ายๆ Hallstatte 10. Munich : พิพิธภัณฑ์ Pinakothek ซึ่งมีภาพเขียนดอกทานตะวันอันโด่งดังโดยศิลปินแวนโก๊ะคนโปรดกับโรงเบียร์เยอรมัน 11. Nurnberg : เป็นเมืองที่สวยและมีสถานที่เที่ยวเยอะแต่คงไม่มีเวลาเที่ยว อาศัยนอนเพื่อไปแฟรงค์เฟิร์ตต่อในเช้าวันสุดท้ายเนื่องจากถ้าขับรถตรงจากมิวนิคไปแฟรงค์เฟิร์ตเลยจะไกลเกินไป เลือกโรงแรมตามเมืองที่จะพักใน1อาทิตย์7คืน คืนที่1-Frankfurt : Holiday Inn Express Frankfurt Airport เนื่องจากมาถึงก็เย็นแล้วขอใกล้ๆ คืนที่2-Rothenburg : Gasthof Butz คืนที่3-Schwangau : Romantic-Pension Albrecht คืนที่4-Salzburg(Austria) : Itzlinger Hof คืนที่5-Hallstatte(Austria) : Braugasthof Lobisser คืนที่6-St.Wolfgang(Austria) : Haus Windhager คืนที่7-Nurnberg : Ibis Nurnberg City am Plarrer จากนั้นก็แปะๆใน Google map ขาลง ขาขึ้น ตัวช่วยที่สำคัญ 1. www.booking.com หาและจองโรงแรมทั้งหมดโดยจ่ายเงินตอนที่ไปพัก สามารถแคนเซิลได้ฟรีแต่จะมีกำหนดว่าภายในกี่วันต้องอ่านรายละเอียดแต่ละโรงแรมดีๆ อีกเรื่องคือที่พักหลายที่ถ้าไปเช็คอินค่ำเกินเวลาที่กำหนดจะต้องแจ้งล่วงหน้าไม่งั้นอาจจะไม่มีคนรอรับเราได้ค่ะ 2. www.tripadvisor.com แค่ใส่ชื่อเมืองก็จะมีหัวข้อให้เลือกที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจพร้อมรีวิวโดยคนทั่วๆไปไม่ม้า บางทีเห็นโรงแรมจาก booking.com ดูดีแต่พอมาอ่านรีวิวที่นี่อาจจะสะดุดต้องดูหลายๆที่เป็นไอเดีย 3. Google map อันนี้สำคัญใช้มาร์กเมืองที่จะไปแวะแล้วก็ดูเส้นทางหลวงว่าเราจะวิ่งสายไหน เพราะบางทีเนวิเกเตอร์จะพาเราวิ่งทางด่วนเป็นหลัก แต่จริงๆสายโรแมนติกต้องวิ่งนอกเมืองชมวิวทุ่งหญ้าป่าเขาน้องม้าน้องวัว ซึ่งเราต้องแหกออกนอกเส้นทางบ้าง 4. www.car-parking.eu ขับรถเองนี่ต้องหาที่จอดรถล่วงหน้าไว้เลยค่ะเพราะว่าไม่งั้นพอไปแถวนั้นแล้วจะเครียดมึนมากหาที่จอดยาก ส่วนใหญ่สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเค้าจะมีโรงจอดรถโดยเฉพาะไว้ให้หลายจุด แล้วก็มีป้ายอิเล็กโชว์ตัวเลขว่าเหลือที่จอดได้กี่คัน แต่เราต้องพยายามเลือกให้ไกล้สถานที่ที่เราจะไปมากที่สุดแล้วก็ราคาต่อชั่วโมงไม่แพงมากพร้อมทั้งเตรียมเหรียญไว้ด้วยเพราะเครื่องที่จ่ายเงินส่วนใหญ่ไม่ค่อยรับธนบัตร 5. www.gettingaroundgermany.info อ่านกฏหมาย ป้ายจราจรสัญลักษณ์ต่างๆ ส่วนใหญ่ทางหลวงจะมีบางช่วงไม่จำกัดความเร็วเหยียบกัน180-200เลยทีเดียวแต่ถ้าช่วงที่จำกัดก็ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด รถช้าวิ่งขวาเร็ววิ่งซ้าย ส่วนวิธีการเติมน้ำมันที่นี่ต้องเติมกันเองค่ะ แต่ละหัวจะมีเบอร์กำกับพอเราเติมเสร็จก็เข้าไปที่แคชเชียร์แล้วบอกเบอร์เพื่อจ่ายเงิน 6. www.hallstatt.net เป็นเว็บที่ใช้จองที่พักรอบทะเลสาบโดยเฉพาะซึ่งไม่มีใน booking.com จากนั้นก็จองรถค่ะ คุณสามีเลือกHertz(ไม่ใช่ม้าไม่ได้ค่าโฆษณา) รถที่เยอรมันส่วนใหญ่เป็นเกียร์ออโต้และก็เครื่องดีเซลประหยัดน้ำมันดี ในเว็บรถระดับโลสุดก็BMWแล้ว แต่ได้ยินว่าส่วนใหญ่จะไม่ได้รุ่นตามที่เลือกไว้หรอกแต่ถ้าไม่ได้เค้าจะให้ระดับสูงกว่าแทน ซึ่งก็จริงค่ะเพราะจองBMWแต่ได้จากัวร์มาแทนทำเอาคนขับเคลิ้มอยากได้มาไว้ที่บ้าน อีกอย่างที่สำคัญคือถ้าไปช่วงที่มีหิมะตกต้องใช้ยางสำหรับหิมะเท่านั้นซึ่งต้องเพิ่มเงินเยอะมากๆ ถ้าไม่ใช้เวลาขับบนหิมะแล้วตำรวจจับจะโดนปรับหนักเลยทีเดียว สุดท้ายสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนไทยอย่างเราคือขอวีซ่าค่ะ เยอรมันใช้วีซ่าเชงเก้นท์ซึ่งเป็นวีซ่าที่ใช้ในหลายประเทศในกลุ่มEU เอกสารเยอะแยะมากมายจนไม่อยากจะไปละ เวลาขอไปยื่นที่สถานทูตเยอรมันที่เกาหลีใช้เวลาประมาณ1อาทิตย์ก็ได้แล้วค่ะ อันดับแรกต้องเลือกและจองที่พักให้เรียบร้อยก่อนแล้วปริ้นท์ทั้งหมดไปด้วย จากนั้นซื้อประกันที่ครอบคลุมวงเงินคุ้มครองตามสถานทูตกำหนดและรวมถึงการส่งกลับประเทศในกรณีฉุกเฉินต่างๆ แล้วก็เตรียมเงินค่าธรรมเนียมค่ะแพงไม่ใช่ย่อย ยังมีเอกสารทางการเงินเพื่อรับรองว่าเรามีปัญญาจ่ายค่าใช้จ่ายตลอดทั้งทริปแน่ๆ และอื่นๆอีกมากมาย ควรจะไปเช็คจากเว็บสถานทูตเยอรมันดีกว่าค่ะเพราะอาจจะมีเปลี่ยนแปลง โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ |
puimake
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?] "หลังจากหอบข้าวของติดตามสามีมาอยู่เกาหลี มีเรื่องราวมากมายมาเล่าสู่กันฟังแก้เหงา ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่เข้ามาเยี่ยม ฝากคอมเม้นต์ทักทายกันได้นะคะ" ^.^ Group Blog All Blog
Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |