ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนแปด

ในเดือนพฤศจิกายน 1937 คือเวลาแห่งการประชุมใหญ่ ที่ฮิตเล่อร์ได้เรียกประชุมเหล่าบรรดาขุนพลถึงเรื่องการเข้ายึดครองออสเตรียอย่างเอาจริงเอาจัง
 เพราะ ก่อนหน้านี้ นาย Franz von Papen (นักการเมืองรุ่นเก๋าจากครั้งสมัย นาย Ebert ที่เป็นมาหมดแล้วตั้งแต่นายกรัฐมนตรี จนมาถึงรัฐมนตรีธรรมดา ซึ่งแล้วแต่กระแสการเมืองจะพาไป
ในรัฐบาลนาซีนี้ ได้เป็นแค่ทูตออสเตรีย) ที่ฮิตเล่อร์ส่งไปประจำ
ได้รายงานมาให้ทราบว่าหัวหน้าพรรคนาซีในออสเตรีย ได้ก่อการวุ่นวายแทรกแซง สร้างความปั่นป่วนในทุกรูปแบบ ตั้งแต่ เผากระท่อม..เอ๊ย โทษที เผาที่ทำการ, ระเบิดสะพาน
ในขณะเดียวกันกับที่ นาย von Papen ได้พยายามเจรจาโน้มน้าวทางการทูตถึงการรวมประเทศเข้าด้วยกันกับรัฐบาลออสเตรีย ที่มี Dr. Kurt von Schuschnigg เป็นนายกรัฐมนตรี

Dr. Kurt von Schuschnigg

ซึ่งทั่นนายก ก็ได้แต่ทำหูทวนลม
แม้ว่า ผลดีในการรวมประเทศครั้งนี้ เท่ากับว่า ออสเตรียไม่ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามต่อไปก็ตาม
แถมหน่วยสายลับยังได้หลักฐานมาอีกในต้นปี 1938 ว่าขบวนการนาซีออสเตรีย กำลังคิดกระทำการเดินขบวนก่อการจลาจล เพื่อที่จะให้ ฝ่ายรัฐบาลยกกำลังเข้าปราบปราม มีการยิงกันสักนัดสองนัด
และฮิตเล่อร์จะใช้ข้ออ้างนี้หาเหตุทำการยกกองทัพเข้ามาสรวมรอยเข้าห้ามทัพ โดยใช้เหตุผลว่าไม่อยากให้คนเยอรมันต้องมาฆ่ากันตาย..
และที่สำคัญ..คือข่าวลือว่า..มีการวางแผนสังหารนาย von Papen (โดยนาซี) อีกด้วย เพื่อเป็นการสร้างสถานการณ์โกรธแค้นแบบสมจริงสมจัง
พร้อมยัดเยียดข้อหาว่าเป็นการกระทำของคนที่ต่อต้านเยอรมัน และจะใช้ถือเป็นสาเหตุการที่จะเคลื่อนทัพเข้าบุกยึดประเทศ
เอกสารที่หน่วยสายลับได้มานั้น ลงชื่อโดย นาย Rudolf Hess เลขาต้นห้องของฮิตเล่อร์นั่นเอง !!

นาย von Papen ได้ทราบดังนั้น ก็รีบแจ้นเข้าพบฮิตเล่อร์ที่ Berchtesgaden ทันที เพื่อไต่ถามเรื่องราวว่า เป็นจริงประการใดในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1938
หลังจากที่ได้รับการปลอบอกปลอบใจจากฮิตเล่อร์ ว่า ไม่เป็นความจริงแม้แต่นิด.. พร้อมทั้งเสนอไอเดีย ว่า ควรเชิญท่านนายกฯออสเตรียเข้ามาพบปะหารือ
เผื่อว่าจะมีทางเจรจาตกลงกันได้ แบบไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ
นาย von Papen ได้ตกลงรีบนำความกลับไปบอกตามนั้น..
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ คือวันที่ Dr. Kurt von Schuschnigg เข้าพบกับฮิตเล่อร์อย่างลับๆพร้อมทั้งนาย von Papen
โดยทางรถไฟจาก Salzburg ต่อด้วยรถยนต์ไปยังเบอร์เทสการ์เดน ขึ้นไปจนถึง รังพญานกอินทรีย์
( Eagle's nest ) ซึ่ง ตามระยะทางที่ท่านนายกฯได้ผ่านมา ก็ได้พบกับขบวนทหารกระจายไประยะจุดต่างๆใกล้ชายแดนกว่าแสนคน..
(ซึ่งเป็นแผนของฮิตเล่อร์ที่ได้จัดฉากไว้..แผนแบบนี้เขาได้ทำอีกหลายครั้งในระยะต่อๆมากับแขกเมืองประเทศอื่นๆเช่นกัน)
ซึ่งภาพที่เห็น ก็จัดว่าน่าประหวั่นพรั่นใจ เพราะ จำนวนทหารที่มากมายนั้น
มันเกินกว่ากำลังของกองทัพออสเตรียทั้งประเทศเกือบเท่าตัว
จากการสนทนาในชั้นแรก..ฮิตเล่อร์ได้สั่งให้ von Schuschnigg ไปจัดการพังทลายสิ่งกีดขวางที่ถือว่าเป็นการกั้นระหว่างประเทศตามแนวชายแดนออกให้หมด
ไม่งั้นเขาจะสั่งทหารเยอรมันให้ไปทลายลงเสียเอง..
จากนั้น..การสนทนาก็ได้เปลี่ยนไปในรูปแบบของการเลคเชอร์ โดยผู้บรรยายคือ ฮิตเล่อร์ ส่วน อีกฝ่ายได้แต่ฟังอย่างเดียวไม่มีโอกาสพูดแต่อย่างใด จนถึงเวลาอาหารกลางวัน ฮิตเล่อร์เป็นเจ้าภาพ..ซึ่งจู่ๆก็มีนายทหารระดับนายพลต่างพากันตบเท้าเดินพึ่บพั่บเข้ามานั่งร่วมโต๊ะ ซึ่ง Dr. Von Schuschnigg ได้แต่นั่งงง ทำตาปริบๆนึกในใจว่า ..
อ้าว..ไหนว่าการพบปะครั้งนี้เป็นความลับยังไงล่ะฟะ แล้วพวกทหารเหล่านี้มันมาจากไหนกันเนี่ย..?



หลังจากอาหารกลางวันผ่านไป..ฮิตเล่อร์ปล่อยให้นายกฯออสเตรีย นั่งคอยต่อไปถึงสองชั่วโมง
จากนั้น ก็มีการจัดให้พบกับรมต.ต่างประเทศ คือนาย von Rippentrop ที่ได้ยื่นกระดาษมาตรงหน้าให้สองแผ่น พร้อมกับว่า..
"นี่คือข้อเสนอสุดท้ายที่ท่านผู้นำฮิตเลอร์บัญชาลงมา และท่านจะไม่ตกลงอะไรที่นอกเหนือไปจากนี่อีกแล้ว ..
กรุณาเซ็นชื่อรับทราบซะด้วย"
ซึ่งในนั้น..มีใจความว่า..
ขอให้ส่งมอบรัฐบาลออสเตรียให้กับเยอรมันอย่างโดยดี , ยกเลิกกฎข้อห้ามจำกัดสิทธินาซีในทุกประเภท, ปล่อยนักโทษการเมืองพรรคนาซีให้หมดทุกคนไม่ว่าจะโทษเล็กหรือใหญ่,
 แต่งตั้งคนของนาซีในการควบคุมบริหารประเทศและกระทรวงกลาโหม, และโอนกิจการคลังเข้ากับรัฐบาลของเยอรมัน,
แน่นอนว่า..ข้อเสนอนี้รับไม่ได้..
ฉะนั้นการโต้แย้งก็เกิดตามขึ้นมา  นาย von Ribbentrop ทำเสียงแข็ง จนทั้งหมดเข้าพบต่อฮิตเล่อร์

ฮิตเล่อร์ บอกแค่ว่า ทุกอย่างนั้นต้องเป็นไปที่เขาได้กำหนดไว้ จากนั้น..เขาขอให้นาย ฟอน ซูสนิคค์ ออกไปคอยข้างนอก และ (ทำเป็น)ให้คนไปตามนายพลทั้งหมดเข้ามาพบในห้องด้วยท่าทางขึงขัง หนึ่งในนั้น คือ นายพล Keitel

(ที่มาเขียนเล่าให้ฟังทีหลังว่า ฮิตเล่อร์ให้เข้าไปนั่งเฉยๆเกือบครึ่งชั่วโมง ไม่ได้พูดหรือสั่งงานอะไร..เพราะ นี่คือฉากหนึ่งของการเกทับออสเตรีย ว่า จะบุกจริงนะเฟ้ย)
    Wilhelm Keitel

ในที่สุด..กระดาษสองแผ่นนั้น..ก็ถูกท่านนายก von Schuschnigg เซ็น "ขายชาติ" ไปแล้วอย่างง่ายดาย
ขากลับ..ขณะที่ลงมาจากรังพญานกอินทรีย์นั้น สิ่งเดียวคือความหวังของนายกออสเตรีย นั่นก็คือ รีบกลับมายังประเทศ
เพื่อที่จะปรึกษากับประธานาธิบดี Wilhem Miklas ในการที่จะพึ่งทางเลือกสุดท้าย นั่นก็คือ จัดตั้งการลงเสียงโหวตจากประชาชน ว่า พวกเขามีทางเลือกอยู่สามทาง คือ รักษาเอกราช, เข้าสู่รัฐบาลสังคมนิยม หรือ จะไปรวมกับเยอรมัน
หลังจากการหารือในหมู่พวกพ้องร่วมรัฐบาลแล้ว..วันที่จะจัดให้มีการลงคะแนนโหวต คือ วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม

Wilhem Miklas

ซึ่งเกมส์แบบนี้ ฮิตเล่อร์รู้เท่าทันแบบอ่านได้อย่างปรุโปร่ง..เพราะทันทีที่ท่านนายกลับหลังกลับลงไป ฮิตเล่อร์ก็เรียกประชุมทัพอย่างเป็นการด่วน
เพื่อเตรียมพร้อมต่อการเดินมาร์ชเข้าไปในออสเตรียก่อนวันเลือกตั้ง..
ตอนนี้ สองสิ่งเท่านั้น ที่เขากริ่งเกรง นั่นคือ
หนึ่ง..เขาเกรงว่า มุสโสลินีอาจเกิดบ้าจี้ขึ้นมา ไม่พอใจในการที่ออสเตรียจะต้องตกเป็นของเยอรมัน อาจยกทัพเข้ามาปะทะเกิดการนองเลือดขึ้นได้
เพราะจะว่ากันจริงๆแล้ว เยอรมันยังไม่พร้อมต่อการสู้รบครั้งใหญ่..แต่เขาได้ประมาณสถานะการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่า มุสโสลินีไม่มีกำลังพล และอานุภาพมากมาย
นอกจากจะได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากอังกฤษและฝรั่งเศส แต่ข้อนี้ก็ตัดไปได้ เพราะจากการที่อิตาลีเข้าไปยึดครองในเอธิโอเปียนั้น ความสัมพันธ์ของอิตาลีและ LON ได้ถูกตัดขาดไปอย่างไม่มีใครจะมาสนใจใยดีกับ iL Duce ( อิล ดูซ คือชื่อที่ชาวอิตาเลี่ยนใช้เรียกผู้นำมุสโสลินี) อีกต่อไป

แต่..ทุกอย่างอาจมีการเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
สอง..เขาเกรงว่า กองทัพเยอรมันที่ประกอบด้วยเหล่าบิ๊กๆ ที่คุมกำลังพลทั้งหลาย อาจเปลี่ยนใจจากการบุกออสเตรียมาล้มรัฐบาลแทน เพราะ ความหมองหมางในกรณีของนายพล von Fritsch นั้น
 ทุกคนยังไม่ค่อยไว้ใจในตัวเขาเท่าไหร่นัก
หากแต่ความสำเร็จในการเกทับความสามารถของพวกบิ๊กทหารตอนที่บุก Rhineland มาได้อย่างง่ายดายนั้นนับว่ายังเป็นเครดิตที่มากมายสำหรับตัวเขาอยู่

แต่อย่างไรก็ตาม.. ทั้งจอมพลเกอริง จัดเตรียมเสืออากาศฝูงใหญ่ และนายพล Keitel แม่ทัพฝ่ายคอมมานโดทหารราบ.. พร้อม
เตรียมตัวนำขบวนทัพมุ่งสู่ออสเตรียในวันที่ 12 มีนาคม
ก่อนการลงคะแนนโหวตเพียงวันเดียว

แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้นั่นก็คือในช่วงกันการหน้าแหกในข้อที่หนึ่งนั้น ฮิตเล่อร์ได้ส่งสายบรรดาศักดิ์คนหนึ่งไปกรุงโรม
เขาคือ Prince Phillip of Hesse เพื่อไปพบกับ รัฐมนตรีต่างประเทศของอิตาลี ท่าน Count Ciano และ มุสโสลินี
เพื่อ "เรียน" ให้ทราบถึงแผนการว่า
เยอรมันประสงค์ที่จะรวมขอบขัณฑสีมากับออสเตรีย ไม่ทราบว่า ท่าน Duce ผู้ยิ่งใหญ่ จะมีอะไรขัดข้องหรือเปล่า?
มุสโสลินี รู้ดีว่า ตอนนี้กำลังกองทัพของตัวก็อ่อนเปลี้ย แถมปัญหาภายในประเทศอีกตั้งมากมาย จึงตอบกลับ
แบบวางฟอร์มนิดๆว่า
"เชิญเลย ยินดีด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะระหว่างเยอรมันและออสเตรีย ก็เป็นบ้านพี่เมืองน้องอยู่แต่ดึกดำบรรพ์มาแล้ว.."
ท่าวน้านนนนแหละ โทรเลขตามข้อความนี้ก็ถึงมือฮิตเล่อร์ในชั่วข้ามคืน
ฮิตเล่อร์ จึงตอบกลับไปด้วยไมตรี ด้วยข้อความว่า
"ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งในความเข้าใจอันดีของท่านผู้นำมุสโสลินี และขอให้ระลึกไว้เสมอว่า ตราบใดที่อิตาลีต้องการความช่วยเหลือจากเยอรมันแล้วละก้อ ขออย่างได้เกรงใจ กระผมจะยืนเคียงข้างท่านเสมอไม่ว่าจะทุกข์
ยากประการใด"
พอได้ความมั่นใจว่า..อิตาลีไม่บุกแน่นอน ฮิตเล่อร์ก็กลับมาเกทับเหล่าทหารถึงความยิ่งใหญ่และออกแนวดุเดือดของแผนการเดินทัพครั้งนี้

Ludwig Beck 



นายพล Beck แห่งกองทัพบก ไม่เห็นด้วย ถึงกับบอกว่า "ผมไม่ขอรับผิดชอบในการเข้าย่ำยีออสเตรียในครั้งนี้"
(เพราะทหารยังเข้าใจว่า LON หรือ อิตาลี อาจยกทัพมาปะทะ)
ฮิตเล่อร์ จึงตอบแบบเย้ยหยันว่า อ๋อ..ไม่เป็นไรหรอก ท่านนายพล ท่านไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ผมจะให้หน่วย SS
สักสามกองพันเข้าไปดูแลเรื่องนี้เอง
ส่วนกองทัพก็แค่เตรียมเครื่องดนตรี บรรเลงเพลงมาร์ชก็คงพอกระมัง ผมจะเป็นผู้บัญชาการรบในครั้งนี้ด้วยตัวเอง !!
นายพล Beck ได้แต่สะบัดหน้า เดินออกไปด้วยความขุ่นเคือง !!




Fedor von Bock


วันเสาร์เช้าที่ 12 มีนาคม ฮิตเล่อร์ขึ้นเครื่องบินจากเบอร์ลิน แวะที่มิวนิค เพื่อพบกับนายพล Fedor von Bock
ผบ.กองพลทหารที่ 8 ที่เตรียมกำลังพร้อมสำหรับการบุกรุกจู่โจม..ออสเตรีย!!
คำว่าบุกรุกจู่โจม..นั้นคงใช้ไม่ถูกนัก เพราะภาพลักษณ์ของมันนั้นไม่ใช่ ......มันเป็นการเดินพาเหรดผ่านข้ามเขตแดนมากกว่า
เพราะรัฐบาลของประธานาธิบดี Milklas ได้ยุบตัว..คอยผู้นำคนใหม่มาเสียบแทนไว้อย่างเรียบร้อย
อีกทั้งได้มีการสั่งให้ทหารออสเตรียไม่ต้องทำการขัดขืนใดๆ
ผู้คนต่างพากันมาพร้อมช่อดอกไม้ที่หยิบยื่นชื่นชมบารมีฮิตเล่อร์กันอย่างล้นหลาม เพราะ ใครเล่าจะไม่มีดีใจ ที่
จะได้เห็นชาวออสเตรียนด้วยกันเป็นใหญ่
ฮิตเล่อร์ยืนอยู่อย่างสง่าผ่าเผยบนรถเบ๊นซ์เปิดประทุนสีน้ำเงินเข้ม คอยโบกมือทักทายกลุ่มโน้นกลุ่มนี้
พวกทหารผ่านศึกออสเตรียนเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งต่างก็พากันแต่งเครื่องแบบเต็มยศมาคอยรับพร้อมทำความ
เคารพอย่างพร้อมเพรียง

จนเข้าเวลาบ่ายสี่โมงที่ฮิตเล่อร์ได้ผ่านเมืองชายแดน Braunau และกำลังมุ่งหน้าไปยังเมือง Linz อันเป็นจุดนัด
พบกับ นาย Seyss-Inquart หัวหน้านาซีออสเตรียน ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีที่คอยเป็นหูเป็นตาแทน
ตลอดทางที่ผ่านมา ประชาชนนับล้านๆคนต่างคลาคล่ำ ส่งเสียงไชโยโห่ร้องด้วยความยินดีปรีดา ซึ่ง ฮิตเล่อร์ได้ขี้นไปยังที่ทำการสภาเมือง พร้อมออกไปยืนรับการต้อนรับบนระเบียงชั้นบน ที่เขาเห็นคลื่นทะเลคนอย่างสุด
สายตา อีกทั้งธงของนาซีที่สวัดไสวไปทั่วทุกซอกทุกมุม
และนี่คือ ครั้งแรกในรอบยี่สิบปีที่เขาได้กลับมาเยือนบ้านเกิดอีกครั้ง..เขาค้างหนึ่งคืนที่นั่น เพื่อที่จะเดินทางไปเคารพหลุมฝังศพของพ่อแม่ ที่เมือง Leonding ในวันรุ่งขึ้น

แน่นอนเป็นอย่างยิ่งว่า..ผลของความสำเร็จในครั้งนี้ ยิ่งทำให้ฮิตเล่อร์นึกย่ามใจอีกทั้งฮึกเหิมต่อบุญบารมีของตัวเองอย่างหยุดไม่อยู่
เชคโกสโลวาเกีย..คือเป้าหมายต่อไป..!!

(ตอนนี้ คือตอนหนึ่งในหนังเรื่อง The sound of music คือตอนที่นาซีเอาธงไปแปะไว้ที่หน้าบ้านพระเอก Captain von Trapp....วิวันดา)

Neville Chamberlain


การรวมประเทศในครั้งนี้ หรือที่เรียกว่า อันชลุสส์  (Anschluss)  ทำให้เยอรมันแกร่งขึ้นมาอย่างทันตาเห็น เพราะ ประชากรเพิ่มขึ้นมาอีก 7 ล้านคน รวมทั้งอาวุธและทรัพยากรอีกมากมายที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องกลับนิ่งดูดาย เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส
ที่สำคัญคือ มุสโสลินีได้รับเรียนรู้ถึงความอ่อนแอของ สพม.ในครั้งนี้มากมายจากเหตุการณ์นี้เช่นกัน
นาย Neville Chamberlain นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้พูดแก้เกี้ยวว่า..มันก็ยากที่จะช่วยออสเตรีย เพราะผู้คนออกเต็มอกเต็มใจปานนั้น แต่ถ้ามีการนองเลือดขึ้นมาซิ เราก็ต้องช่วยอยู่แล้ว !! (ว่าเข้านั่น)

ทั้งๆที่..ความจริงคือเหล่านักการเมืองของรัฐบาลเก่า ต่างถูกจับตัวเข้าคุกมั่ง ยิงเป้ามั่ง รวมทั้งนายกฯ von Schuschnigg ถูก
ส่งเข้าค่ายมรณะและไปตายที่นั่น

ส่วนทางอเมริกา รัฐบาลจากวอชิงตัน..ไม่สนใจเรื่องราวยุ่งเหยิงทางฟากนี้เลย เพราะจะว่าไปแล้ว มันเป็นเรื่องที่ไกลตัวมากโข
และไม่มีใครได้หยิบหนังสือ Mein Kampf ขึ้นมาอ่านอีกซะด้วยซ้ำ ทั้งๆที่ฮิตเล่อร์ได้เขียนประกาศแจ้งไว้โต้งๆว่า
หลังจากเสร็จสิ้นจากออสเตรีย กรุงปร๊าก..เชคโกฯ นี่แหละ คือ ดินแดนที่ทหารนาซีจะเข้ายึดครองเป็นอันดับต่อไป ในนโยบายของการขยายขอบขัณฑสีมาของเยอรมัน
ทั้งๆที่ตอนที่เดินพาเหรดเข้าออสเตรียนั้น ทั้งฮิตเล่อร์และเกอริงยังเสียวสันหลังวาบๆอยู่พอสมควร แม้จะไม่มีขวากหนามอิตาเลี่ยนมาให้รำคาญใจแล้วก็ตาม
แต่กองทัพของเชคโกฯอาจเข้าแทรกแซงได้ทุกเมื่อ และ ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น นับว่าเยอรมันต้องพบจุดจบแน่นอน
เนื่องจาก..ฝรั่งเศสและอังกฤษต้องเข้ามาร่วมสังฆกรรมสงครามในครั้งนี้ด้วย และ..กองทัพเยอรมันยังไม่มี
ความพร้อมสำหรับศึกใหญ่ size L ดังกล่าว



ปัญหาต่อไปคือ เชคโกฯนั้นไม่ "หมู" เหมือนกับออสเตรีย
เพราะเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสและรัสเซียอยู่ขืนบุ่มบ่ามเข้าไปอาจเจอของแข็งต่างหาก
ดังนั้น สองเกลอคือ ฮิตเล่อร์และเกอริง..จึงจัดการเข้าพบปะเพื่อขอความช่วยเหลือจากมุสโสลินีแบบเร่งด่วน
นั่นคือ เขาทั้งสองพร้อม เกิบเบิล, ริบเบนทรอป, เฮสส์, กับหมู่คณะคนวงใน สมุนคู่ใจร่วม 500 นายได้เดินทางไปอิตาลีในวันที่ 3 พฤษภาคม เพื่อพบกับ The Duce นักเลงโตแบบเร่งด่วนในด้านกำลังพล และกำลังอาวุธ
ผลสรุป..คือ หน้าแตกกลับมายับเยิน
เพราะ มุสโสลินีไม่ได้ให้ความสนใจที่จะช่วยเหลือเลยแม้แต่นิด
ฮิตเล่อร์จึงได้แต่เก็บความเจ็บใจและผิดหวังกลับมา และ เกิดความมานะอย่างแรงกล้าที่จะเอาชนะเพื่อประกาศศักดิ์ศรี
เขาสั่งสร้างผลิตอาวุธอย่างครั้งยิ่งใหญ่
เรือดำน้ำ ทุกรุ่นใหญ่หรือเล็ก สร้างกับแบบตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีหยุด เขาเรียกประชุมนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมด เพื่อให้รับรู้ว่า
แผนการบุก เชคโกนั้น..ต้องปฏิบัติกันอย่างเร่งด่วนภายใน 4 วัน โดยการจู่โจมแบบไม่ให้ตั้งตัว

ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ฮิตเล่อร์ได้แสดงถึงอัจฉริยะในด้านสงครามต่อหน้านายทหารทั้งหลาย เพราะ เขาและ Speer ได้นำเทคนิคการต่อสู้แบบรถถัง (ขนาดเล็ก) เข้าประจัญบาน
เรียกได้ว่าสามารถชอนไชไปได้ทุกซอกทุกซอย และ ปืนกลที่มีขนาดปากกระบอกเล็กลง แต่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ชนิดอุ้ยอ้ายแบบเก่า

ในขณะเดียวกัน เหมือนกับทางฝ่ายรัฐบาลเชคโกจะมีลางสังหรณ์ ได้สั่งเตรียมพลกว่าสองแสนนาย คอยรับมือแนวชายแดนรอย Silesia, Saxony, Austria ที่ฮิตเล่อร์ได้มีทหารนาซีประจำไว้อย่างหนาแน่น
แถมในวันที่ 21 พฤษภาคม มีเหตุการณ์ตึงเครียดเกิดขึ้น นั่นคือ ตำรวจเชค ได้ยิง กสิกรชาว Sudeten ตายไปสองคน

(Sudeten คือ ชาวเยอรมันที่ถูกกันไปอยู่ในประเทศเชคโกฯ ในตอนที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ตามรอยแบ่งประเทศของสัญญาแวร์ซายย์ โดยใช้เทือกเขาเป็นหลัก พวกเยอรมันชนส่วนนั้น..ที่อยู่หลังเขา ก็เลยต้องเรียกว่า Sudeten ซึ่งมีจำนวนไม่น้อย)
คืนนั้นเอง..ฮิตเล่อร์จึงเตรียมการบุกเชคโกให้ราบเป็นหน้ากลอง เมื่อไหร่นั้น..ยังไม่ได้กำหนดให้เป็นที่แน่นอน !!

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ฮิตเล่อร์ก็ได้สร้างแผนแนวกั้นเขตแดนทางด้านฝั่งตะวันตกอีกด้วย..เขาเรียกโครงการนี้ว่า
west wall ที่จะวางตลอดแนว ตั้งแต่ Karlsruhe และ Aix-la-Chapelle โดยที่จะมีป้อมอันแข็งแรงวางกระจายอยู่เป็นระยะ
ป้อมพวกนี้เอง ที่ฮิตเล่อร์ตั้งใจออกแบบมาอย่างเนี๊ยบ..ความแข็งแรงไม่ต้องห่วงเพราะทดลองเอาปืนใหญ่ขนาด
เส้นผ่าศูนย์กลาง 21 ซม. (Howitzer) ยิงมาแล้ว
นั่นคือเรื่องใหญ่
ส่วนเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นความสะดวกสะบายอื่นๆ ฮิตเล่อร์ใช้เวลาเป็นวันๆ วาดแพลนที่ละเอียดตั้งแต่ ส้วมขับถ่าย ก๊อกน้ำ ไปจนถึง ตะขอแขวนปืนและเสื้อผ้า
แผนการทั้งหมดนี้ เหล่านายพลได้ฟังก็ได้แต่ส่ายหน้า เพราะ สรุปว่า ฮิตเล่อร์ต้องการสงครามนองเลือด มากกว่า
เพียงแค่ขยายเอาดินแดนเก่าๆคืนมา
ปืนใหญ่ขนาดกระทัดรัด ขนาด 15 ซม. ที่ว่าทรงอานุภาพ นั้นก็ยังสร้างไม่เสร็จ
ทั้งประเทศ มีปืนใหญ่ขนาด 21 ซม. อยู่แค่ 23 กระบอก
ใน 23 นี้ 8 กระบอกได้ทิ้งไว้อยู่ในปรัสเซียตะวันออกโน่น

ฮิตเล่อร์ได้สั่งการให้ผู้ที่รับผิดชอบ เช่น ผบ.กองทัพเรือ Raeder เร่งมือสร้างเรือรบพิฆาต Tirpitz และ Bismarck ให้เสร็จภายในปี 1940
(ทั้งที่กำหนดคือ 1943)
และเพิ่มอาวุธในเรือลาดตระเวณ Gnuisenau และ Scharnhorst ให้อย่างหนักหน่วง ที่สำคัญคือ U-Boat รุ่น VII 500 ตัน สำหรับศึกในแอตแลนติค ให้สร้างอย่างไม่ต้องนับ

battleship-tirpitz

battleship-bismarck


นายพล Keitel ได้รับสนองบัญชา ว่า แผนนี้ (ชื่อว่า Case Green) จะเริ่มปฏิบัติได้ในวันที่ 1 ตุลาคม
หลังจากที่ได้สั่งงานเรียบร้อย..ฮิตเล่อร์ก็กลับไปใช้ชีวิตอย่างแสนสงบที่บ้านพักบนภูเขา Berghof (หรือที่เรียกว่า รังพญานกอินทรีย์) ตลอดภาคฤดูร้อนที่ชีวิตประจำวันนั่นก็คือ
ตื่น 10 โมงเช้า อ่านหนังสือพิมพ์ เดินเล่น ทานมื้อกลางวัน ไปดูหนัง ทานมื้อเย็น เข้า
นอนตอนสี่ทุ่ม หรือเที่ยงคืนโดยประมาณ
หรือบางทีเหงาๆ ก็จะลงมาที่ร้านอาหารร้านโปรด นั่นคือ Osteria Restaurant ที่อยู่ไม่ห่างไปจากกองบัญชาการนาซี บนถนน Schelling  (ปัจจุบัน ก็ดำเนินกิจการอยู่ค่ะ)
ฮิตเล่อร์จะมีโต๊ะประจำตัว ที่ตั้งอยู่ข้างนอกในสวน ติดกับน้ำพุ
และห้ามทุกคนเข้าไปรบกวน !!


ขอคุยเรื่องนี้นอกเรื่องสักนิด..คือ จากการที่อ่านมา มีผู้วิเคราะห์ธรรมชาติของฮิตเล่อร์ได้อย่างน่าฟังว่า เขามักให้ความสนใจมากกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่สุดๆ (แบบเกินตัว) เช่น บุกรัสเซีย และสิ่งที่เล็กสุดๆ เช่น ตะขอแขวนปืนใน
บังเกอร์ ว่าต้องตรงไหน สูงเท่าไหร่
ส่วนเรื่องที่สำคัญในระดับกลางๆนั้น เขาไม่สนใจเลย..
เช่น การศึกษาเรื่องภูมิอากาศ การส่งสัมภาระ และเครื่องนุ่งห่มของทหารที่ส่งออกไปยังศึกรัสเซีย
ตัวอย่างในประวัติศาสตร์กรณีการเดินทัพของนโปเลียนที่ได้รับความล้มเหลวกลับมา ก็มีให้ศึกษาอย่างชัดเจน
แต่..เขายังไม่ใส่ใจ เพราะการรีบร้อนทำศึกจนขาดความรอบคอบเช่นนี้ คือที่มาของการล้มคว่ำอย่างไม่เป็นท่า
ทั้งๆที่เยอรมันจวนเจียนจะครองโลกอยู่รอมร่อแล้วเชียว !!

ที่เล่าทิ้งค้างไว้ข้างบน ตอนที่ นายพล Beck
( General Ludwig Beck) แห่งกองทัพบก เดินสะบัดหน้าออกไป
จากที่ประชุมน่ะ..
เพราะทนฟังฮิตเล่อร์เสียดสีทหารที่โต้แย้งเรื่องสงครามว่าเป็น พวกขี้ขลาด ตาขาวต่อไปไม่ไหว ถึงกับลาออกจากราชการในเวลาต่อมาคือ เดือนสิงหาคม 1938
และนั่นคือขวากหนามเส้นสุดท้ายในกองทัพที่คอยทิ่มแทงท่านผู้นำได้หมดไป สำหรับความคิดของฮิตเล่อร์
แต่ที่จริงแล้ว...นายพล Beck ได้ออกมาจัดขบวนการต่อต้านนาซีอยู่อย่างลับๆ โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่อื่นๆที่
ไม่ชอบความคิดของฮิตเล่อร์ร่วมอยู่ด้วย ขบวนการนี้มีชื่อเรียกว่า Schwarze Kapelle หรือเป็นภาษาปะกิดว่า The Black Opera

แผนการในขั้นแรกที่ช่วยกันวางเอาไว้คือ ก่อการปฏิวัติในกรุงเบอร์ลิน และควบคุมตัวฮิตเล่อร์ แต่ไม่มีการฆ่าทิ้งแต่อย่างใด เพียงแต่เอาตัวไปจองจำไว้ในโรงพยาบาลโรคจิต โดยอ้างต่อประชาชนว่า ฮิตเล่อร์ได้คลั่งจนเป็นบ้า
เพราะ เหตุการณ์ที่โดนระเบิดแก๊สในสงครามคราวที่แล้วตามมาหลอกหลอน โดยจะใช้การรายงานจากแพทย์ในครั้งนั้นมาเป็นหลักฐานสำคัญต่อประชาชน
แผนจะเริ่มจาก นายพล Erich Felliebel เจ้ากรมสื่อสารจะเป็นผู้ตัดไฟ ตัดสายโทรศัพท์การติดต่อ ทำให้เมือง
เบอร์ลินกลายเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ จากนั้น นายพล Erwin von Witzleben ผบ.พล หน่วยทหารราบจะนำกำลังเข้าบุกจับกุมตัว ตัวสำคัญๆในนาซีทั้งหมด โดยเฉพาะ ฮิมม์เล่อร์ นี่ต้องยิงทิ้งสถานเดียว

แผนนั้นค่อยข้างสวยหรู..หากแต่เมื่อไหร่ล่ะ จึงจะได้ฤกษ์ปฏิบัติ ทั้งๆที่ผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นนายพลระดับบิ๊กๆ ที่มีกำลังทหารในมือ กะอีแค่จะจับ อดีตสิบโทกระจอกๆคนเดียว ยังต้องเรื่องมาก..คิดแล้วคิด
อีกขนาดนี้

ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า ทุกคนปล่อยปละให้เวลาเนิ่นนานออกไปมากจนสายไปเสียแล้ว
ฮิตเล่อร์ได้สร้างบารมีเป็นที่ครองใจของประชาชนหลายสิบล้านคน อีกทั้ง กลุ่มนายทุนที่ร่ำรวยจากการสั่งเพิ่มผล
ผลิตอาวุธทุกชนิดนั้น ได้ให้การหนุนหลังอย่างเต็มที่
ในที่สุด กลุ่ม The Black Opera ก็ต้องพับแผนการเก็บไว้บนหิ้งต่อไป..ได้แต่ร้องเพลงคอยไปพลางๆก่อน..คอย
จนกว่าจังหวะเหมาะๆ รอให้เกิดการผิดพลาดของฮิตเล่อร์อย่างใดอย่างหนึ่งที่รุนแรง หรือ ร้ายแรง หรือ จนกว่าประชาชนเริ่มเกิดความแคลงใจจนลุกขึ้นต่อต้านกลุ่มนาซีกันเอง

ไม่ว่านายทหารระดับบิ๊กจะพยายามโน้มน้าวให้ท่านผู้นำเลิกคิดการ"ฮุบ" เชคโก จนน้ำลายหมดไปหลายปี๊บก็ไม่มีผลแต่อย่างไร
กลับซ้ำทำให้ฮิตเล่อร์ยิ่งเดือดดาลมากขึ้นไปอีก
ยิ่งด้วยเพราะเหตุผลหลักๆจากเหล่าเสธ.ที่ว่า
ฝรั่งเศสและอังกฤษคงต้องเปิดศึกกับเราแน่ๆ และถ้ารัสเซียเข้ามาร่วมด้วยก็จะยุ่งเข้าไปใหญ่
ฮิตเล่อร์เลยต้องสอนมวยให้แก่เหล่าขุนศึกว่า..
อังกฤษไม่กล้าแน่ๆ ตราบใดที่เยอรมันยังคงท่าทีที่แข็งกร้าว
ฝรั่งเศส จะเอาอาวุธที่ไหนมาสู้ เท่าที่มีอยู่ในคลังแสงยามนี้ก็เก่ามาตั้งแต่ครั้งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งโน่นนน..
รัสเซีย..คงไม่เดินทัพมานับพันไมล์เพื่อที่จะรักษาประเทศเชคโกกระจอกๆนี่แน่นอน

และด้วยสมองกลของฮิตเล่อร์บวกกับความเก๋าของเกิบเบิลส์ เยอรมันได้มีการเชิญฝ่ายสัมพันธมิตรเช่นนายพลฝรั่งเศสให้มาเที่ยวชมดูงาน
โดยที่พาไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินที่มีฝูงบินขับไล่ Messerschmitt {ME-109, ME-110} จอดโชว์อยู่นับร้อยๆลำ
(ก็มีอยู่แค่นั้น)
หากแต่ จอมพลเกอริง ได้จัดการให้นักบินรีบนำเครื่องบินเหล่านี้ ไปจอดโชว์คอยในสนามบินก่อนที่นายพลฝรั่งเศสจะไปถึง ทำทีเป็นว่ามีแสนยานุภาพนับพันๆลำ

เรื่องการหลอกนี้ อาจหลอกได้แต่กับฝรั่งเศส แต่กับฮังการี ที่ฮิตเล่อร์อุตส่าห์เชิญท่านแม่ทัพเรือ Nicholas von Horthy พร้อมทั้งมาดามคุณนายมาเที่ยวชม ถึงขนาดพาไปลงเรือยอชท์
พร้อมทั้งขอเชิญให้เข้าร่วมช่วยเหลือทางการทหารในการที่จะขยายดินแดนไปทางฝั่งตะวันออก
ท่านแม่ทัพเรือฮังการี เอ็นจอยกับอาหารอร่อยๆ เหล้าดีๆ และมีฮิตเล่อร์และสมุนคอยประจบประแจง ก็จริง..
แต่..ไม่ตกลง โดยเหตุผลว่า ไม่อยากทำสงครามง่ะ เบื่อแล้ว
สรุปว่า..ขากลับก็ต่างคนต่างไปขึ้นรถไฟคนละขบวน แทบไม่ต้องมองหน้ากัน ไม่กระซี้กระซิกเหมือนตอนขามา

เหล่าพวกเสธ.ก็พยายามที่จะติดต่อกับอังกฤษโดย นายพล von Kleist-Schmenzin แอบเอาความไปขยายให้กับ
หน่วยกลาโหมของเมืองผู้ดีถึงเรื่องการเข้าบุกเชคโกของฮิตเล่อร์ และหวังว่า อังกฤษจะลุกขึ้นมาต่อต้านเพื่อให้เกิดสงครามย่อยๆ
และเหล่าเสธ.กลุ่มต่อต้านนาซีจะได้ถือเป็นโอกาสตลบหลังกำจัดฮิตเล่อร์ไปในคราวเดียวกัน
แต่ไม่มีใครสนใจที่จะฟังและอยากยื่นมือมาช่วยแต่อย่างใด แม้กระทั่ง ท่านวินสตัน เชอร์ชิลล์ เพราะทุกคนต่างเข้าใจว่า น่าจะมีการเจรจาตกลงในเรื่องของการทูตได้ เพราะ ในท่าทีของการป่าวร้องประชาสัมพันธ์ของเกิบเบิลส์นั้น
ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าฮิตเล่อร์ต้องการความเป็นธรรมให้กับ กลุ่มเยอรมัน Sudeten ในเชคโก (เพราะว่า ได้มีการปลุกปั่นยุยงให้คนเหล่านี้ลุกฮือขึ้นมาถือสิทธิจากพวกนาซี)
ต้องการพื้นที่ที่ถูกแบ่งแยกออกไปเมื่อสงครามคราวที่แล้วกลับคืนมาดังเดิม
ฉะนั้น..น่าจะตกลงกันได้ทางสันติ
ซึ่งทางรัฐบาลเชคโกเห็นท่าไม่ดี จึงรีบออกมาประกาศไปยังเหล่าเยอรมัน Sudeten ให้ได้เฮ.. ว่า
"ไม่ว่าพวกท่านจะต้องการอะไร โปรดเขียนรายงานแจ้งมายังรัฐบาล เราจะให้ในทุกสิ่งที่ท่านขอโดยไม่ต่อรอง"
แต่คนที่ไม่เฮ..คือ ฮิตเล่อร์
เพราะพวก Sudeten มันจะได้อะไรไปก็ช่างมัน เขาไม่สน..เพราะนั่นคือแค่ข้ออ้างบังหน้า สิ่งที่เขาต้องการจริงๆ นั่นคือ "สงคราม"

สงคราม...ที่เยอรมันจะได้แสดงแสนยานุภาพความเป็นปึกแผ่น..ว่า ชาวแอเรี่ยน(ภาษาไทยเรียกว่า อารยัน)นั้นเหนือว่าชาติไหนๆในโลก
สงคราม...ที่เขาคอยวันที่จะสยบ ฝรั่งเศส อังกฤษ รัสเซีย ไอ้พวกตัวการเบิ้มๆทั้งหลาย ให้มันมาอยู่แทบเท้าเขา อย่างไม่มีวันที่จะให้โงหัวขึ้นมาได้อีกนับพันปีจากนี้ !!

 วันที่ 7 กันยายน การปลุกปั่นยุยงในหมู่ Sudeten ก็ดำเนินจนถึงขั้นปะทะกับตำรวจเชค โดยที่ฮิตเล่อร์ถือเป็นสาเหตุใหญ่หลวงทันที
ซึ่งมันช่างลงล๊อคอย่างเหมาะเจาะ
เพราะในสามวันต่อมาคือวันที่ 10 กันยายนนั้น คือวันการชุมนุมพบปะครั้งยิ่งใหญ่ประจำปีที่เมืองนูเรมเบอร์คที่มีผู้คนมาชุมนุมนับแสนๆคน


Sudetan Germans and Nazi

ฮิตเล่อร์ได้ขึ้นปราศัยถึงเรื่องการไม่ได้รับความเป็นธรรมของพี่น้องเยอรมัน Sudeten และ ด่ากราดไปยังประธานาธิบดี Benes แห่งรัฐบาลเชคฯแถมยังบอกใบ้ผ่านไปด้วยว่า เขาต้องจัดการกับเรื่องนี้ในขั้นเด็ดขาด (แต่ไม่ได้พูดถึงสงคราม ที่เขาได้กำหนดวัน
เคลื่อนทัพไว้แล้วคือ 1 ตุลาคม)
เสียงขู่นี้ดังสะท้อนข้ามช่องแคบไปจนถึงหูนายกรัฐมนตรีอังกฤษ นาย Neville Chamberlain ที่เริ่มรู้สึกตัวว่า น่าจะต้องทำอะไรลงไปสักอย่างเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการสู้รบให้ได้มากที่สุด เขาจึงได้มีการติดต่อกันกับ นาย Daladier นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศสเพื่อปรึกษาหารือ ว่าจะเอายังไงกันดี
ในเมื่อถ้าเยอรมันบุกเชคโก นั่นก็เท่ากับว่า เป็นหยามข้อตกลงในสัญญาแวร์ซายย์แบบไม่มีความกลัวเกรงแม้แต่นิด
แต่ถ้าต้องมายกทัพจับศึกกับเยอรมันที่มีประชากรหลายสิบล้านคน นี่ก็เห็นจะไม่ไหว..เพราะจากสภาพเศรษฐกิจ
ที่ทำเอาย่ำแย่ตั้งแต่ครั้งหลังสงครามที่แล้ว ไพร่พลก็ล้มตายกันอย่างมากมายที่ยุทธภูมิ Verdun
ขวัญและกำลังใจของประชาชนก็กระปลกกระเปลี้ยเต็มที
สรุปว่ามีทางเดียว คือต้องทำตัวเป็นไผ่ลู่ลม..แบบไม่ให้เสียฟอร์ม
โดย..นาย Chamberlain จะยอมกล้ำกลืน แสร้งทำเป็นว่า..ไปเจรจาตกลงหารือฮิตเล่อร์ที่เยอรมัน เพื่อสันติแห่งยุโรป !!

ข้อความกำหนดการของการมาเยือน ในโทรเลขจากลอนดอนไปถึงเบอร์ลินนั้น ทำให้ ฮิตเล่อร์ถึงหัวเราะก๊ากด้วยความปรีดิ์เปรม
มันน่าสะใจหยอกอยู่ซะเมื่อไหร่กันล่ะ ที่ มหาอำนาจอย่างอังกฤษจะอุตส่าห์ "ถ่อ" สังขารมาหาประเทศแพ้สงครามอย่างเยอรมันเพื่อ
คุกเข่าขอร้อง..

และฮิตเล่อร์ก็ได้จัดการให้การเดินทางของท่านายกรัฐมนตรีเมืองผู้ดียุ่งยากลำบากลำบนให้สมกับคำที่ว่า "ถ่อสังขาร" ให้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
นั่นคือการที่ผู้มาเยือนต้องขึ้นเครื่องบินข้ามประเทศมาลงที่สนามบินมิวนิค จากนั้น ต้องนั่งรถอีกสามชั่วโมงมายังรังพญานกอินทรีย์ เบอร์เทสการ์เดนที่แสนจะคดเคี้ยว อีกทั้งสูงชัน

และไม่ใช่แค่นั้น ฮิตเล่อร์ได้จัดฉากให้มีรถเกราะ รถถัง ทหารนับหมื่น นับแสน แต่งเครื่องแบบอย่างเตรียมพร้อมการศึก อยู่ในจุดระยะทางผ่านต่างๆ
ทำเป็นว่า ทุกคนกำลังวุ่นวาย อยู่กับการเตรียมพร้อมแห่งสงครามที่จะมีขึ้นในเร็ววัน

และ..กว่า นาย Chamberlain จะไปถึงยังสถานที่ต้อนรับซึ่งฮิตเล่อร์ยืนคอยอยู่ที่บันไดชั้นกลางๆ ที่เขาต้องเดิน
ขึ้นไปสองสามก้าว เพื่อที่จะได้จับมือทักทายกับอดีตนายสิบโท ฮิตเล่อร์
การสนทนาในวันนั้น เป็นไปตามหัวข้อ ที่ฮิตเล่อร์โวยวายว่า เขาต้องลุกขึ้นมาจัดการขั้นเด็ดขาด เพราะห่วงใยในปากท้องของพี่น้องชาวเยอรมัน Sudeten พลัดถิ่นที่มีจำนวนร่วมสามล้านคน ที่ต้องการจะกลับเข้าในความดูแล
ของเยอรมัน
และอีกทั้งนั่นคือ พื้นที่เหล่านั้น ที่ถูกเฉือนไปก็คือสมบัติของชาวเยอรมันเช่นกัน
ยังไง ยังไง ผ๊ม..ก็ต้องทำสงครามเพื่อแย่งเอาดินแดนของกระผ๊มคืนมา !! นี่คือ คำพูดของฮิตเล่อร์
ส่วนนาย Chamberlain ก็คงฉุนจัด ยิ่งเดินทางมาเหนื่อยๆอยู่ จึงสวนไปว่า
"งั้นก็คงป่วยการที่จะพูด ผมคงเสียเวลามาที่นี่จริงๆ" และทำท่าจะกลับ
ตอนนี้ ฮิตเล่อร์เพิ่งสำนึกได้ว่า พูดแรงไป เดี๋ยวอังกฤษเกิดบ้าขึ้นมาโกรธขึ้นจริงๆ จะทำยังไง (ตอนนี้ยังคงอยู่ในช่วงลักไก่)
จึงเสียงอ่อนลง แกล้งทำเป็นว่า
"ก็ โผมมมไม่ได้หมายความอย่างน้านนน เพียงแต่ให้ดินแดนเชื่อมกันดังเดิม พี่ๆน้องๆจะได้ไม่พลัดพรากแตกแยก ท่านเห็นว่า ผมผิดตรงไหนล่ะ หรือ ท่านเห็นเป็นอย่างไร งั้นผ๊มก็ขอคำปรึกษาเลยก็แล้วกัน "
ทั่นนายกเมืองผู้ดี เชื่อในวาจานั้นอย่างหมดใจ เข้าใจตามนั้นจริงๆ ว่า เยอรมันหาได้ใฝ่สงครามแต่อย่างใด กะอีแค่ขอรวมตัวดังเดิม จะไปยากอาร๊ายยย !!
และ จึงสำทับกลับไปว่า ถ้างั้นก็อย่างเพิ่งดำเนินการอะไร จนกว่าเราจะได้ทำความตกลงกันอีกครั้ง ขอนำความนี้ไปปรึกษาฝรั่งเศสดูก่อน
ฮิตเล่อร์ ก็พยักหน้าหงึกหงัก เห็นด้วยเป็นอย่างดี เพราะนั่นคือ วันที่ 17 กันยายนเอง..
แผนการเดินทัพยึดครองนั่นคือ วันที่ 1 ตุลาคม ยังอีกตั้งหลายวัน จะไปพูดจาอะไรกันก็เชิ๊ญญญญ !!

Édouard Daladier (เอดวารด์  ดาลาดิเยร์  นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส)



วันที่ 18 กันยายน ทั่นนายกก็เดินทางถึงบ้าน จัดการเตรียมเอกสารเพื่อจะเจรจาในรายละเอียดของเรื่องนี้ จึงได้เชิญนายกฝรั่งเศสนายดาลาดิเยร์ ได้บินจากปารีสไปพบที่ลอนดอน สรุปกันไปมา ตามประสาคนไม่อยากทำสงครามให้แตกหัก แต่ไม่ต้องการเสียหน้าด้วยเช่นกัน มาถึงจุดลงตัวได้ที่ว่า งั้นแบ่งประเทศเชคโกเป็นส่วนๆละกัน ฮิตเล่อร์มันอยากได้ส่วนของมันคืน ก็ให้มันไป..

แล้วทั้งคู่ก็เห็นพ้องต้องกัน โดยที่ไม่ได้ปรึกษารัฐบาลเชคโกเจ้าของประเทศเลยแม้แต่นิด ว่า พวกเขาจะเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร?
นั่นเท่ากับว่า..อะไรที่สพม. ได้ให้กับประเทศเชคโกชดเชยในฐานะช่วยการศึกจนชนะสงครามคราวก่อน
แต่..มาถึงตอนนี้กลับเรียกคืนกลับไปจนหมด
ซึ่งแน่นอนว่า..ทันที่ที่ได้รับการบอกข่าว..รัฐบาลของเชคโกเดือดดาลจนรับข้อเสนอแบบ "หักคอ" นี้ไม่ได้
แต่..อังกฤษได้สำทับไปตอนท้ายว่า
"ไม่เป็นไรนะ ไม่ทำตามนี้ก็ได้ แต่นั่นหมายว่าถ้าเยอรมันยกทัพมาจริง พวกยูก็รบต่อสู้ป้องกันกันเอาเองละกัน ไอไม่ช่วย"
ฝรั่งเศส ก็พูดแบบเดียวกันเปี๊ยบ แถมผสมโรงว่า เอาน่า..นะ..นะ เพื่อความสงบสุขของยุโรป
ประธานาธิบดี Benes ถึงกับสะอึกต่อข้อความทั้งหมด..นี่มันหักหลังกันอย่างชัดๆ มันเท่ากับว่า โยนชาวเชคทั้งประเทศลงไปในบ่อจรเข้ทีเดียว
ทางเลือกสุดท้าย นั่นคือ วิ่งเข้าหารัสเซีย..ไปขอความช่วยเหลือ (โดยไม่ได้บอกใจความให้ละเอียดว่า ได้ถูกปฏิเสธมาจากสองมหาอำนาจแล้ว)
ทางรัสเซีย ได้ตอบมาอย่างวางเชิงว่า ด๊ายย..ช่วยก็ได้ แต่ต้องไปเอาฝรั่งเศสมาร่วมเป็นพันธมิตรด้วยนะ ถ้าฝรั่งเศสโอเค ทางเราก็โอเช !!
นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะ ฝรั่งเศสเพิ่งปิดประตูใส่หน้าไปหยกๆ
เชคโกมีทางเลือกอยู่สองทาง คือ จะยกธงขาว หรือ จะสู้ ประการหลังนั้นคือ ถ้าสู้..ก็ต้องสู้อย่างโดดเดี่ยว หันหน้าไปพึ่งใครไม่ได้จริงๆ !!

จากวันนั้นมา ฮิตเล่อร์ก็เล่นแผนโยกโย้จะเอาโน่นเอานี่ ที่ทำให้นายกอังกฤษต้องวิ่งกลับไปมาถึงสองสามครั้งในการที่จะต้องยื่นเสนอแผนที่ใหม่ของเชคโก ที่ตกลงกันว่าจะแบ่งออกเป็นสามส่วนของดินแดนชายแดน Sudeten
คือ หนึ่งให้กับ Sudeten แท้ (คืนสู่เยอรมัน) ให้เชคโกปกครองหนึ่งส่วน และอีกหนึ่งส่วนคือพวกที่ทำตัวเป็นกลางคือปกครองกันเอง

ฮิตเล่อร์ ตอบอย่างแข็งกร้าว ว่า ไม่มีทาง ไม่มีการแบ่ง Sudeten ต้องมาเป็นของเยอรมันทั้งหมด ไม่มีข้อแม้ใดๆ ไม่งั้น จะรบ !!
นายกอังกฤษ ก็วิ่งปุเลงๆข้ามไปใช้โทรศัพท์ในสวิสเซอร์แลนด์ ติดต่อ ลอนดอน และ อังกฤษ รายงานถึง มาตรการเด็ดขาดที่ฮิตเล่อร์ต้องการ

สรุปว่า ในวันที่ 23 กันยายน นาย Chamberlain ก็นำแผนที่ของเชคโกฉบับร่างใหม่มานำเสนอต่อฮิตเล่อร์อย่างรวดเร็วทันใจ

แต่แล้ว..ข่าวทางชายแดนก็ส่งมาว่า ทหารของเชคโกได้เคลื่อนกำลังมาประชิดชายแดน อันเป็นเหตุให้ การเจรจาต้องชะงักงันเพราะฮิตเล่อร์มีอาการ "ของขึ้น" แบบเฉียบพลัน โดยที่ประกาศว่า ถ้าไม่ถอยกำลังออกไป ตูจะบุก
ถล่มให้ราบบัดเดี๋ยวนี้ !!
แชมเบอร์เลน ถึงกับสะดุ้งโหยง บอกว่า ไม่น่าที่ยื่นคำขาดขนาดนั้นเล๊ยย...พูดจากันดีๆก็ได้ น่า น่า !!
และมิหนำซ้ำ ยังรีบจัดการนัดประชุมสันติภาพระหว่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี และ เชคโกฯ ในวันที่ 29 กันยายน ที่เมือง มิวนิค
ฮิตเล่อร์ ประกาศก้องว่า ห้ามไม่ให้ตัวแทนของเชคโกเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้
ทุกคนก็รีบรับคำงกๆ และปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟัง

แผนอนาคตของเชคโกในวันนั้น จึงถูกกำหนดด้วยประเทศอื่นๆตามความพอใจ
ในวันที่ 30 กันยายน จึงมีการร่วมลงนามทำสัญญาตกลง ซึ่ง ฮิตเล่อร์ได้สมใจในทุกอย่างตามที่ต้องการ
คือ จะเคลื่อนขบวนทัพเข้าสู่ดินแดนเพื่อครอบครองดินแดนอันมหาศาลในแนวตะเข็บกั้นชายแดนของเชคโก ใน
วันที่ 1 ตุลาคม ให้เป็นมหาฤกษ์ มหาชัย
ซึ่ง ประธานาธิบดี Benes รู้ตัวและซึ้งแก่ใจทันทีว่า จะขืนสู้ต่อไปก็ไม่ประโยชน์อันใด จึงสั่งทหารวางอาวุธทั้งหมด ไม่มีการต่อสู้ใดๆทั้งสิ้น..
เพราะ มหามิตรที่เคยมีนั้น ต่างก็ได้แปรพักตร์กันไปหมดแล้ว
ไม่นานต่อมา..เขาจึงลาออกจากตำแหน่ง และอพยพลี้ภัยไปอยู่ที่ ณ. ประเทศอังกฤษ
Edvard Benes



คนคนเดียวที่ลุกขึ้นมากล่าวในสภาอังกฤษด้วยถ้อยคำเผ็ดร้อน นั่นก็คือนักการเมืองเก่า
วินสตัน เชอร์ชิล ที่ไม่เห็นด้วยต่อการอ่อนข้อให้กับเยอรมันของอังกฤษและฝรั่งเศสในครั้งนี้ อีกทั้ง เขาได้พยากรณ์การเมืองไว้อย่าง
แม่นยำว่า..
ต่อไปนี้ นานาประเทศลุ่มแม่น้ำดานูปจะถูกกลืนหายไปในรัศมีของนาซีในเร็วๆวัน ถ้าพวกเรามัวแต่งอมืองอเท้ากันอยู่
แต่ท่านก็ไม่ได้พูดจนจบ เพราะ เหล่าบรรดาพวกพรรครักสงบทั้งหลายก็รีบชิงตัดบทไปเสียก่อน
หาว่า ท่านเชอร์ชิลล์ ระแวงระไวเกินกว่าเหตุ เพ้อเจ้อไปเรื่อย..เรื่องของชาวบ้านเขา อย่าไปยุ่งเลย มันอยู่ตั้งไกลโพ้นทะเลจะทำอะไรก็เรื่องของมัน ไม่เกี่ยวกะเราซักกะหน่อย..

ส่วน ตัวแทนของเชคโก นักการเมืองหนุ่ม นาย J. Masaryk ได้ลุกขึ้นกล่าวอย่างอาจหาญ แต่เต็มไปด้วยความชอกช้ำใจว่า
"ถ้าพวกท่านเห็นว่า การที่พวกท่านจะเอาประเทศของกระผมโยนให้หมาจิ้งจอกนาซีแทะทึ้ง แล้วพวกมันพอใจหยุดการไปกัดใครต่อใครเขาได้ กระผมก็จะถือว่าเป็นกุศลกรรม แต่หากการณ์กลับกลายเป็นว่า จิ้งจอกเหล่านั้น
ได้กินกันอิ่มหมีพีมัน มีพละกำลังมากมาย แล้วแว้งมากัดพวกท่านเข้าบ้าง ผมก็จะถือโอกาสนี้..หัวเราะสมน้ำหน้าพวกท่านให้ดังไปอีกนานเท่านาน จนกว่าชีวิตของกระผมและชาวเชคโกจะหาไม่ !! "

Jan Masaryk

ไหนๆก็พูดถึงเขาแล้ว มารู้จักนาย ยัน มาซาร์ค ( หรือ..มาซาร์อิค) ดีกว่า
นายยัน เป็นลูกชายนักการเมืองระดับบิ๊กที่มีมารดาถือสัญชาติอเมริกัน ได้มารับราชการเป็นหนึ่งในคณะทูตเชคโกประจำกรุงลอนดอน
และหลังจากที่เยอรมันหาเรื่องฮุบเอาดินแดนทั้งหมดประเทศ(กวาดเอาแคว้น โบฮีเมีย, โมราเวีย, สโลวาเกีย,ในตอนต่อมาเมื่อปี 1939 )
เขาและอดีตประธานาธิบดีเบเนสอีกทั้งชาวเชคนอกประเทศกลุ่มอื่นๆ จึงรวมตัวกันตั้งรัฐบาลเชคอิสระที่กรุงลอนดอน
เพื่อปฏิบัติการใต้ดินต่อต้านผู้รุกราน
ผลงานที่ถือว่าสำเร็จแต่เป็นโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่นั่นก็คือ การลอบสังหาร ผบ. SS ตัวเอ้ Reinhard Heydrich ในปี 1942 อันเป็นผลให้นาซีเข้าทำการสังหารหมู่ชาวเชคนับพันศพอย่างน่าสังเวชใจเพื่อเป็นการแก้แค้นให้อย่างสาสม ตามคำของ ฮิมม์เล่อร์ ที่ส่งฝากไปยังรัฐบาลอิสระเชคในอังกฤษ ว่า
หนึ่งศพของ SS ต้องแลกกับชีวิตอื่นๆนับพัน นับหมื่น อยากจะลองอีกก็เชิญ !!
นี่คือสาเหตุที่มา..ของการเก็บหมู่บ้าน Lidice  ไว้ในสภาพเดิมพร้อมทั้งข้อความเตือนความจำให้กับลูกหลานถึงความเหี้ยมโหดที่
บรรพบุรุษเคยได้รับจากนาซีในประวัติศาสตร์

ภาพ การสังหารหมู่ที่หมู่บ้าน Lidice, Poland  ด้วยฝีมือของนาซี

คนที่ผิดหวังในเรื่องการจัดสรรปันส่วนของเชคโกครั้งนี้ คือ ฮิตเล่อร์ นั่นเอง ผิดหวังเพราะมันคือการทำงานผิดแผน
ฮิตเล่อร์คิดเสมอว่า ฝ่ายสพม. หรืออย่างน้อยๆก็ต้องเป็นฝรั่งเศสที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านบ้างพอหอมปากหอมคอ
จะได้มีการสาดกระสุน โยนระเบิดใส่กันสักตูมสองตูม และ..ผลคือเขาต้องชนะแน่นอน(จากจำนวนกำลังพลที่มากกว่ามหาศาล)
และจะได้เชคโกทั้งประเทศ..โดยไม่ต้องมาแบ่งปันกันให้วุ่นวาย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ต้องมาเสียเวลาไปช่วงหนึ่งกว่าจะฮุบที่เหลือ
ใครจะคิดว่า..ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส จะพากันเจรจาแบบสันติอย่างง่ายดายแบบนี้ ..
ว๊าาา..แย่จัง !!!
และเขาก็รู้ดีอีกด้วยว่า แผนในการที่จะเข้ายึดครองประเทศต่อไปจะใช้วิธีนี้ไม่ได้แล้ว มันต้องรุกด้วยกองทัพอย่างเดียว
จะเอาเหตุอะไรมาอ้าง เดี๋ยวค่อยส่งไปเป็นหน้าที่ของเกิบเบิลส์ หน่วยโคสะนาและประชาสัมพันธ์ตัวยง

ดังนั้น ในเดือน ตุลาคม นายพลทุกเหล่าทัพถูกเรียกตัวเข้าประชุมด่วน ถึงการศึกต่อไป
เป้าหมายคือ โปแลนด์ ผู้รับปฏิบัติการคือนายพล Keitel ที่รีบรุดส่งทีมงานไปลาดตะเวณชายแดนแนว Memel และ Danzig อย่างเป็นการด่วน

โปแลนด์ เป็นอะไรที่ "คาใจ" ฮิตเล่อร์ตลอดมาตั้งแต่การขยายดินแดนเข้ามาในเยอรมันอย่างมากมายเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
รวมทั้งได้กวาดต้อนเอาชาวเยอรมันเข้าไปไม่ใช่น้อย
และ ถ้าเขาได้กองทัพอีกทั้งทรัพยากรของสองประเทศรวมกัน(เชคโก และโปแลนด์) นั่นหมายถึง แผนการที่เข้าบุกทำสงครามกับอังกฤษในปี 1942 (ตามแผน) ก็น่าจะเป็นไปได้

พูดถึงทรัพยากรและสถานะการด้านเศรษฐกิจของเยอรมันที่ดีวันดีคืนภายใต้การบริหารแผนพัฒนาสี่ปี ของเกอริงนั้น ถึงขนาด สั่งสร้าง Heinkel 177 ฝูงบินทิ้งระเบิดกว่า 500 ลำ
กองทัพเรือ ได้สร้างเรือพิฆาตประจันบาญ ขนาด 35,000 ตัน ติดปืนใหญ่ขนาด 420 มม. อีก หกลำ เรือดำน้ำได้มีการสั่งสร้างอีกหลายฝูงในขนาดเล็กไปจนถึงใหญ่สุด

ไหนจะหน่วยรถถัง Panzer นับพันที่กำลังสร้างอย่างเร่งรีบในโรงงานนั้นอีกเล่า
แน่อนว่า..นี่คือสิ่งที่ฝ่าฝืนข้อตกลงในสนธิสัญญาแวร์ซายย์
ทั้งหมด แต่..ฮิตเล่อร์ถือคติที่ว่า
"ผู้ชนะ ย่อมไม่ต้องมีคำแก้ตัวใดๆ"

ส่วนเงินทองที่ได้มาเพื่อการพัฒนาสร้างเสริมนั้น มีเงื่อนงำอย่างที่สุด ซึ่งจะเล่าในทีหลัง


ตั้งแต่ต้นปี 1938 เป็นต้นมา เกิบเบิลส์มักเข้าหน้าท่านผู้นำไม่ติด เนื่องจากความประพฤติส่วนตัวที่อื้อฉาวคาวกาม เกิดขึ้นออกบ่อยครั้ง
ครั้งล่าสุด ไปยุ่งกับดารานักแสดง จนมีการร้องเรียนมาว่าหล่อนเข้าขั้นถูกข่มขืน
และ นี่ไม่ใช่การร้องเรียนเป็นครั้งแรก มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วนับสิบครั้งก่อนนั้น
ฮิตเล่อร์..ไม่ชอบใจเอาเสียเลย
ประการที่หนึ่ง เขาไม่ใช่คนเหลวไหลในเรื่องนี้
ประการที่สอง เมคดา ภรรยาของเกิบเบิลส์ก็คือคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมวงในคนหนึ่ง(แถม..ยังเคยจีบมาก่อนซะด้วย)
จึงทำให้..เกิดการมองหน้ากันไม่ค่อยติด

แต่..ต่อมาในวันที่ 9 เดือนพฤศจิกายน ได้เกิดเหตุการณ์ของ Kristalnacht (ที่ได้เล่ามาเมื่อกระทู้ก่อน) ซึ่งเกิบเบิลส์ถือเป็นสาเหตุใหญ่เพื่อเอาใจจ้าวนายทันที โดยการรีบป่าวประกาศปลุกระดมพลให้เกิดการต่อต้านยิว อีกทั้ง ยุยงปลุกปั่นทั้งหน่วย SS และ เกสตาโป ให้ออกอาละวาด ทุบตีทำร้าย เผาโรงสวด อีกทั้งทำลายร้านค้าของชาวยิวแทบทั้งหมด
เพื่อเป็นการแก้แค้นให้กับ กงศุล von Rath ที่ถูกยิงจนเสียชีวิตไปจากฝีมือของเด็กหนุ่มชาวยิว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้น เล่นเอาคนทั้งโลกช๊อคต่อการกระทำที่แสนโหดเหี้ยมของเหล่านาซี
อย่าว่าแต่ใครเลย..แม้แต่ตัวฮิตเล่อร์เอง ก็ยังอึ้งไปเหมือนกัน เขาไม่รู้เรื่องนี้เลย..และแถมยังลืมเรื่อง"ยิว"ไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะ เขามัวแต่ยุ่งเรื่อง บุกรุกยึดครองที่โน่นที่นี่จนสมองแทบไม่ว่าง
แต่ คราวนี้ เกิบเบิลส์ ถือเป็นโอกาสช่วยเตือนความจำให้ แถมยังลอยหน้าลอยตาบอกซะอีกว่า
"ก็ที่ท่านผู้นำเขียนไว้ใน Mein Kampf ไงล่ะ เรื่องที่จะจัดการพวกยิวให้พ้นไปจากยุโรปน่ะ กระผมก็ช่วยอย่างเต็มที่แล้วไง ลืมแล้วเหรอ ??"
เจอเอาลูกนี้เข้า ฮิตเล่อร์ถึงกับอึ้งไปอีกครั้ง..แต่ เขาก็มองเห็นช่องทางหาเงินทันที โดยการเห็นด้วยกับเกิบเบิลส์..เล่นแผนเดือดดาลผสมล้มกระดาน โดยการ สั่งยึดทรัพย์ และกิจการทั้งหมด โดยอ้างว่า ต้องการเรียกค่าเสียหายจากกระกระทำครั้ง
นี้ของชาวยิวถึงหนึ่งพันล้านมาร์ค
อีกทั้ง..ประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้ว่า..ต่อไปนี้ ภายใต้อำนาจของนาซี...ชาวยิวจะต้องพบกับอนาคตที่มืดมนอย่างชนิดไม่มีวันได้ผุดได้เกิด !!




 

Create Date : 18 มีนาคม 2548   
Last Update : 12 กรกฎาคม 2556 4:54:52 น.   
Counter : 2497 Pageviews.  

ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเจ็ด

Renate Müller

หลังจากที่หลานสาวสุดที่รักได้จากไป..ฮิตเล่อร์ก็หันมาสนิทสนมกับเอวามากขึ้น  แต่ก็ยังลอบพบปะกับดาราหนัง สาวสวย Renate Mueller ที่ต่อมามีการขู่ว่าจะแฉความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฮิตเล่อร...
แต่แล้วก็ต้องมาพบกับจุดจบในสภาพที่ศพไม่สวย..ตกลงมาจากตึกโรงแรมในเบอร์ลิน...ที่หนังสือพิมพ์อ้างว่า..เป็นการฆ่าตัวตาย (จริง จริ๊ง..) หาใช่มีใครไปผลักมาไม่...
ส่วนสาวเอวานั้นเล่า..ก็เฝ้าตามหึงหวงพ่อเจ้าชู้ไก่แจ้ฮิตเล่อร์แบบตามติด... และเคยถึงขนาดยิงตัวตาย แต่พลาดรอด..มาแล้ว..เพราะยิงแบบเฉี่ยวๆ..หมอเลยช่วยรักษาเอาไว้ได้..
หลังจากการพลาดรอดของเธอนั้น...ทำให้ฮิตเล่อร์เริ่มคิดได้...เขาจึงเอาอกเอาใจเธอมากขึ้น..และไม่ค่อยได้ทำตัวหวานกับสาวอื่นๆมากนัก
แต่ฮิตเล่อร์ตั้งใจไว้อย่างเด็ดเดี่ยว..นั่นคือ..การที่จะไม่มีทายาทสืบต่อไป..เพราะเขาว่า ไม่อยากผิดหวังกับเลือดเนื้อเชิ้อไข ถ้ามันเกิดมาแล้วไม่ฉลาดเทียบเท่ากับพ่อ

พรรคนาซี พยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ข่าวฉาวๆของฮิตเล่อร์หลุดออกไปข้างนอก..เพราะในเวลาที่ปราศรัย..ฮิตเล่อร์มักจะปาวๆเสมอว่า..เขาไม่มีความรักอื่นใดนอกเหนือไปจากการรักชาติ รักประชาชนชาวเยอรมัน
และที่เขาไม่แต่งงาน..เพราะเขาได้แต่งงานกับประเทศชาติและประชาชนไปแล้ว..ซึ่งเป็นที่จับใจอย่างเหลือร้าย เนื่องจาก ในช่วงหลังสงครามนั้น เยอรมันเต็มไปด้วยแม่ม่ายที่ทุกข์ระทม
ฮิตเล่อร์จึงโดดเด่นขึ้นมา..กลายเป็นขวัญใจในเหล่าหญิงๆ..และเป็นวีรบุรุษให้กับประเทศที่กำลังอยู่ช่วงระทมทุกข์..
ทุกคนจึงฝากความหวังไว้ที่เขาเพียงคนเดียว
ซึ่งในช่วงนั้น..พรรคนาซีจึงจำเป็นที่จะต้องเก็บตัว เก็บข่าวของเอวาไว้อย่างมิดชิด

ส่วนทางฮิตเล่อร์นั้นก็ได้ผู้นำฝ่ายโปรประกันดามาใหม่..นั่นก็คือ นาย Joseph Goebbels ที่เพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในพรรค หากแต่คนทั้งสองได้ต้องชะตากันอย่างแรง..
ที่นานเกิบเบิ้ลส์ได้เขียนบรรยายไว้ว่า...ตั้งแต่วินาทีที่ได้สัมผัสมือกัน..สายตาประสบกัน..รู้สึกได้ทันทีเหมือนตัวจะลอยราวกับจะไปสวรรค์..ชายคนนี้มีพลังราวกับเป็นเจ้าเหนือหัว...
ส่วนฮิตเล่อร์ ก็..ประทับใจในตัวสมาชิกใหม่คนนี้เช่นกัน ในฐานะที่เป็นนักเขียนและนักอภิปรายที่โดดเด่น เขาเชื่อว่า..ถ้าได้คนอย่างเกิบเบิ้ลส์มาร่วมงานแล้ว..
พรรคนาซีจะต้องได้คะแนนเสียงอย่างท่วมท้นในคราวเลือกตั้งในครั้งต่อไป เพราะที่ผ่านมาในปี 1925 และ 1928 นั้น..มันยังไม่เข้าเป้า..
แต่การที่จะโหมการโปรประกันดานั้น..มันต้องใช้เงิน..ซึ่งเป็นสิ่งที่นาซียังขาดแคลน..รายได้ส่วนใหญ๋ก็มาจากการสนับสนุนพรรคของกลุ่มนายทุนกลุ่มเล็กๆ
ครั้งเมื่อฮิตเล่อร์หันไปขอความช่วยเหลือจาก..กลุ่มนายทุนระดับอุตสาหกรรม  เขาถูกตอกหน้ากลับมาว่า..นโยบายของพรรคนาซีนั้น..มันเอียงไปทางฝ่ายซ้ายหนักไปหน่อย
(หมายเหตุ เพราะเบื้องหลังอีกคนหนึ่งที่ศรัทธาในตัวฮิตเล่อร์ คือ เศรษฐีใหญ่ Emil Kirdorf ที่ชักชวนเพื่อนๆจากพรรคการเมืองอื่นๆม่ว่าจะทุนนิยม เสรีนิยม กรรมกร
แม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์ให้มาช่วยสนับสนุนพรรคนาซี..เพราะนั่นคือทางออกทางเดียวที่ประเทศฝากความหวังไว้..เพราะทุกคนต้องการให้ฮิตเล่อร์และพลังประชาชนที่สนับสนุนอย่างท่วมท้นนั้นได้ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้ารัฐบาล
หรือที่เราจะเรียกว่า.. ไรค์ซตาค..Reichstag
นายเคอดอร์ฟ..มีข้อแม้บางประการในการ"ลงทุน" กับพรรคนาซีบางประการ..นั่นคือ การกำจัดพวกฝ่ายซ้ายออกไปเช่นกลุ่มของ Gregor Strasser, Ernst Rohm ออกไป..
แต่..ฮิตเล่อร...อึกอักและละล้าละลัง..รับปากแต่ไม่ทำ..นายเคอดอร์ฟและทีมเศรษฐีจึงหันไปสนับสนุนพรรค  German Nationalist Party (DNVP) ที่มีหัวหน้าคือ  Alfred Hugenberg...วิวันดา)

Emil Kirdorf


โชคมาช่วยพรรคแบบบุญหล่นทับ..นั่นก็คือ การล่มสลายของเศรษฐกิจโลก วอลล์ สตรีท ในปี 1929  ที่อเมริกาขอเรียกเงินคืนจากการให้กู้ประเทศกลุ่มยุโรป..ปัญหาการว่างงานทับถมทวีคูณ..เยอรมันที่กำลังหลักนั้นมาจากเงินที่สหรัฐช่วยพยุงเอาไว้ก็ล้มครืนไม่เป็นท่าเช่นกัน
ทั้งๆที่ก่อนล่มนั้น..เยอรมันก็มีปัญหาการว่างงานถึงล้านกว่าคนแล้ว..พอจะเข้าสู่ ปี 1930 นั้น..มันทะยานไปถึงสี่ล้าน..ถึงพวกที่มีงานทำอยู่ก็เช่นกัน เงินเดือนค่าจ้างถูกตัดแหลก..ทุกคนกลายเป็นพวกรายได้ต่ำกันทั้งประเทศ
แน่นอนว่า..ฮิตเล่อร์ได้กลายมาเป็นพระเจ้าไปในตอนนั้น เพราะในช่วงของปี 1928 นั้น..เขาเคยได้อภิปรายไว้ว่า..หายนะทางเศรษฐกิจกำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววัน
ตอนนั้น..ใครต่อใครพากันหัวเราะเยาะและมองเห็นเขาเป็นตัวตลก..แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริงตามคาด..เขาได้กลายมาเป็นอัจฉริยะผู้มองเห็นจริงในอนาคต...ในช่วงข้ามคืนนี่เอง
พอฤดูหาเสียงมาถึง 1930 พรรคนาซีก็ได้เสียงมาแบบถล่มทะลาย...จากที่เคยมีที่นั่งในสภาแค่สิบสี่ที่นั่ง..ก็ เพิ่มมาเป็น 107
แต่มันก็ยังไม่ใช่อำนาจทั้งหมด เพราะในสภานั้นประกอบไปด้วย ผู้แทน 577 ที่นั่งด้วยกัน จากพรรคโน้นพรรคนี้..
นั่นหมายถึงการออกเดินสายอภิปรายการโจมตีจุดอ่อนของคู่แข่งต่างพรรคได้เริ่มต้นขึ้นอีก...

ฮิตเล่อร์ได้ใช้วาทะเด็ดๆในอดีตออกมาหากินอีก...นั่นก็คือ การหั่นภาษีและโอบอุ้มชาวนา กรรมกร.... โจมตีพวกกลุ่มทุนนิยม พวกที่โกยกำไร
หากแต่..ยามที่เขาคุยกับนายทุนอุตสาหกรรม..เขามักจะเน้นไปทางกำจัดคอมมิวนิสต์ และ..ลดบทบาทของกลุ่มสหภาพแรงงาน
และแน่นอนว่า..เขาโจมตีในความไม่เป็นธรรมของสนธิสัญญาแวร์ซายส์อย่างเต็มที พร้อมทั้งประกาศว่า.ถ้าเขามีอำนาจเต็มในรัฐบาล..อย่าหวังเลยว่าเขาจะจ่ายเงินค่าปฏิกรรมสงครามแม้แต่เก๊เดียว
ซึ่ง..เขาได้พูดถึงแต่สิ่งที่ทุกคนอยากจะฟัง...แต่พยายามเลี่ยงในการที่จะตอบว่า..แผนพัฒนาชาติของนาซีนั้นเป็นอย่างไร..ถ้าหากว่าได้เข้ามาเป็นรัฐบาล

เพราะการที่สภาได้แตกออกเป็นหลายพรรค..ทั้งใหญ่และยิบย่อยนั้น อำนาจเด็ดขาดจึงตกไปอยู่ในมือของประธานาธิบดี นาย Paul von Hindenburg
ฮิตเล่อร์นั้นก็แสนบ้าบิ่นเกินตัว....ในปี 1931เขาขอ"ท้าประลอง" นอกรอบ ขอให้ประชาชนและสภาลงคะแนนเลือกว่า ใครสมควรที่จะได้ความนิยมมมากกว่ากัน ระหว่างเขาผู้ที่ยังหนุ่มยังแน่น กับ ประธานาธิบดีวัยกว่าแปดสิบที่มีอาการหลงๆลืมๆ
ขึ้นมาเป็นครั้งเป็นคราว..
แต่ขนาดว่าหลงๆลืมๆ..อายุมากขนาดนั้น..ก็ยังได้รับชัยชนะแบบท่วมท้น..เพราะ..ฮิตเล่อร์อาจจะเป็นผู้ที่ได้ความนิยมก็จริง..แต่ยังขาดคำว่า "บารมี"..
นาย  Heinrich Bruening  นายกรัฐมนตรีและคณะผู้แทนอาวุโสในสภา ต่างก็เกรงว่าฮิตเล่อร์จะใช้กองทัพนักเลงเข้ามาทำการปฏิวัติแบบดื้อๆ..เพราะใครๆก็รู้ว่า Ernst Rohm หัวหน้ากลุ่ม SA นั้น..มีนิสัยเป็นอย่างไร..
อีกทั้งสามารถเรียกกำลังพลให้มารวมตัวกันได้กว่าสี่แสนนาย..ในขณะที่กองทัพเยอรมันนั้นได้ถูกลดขนาดไปให้เหลือไว้แค่หนึ่งแสนเท่านั้น..(ตามสนธิสัญญา)
ดังนั้นเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม..นายเบรินนิ่งจึงได้สั่งยุบหน่วยนอกกฏหมาย SA และสั่งห้ามไม่ให้มีการชุมนุมอีกต่อไป

Heinrich Bruning


ในเดือนพฤษภาคม ปี  1932,  ท่านปธน. Paul von Hindenburg ได้ประกาศแต่งตั้ง นาย Franz von Papen ให้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนที่ นาย Heinrich Bruening  ซึ่งวก็เข้าทางของพรรคนาซีพอดี เพราะนาย
ฟอน ปาเปน คนนี้ก็คือ เกลอเก่าของพรรคนาซีนั่นเอง..ทันทีที่ขึ้นมารับตำแหน่ง นายกคนดีก็ให้นิรโทษกรรมแก่กลุ่ม SA ทันที..
สองอาทิตย์ต่อมา..การปะทะระหว่างกลุ่มนิยมคอมมิวนิสต์ และ กลุ่มนาซี SA ก็เปิดฉากขึ้นในถนนกลางเมือง  ผลคือมีผู้เสียชีวิตถึง 86 คน
นาย ฟอน ปาเปน ได้เถลิงอำนาจอย่างเต็มที่..เขาเปิดสภาให้มีการลงคะแนนโหวตใหม่..คราวนี้พรรคนาซีได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาถึง 230 ที่นั่ง..เท่ากับว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ในสภา แต่ไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เพราะเสี้ยนหนามก็คือ พรรค German Social Democrat Party  ที่มี 133  และ  German Communist Party หรือ KPD ที่มีอยู่ 89 และสองพรรคนี้ก็มีพื้นฐานเสียงเป็นกลุ่มชาวชนบทส่วนใหญ่เสียด้วย
ฮิตเล่อร์คิดว่า..เขาสมควรที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี...เสียที..
แต่ท่านปธน...Paul von Hindenburg ..ไม่เห็นด้วย..แถมยังหันไปแต่งตั้งนายทหารคู่ใจ..Major-General Kurt von Schleicher ให้มาเป็นนายก เท่ากับเป็นการตบหน้าฮิตเล่อร์เข้าอย่างจัง..
ดังนั้น..ทุกคนก็พอจะเดาได้ว่า..การอาละวาด..ลงไม้ลงมือและ สงครามน้ำลายได้เกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย..
กลุ่มองครักษ์นาซี..ได้เปิดทำการทุบตีสมาชิกสภาฝ่ายคอมมิวนิสต์เป็นว่าเล่น..แบบไม่เกรงกลัวกฏหมายเสียด้วย..ในการวิวาทะครั้งหนึ่ง..เป็นการรุมแบบ 167 ต่อ 57 ที่ฝ่ายหลังคือ พรรคคอมมิวนิสต์ที่ถูกหามออกจากสภาด้วยสภาพที่ยับเยิน

จากนั้น หน่วย SA ก็ถือโอกาสกำจัดและข่มขู่พรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามหมด ไม่ว่าจะเป็นเสรีประชาธิปไตย และคอมมิวนิสต์ เพราะฮิตเล่อร์คอยให้ท้ายในทุกรายการ
เลยทำให้ประชาชนเกิดความระอา..ดังนั้น..การเลือกตั้งในปีต่อมา คือ ปลายปี 1932 นั้น..พรรคนาซีคะแนนหดหาย ในขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์ได้รับความเห็นใจจนจำนวนที่นั่งในสภาได้เพิ่มมากว่าร้อยที่นั่ง..
ฮิตเล่อร์จึงเอาจุดนี้มาโจมตีและขู่ฟ่อ...ต่อไปว่า..เยอรมันกำลังจะกลายเป็นอีกหนึ่งประเทศในสาขาของบอลเชวิครัสเซีย..
พรรคเดียวที่จะช่วยประเทศให้แล้วรอดปลอดภัยจากบอลเชวิคได้ก็คือ พรรคนาซี..เพียงพรรคเดียวเท่านั้น
ข้อความนี้ได้เข้าไปตีเข้าที่กลางใจของกลุ่มนายทุนระดับอุตสาหกรรมที่กลัวคอมนิวนิสต์จนขึ้นสมอง..ดังนั้น..กลุ่มทุนที่มี"อำนาจมืด" อย่างเต็มเปี่ยมในรัฐบาล..จึงรวมตัวกันยื่นหนังสือลับถึงท่านปธน. Hindenburg
ขอให้มอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้แก่ฮตเล่อร์แห่งพรรคนาซีโดยด่วน

ท่านปธน. หรือจะกล้าโต้แย้งกับอู่ข้าวอู่น้ำ...ดังนั้น..ฮิตเล่อร์จึงได้เป็น นายกรัฐมนตรีของเยอรมันด้วยวัยเพียงสี่สิบสามปี

ทันทีที่ฮิตเล่อร์ได้ก้าวขึ้นมารับตำแหน่ง..เขาประกาศการเลือกตั้งใหม่..โดยมีเกอริงเป็นมือขวาในการประสานงานกับกลุ่มนายทุนเพราะค่าใช้จ่ายในครั้งนี้จะสูงถึงสามล้านมาร์ค..และจะต้องได้ชัยชนะแน่ๆ..
และชัยชนะนี้..จะเป็นการคืนทุนให้กับสปอนเซอร์แถมกำไรอย่างงดงาม..ซึ่ง...เงินทั้งก็ได้หลั่งไหลมาสู่พรรคราวกับเนรมิต เพราะความที่ทุกคนกลัวคอมมิวนิสต์จะเข้ามามีอำนาจนั่นเอง..
พอฐานะอู้ฟู่..เงืนเต็มกระเป๋า...ฝ่ายโปรประกันดาก็ทำงานแข็งแรงแข็งขัน..
นายเกิบเบิ้ลส์ ถึงกับบันทึกไว้ว่า...สื่อทั้งหมดอยู่ในมือเรา..เงินเพียบ...ชัยชนะจะไปไหนเสีย...

เกอริง..ทำหน้าที่คุมมหาดไทย..และ กรมตำรวจ..ที่เขาได้ทำการสับ เสริม เปลี่ยน ตำแหน่งและกรมกองใหม่..เขาเพิ่มเข้าไปอีกห้าหมื่นอัตรา..โดยการเกณฑ์กำลังพลมาจากกลุ่ม SA  ส่วนกรมกองใหม่
ที่ทำหน้าที่สารพัดสืบสวน สอบสวน กำจัดเสี้ยนหนาม นั้น เรียกว่า Gestapo


จากนั้นมา..การทำลายฝ่ายตรงข้ามก็เริ่มเกิดขึ้น..เริ่มจากการโปประกันดาก่อน..โดยการส่งและกระจายข่าวว่ามีการพบข้อมูลว่า "อาจจะมีการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาล"  โดยรัฐบาล
ต่อมาก็มีการออกข่าว่า..พวกคอมมิวนิสต์มีแผนที่จะใส่ยาพิษลงไปในน้ำนม
ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1933,  ที่ทำการรัฐบาลเกิดเพลิงใหม้ขึ้น..ฝ่านพรรคคอมมิวนิสต์ถูกจับไปหลายคนเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นมือเพลิง..
ซึ่งเข้าทางของเกอริงและเกิบเบิ้ลส์ สองแรงแข็งขันที่ช่วยกันใส่สีตีใข่กันต่อไป..
ซึ่งฮิตเล่อร์ขานรับ..ว่า ต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับกลุ่มหัวหอกคอมมิวนิสต์ทันที..โดยเสนอว่า ให้แขวนคอพวกมันในวันนั้นเลย..
แต่ท่านปธน...ไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้..แต่ขอให้ดำเนินไปตามกฏหมาย คือ มีการสืบสวนและลงโทษตามบัญญัติ
สรุปว่า..หลุดจากการแขวนคอก็จริง..แต่ผู้ถูกกล่าวหานั้นรับโทษเท่าเทียมกับตาย..นั่นก็คือ ถูกส่งไปยังค่ายนรก..ที่เหลืออยู่ต่างก็โดน"ไข้โป้ง" กันไปตามๆกัน
ที่พอไหวตัวทันก็พากันหลบหนีออกนอกประเทศ..แต่พรรคสังคมประชาธิปไตย หรือ Social Democrat Party (SDP) ที่เอียงซ้ายนิดๆนั้น...ฮิตเล่อร์ยังต้องเก็บไว้อยู่ เพราะฐานเสียงของพรรคนี้คือกลุ่ม
คาธอลิคที่จำนวนมาก..ที่เขาต้องการให้มาสนับสนุนในสภา
ในชั้นแรกของการเถลิงอำนาจ...ฮิตเล่อร์ได้เข้ามาควบคุมกลุ่มสหภาพแรงงานทั้งหมด..ส่งพวกปากดี หัวแข็ง พวกที่ชอบต่อต้านเข้าค่ายนรกไป..ที่เหลือ..ก็เอาเข้ามารวมอยู่ในสังกัดนาซี
จากนั้นฝ่ายตรงข้ามนาซีทั้งหมด..ก็ถูกละลายและกำจัดเรียงตัวไป...นักโทษการเมืองในค่ายนรกได้เพิ่มจำนวนขึ้นเป็น แสนห้า...ในปีแรกที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
ต่อมาเกสตาโปก็รับช่วงต่อ...คือการส่งนักโทษ..ระดับหัวขโมย..โสเภณี..เร่รอนขอทาน.. รักร่วมเพศ เข้าค่ายตามกันไป..
เท่ากับว่า..เยอรมันในยุคนาซีนั้น...คือเผด็จการอย่างเต็มรูปแบบ...เคียงคู่ไปกับ อิตาลี ที่มีผู้นำ คือ Benito Mussolini...ที่ฮิตเล่อร์ถือว่าเป็นไอดอลในดวงใจ...
ในส่วนดีของการเป็นรัฐบาลเผด็จการนั้น..คือการที่เข้ามาควบคุมเศรษฐกิจแบบเด็ดขาด..ไม่มีการปั่นหุ้น ไม่มีการกักตุนสินค้า..ไม่มีการค้ากำไรเกินควร..โรงงานผลิตตามสั่ง..ขายตามจุด..ขายตามราคาที่กำหนด
ซึ่งได้รับการขานรับจากกลุ่มนายทุนพ่อค้าพอสมควร เพราะถือคติที่ว่า  พอขายได้..ดีกว่า..ขาดทุน..

ถึงจะแข็งขืนกับใครต่อใคร...ฮิตเล่อร์ก็ยังฉลาดพอที่ยอมอ่อนให้กับศาสนา..เพราะพลังทางด้านนี้นั้นแข็งแรงนัก..เขายอมเซ็นสัญญากับพระสังฆราช Pius XI ว่า..เขาจะไม่ยุ่งกับกลุ่มคริสตจักร...ตราบใดที่กลุ่มนี้ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองของเยอรมัน

สื่อทั้งหมด..ได้ถูกควบคุมโดยเกิบเบิ้ลส์..ไม่มีใครมีเสรีในการเสนอข่าวที่จะต้องถูกกลั่นกรองจากเขาแต่เพียงผู้เดียว รวมไปถึงตำราเรียนทั้งหมดในโรงเรียน

สี่ทหารเสือที่เรียงรายรอบฮิตเล่อร์นั้นคือ...Hermann Goering, Joseph Goebbels, Heinrich Himmler และ  Ernst Rohm  
สองในสี่นี้..ที่ทำหน้าที่คล้ายๆกันก็คือ..เกอริง และ รอห์ม  หรือระหว่าง ตำรวจ เกสตาโป กับ  กลุ่ม SA  ซึ่งที่มีหัวหน้าเป็นคนอย่าง รอห์ม...ที่มีอำนาจมาก แถมไม่เคยก้มหัวให้ใคร..แม้แต่กับฮิตเล่อร์

ดังนั้น..แผนขจัดมารได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีใครคาดคิด..จากสามทหารเสือที่รวมรวมเอกสารลับขึ้นเสนอต่อฮิตเล่อร์ว่า..ทั้งหมดคือหลักฐานชี้ชัดว่า..รอห์มกำลังจะทำการล้มล้างฮิตเล่อร์โดยได้รับทุนสนับสนุนจากฝรั่งเศสถึงสิบสองล้านฟรังก์
ฮิตเล่อร์..ไม่เชื่อในหลักฐานนี้ เพราะ เขารู้จักรอห์มดี..เป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกันมาตั้งแต่ต้น..อีกทั้งก็ยังสำนึกในบุญคุณที่ช่วยเหลือกันมา..แต่..ฮิตเล่อร์นั้น..อยากกำจัดรอห์มให้ออกไปพ้นทางด้วยเหตุผลอื่น..
เนื่องจาก..รอห์มเป็นคนที่ปกครองยาก..อีกทั้ง..เขาไม่เคยยอมรับสภาพของการที่เป็นผู้รับคำสั่ง..ในฐานะที่เขามีกำลังพล SA ในมือถึงสามล้านนั้น..มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง..
โดยเฉพาะกลุ่มนายทุนที่หนุนหลังพรรคนาซี..เช่น.. Albert Voegler, Gustav Krupp, Alfried Krupp, Fritz Thyssen และ  Emile Kirdorf นั้น หายใจไม่ทั่วท้อง..ต่างก็ลงมติว่า..พรรคไม่มีทางบริหารประเทศได้อย่างที่ต้องการ
ตราบใดที่..มีคนอย่างรอห์มคุม SA ที่สามารถล้มฮิตล่อร์ได้เพียงชั่ววินาที...
ดังนั้น..ข่าวของการล้มล้างบัลลังก์ฮิตเล่อร์ นั้นมาอย่างเป็นชุด...ในที่สุด..ฮิตเล่อร์ก็ต้อง"ตัดใจ" เขาสั่งเรียกประชุมแกนนำทั้งหมดของ SA ที่ Hanselbauer Hotel เมือง Wiesse
ในวันที่ 29 มิถุนายน 1934  ฮิตเล่อร์พร้อมกับหน่วย Schutz Staffeinel (SS) ได้เดินทางไปถึงโรงแรมที่นัดหมาย..และ..ทำการจับกุมรอห์ม และเหล่าแกนนำ SA ทั้งหมด...
ซึ่งในการนั้นได้มีการยิงกันสนั่น..รอห์ม..ได้รับอนุญาตให้ยิงตัวตาย..แต่ยิ้อกันไปยื้อกันมา...ในที่สุด..เขาก็จบชีวิตด้วยกระสุนของสอง SS  ที่ไม่ชอบการเสียเวลา..
Victor Lutze ได้รับการแต่งตั้งให้มาแทนรอห์มอยู่พักหนึ่ง...แต่..ไม่แข็งพอในการบริหารนักเลง.....ฮิมม์เล่อร์เลยรับช่วงมาดูแลแทน...

ฮิมม์เล่อร์นั้น..เป็นคนที่ไม่ชอบการเสียเวลาเช่นกัน..เนื่องจาก"เสี้ยนหนาม" ของนาซียังมีไม่น้อยในประเทศ แบบลับๆบ้าง..แบบทางการเมืองบ้าง..แบบมาทางสื่อบ้าง..
ดังนั้น..เขาจึงใช้เวลาเพียงหนึ่งวันกับหนึ่งคืน..จัดการเก็บหมด..แบบถอนรากถอนโคน..มันคือการ"ฆ่ายกครัว " หรือที่เรียกว่า..The Night of the Long Knives
ที่ฮิมม์เล่อร์ส่งหน่วย SS ไปตามบ้านของเสี้ยนหนามเหล่านั้น..และจัดการเก็บให้หมดทั้งบ้าน.. ซึ่ง...ใช้เวลาเพียงหนึ่งคืนก็เสร็จหมด..
การกระทำในครั้งนี้...เป็นการยืนยันอย่างเด่นขัดว่า..ฮิตเล่อร์นั้นถืออำนาจเด็ดขาดในการบริหารรัฐบาลนาซี..ที่ยึดถือหลักการการเป็นเผด็จการอย่างสมบูรณ์แบบ...

วันที่ 17 มีนาคม 1935 เป็นวันวีรชนเยอรมันรำลึก และมีการสวนสนาม

ฮิตเล่อร์ได้สั่งการให้ทุกกรมกอง ออกแสดงแสนยานุภาพกันให้เต็มที่
มีการสวนสนามของทุกเหล่าทัพและเป็นการจัดครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อเย้ยเหล่าประเทศสัมพันธมิตรให้รู้ซะมั่ง...ว่าไผเป็นไผ..
เพราะ มันเท่ากับเป็นการฉีกสัญญาแวร์ซายย์ทิ้งอย่างไม่เป็นทางการนั่นเอง
ฝ่ายสพม. ก็เริ่มรู้ตัวกันแล้วทีนี้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดีไปกว่าเรียกประชุมกันระหว่าง รมต.ต่างประเทศ อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี อเมริกา ในวันที่ 11 เมษายน ..

และวันต่อมาคือ 12 เมษายน คณะกรรมาธิการของ League of Nations ได้ออกมาประณามการกระทำของเยอรมันเป็นการโจ่งแจ้ง
แต่ก็ไม่ได้มีการหาญหักด้วยกำลังอย่างใด ทุกอย่างเป็นแค่เสือกระดาษที่ปลิวว่อนไปมา..

โซเวียต ได้เซ็นสัญญาร่วมกับฝรั่งเศสและเชคโกสโลวาเกีย ในการร่วมด้วยช่วยกันการบุกรุกแนวชายแดน ที่อาจพึงมีในกาลข้างหน้า

วันที่ 21 พฤษภาคม ฮิตเล่อร์แอบออกคำสั่งกับกองทัพบก ในการเสริมสร้างอาวุธสงครามให้แน่นหนาหนักหน่วงยิ่งขึ้น และ ยกตัวเองขึ้นเป็นผู้บัญชาการสูงสุด คุมทุกเหล่าทัพ โดยมีนายพล Werner von Blomberg เป็นแม่ทัพกองทัพบก และ
คุมหน่วยสรรพาวุธทั้งหมด

 Werner von Blomberg    



ซึ่งทั้งหมดนี่ ทุกคนต้องเก็บเป็นความลับยิ่งชีวิต เพราะ ตัวฮิตเล่อร์เอง พร้อมทั้ง เกิบเบิลส์ ได้ตระเวนออกประกาศ
ปาวๆว่า “สงคราม คือ ทางออกของคนสิ้นคิด” หรือ “สงครามไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องการ มันเป็นสิ่งที่น่าะพรึงกลัว !!”
แถมยังยกยออังกฤษแถมเข้าไปด้วยซะอีกว่า ใครจะไปเทียบอานุภาพของกองทัพเรืออังกฤษได้เล่า อย่างเยอรมันน่ะ ไม่ติดฝุ่น
35 ต่อ 100 เนี่ยนะ(หมายถึงจำนวนเรือรบ)..คร๊ายย คราย จะไปสู้ได้ !!

แต่ในขณะเดียวกัน เยอรมันก็ได้ค่อยๆเขยิบเข้าไปใน Saarland โดยการชักโยงใยให้ประชาชนชาวเยอรมัน(ที่ถูกตัดแบ่งเค้กตอนแยกดินแดนไป) ให้ลุกขึ้นมาโหวตว่า
ต้องการที่จะรวมตัวกับแผ่นดินเยอรมันเหมือนเดิม..และ สำเร็จเสียด้วย เพราะไม่มีใครมาขัดขวาง
เท่านั้นไม่พอ..ยังคิดจะล่วงล้ำเข้าไปใน Rhineland (รอยต่อของชายแดนฝรั่งเศส เยอรมัน) ด้วยเหตุผลเดียวกัน


ฝ่ายมุสโสลินี ชักไม่ชอบใจ เพราะ ถ้าฮิตเล่อร์ทำได้..อิตาลีก็จะมาอยู่เฉยๆทำไม ก็เอาอย่างบ้างดิ..
ในเดือน ตุลาคม 1935 กองทักอิตาลี เคลื่อนเข้าไปบุกรุกยึดครองเอธิโอเปียแบบหน้าตาเฉย แต่คราวนี้การณ์กลับกัน เพราะ LON {League of Nations}ได้ลุกขึ้นต่อต้าน ปฏิบัติการแซงชั่นแบบทันที
แต่การประท้วงนั้นนั้น
ไม่ได้เกิดผลอะไรสักนิด นอกจาก..ประกาศตัดหางอิตาเลี่ยนปล่อยวัด..
ซึ่ง..ฮิตเล่อร์ ได้นั่งหัวเราะเอิ้กอ้ากไปซิ เพราะ เท่ากับว่า..อิตาลีกับสพม. ได้แตกคอกันเอง โดยที่เขาไม่ต้องออกแรงยุยงสักนิด !!

วันที่ 15 ตุลาคม...เป็นวันที่ฮิตเล่อร์ได้ทำการเปิดวิทยาลัยยุทธศึกษา เพื่อฝึกหัดทหาร ขึ้นมาใหม่ หลังจากที่ปิด
ไปตั้งแต่ตอนหลังแพ้สงคราม(1920)
และในเดือน กุมภาพันธ์ ของปีต่อมา.ฮิตเล่อร์ได้ทำการประท้วงในข้อตกลงของสัญญาป้องกันอาณาจักร ระหว่าง ฝรั่งเศส เชคโกฯ และ โซเวียต ที่ได้ทำกันเอาไว้ อย่างเอาจริงเอาจัง..โดยกล่าวหาว่า..นี่คือ การคุกคาม
สันติภาพของยุโรป...
แต่ไม่ได้ส่งผลอะไร..เพราะเชคโก ก็ทำเฉย..ฝรั่งเศส ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้

ฮิตเล่อร์...โมโหจนหน้าเขียว เดือดดาลถึงขนาดออกรายการด่าข้ามประเทศ และมิหนำซ้ำทำท่าจะท้าตีท้าต่อยเอาซะอีก
จนเหล่าบรรดานายทหารระดับยอดขุนพล ต้องออกมาเตือนให้เพลาๆเสียงซะหน่อย
เนื่องจาก ทหารกรมกอง 36 หน่วยจู่โจมนั้น ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเลย..
แต่..ฮิตเล่อร์เป็นนักลักไก่ที่โชคดีที่สุดในโลกก็ว่าได้..
เพราะ ในเดือน มีนาคม เขาบอกกับพวกทหารว่า ถึงเวลาแล้ว..ที่จะเข้าไปบุก ยึดเอา Rhineland กลับเข้ามาสู่อ้อมอกของเยอรมันอย่างเดิม..
ซึ่งเขาใช้เวลาเพียงอาทิตย์เดียว กองทัพเยอรมันก็เข้าไปยึดครองพื้นที่ของ Rhineland หน้าตาเฉย
และนี่คือครั้งแรกที่เยอรมันได้กล้าย่างเท้าเข้ามาในดินแดนนี้หลังจาก 1918
สนธิสัญญง สัญญาอะไร ไม่สนใจ มีอะไรอ้ะป่าววว !!

Nazi in  Rhineland 

หลังจากการเข้ายึดครองเสร็จ ฮิตเล่อร์ได้ขึ้นไปป่าวประกาศท้าทายชาวบ้านเขาไปทั่ว..
แต่ก็ยังไม่วาย อ้างว่า ทำไปเพื่อสันติภาพของชาวเยอรมันจำนวนล้านๆที่ค้างอยู่ในดินแดนนี้..
ฝ่ายเสนาธิการทั้งหลาย ถึงกับหนาวๆร้อนๆ รีบเตือนให้ฮิตเล่อร์เคลื่อนย้ายกำลังออกไปเถอะ..เพราะข่าวมาว่า
อังกฤษ กับ ฝรั่งเศสเริ่มมีการหารือกันอย่างเป็นงานเป็นการ แถมโปแลนด์กำลังจะเข้ามาแจมเอาซะด้วย บอกว่า
ถ้าฝรั่งเศสจะเล่น ก็ขอเล่นด้วย..

นายพลทั้งหลาย รวมทั้ง แม่ทัพบก นายพล von Blomberg ต่างวิ่งกันวุ่น ขอร้องก็แล้ว เตือนก็แล้ว เพราะ ถ้า
หากว่า ฝ่ายสพม.เกิดเคลื่อนทัพมาจริงๆละก้อ
รับรองว่า.. ขายหน้าเขาไปทั้งโลก
เพราะอาวุธปืนของเยอรมันตอนนั้น มีคุณภาพไว้ใช้แค่ยิงนกยิงหนูได้เท่านั้น..
ส่วนเครื่องบินก็คือของโละเก่าๆ
สองสามลำ รุ่น 52s ลุฟฮันซ่า เหลือใช้สงครามจากคราวที่แล้ว
แต่ฮิตเล่อร์ก็ยังเฉย..48 ชั่วโมงของการรอคอยที่แสนกระวนกระวาย หายใจไม่ทั่วท้องของเหล่าทหารทุกนายได้ผ่านพ้นไป
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิด ไม่มีการตอบรับ หรือต่อต้านจากฝ่ายสพม.

เป็นอันว่า..ชัยชนะเป็นของฮิตเล่อร์อย่างขาวสะอาด ท่ามกลางเศษหน้าที่แตกกระจายเกลื่อนของเหล่าเสนาธิการทุกเหล่าทัพ
หลังจาก สองวันได้ผ่านไป..ฮิตเล่อร์ได้ขึ้นรถไฟกลับไปมิวนิค..
และทายซิว่าอะไรได้เกิดขึ้น....??

ทันที่ที่รถไฟเทียบชานชาลา
นายสถานีได้นำโทรเลขด่วนมาให้..จากพระเจ้า เอ็ดเวิร์ดที่แปด พระเจ้าแผ่นดินอังกฤษ
ข้อความว่า..ดีใจและเห็นด้วย ที่เยอรมันได้มีการรวมตัวกับเหล่าพี่น้องที่กระจัดกระจายกันอีกครั้ง และพระองค์
ถือว่านี่คือเรื่องในครอบครัวที่ต้องจัดการกันเอง
พระองค์จะไม่ยื่นพระหัตถ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย..!!
ฮิตเล่อร์อ่านจบก็ยิ่งฮึกเหิม เพราะ นี่คือชัยชนะแบบสองต่อสามต่อ
โดยไม่ต้องเสียกระสุนสักนัด..

และคราวนี้ เขากลับยิ่งเห็นสัจจธรรมเพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง..
นั่นคือ พวกทหาร(อาชีพ)ที่เขาเคยกลัวนักกลัวหนาในอดีตนั้น..
ความจริงแล้ว..ไม่มี "น้ำยา" แม้แต่นิด
มันสมองเทียบชั้นสิบโทออสเตรียนอย่างเขาไม่ได้เลย..มันคนละชั้น !!


และแน่นอนว่า ต้องมีการสั่งสอนเหล่าขุนพลกันซะหน่อย ฮิตเล่อร์กลับมาถึงก็ปูนบำเหน็จความดีความชอบทีเดียว
เช่นประกาศแต่งตั้งนายพล von Blomberg แม่ทัพ ให้เป็นจอมพลคนแรกของรัฐบาล
และ พันเอก von Fritsch ให้เป็นนายพล..รวมไปยังตำแหน่งอื่นๆรองลงไปด้วย
แต่..เครื่องแบบยังตัดไม่เสร็จ เข็มเครื่องหมายยังไม่ได้ติด เสียงไชโยโห่ฮิ้ว ยังไม่ทันจางหาย..ฮิตเล่อร์ก็ยกเลิกคำ
สั่งทั้งหมด.แบบหน้าตาเฉย !!

Werner Freiherr von Fritsch

และจากจุดนี้เอง ที่ฮิตเล่อร์เริ่มเชื่อฟังตำราพิชัยสงครามของกองทัพ น้อยลง น้อยลง ทุกที เสนาธิการเริ่มหมดความสำคัญไปอย่างเห็นได้ชัด
และเหล่าทหารเองก็รู้สึกอึดอัด เพราะไม่ว่าจะอธิบายการศึกอย่างไรก็ไม่มีผลใดๆกับท่านผู้นำ เพราะ ในที่สุดทุกคนก็ได้รู้ว่า
สิ่งที่ฮิตเล่อร์ต้องการอย่างแท้จริง นั่นก็คือ สงคราม
เขาเริ่มวางนโยบายรุกในทางตะวันออก..นั่นคือ บุกโปแลนด์ ซึ่วหมายถึง ต้องเจอกับศึกสองชั้น คือ โปแลนด์ แล้วก็ รัสเซีย..
ซึ่งอันเป็นสิ่งที่ใครๆรู้ว่า มันออกจะเกินกำลังของกองทัพที่เพิ่งฟื้นตัวจากการแพ้สงคราม ถึงแม้ว่า ฮิตเล่อร์จะบอก
ว่า เขาจะเอาญี่ปุ่นมาเป็นแนวร่วมก็ตาม
แต่มันช่างห่างไกลกันถึงคนละซีกโลก..

และการที่ขัดแย้งนี้ ฮิตเล่อร์เริ่มเอาพวกนายพลทหารพวกนี้ขึ้นหิ้งแขวน พร้อมทั้งส่งเสริมทีมงานของตัวอย่างออกหน้าออกตา

ฮิมม์เล่อร์ เห็นเป็นโอกาสอันดี ที่จะเหยียบหัว ข้ามบ่าใครต่อใครขึ้นไปนั่งแท่นในคราวนี้ โดยการใส่ใคล้ ป้ายสี
กลุ่มนายพล von Fritsch ว่า พวกนี้กำลังคิด
ก่อการล้มล้างรัฐบาล และกำลังจะนำไกเซอร์กลับมาครองเมือง
และไม่ใช่ฮิมม์เล่อร์คนเดียว..ยังมีผู้ช่วยของเขาอีกคน คือนาย Reinhard Heydrich อดีตนายทหารเรือ อายุ 32 ปี ผู้ที่ถูกไล่ออกจากราชการด้วยข้อหาปลุกปล้ำทำอนาจารเด็กสาว มาช่วยกันกระพือข่าวเป่าหูเจ้านายกันเป็น
การใหญ่

Heydrich Reinhard

สำหรับนาย Heydrich คือการแก้แค้นที่ถูกตั้งกรรมการพิจารณาโทษจนถูกไล่ออกจากราชการ
ทุกอย่าง ได้ผลลงล๊อค..ฮิตเล่อร์ได้แต่งตั้งให้นาย Heydrich เป็นหัวหน้าหน่วย SD
(กองอารักขาและหน่วยสืบสวนของ SS) และเป็นหัวหน้าหน่วยเกสตาโป ควบคู่ไปด้วย..
ที่มีผลพลอยได้ที่เป็นกำไรสำหรับเขาคือ ได้ดูแลหน่วย Hitler Youth ที่มีเด็กสาวๆมากมาย..ที่จะให้เขาเลือกจีบ
ได้ตามชอบใจอย่างไม่ผิดกฎเกณฑ์อันใด ...ยิ่งเป็นของชอบๆอยู่ด้วย !!


 ตอนที่เล่าไปว่า ประธานาธิบดีฮินเดนเบอร์กได้มีความคิด(อาจจะ)แต่งตั้งรัฐบาลทหารขึ้นมา..ตอนที่ท่านใกล้สิ้น..
จนฮิตเล่อร์หวาดผวาว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจริง..พรรคนาซีจะกลายเป็นบอนไซ ตอนนั้นน่ะ
นายทหารลูกหม้อน้ำดีในสายตาของประธานาธิบดี ก็คือ
พวกนายพลชุดนี้แหละ..คือ นายพล Werner Freiherr von Fritsch(1880-1939) และ นายพล Werner(เหมือนกัน) von Blomlerg(1878-1946)

สองคนนี่คือทหารลูกหม้อที่จบมาจากโรงเรียนนายร้อย
จะเล่าถึงคนแรกก่อน..von Fritsch
คนนี้ เป็นลูกทหาร ตัวเองจบมาจากโรงเรียนนายร้อยปรัสเซีย เป็นคนที่ยอมหักแต่ไม่ยอมงอคนหนึ่ง..เคยผ่านสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาอย่างวีรบุรุษ รบเคียงบ่าเคียงใหล่มากับท่านประธานาธิบดี จนได้รับการสดุดีไปทั่ว
อีกทั้งตำแหน่งก็อยู่ในระดับต้นๆของกองทัพ และเขาคือคนหนึ่ง ที่ประกาศตัวเองว่า ไม่ขอยุ่งกับการเมืองโดยเด็ดขาด
หน้าที่ของทหารคือรบ และ รบ..เพื่อความอยู่ยงของประเทศชาติเท่านั้น..
(และเขาคนนี้แหละ ที่ฮิตเล่อร์เคยกลัวใจหนักหนา)
จนมาได้รับตำแหน่งผบ.ในด้านจัดสรรกำลังพล และเพิ่มกำลังอาวุธ ในรัฐบาลนาซี ปี 1935
จนปี 1937 ในระหว่างการประชุมที่ Hossbach ฮิตเล่อร์ได้ประกาศถึงนโยบายที่จะบุก ออสเตรีย และ เชคโกฯ
โดยการใช้กำลังในทุกรูปแบบ
Von Fritsch มีความเห็นที่ขัดแย้ง..เพราะ เขาได้บอกว่า นี่คือชนวนแห่งการเกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ในยุโรป
และเยอรมันนั้น ยังไม่พร้อมในแสนยานุภาพด้วยประการทั้งปวง
ฮิตเล่อร์..กราดเกรี้ยว ด้วยเข้าใจว่า ทหารเยอรมันนั้นขี้ขลาด เลี้ยงไปก็เสียข้าวสุก
(เอ๊..หรือขนมปังหว่า?)
ฮิมม์เล่อร์ และ เฮดริช ถือเป็นโอกาสอันดีในการช่วยประชุมเพลิง จะได้ขจัดพวกทหารออกไปให้พ้นทาง
ด้วยความอิจฉาที่สะสมในใจมานาน..!!

ว่าแล้ว..ฮิมม์เล่อร์ก้อจัดการวางแผนกับ
เฮดริชสมุนมือขวาในฐานะที่มีทั้งหน่วย SS และ เกสตาโป อยู่ในมือ
จึงสร้างหลักฐานพยานเท็จขึ้นมา..

หลักฐาน คือ ข้อความที่มีการติดต่อขอจ่ายค่าปิดปากให้กับ เกย์ขี้คุกคนหนึ่งที่ชื่อ Hans Schmidt เพื่อขอร้องให้
ปิดปากถึงความสัมพันธ์ที่เคยมี
พยานเท็จ คือ ตัวนาย Hans Schmidt นี่แหละ ที่มาชี้ตัวกันจะจะไปเลย ว่า ท่านนายพลคืออดีตคู่ขา
ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะ von Fritsch คือ นายพลที่โสดสนิท..
ฮิตเล่อร์..เมื่อเห็นพยานหลักฐานพร้อมขนาดนั้น จึงสั่งปลดนายพลโดยใช้ข้ออ้างต่อประชาชนและสื่อว่า นายพล
ขอลาออกเพราะมีปัญหาสุขภาพ ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1938
(และมีการสั่งปลดแม่ทัพ von Blomberg ด้วยในคราวเดียวกัน.. เดี๋ยวค่อยเล่าไป ทีละคน)

เขาออกมาสู้คดีต่อข้อกล่าวหาทั้งหมดในชั้นศาล(ทหาร)เพื่อความโปร่งใสของตัวเอง
ซึ่งเขาได้ชนะคดีในที่สุด เพราะ นาย Han Schmidt ที่ถูกจ้างวานมา เงอะงะ ข้อมูลเหลวไหล และหนีความจริงไปไม่พ้น..
แต่อย่างที่บอกมาแล้วว่า von Fritsch เป็นคนยอมหักไม่ยอมงอ ก่อนลงจากศาล..
เขา ได้ขอท้าดวลกับฮิมม์เล่อร์ ว่า
"เมิง..มาเลย มายิงกันกะกรู คนละนัด เอาป่ะ?"
แต่ไม่มีเสียงตอบใดๆจากฝ่ายที่ถูกท้า..
Von Fritsch ได้เขียนจดหมายไปหาเพื่อนรักคนหนึ่งคือ
Baroness Margot von Schutzbar เล่าว่า..
"นายคนนี้ (เขาหมายถึงฮิตเล่อร์) คือ คนที่จะนำเยอรมันไปพบกับจุดจบอย่างน่าอนาถที่สุด"
จดหมายลงวันที่ 2 ธันวาคม 1938

ต่อมา..เขาได้ถูกเรียกให้กลับเข้ารับราชการ ในตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยทหารปืนใหญ่ ในสงครามโปแลนด์
และความที่เขาถูกกดดันสารพัดจากแรงอิจฉาของปีศาจในเครื่องแบบทหาร
จนรู้ว่า..เขามีทางเลือกอยู่สามทาง คือ
1. ตายด้วยปืนของตัวเอง
2. ตายด้วยปืนของฝ่ายเดียวกัน
3. ตายอย่างนักรบ อย่างวีรบุรุษ ซึ่งเขาเลือกทางนี้

ในตอนที่เกิดการปะทะ วันที่ 22 กันยายน 1939 ในแนวรบที่ Praga ใกล้กรุง Warsaw
ต่อหน้าลูกน้องทั้งกรมกอง..เขาเดินตรงออกไปรับห่ากระสุนจากฝ่ายตรงข้ามแบบดื้อๆ..
อันเป็นการยอม(ฆ่าตัว)ตายในสนามรบอย่างวีรบุรุษ โดยแท้จริง!!


 นายพลคนต่อไป คือ Werner von Blomberg 1878-1946 (ในหนังสือบางเล่ม อาจเขียนชื่อแรกว่า Walter)คนนี้ก็เช่นกัน ที่เป็นลูกทหาร สายเลือดทหาร..และเป็นผู้ที่ได้นำทหารทั้งหมดเข้าทำคำสัตย์ปฏิญาณ ที่จะรักษา
เสถียรภาพของเยอรมันยิ่งชีพ และจะจงรักภักดีต่อผู้นำรัฐบาล
อีกทั้ง..จะไม่เข้าไปยุ่ง แทรกแซงในเรื่องของการเมืองใดๆ
ตามเจตนารมณ์ของท่านประธานาธิบดีผู้ที่เพิ่งล่วงลับไป..

ฮิตเล่อร์ได้แต่งตั้งให้ ท่านนายพลคนนี้เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของ Wehrmacht ในปี 1935
เขาคนนี้แหละ..ที่ไม่เห็นด้วยกับการฝ่าฝืนละเมิดสนธิสัญญาในการที่ยกทัพเข้าไปใน Rhineland และเป็นคนที่
พยายามสอนถึงเรื่องการสงครามชนิดที่มีแบบแผน ซึ่งเป็นที่หมั่นใส้ของ เกอริง, ฮิมม์เล่อร์ และ เฮดริช อย่างที่สุด..
ในที่สุดเวลาแห่งการดับรัศมีก็มาถึง..

นายพล von Blomberg คนนี้ เป็นพ่อม่ายมาหลายปี แต่ในปี 1938 เขาก็ไปตกหลุมรักกับสาวคราวลูกคนหนึ่ง ชื่อว่า Eva Gruhn
ถึงกับมาขอให้ฮิตเล่อร์ และ เกอริง ไปเป็นสักขีพยานในการแต่งงานอย่างใหญ่โตหรูหรา
ซึ่ง..ไม่ใช่เฉพาะ ฮิตเล่อร์และเกอริงเท่านั้น..ใครต่อใครล้วนแต่ใหญ่โต ก็พากับไปเป็นไม้ประดับในงานอย่างเอิกเกริก

หลังจากนั้นไม่กี่วัน..ด้วยฝีมือของเกสตาโป รูปภาพพร้อมกับประวัติของ Eva Gruhn ได้ออกมาตีแผ่ วางอยู่ต่อหน้าฮิตเล่อร์ ว่า
ในอดีตนั้น เธอคือ ผู้หญิงโสเภณีราคาถูกๆคนหนึ่ง ที่หารายได้ด้วยการแสดงหนังสด และถ่ายรูปอุบาทว์..

แน่นอน..ว่าฮิตเล่อร์โกรธจนหนวดกระดิก เพราะนี่มันเป็นการหลอกลวงกันอย่างชัดๆ ที่บังอาจมาเชิญ
ท่านผู้นำอย่างเขาไปเป็นสักขีพยานให้กับหญิงงามเมืองเนี่ยนะ..
อ้ะ อ้ะ..อย่าบอกนะว่า ไม่รู้มาก่อน
เป็นถึงนายพล..ถ้าโง่กว่าผู้หญิงหากิน ก็ไปตายซะไป๊..!!
แถมบรรดาลูกสมุน อย่างเกอริง ผู้ที่อยากได้ตำแหน่งของนายพลจนตัวสั่น ก็ช่วยโหมโรง ใส่ไฟ แบบไม่มีเว้นวรรค

ที่สุด..ฮิตเล่อร์ก็เรียก นายพลมาบริภาษ กราดเกรี้ยว
คำตอบอย่างอาจหาญจากนายพลนักรัก ว่า..
"มันเป็นความผิดพลาดครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เขาผู้เป็นสามีสามารถให้อภัยได้ แล้วคนอื่นมาสะเออะอะไรเหรอ?"

สรุปว่า..ฮิตเล่อร์ บังคับให้ลาออกไป แล้วเท่านั้นไม่พอ เนรเทศให้ออกไปนอกประเทศด้วย เพราะ อับอายอดสูใจ
(ที่ดันไปยืนซะโก้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว)... ในวันที่ 4 กรกฏาคม 1938

สรุปว่า นายพล von Blomberg เลือกเอาความรักเป็นใหญ่ พาเมียออกไปใช้ชีวิตอยู่ที่ คาปรี, อิตาลี แต่ก็อยู่ได้ไม่กี่ปี พอเยอรมันแพ้
เขาก็ถูกจับตัวให้อยู่ในค่ายเชลย (POW) โดยทหารอเมริกัน และเสียชีวิตในค่ายเมื่อเดือนมีนาคม 1946 อายุสิริรวมได้ 68 ปี


มาถึง..นาย Heydrich Reinhard (1904-1942) มือขวาของฮิมม์เล่อร์ และเป็นคนที่สรรหาวิธีสารพัดในการกำจัดยิวในทุกดีกรีของความโหดร้าย เรียกได้ว่าเป็นคนออกแบบ
"Final Solution" ตัวจริงเสียงจริง..

มาดูประวัติของเขาดีกว่า..
ครอบครัวของเขาทั้งพ่อและแม่เป็นนักดนตรีนักแสดงละครเวที
และตัวของเขาเอง..ก็มีความสามารถทางด้านสีไวโอลินได้อย่างเพราะพริ้งนัก จนอายุครบเกณฑ์ในช่วงที่บ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟ (1919) เขาจึงได้รับอิทธิพลของการสงครามโดยการนำตัวเข้าไปรวมกลุ่มเยอรมันเสรี (Free Corps = Freikorps)
และต่อมาก็มาสมัครเป็นทหารเรือ ในหน่วยของ นายพล Wilhelm Canaris (คนนี้สำคัญนะ เดี๋ยวเล่า) ซึ่งเป็นทั้งนายและอาจารย์ของนายเฮดริช
แต่ตัวเองไม่รักดี ดันไปปลุกปล้ำทำอนาจารกับเด็กสาวซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นธิดาของนายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่เช่นกัน
โทษครั้งนี้ถึงกับต้องถูกปลดประจำการ จึงมาสมัครเข้าในหน่วยของ SS โดยใช้การทำงานในขบวนการ FC มาเป็นเกียรติประวัติ

และ..เผอิญว่าถูกชะตากับฮิมม์เล่อร์เข้าอย่างจัง จึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งพรวดๆ จากการเป็นทหารเรือไม่มียศอะไร จนมาเป็น พันตรีในหน่วย SS ในปี 1931
และ พันเอกของหน่วย SD ในปีถัดมา และมาเป็นรองผบ. SS ใน
กลางปี 1934 เพราะเป็นการปูนบำเหน็จรางวัลที่ปลิดชีวิตร้อยเอก Rohm ได้ทันอกทันใจท่านผู้นำ
ต่อมาในปลายปี 1934 ปีเดียวกันนี่แหละ..ได้เป็นพลตรี ในหน่วย SS
ยศเลื่อนไว ราวกับติดจรวด มั๊ยล่ะ.??

จะว่าไปแล้ว นายเฮดริชคนนี้ก็ทรงเสน่ห์หยอกอยู่เมื่อไหร่..
ผมทอง ตาโศก สูงขาวเข่าดี แฝงไว้ด้วยความดุดัน โหดเหี้ยม ดูๆไปก็เปรียบได้ราวนายแบบของเผ่าอารยันที่ฮิตเล่อร์จินตนาการไว้เชียว..
คุณสมบัติก็ไม่ใช่ขี้ขี้ เพราะเป็นนักกีฬาฟันดาบที่มีฝีมือ นอกเหนือไปจากความสามารถแสนพิเศษอย่างอื่น เช่น
การขี่ม้าบังคับม้า, เป็นนักบิน และ เป็นนักดนตรีที่มีความชำนาญในการเล่นไวโอลิน
ซึ่ง..ไม่แปลกอะไร ..ที่ฮิมม์เล่อร์จะเห็นว่าเขา"เด่น" กว่าคนอื่นๆ
ถึงขนาดไว้ใจมอบตำแหน่งหัวหน้าของเกสตาโปที่มีศักดิ์และสิทธิเทียบเท่าพระเจ้าให้อย่างเด็ดขาดในปี 1936

เขาได้ใช้อำนาจล้นฟ้าที่มี สนองพระเดชพระคุณให้กับจ้าวนายอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง โดยการทำทารุณกรรม
ต่อชาวยิวได้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ ยึดทรัพย์ เนรเทศ(ให้ออกไปอดตาย) รวมไปถึงการส่งตัวไปยังโรงงานนรก หรือ
ค่ายมรณะ..จนได้ฉายาว่า
"ไอ้ปีศาจผมทอง" หรือ The Blond Breast
และตัวอย่างของวิกฤติที่เกิดขึ้นกับนายพลสองคนข้างบนนั้น มาจากฝีมือของเฮดริชทั้งสิ้น..!!
งานที่สำคัญของ เฮดริช คือการกวาดต้อนและเนรเทศชาวยิวอย่างที่เล่ามา
(อันเป็นขั้นต้น ที่ทวีความรุนแรงในทีหลัง)
จนทำให้เกิดเหตุการณ์ที่จัดได้ว่าเป็น
โศกนาฎกรรมครั้งยิ่งใหญ่ นั่นคือ
The Crystal Night Pogrom หรือที่รู้จักกันว่า Kristallnacht
ในเดือน พฤศจิกายน 1938 ที่ชาวเยอรมันและกลุ่ม SS ลุกขึ้นมาทำร้ายร่างกาย ทำลายร้านค้าทุบกระจกแตกกระจายทั่วเมือง เผาโรงสวด
เนื่องจาก การกระทำของชายชาวยิวคนหนึ่ง..ที่ถูกกดดันเสียจนต้องหาทางออก..

นั่นคือ..
หลังจาก 1935 กฏหมายนูเรมเบอร์คที่จำกัดสิทธิชาวยิวได้ออกมาแต่ไม่ได้มีผลใช้ในทันที เพราะ เบอร์ลินได้เป็น
เจ้าภาพในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก..จึงต้องออกมาแสดงภาพที่ดีต่อสายตาชาวโลก ในการยกเลิกป้าย"ยิวห้ามเข้า" ไปชั่วคราว..
จนชาวยิวชักเริ่มตายใจ นึกว่า ล้อเล่งงง...

จนมาในปี 1938 จึงเริ่มบังคับใช้..ส่งผลให้ชาวยิวโปล์ ต้องถูกเนรเทศกลับไปยังโปแลนด์มากมาย..รวมไปถึงครอบครัว Grynszpan ที่ได้มาตั้งบ้านเรือนทำมาหากินอยู่ในเยอรมันตั้งแต่ 1911 แต่ก็ยังไม่วายถูกยึด
ทรัพย์ทั้งหมด และเนรเทศกลับไปยังโปแลนด์

ตัวลูกชายวัย 17 ปี ชื่อว่า Herschel ที่เผอิญว่าอาศัยอยู่กับลุงที่ฝรั่งเศส พอรู้ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของตัวเข้า..จึงเกิดอาการฟิวส์ขาด เขาไปที่สถานทูตเยอรมัน(ในฝรั่งเศส)
พร้อมด้วยพัสดุที่มีปืนซ่อนอยู่ข้างใน โดยบอกเจ้าหน้าที่ว่า ต้องการพบท่านทูตเพราะมีของ "สำคัญ" มามอบให้..
แต่..วันนั้นทูตไม่อยู่ นาย Ernst vom Rath เลขานุการส่วนตัวจึงออกมารับของแทน..ซึ่งมันกลายเป็นกระสุนที่สาดออกมาจากปืนในมือของเด็กหนุ่มชาวยิว นามว่า Herschel
ผลคือ..ท่านเลขาไปตายที่โรงพยาบาลในสองวันต่อมา

Herschel  Grynszpan

และจากการกระทำนี้ ส่งผลให้ฮิมม์เล่อร์และ
เฮดริชถือเป็นโอกาสล้างแค้นกับชาวยิวอย่างสาสม
ในการเปิดฉากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นับตั้งแต่คืนนั้น.. คืนแห่งกระจกพินาศ 9-10 พฤศจิกายน 1938 เป็นต้นมา

Kristallnacht

เฮดริช ต้องทำการทารุณชาวยิวอย่างไม่ให้มีขาดตกบกพร่องอย่างนี้ เพื่อเป็นการปกปิดอำพรางชาติตระกูลตัวเอง
เนื่องจากความที่เป็นคนเติบโตเร็วในหน้าที่การงาน จนเกิดความหยิ่งยะโส
เที่ยวเบิ้ลทับใครต่อใคร ใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบแม้กระทั่งอดีตผู้บังคับบัญชาก็ไม่ได้ละเว้น
นั่นคือ แม่ทัพเรือ นายพล Canaris ที่ทนไม่ไหวถึงกับต้องเอาประวัติเก่าๆมาแฉว่า
ที่แท้แล้ว..เฮดริช ก็คือ ลูกหลานชาวยิวคนหนึ่ง ที่ได้ไปแก้ประวัติตัวเองมาหลายต่อหลายครั้ง
แต่ฮิตเล่อร์และฮิมม์เล่อร์ เลือกที่จะฟังข้อแก้ตัวมากกว่า นายนี่เลยรอดตัวไป..
แต่กระนั้นก็ต้องทำเป็นเกลียดชังชาวยิวเพื่อให้สมบทบาท

จนต่อมาในปี 1941 ที่เยอรมันได้เข้าครอบครอง เชคโกฯ เฮดริชเข้ารับหน้าที่ใหญ่นั่นคือ การเข้าล้างเผ่าพันธุ์ให้
เป็นเรื่องเป็นราวไปตามขั้นตอน โดยที่ไปประจำที่ศูนย์ในกรุง Prague และด้วยความที่เหิมเกริมต่อความยิ่งใหญ่
เขามักไปไหนมาไหนด้วยการทำเต๊ะจุ๊ยนั่งรถเปิดประทุนอวดสาว ไม่มีองครักษ์ติดตามให้เกะกะ

จนวันที่ 27 มิถุนายน 1942 ขณะที่กำลังขับรถกินลมชมวิวที่ชานเมือง village of Lidice อยู่นั้น หน่วยจารกรรม
ชาวเสรีเชคสองคน ที่ลอบโดดร่มเข้ามาจากอังกฤษได้สาดกระสุนใส่แบบไม่นับ
รวมทั้งเพื่อความมั่นใจ กลิ้งน้อยหน่าเข้าใต้ท้องรถอีกต่างหาก
เขาก็ทนทายาท อยู่ในห้องฉุกเฉินพะงาบ พะงาบ มาได้จนถึงวันที่ 4 กรกฎาคม จึงสิ้นใจ !!
แต่..หน่วยจารกรรมสองคนนั่น พร้อมกับชาวบ้านไม่ว่าหญิงชาย เด็กเล็ก ทั้งหมู่บ้านถูกหน่วย SS ฆ่าตายเรียบไม่
เหลือแม้กระทั่งสาธุคุณในโบสถ์
เพื่อเป็นการแก้แค้น..ให้กับ Heydrich Reinhard ...The Blond Beast !!!



ในปี 1936 เยอรมันได้เป็นเจ้าภาพในการจัดกีฬาโอลิมปิคภาคฤดูร้อน ซึ่งการล๊อกนี้ได้ทำการตกลงกันมาตั้งแต่ปี 1931 แล้วตอนนั้นยังไม่ใช่ยุคของรัฐบาลนาซีด้วยซ้ำ
แต่..มันจะเป็นการโฆษณาถึง
แสนยานุภาพของนักกีฬาเผ่าอารยันที่ฮิตเล่อร์คุยนักคุยหนาว่าเก่งกว่าชาติไหนๆ
ปัญหามันก็คือ กีฬาโอลิมปิคนี่
เป็นกีฬาแห่งนานาชาติ
แล้ว พวกยิวล่ะ พวกนิโกรล่ะ..ว้า..ไม่เอางะ ฮิตเล่อร์ชักจะรวนเร อยากเปลี่ยนใจเต็มที่
แต่เกิบเบิลส์ ชี้แนะให้เห็น
ถึงความสำคัญต่อสายตาของชาวโลกมาเป็นอันดับหนึ่ง
อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง..ในที่สุดฮิตเล่อร์ก็คล้อยตาม ยอมลงทุนให้งบประมาณจัดงานถึง ยี่สิบล้านมาร์ค หรือ แปดล้านเหรียญ สรอ.

แต่มีข้อแม้เยอะแยะ..เช่น นักกีฬาตัวยง ตัวเก่ง มือเหรียญ มือถ้วย คนไหนก็ตาม ถ้าเพียงแต่มีเชื้อสายยิว หรือยิบซี ไม่ว่ามากหรือน้อย ไม่ได้รับการคัดตัว..
ฮิตเล่อร์ตั้งใจให้เป็นกีฬาครั้งนี้ เป็นการแข่งความสามารถของเผ่าพันธ์มากกว่า(โดยเป็นที่รู้กัน)
ชุดแรกที่โดน คือ Eric Seelig, Johann Trollman นักมวยแชมป์สมัครเล่น..ที่โดนปลดออกจากทีม (เลยไปได้ดีอยู่ในอเมริกาตอนหลัง)
ต่อมา..คือ Daniel Prenn นักเทนนิสมือทอง และคนสำคัญดาราเด่นกระโดดสูง คือ Gretel Bregmann
เพราะพวกเขามีเชื้อสายยิว

Gretel Bregmann

ข่าวนี้ได้กระจายออกไปถึงหูประธานคณะกรรมการโอลิมปิคเข้า จึงต้องมีการไต่สวนและประกาศเตือนให้ฮิตเล่อร์รู้ว่ากีฬา

โอลิมปิคนั้น จัดขึ้นเพื่อความสามัคคีที่เป็นพลังจากทุกประเทศในโลก และ ไม่ควรต้องมีเรื่องการ
เมืองมาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
(อันเป็นกฎข้อหนึ่งบัญญัติไว้)
แต่เยอรมันกำลังละเมิดกฎข้อนี้..ขอให้กลับไปคิดดูใหม่ให้ดีๆ เพราะทางโอลิมปิคอาจต้องย้ายสถานที่การจัดงาน
ถ้าหากคำตอบเป็นที่ไม่พอใจ

ในตอนหลัง..ฮิตเล่อร์เลยต้องยอมให้นักกีฬานั้นกลับเข้ามา..

ในที่สุด ทางเยอรมันก็ต้องยอมที่นักกีฬายิวของชาติอื่นมาแข่งขันได้
แต่ทางเยอรมันจะมีแต่เผ่าอารยันล้วนๆ
ฮิตเล่อร์ในฐานะประมุขมีทางเลือกสองทาง คือ จะมอบเหรียญและจับมือกับนักกีฬาทั้งหมดเท่าเทียมกัน หรือ มอบให้คนอื่นมาทำหน้าที่แทน..
ซึ่งเขาเลือกเอาอย่างหลังเพื่อความสะดวกใจ

ในขณะเดียวกัน ทางเยอรมันได้จัดการเทรนนักกีฬาหนุ่มสาวของตัวอย่างเต็มที่ เพราะ นี่คือการแสดงฝีมือครั้งยิ่งใหญ่ต่อสายตาชาวโลก

อเมริกาก็เหมือนจงใจแกล้ง..ส่งนักกีฬาผิวดำเข้าชิงชัยถึง 18 คน ชาย 16 หญิง 2 สามเท่าของโอลิมปิคคราวที่แล้ว 1932 ในนครลอส แอนเจลิส
และประเทศอื่นๆอีกรวมทั้งหมด 49 ประเทศ นักกีฬาทั้งหมด 348 คน
เยอรมันพยายามทำตัวเป็นเจ้าภาพชั้นดี
ป้ายกดขี่ยิวถูกปลดออกไม่มีให้แขกบ้านเขกเมืองได้เห็น ป้ายโฆษณา
กีฬาที่แปะติดอยู่ทั่วไปออกแบบไปทางโรมัน ประเภทนายแบบนางแบบผมทอง ตาสีฟ้า
ยุคกระโน้น เหมือนกับบอกเป็นนัยๆว่า นี่คือกีฬาของชาวอารยันนะเฟ้ย !!

แต่ก็ทำใจถึง..อนุญาตให้ลูกครึ่งยิวเยอรมัน Rudi Ball เข้าแข่งในการแข่งขันสกีที่ภูเขาแอลป์(ภาคกีฬาฤดูหนาว กุมภาพันธ์ 1936)) ด้วย
นักข่าวที่เข้าไปสังเกตการณ์ได้นำความมาเขียนป่าวประกาศว่า
ในกีฬาฤดูหนาวที่ว่านั่น..มีแต่ทหารนาซีแห่กันไปมากมาย โดยไม่ใช่เรื่องของการเมืองสักนิด
ผู้คนด่ากันเพียบ..
ในที่สุดก็ต้องสัญญิง สัญญากันว่า กีฬาภาคฤดูร้อน(สิงหาคม 1936) จะพยายามไม่ให้ทหาร
โผล่หน้าไปอย่างมากมายอย่างนั้นอีก

พอถึงเดือนสิงหาเข้ามาจริงๆ นักท่องเที่ยวทะลักเข้าเบอร์ลินมากมายนับล้านๆคน
แต่ส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้หรอกว่า
ป้ายจำกัดสิทธิยิวนั้น ได้เพิ่งถูกถอดถอนไป
ไม่มีใครรู้อีกเช่นกันว่า ยิบซีกว่า 800 คนได้ถูกกวาดต้อนไปเก็บตัวอยู่ในแค้มป์ชายเมือง
และ..นาซีได้ประกาศว่า สำหรับนักท่องเที่ยวนั้น
มาตรา 175(ต่อต้านโฮโมเซ็กฌ่วล) ไม่มีผลบังคับใช้ใดๆ
ส่วนนายเกิลเบิลส์ ได้เข้ามาดูแลควบคุมข่าวด้วยตัวเองในสื่อทุกรูปแบบ ที่ต้องผ่านการกลั่นกรองของหน่วยข่าวนาซีก่อน

ในวันที่ 1 สิงหาคม ฮิตเล่อร์ได้ไปเป็นประธานเปิดงานกีฬาโอลิมปิคครั้งที่ 11 ซึ่งพิธีนั้นได้ตระเตรียมอย่างใหญ่โต
ต่อผู้คนนับล้านๆคน มีการเดินแถวริ้วขบวนนักกีฬาอย่างงดงาม
คบเพลิงจาก โอลิมเปีย ประเทศกรีซ ได้ถูกนำมาจุดอันเป็นสัญลักษณ์

นักกีฬาอเมริกันผิวดำ 9 ใน 18 คนนั้น..ต่างคว้าเหรียญมากันเป็นเข่ง โดยเฉพาะ
Jesse Owens นักวิ่งคว้าเหรียญทองมาถึง สี่เหรียญ
ตบหน้าเชื้อสายเผ่าพันธ์อารยันแบบย่อยยับ..จนนายเกิบเบิลส์จนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน ถึงต้องมาออกประกาศแก้เกี้ยวว่า
พวกนักกีฬาผิวดำนั้น จะว่าไปแล้ว..เป็นพวกแรงงานต่างด้าวรับจ้าง (อันว่าเป็นชนชั้นทาส) ซึ่งถ้าลองอเมริกันส่ง
ผิวขาวมาแข่งละก้อ..รับรองว่าไม่ได้รางวัลกลับไปร๊อกกก !!

ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ของพวก Afro-American เลยด่าฮิตเล่อร์ซะยับ..ว่า..ไม่ยอมแม้กระทั่งจะจับมือแสดง
ความยินดีต่อ Jesse วีรบุรุษโอลิมปิค
แต่..ความจริงก็ได้เล่ามาแล้วว่า ฮิตเล่อร์เลือกที่จะส่งผู้แทนไปมอบรางวัลตั้งแต่ครั้งแรก
หรือลางสังหรณ์อาจบอกไว้ล่วงหน้าก็เป็นได้ว่า ยิวที่ได้รับเหรียญโอลิมปิคครั้งนี้มีถึง 14 คน แถมเป็นเหรียญทองซะเก้า เงินสาม ทองแดง สอง

แต่แล้ว..โศกนาฎกรรมก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อ ร้อยเอก Wolfgang Forstner ผู้บังคับบัญชาศูนย์ที่พักนักกีฬาโอลิมปิค ยิงตัวตายหลังจากที่จบพิธีไปได้สองวัน
เพราะความเสียใจที่ถูกสั่งปลดออกจากราชการ เนื่องจากพบว่า ต้นตระกูลมีเชื้อสายเป็นยิว !!

จากที่ใครๆได้เห็นในจัดแต่งสถานที่อันโอ่อ่าแสนอลังการของนาซีนั้น ไม่ว่าจะเป็นวันฉลองวีรชน หรือ โอลิมปิค
ทั้งหมดมาจากมันสมองและฝีมือของคนในวงในใกล้ชิดฮิตเล่อร์คนหนึ่ง ที่ค่อนข้างสำคัญรองไปจากท่านผู้นำ..
เขาคนนั้นคือ Albert Speer หรือที่ใครๆเรียกเขาว่า คนดีในหมู่โจร..

Speer เป็นวิศวะสถาปัตย์ ที่พลอยมาหลงลมปากของฮิตเล่อร์ในปี 1931 จนยอมเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคคนหนึ่ง
และด้วยความสามารถในวิชาชีพ ที่เผอิญตรงกับรสนิยมของฮิตเล่อร์เป๊ะ อีกทั้ง บุคคลิกที่อ่อนโยนและพูดจามี
เหตุผล หน้าตาหล่อเหลา ทำให้เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของฮิตเล่อร์ที่นับเขาราวกับญาติสนิท
ฝีมือของ Speer อันเป็นที่ประทับใจท่านผู้นำอย่างมากมาย นั่นคือความสำเร็จในการสวนสนาม จัดริ้วขบวน
และสถานที่ รวมไปถึงแปลนการเดินแถวที่แสนยิ่งใหญ่

Albert Speer

ในวันที่ฉลอง Tempelhofer field 1st. May 1932 โดยมีการใช้เทคนิคพิเศษที่เอาไฟต่อสู้อากาศยานส่องขึ้นฟ้าไปมา เรียกเสียงฮือฮาเพราะความแปลกใหม่
จากนั้นมา.ก็เป็นการสวนสนามแสดงแสนยานุภาพที่นูเรมเบอร์ค.. เขาก็ได้รับงานชิ้นสำคัญๆมากมาย เช่นการสร้างทำเนียบใหม่ในเบอร์ลิน และสภาสูงที่นูเรมเบอร์ค

พอปี 1937 ก็ได้รับตำแหน่งนายพลประจำสำนักท่านผู้นำ จนมาถึงปี 1942 ในยุคของสงครามเขาได้รับแต่งตั้งให้
เป็นผู้ดูแลควบคุมการสร้างอาวุธยุทธภัณฑ์ทุกชนิด ซึ่งเขาได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด นั่นคือโดยการเอาแรงงานทาส
เข้าใช้สู่โรงงานทั้งหมด.. เยอรมันมีอาวุธใช้เหลือเฟือจนทำให้สงครามยืดระยะเวลานานออกไปอีกถึงสองปี..
หากแต่ในวาระสุดท้าย..ที่เยอรมันต้องแพ้สงครามอย่างแน่แท้นั้น

มีการวางแผนสังหารฮิตเล่อร์ในวันที่ 20
กรกฏาคม 1944
โดยการวางระเบิด ฮิตเล่อร์รอดชีวิตไปได้อย่างหวุดหวิด ที่ไม่รอดก็คือ"กางเกง"ของเขาที่มีรอยใหม้พรุนแทบทั้งตัว

เหล่าเกสตาโปได้ไปสรรหาคณะผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ก็ให้เผอิญว่าจับเอกสารของตัวการได้
ที่มีชื่อของ Albert Speer เขียนอยู่ แต่มีเครื่องหมาย ? ตามหลัง..ซึ่งเป็นคำตอบได้ว่า หลักฐานไม่มีการยืนยันแน่
นอน เขาจึงรอดตัวไป
อีกทั้งฮิตเล่อร์เองก็ไม่เชื่อว่า..Speer มีส่วนร่วมแต่อย่างใด

(เล่าเสริมค่ะ...ครั้งต่อมาในยามที่คับขันจวนเจียน กองทัพรัสเซียกำลังคืบคลานถึงตัว..ฮิตเล่อร์ ต้องการระเบิดทำลายเยอรมันให้ราบคาบ เพื่อไม่ต้องตกไปอยู่ในมือของ สพม.
ในแผนการ" victory or annihilation" หรืออาจใช้เรียกได้ว่า..ไม่ชนะ ก็ล้มกระดาน
Speer ขัดขวางสุดฤทธิ์ ไม่รับคำสั่งไปปฏิบัติ และเพิ่งมารู้ตัวในตอนนั้น ว่า ตัวเองกำลังทำงานอยู่กับคนบ้า..คนที่จิตบกพร่องอย่างฮิตเล่อร์
เขาจึงพยายามสังหารฮิตเล่อร์และคณะในบังเกอร์ด้วยตัวของเขาเอง โดยการวางแผนปล่อยแก็สพิษไปทางช่องลม แต่..ไม่สำเร็จ
เพราะมียาม SS มาสังเกตเห็นเสียก่อน..
เขามีชีวิตอยู่มาเล่าเรื่องราวต่างๆได้ ในหนังสือ Inside the Third Reich  จัดจำหน่ายในปี 1970
ที่เขียนในขณะที่ใช้กรรมอยู่ในคุกถึง 20 ปี (1946-1966 คดีอาชญากรสงครามที่ศาลนูเรมเบอร์ค)
นับว่าเป็นข้อเขียนชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่ง แห่งเบื้องหลังเบื้องลึกของนาซี ภายใต้การนำของฮิตเล่อร์)


ในช่วงของฤดูร้อน 1936 เดียวกันนี่เอง ที่ฮิตเล่อร์ได้เข้าแทรกซึมในออสเตรียอย่างจริงจัง โดยส่ง นาย Franz von Papen เข้าไปเป็นทูตประจำและพยายามชี้ชวนให้รัฐบาลออสเตรียหันมาเข้ารับความคุ้มครองจากเยอรมัน

Franz von Papen

เพราะในขณะนั้น ยุโรปกำลังอยู่ในความประหวั่นพรั่นพรึงจากการคุกคามของเหล่าฟาสซิสท์อย่างมุสโสลินี ที่เข้า
ไปยึดเอธิโอเปีย หน้าตาเฉย โดยที่ LON ทำอะไรไม่ได้ นอกจากนั่งทำตาปริบๆ..
แถมสงครามกลางเมืองในสเปนก็ได้ระเบิดขึ้น ภายใต้การนำของนายพล ฟรานซิสโก ฟรังโก ที่ลุกขึ้นมาต่อต้านระบบสาธารณรัฐ
ซึ่ง..ฮิตเล่อร์ได้ให้การสนับสนุนในด้านอาวุธอย่างลับๆ
ซึ่งก็จ๊ะกันกับมุสโสลินี ที่ให้กำลังสนับสนุนนายพลฟรังโกทั้งการเงินและทางกำลังพลด้วยเช่นกัน..
ผลดีตกอยู่ที่ฮิตเล่อร์เต็มๆ เพราะ ทำให้เกิดการต่อสู้ยืดเยื้อในสเปน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของฝรั่งเศส(อันเป็นหนึ่งในเป้าหมายยึดครอง)
และอังกฤษเริ่มเหม็นหน้ามุสโสลินีเต็มประดา และ..หมดทางประสานสัมพันธ์กัน
ได้ในข้อตกลงของดินแดนฝั่งเมดิเตอเรเนียน

เมื่อถูกตัดหางปล่อยวัด มุสโสลินีจึงต้องหันหน้ามาคบกับฮิตเล่อร์อย่างไม่มีทางเลือก ทั้งสองเลยตกลงเป็นเสี่ยวกัน มีการทำสัญญาร่วมกันระหว่าง โรม-เบอร์ลินโดยเนื้อหาหลักๆคือ จับมือกันสู้ต่อใครก็ได้ที่แหลมเข้ามา..
เท่านั้นไม่พอ..ฮิตเล่อร์ได้ทำสัญญาภาคีกันเหนียวไว้กับญี่ปุ่นในเดือน พฤศจิกายน ด้วย ซึ่งคนญี่ปุ่นนั้นไม่ค่อยชอบใจในการที่ต้องคบหากับเยอรมันนัก
แต่รัฐบาลจำเป็นต้องทำ เนื่องจากญี่ปุ่นได้เข้าไปยึดครองบุกรุกดินแดนแมนจูเรีย(ดูได้ใน หนังThe Last Emperor) และกำลังแผ่กระจายเข้าไปในส่วนที่เหลือของจีน..

ญี่ปุ่นจึงคิดว่า การเป็นภาคีกับเยอรมันนั้น อาจส่งผลให้รัสเซียเกิดการเกรงกลัวไม่เข้ามาแทรกแซง..
(หนอย..พวกนี้รู้จักสตาลินน้อยป๊ายยย..!!)

จากนั้นจนมาถึงฤดูไม้ไม้ร่วงของปี 1937 ไม่มีใครเฉลียวใจสักแอะว่า..ขณะที่ฮิตเล่อร์ประกาศปาวๆใฝ่หาสันติ
เพื่อชาวเยอรมันที่รักนั้น
แต่เบื้องหลังโรงงานทั่วประเทศต่างแข่งกันผลิตอาวุธสงครามกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
การรบพุ่งก็มีประปรายที่สเปนหน่อยเดียวเอง..ทั่วยุโรปต่างพากันนอนตาหลับ
โดยไม่ได้ฝันร้ายเลยแม้แต่นิด

หากแต่สองตำแหน่งระดับแม่ทัพที่ว่างลงไปอย่างกระทันหันนั้น..จะเอาอย่างไรกันดี หมายถึง von Blomberg (ที่
มีภรรยาอาชีพไม่พึงประสงค์) และ von Fritsch (ที่หาว่าเป็นเกย์)
ซึ่งในสองกรณีนี้ เหล่าทหารในกองทัพทุกเหล่าต่างก็ไม่พอใจกันถ้วนหน้า เพราะทุกคนรู้ดีว่า เป็นฝีมือกลั่นแกล้ง
ของฮิมม์เล่อร์ และ เฮดริช
เพียงแต่ว่าทุกคนไม่แน่ใจว่าฮิตเล่อร์ได้ชักใยอยู่เบื้องหลังหรือ...ไร้เดียงสาจนไม่รู้เรื่องรู้
ราว
เพราะในกรณีของ von Fritsch นั้น เกอริงได้ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี ถึงกับมาช่วยสอบพยานด้วยตัวเอง
หลังจากที่เลือกตำแหน่งไปมา ก็มาได้ นายพล von Brauchitsch เป็นแม่ทัพบก นายพล Keitel เป็นแม่ทัพภาคสายคอมมานโด, นายพล Raeder เป็นแม่ทัพเรือ

 von Brauchitsch

ส่วนเกอริง ที่หวังอย่างยิ่งในตำแหน่ง รมต.กลาโหม กลับแห้วสนิท แต่ได้ตำแหน่งจอมพลกองทัพอากาศมาปลอบใจ เพราะฮิตเล่อร์ให้เหตุผลว่ามีงานอยู่ในมือเยอะแล้ว ทั้งผู้ว่ารัฐปรัสเซีย, แม่ทัพอากาศ, ประธานฝ่ายงบประมาณสงคราม.. จะเอาอะไรอีกนัก
หนา
แต่คำพูดประโยคสุดท้ายของท่านผู้นำ เล่นเอาทุกคนตะลึงงัน ว่า..
"ตำแหน่งรมต.กลาโหมนั้น..เป็นของข้าพเจ้าแต่ผู้เดียว !!"

ทุกคนมองตากันปริบๆ..เพราะในประวัติศาสตร์ไม่เคยเลยในครั้งไหนที่"พลเรือน"จะมาทำหน้าที่นี้ !!
แต่กระนั้น ต่างก็ยังเข้าใจว่า คงเป็นไปชั่วคราว จนกว่าคดีของ von Fritsch จะตัดสินพ้นผิด (ที่ทุกคนเชื่อว่าเช่น
นั้น) ก็จะกลับมารับราชการดังเดิม
พอเวลานั้นมาถึง..ศาลได้ตัดสินเข้าจริงๆว่า นายพล von Fritsch นั้นได้ถูกใส่ความ เพราะพยานได้สารภาพมาจนหมดสิ้น ว่าถูกจ้างวาน นายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมดต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ว่าเมื่อไหร่ท่านผู้นำจะประกาศ
ข่าวแถลงต่อสื่อมวลชนถึงความบริสุทธิ์และเพื่อเป็นเกียรติประวัติของผู้ถูกกล่าวหา

ฮิตเล่อร์กลับประวิงเวลา ทำเสียงอ่อยๆ เพราะ ไม่รู้ว่าจะแก้สถานการณ์ให้ออกมาได้อย่างไร เพราะถ้าแถลงข่าว ก็เท่ากับว่า หน่วยเกสตาโปนั้นยัดเยียดข้อหาให้กับนายทหาร
นั่นหมายถึง ไม่ฮิมม์เล่อร์ หรือ เฮดริช ก็ต้องโดนข้อหากันอ่วม
แต่ถ้าไม่แถลง...นั่นหมายถึงความไว้เนื้อเชื่อใจ และ ความภักดี จากกองทัพก็จะหายวับไปกับตา

ในที่สุด ฮิตเล่อร์ก้ได้เรียกนายทหารทั้งหมดเข้าพบเป็นการส่วนตัว ที่ ฐานทัพ Pomeranian มีการแถลงถึงข้อคดี
ศาลที่นายพลvon Fritsch พ้นข้อหา..
และ ฮิตเล่อร์ได้บีบน้ำหูน้ำตาขอความเห็นใจ ว่า
"ขอเถอะ อย่าเอาเรื่องเอาราวกันเลย เพราะ ก็กระผ้มได้ออกข่าวไปตั้งแต่ทีแรกแล้วว่า นายพล ได้ลาออกไปเอง
ด้วยปัญหาสุขภาพเสื่อมโทรม และถ้าต้องมาแก้ข้อความกันใหม่ ตัวกระผม..ในฐานะผู้นำก็จะกลายเป็นไอ้ปลิ้นปล้อน หลอกลวงในสายตาของประชาชนไปทันที แล้วใครที่ไหนจะมาเชื่อคำพูดกระผ้มได้อีก..ขอให้นึกว่าเพื่อ
ประเทศชาติเถอะ นะนะ นะ "
ทหารคนอื่นๆก็พอรับและทำใจได้ ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมา หากแต่ นายพลผู้เคราะห์ร้าย..ขอลาออกจากราชการอย่างแน่นอน !!
เพราะเขารู้ดีว่า ผู้ที่ชักใยอยู่เปื้องหลังนั้น..คือใคร?


และไม่มีใครสักคนที่เฉลียวใจถึงข้อความในหนังสือ Mein Kampf ที่ฮิตเล่อร์ได้เขียน(ล่วงหน้า)เอาไว้อย่างโจ่งแจ้งถึงการเข้ายึดครองออสเตรียให้ได้ในปี 1938
และนี่คือสาเหตุที่เขาต้องทำดีกับเหล่าทหารในกองทัพแบบไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
อย่าง นายพล von Brauchitsch ที่เขาเลือกมาให้รับตำแหน่งถึงแม่ทัพนั้น เพราะ ฮิตเล่อร์ได้เล็งเห็นแล้วว่า
นายพลคนนี้กำลังมีปัญหาฟ้องร้องกับเรื่องที่เมียขอหย่า ฮิตเล่อร์จึงรีบ ”ซื้อใจ” ด้วยการให้ความสนับสนุน
จ่ายค่าเลี้ยงดูตามที่ขอมาทั้งหมด แถมยังหาเมียคนใหม่ให้ซะอีก..หล่อนเป็นสมาชิกกลไกคนหนึ่งในพรรคนาซีนั่นเอง

และมันช่างได้ผลคุ้มค่า นายพล von Brauchitsch นั้น กลายมาเป็นลูกแมวเชื่องๆของฮิตเล่อร์ทันที
ทั้งๆที่เมื่อก่อนนั้น เขาคนนี้..ได้ประกาศโต้งๆเสมอว่า ..ไม่ชอบฮิตเล่อร์ ไม่ชอบไอ้พวกพรรคนาซี ตั้งแต่เมื่อครั้งกบฏโรง
เบียร์โน่นนน..!!
ฮิตเล่อร์เริ่มใช้อำนาจที่มี ปลดรมต.ต่างประเทศ คนเก่า คือ Baron von Neurath ออก และแต่งตั้ง นาย
Joachim von Ribbentrop ขึ้นมาแทน..
( นาย Joachim von Ribbentrop เข้าวงการเมืองได้ เพราะ สายน้ำเมา..คือว่า นายคนนี้เคยเป็นตัวกลางค้าไวน์ในฝรั่งเศส เผอิญว่ามาได้เมียเป็นลูกสาวมหาเศรษฐีที่มีโรงงานแชมเปญที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมัน เลยอาศัยเงินพ่อ
ตาที่อุดหนุนพรรคแบบไม่อั้นเดินเข้ามาเป็น รมต.ไปเลย.)
ที่ต้องเปลี่ยนตัวเช่นนี้ วางหมากกันใหม่เช่นนี้..เพราะว่า แผนการที่จะเข้าฮุบออสเตรีย ได้กำลังจะเริ่มปฏิบัติในเร็ววันนี่แล้ว !!

Joachim von Ribbentrop




 

Create Date : 13 มีนาคม 2548   
Last Update : 12 กรกฎาคม 2556 4:52:49 น.   
Counter : 3375 Pageviews.  

ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนหก


เรื่องของ SA ในตอนก่อตั้งครั้งแรกๆ คือ 1921
โดย Rohm เป็น ผบ. (เป็นการรับงานสองจ๊อบ เพราะยังเป็นทหารด้วย) โดยการรวบรวมทหารจากกองทัพเสรีเยอรมันเข้ามา ไม่มีเครื่องแบบเฉพาะตัว แต่ใช้ปลอกแขนสวัสดิกะใช้แทนเครื่องหมายสังกัด
พอหลังจากกบฏโรงเบียร์ ส่วนใหญ่ก็สลายตัวไปทำมาหากินกันไปตามเรื่อง ที่เหลืออยู่ก็มีนายที่เหลวไหล ขี้เมา แถมเป็นเกย์ก็มีเยอะ (เชื่อว่าเป็นสายซี้เก่าของ Rohm ทิ้งเอาไว้)
Rohm เองก็กลับไปประจำกองทัพ ทำตัวดีๆไม่ให้มี
ปัญหาแต่ก็คงมีส่วนช่วยเหลือฮิตเล่อร์เพื่อนรักอยู่ห่างๆ
เพราะมาเต็มตัวคงไม่ได้ เดี๋ยวจะไม่มีกิน

ฮิมม์เล่อร์ นั้น..เคยทำงานครั้งแรกๆในสายของพรรคนาซีทางใต้ของบาวาเรียอันเป็นหน่วยงานของ Gregor ในหน้าที่ผู้ช่วยและเลขาของ Gregor
ในสาขาของพรรคแต่ละพรรคก็ต้องเลี้ยงนักเลงทั้งกองไว้ดูแลตัวเอง มากน้อยขึ้นอยู่กับฐานของใครจะแน่นกว่าใคร เพราะบ้านเมืองอยู่ในกลียุค
เพราะหลังจากสนธิสัญญาแวร์ซายย์ที่กำหนดให้กองทัพของเยอรมันทั้งประเทศเหลือแค่แสนคน มันก็ต้องออกมาในรูปนี้

ส่วน SS นั้น ฮิตเล่อร์ตั้งมาตั้งแต่ปี 1925 ในครั้งแรกมีเพียงจำนวนสิบ เพื่อที่จะเอามาเป็นองครักษ์ติดตาม
เฉยๆ
แต่ฮิตเล่อร์ต้องการให้ดูขึงขัง อาจหาญ ลบมลทินในข่าวไม่เอาไหนของหน่วย SA
จนกระทั่ง มาถึงยุคของฮิมม์เล่อร์ เข้ามาเป็นผู้บังคับบัญชาคือ ปี 1929 ตอนนั้น SS มีเพียงจำนวน 250 นาย
ฮิมม์เล่อร์..เป็นผู้วางแผนขยายหน่วย SS และปรับนโยบายใหม่ เพราะสาเหตุจากความขัดแย้ง แย่งอำนาจกันภายในพรรค



ในภาพ คือ ฮิตเล่อร์ และ กลุ่ม SA ทั้งหมด ถ่ายเมื่อตอนที่เข้ามาในสำนักงาน Brown House ใหม่ๆ



เรื่องของฮิตเล่อร์ในช่วงปี 1929 เนี่ย..
ทันที่ที่พรรคนาซีได้เข้าไปนั่นในสภากับเขาบ้าง..ฮิตเล่อร์ได้ย้ายนิวาสถานใหม่ ดังที่เล่ามานั้น..

หลานสาว เจลิ ที่เอามาอยู่ด้วยนั่น ในทีแรกก็ว่าอยากจะให้มาเรียนด้านการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยมิวนิค
แต่ก็ไปได้แค่เทอมเดียว เจ้าหล่อนก็ยอมแพ้เลิกลาไปซะเฉยๆ..จากนั้นก็ติดตามน้าชายไปทุกหนทุกแห่ง
เช่นดูโอเปร่า และร้านอาหารหรูๆ ซึ่งใครต่อใครก็เห้นพ้องต้องกันว่า เธอเป็นราวกับเจ้าหญิงน้อยๆของฮิตเล่อร์ทีเดียว

แม้กระทั่ง..ใครต่อใครก็รู้ดีว่า ท่านผู้นำเกลียดการเดินช้อปปิ้งแค่ไหน...แต่กับหลานสาวคนนี้ เขายอมเดินเข้าเดินออกร้านแล้วร้านเล่า อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย
ส่วน แอนเจล่า ผู้มารดา นั้นไม่มาอยู่ด้วยแต่อย่างใด เพราะเธอไม่คุ้นกับสังคมเมืองหลวง และอีกอย่างหนึ่งคือ
ลึกๆแล้ว..สัมพันธภาพระหว่างพี่สาวและน้องชายต่างมารดาคนนี้ มันไม่ค่อยเข้าท่าและลงรอยกันสักเท่าไหร่..!!

Geli 

เนื่องจาก ครั้งหนึ่งที่ฮิตเล่อร์ไปใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ในเวียนนานั้น..เขาแอบขอเงินจากน้า Johanna (น้องสาวหลังค่อมคนเล็กของแอนเจล่า) ไปใช้ทีละไม่น้อย ในขณะที่ แอนเจล่าต้องมาเลี้ยงพอลล่าน้องสาวแท้ๆของฮิตเล่อร์
ด้วยเงินจากสวัสดิการคนพิการอันน้อยนิด
พอ Johanna เสียชีวิตไป ความจริงจากธนาคารก็ปรากฏว่า
เงินฝากได้ถูกสูบไปโดยฮิตเล่อร์
แอนเจล่าจึงต้องฟ้องศาลขอให้ฮิตเล่อร์สละสิทธิในเงินสวัสดิการส่วนของเขา(เดือนละ 25 Kronen) ให้กับน้องสาวที่อยู่ในความดูแลของเธอ
ซึ่งฮิตเล่อร์จนแต้มต่อหลักฐานเข้า ก็ต้องยอมโดยดี
ความกินใจในครั้งนั้น..ทำให้สองพี่น้องต้องห่างเหินไป

แต่..เจลิ คือเด็กสาวที่ตื่นเต้นต่อการมีน้าชายที่มีชื่อเสียงและ เขาสามารถทำให้เธอหลุดออกมาจากวงจร "ลูกคนใช้"มาเป็นหลานสาวท่านผู้นำพรรคการเมืองผู้โด่งดัง
ในชั่วข้ามคืน..
เจลิจึงหลงระเริงต่อความมั่งมีศรีสุข จนไม่เคยนึกเฉลียวใจว่าแววตาอันเป็นประกายระยิบระยับของน้าชายนั้น..
มันช่างแปลกประหลาด ผิดธรรมดายิ่งนัก !!






ขอย้อนไปนิด..
คือว่า..จากบ้านตากอากาศที่ Berchtesgaden ฮิตเล่อร์ได้ชวนพี่สาวต่างมารดา Angela Raubal มาอยู่นั้น..ไม่ใช่ว่ารักและผูกพันแต่ประการใด
เพียงแค่เขาต้องการหาคนที่พอไว้ใจได้ เพราะในอดีตสองพี่น้องนี้แทบไม่มองหน้ากัน..เนื่องจาก ย้อนไปสมัยที่ฮิต
เล่อร์ไปร่อนเร่อยู่ในเวียนนาดังที่เล่าว่าต้องไปเขียนรูปขาย..ในยามจนหนักๆเข้าถึงกับต้องขายเครื่องมือทำมาหากิน
แต่พอได้เพื่อนชาวยิวที่ชักชวนให้วาดรูปอีกจึงได้จดหมายไปขอเงินจากน้าสาว Johanna Polzl น้องสาวคนเล็กของแม่..ที่พิการหลังค่อมอยู่เสมอๆ..และแต่ละครั้งก็ไม่ผิดหวัง
จนต่อมา น้า Johanna ได้เสียชีวิต ฮิตเล่อร์ก็
ไปเคลมเป็นทายาทเอาเงินออกจากธนาคารมาหลายพันโครน (Kronen) โดยไม่แบ่งให้ใครและไม่ปริปากบอก
ใครแม้แต่น้องสาวพิการแท้ๆที่อยู่ในความเลี้ยงดูของแอนเจล่าผู้ยากไร้ในยามนั้น
พอแอนเจล่ารู้เข้า ถึงกับต้องฟ้องร้องเอาฮิตเล่อร์ขึ้นศาล..ในฐานะฉ้อโกงสมบัติคนตาย
แต่ไม่สามารถจะเอาเงินคืนอย่างไรได้ เพราะใช้ไปหมดแล้ว..จึงต้องบังคับได้แค่สละสิทธิในเงินสวัสดิการจากรัฐบาลในฐานะลูกกำพร้าเดือนละ 25 โครนมาให้แก่พอลล่าน้องสาว
(ที่ได้รับอยู่แล้วเดือนละ 25 โครนเท่ากัน)

หากแต่..หลานสาวที่หน้าตาสะสวย ลูกของ
แอนเจล่านี่ซิ..ที่ทำให้เขาถึงกับเอ่ยปากชวนพี่สาวและลูกทั้งสองให้มาอยู่ด้วย โดยอ้างว่าเพื่อสนับสนุนในการศึกษา
แอนเจล่า..ไม่สน บอกว่าไปเหอะ ไม่ชอบชีวิตในเมืองหลวง..เอลฟรีดล์ หลานสาวคนเล็กขออยู่กับแม่
แต่..แอนเจลิกา หรือ เจลิ ผู้มีความทะเยอทะยานนั้นขอโลดแล่นตามติดน้าชายผู้แสนจะโก้เก๋ในสายตาของธอไปด้วย

เธอได้เข้าสมัครเรียนวิชาการพยาบาล ที่มหาวิทยาลัยเมืองมิวนิคในช่วงภาคฤดูร้อน
ฮิตเล่อร์ จึงไปเช่าหอพักให้อยู่เป็นส่วนสัดเพื่อกันการครหาให้ที่ Pension Klein, Koniginstrasse (นี่คือในปี 1927)

แต่พอถึงแค่ฤดูหนาว..เจลิก็ขอยกธงขาวให้กับการศึกษาเพราะเธอสนใจที่จะติดตามน้าชายไปนั่งที่โน่นที่นี่มากกว่า
ในยามนั้น ฮิตเล่อร์มักใช้ร้านกาแฟเจ้าประจำ เป็นสถานที่พบปะกับใครต่อใครเพื่อเจรจาการดำเนินงานของพรรค หรือถ้างานใหญ่ก็มักใช้ความสะดวกตามโรงเบียร์ (แปลกดีแฮะ)


จากนั้น Geli เริ่มย้ายเข้ามาอยู่ในละแวกใกล้แฟลตโทรมๆของฮิตเล่อร์คือย่าน..Thirschstrasse
และทั้งคู่เริ่มมีอาการสนิทสนมกันอย่างออกหน้าออกตา..
แต่ในฐานะ น้าชายกับหลานสาว ซึ่งไตเติ้ลนี้ เล่นเอาคนสับสนกันไปวุ่นวาย อย่างในกรณีของนายขาเดี้ยง โจเซฟ เกิบเบิ้ลส์ ที่ตอนนั้นกำลังคั่วหญิงอยู่สองคนในเมือง
เบอร์ลิน พอเดินทางมาพบกับฮิตเล่อร์ที่ได้แนะนำหลานสาวให้รู้จักเท่านั้นถึงกับกลับไปเขียนเพ้อเจ้อ..ว่า พบกับ
นางในฝันเข้าให้แล้ว..

แต่ต่อมาไม่นาน ฮิตเล่อร์ก็ได้ไปเช่าห้องชุดเก้าห้องทั้งฟลอร์ ในย่านไฮโซ ให้สมกับฐานะท่านผู้นำพรรคที่
Prinzregentenplatz ในปี 1929 นั้น
แน่นอนว่า..หลานสาวได้ย้ายมาอยู่ด้วยเป็นการถาวร มีการจ้างแม่บ้านหลายคนที่ต้องเข้ามาดูแลอยู่อย่างประจำ
อย่าง Frau Winter และ Frau Reichert
อีกทั้งแขกประจำบ้านคือ..เพื่อนสาววัยเดียวกันกับเจลิที่สนิทสนม นั่นคือ Henny ลูกสาวของ Heinrich Hoffmann ช่างภาพประจำตัวของ
ฮิตเล่อร์

และด้วยความหวือหวาของวัยสาว เจลิได้มีสัมพันธสวาทกับ Emil Maurice องค์รักษ์กึ่งเพื่อนสนิทของน้าชายนักการเมือง แต่ในขณะเดียวกันเจลิก็ยังคบกับชายมากหน้าหลายตา
ซึ่งครั้งหนึ่ง เอมิลทนดูภาพบาดตาไม่ได้ถึงกับต้องเข้าซ้อมเพื่อนชายคนหนึ่งของเจลิในขณะที่กำลังสวีทหวานแหววถึงขั้นสลบ..!!


เพราะความโฉ่งฉ่างหึงหวงนั้น ทำให้ข่าวรั่วไปถึงหูของฮิตเล่อร์เอาจนได้
แน่นอนเขาต้องสะกดความคั่งแค้นอย่าง
สุดขีดที่ หนอย..จู่ๆจะมีคนมาเจาะไข่แดงของไก่ที่เลี้ยงต้อยไว้ได้ยังไงฟะ?
เพื่อนก็เพื่อนเหอะ...ฮิตเล่อร์ถึงกับต้องลงมาแกล้งทำเป็นเข้าอกเข้าใจและตักเตือนหลานสาว

เพราะจากจดหมายของเจลิที่ส่งถึงเอมิล ใจความว่า
"น้ารู้แล้ว..ไม่ได้ห้ามปรามอะไรแต่ขอให้เก็บความสัมพันธ์ของเราไว้เป็นความลับก่อน รอไปสักสองสามปีเพราะหนังสือหนังหาก็ยังเรียนไม่จบ น้าชายน่ารักมากดีกับเราทุกอย่าง ฉันจึงไม่อยากขัดใจ นะจ๊ะ"
ลงท้ายว่า รักเธอเสมอและตลอดไป..เจลิ
...น้าชายของเจลิที่ว่านี้ คือ Uncle Alf (ฮิตเล่อร์) ดังที่เธอเรียกอย่างสนิทสนม...
แน่นอนที่ฮิตเล่อร์ใช้แผนว่าไม่ห้าม ในขณะเดียวกันเขาเริ่มสร้างความอึดอัดให้แก่เอมิล โดยการไม่จ่ายเงินเดือน
หรือถ้าจะจ่ายก็ช้ามาก จนในทีสุดเอมิลขอย้ายหน่วยงานพร้อมทั้งต้องขู่ว่าจะฟ้อง จึงได้เงินครบตามจำนวน
แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ฮิตเล่อร์ยังคงทำสวีทหวาน ออกเดทกับ Winifred Wagner อยู่อย่างเสมอๆ รวมไปถึง
การทำเจ้าชู้ยักษ์กับลูกจ้างในร้านถ่ายรูปของนาย Hoffmann ที่ชื่อว่า Eva Braun สาววัยสิบเก้าย่างยี่สิบ..(คนที่มากลายเป็น"ภรรยาและเพื่อนตาย"ของเขาอย่างแท้จริงในยามบั้นปลายของชีวิต)
และจากปากคำของใครต่อใครหลายคนพอเชื่อถือได้ว่า สาวต่างๆทั้งอ่อนและแก่ที่เอ่ยนามมานั้น เป็นเพียงหน้า
ฉากของฮิตเล่อร์เท่านั้น..

Eva Braun



เพราะจากสายตาและกิริยาอาการใครต่อใครที่ใกล้ชิดก็พอรู้ได้ว่า ฮิตเล่อร์หลงรักหลานสาวตัวเองอย่างหมดใจ
เขาเคยบอกกับ Putzi ว่า..เจลิคือผู้หญิงที่เขาคิดจะแต่งงานด้วย..( I love her and could marry her......)

ฮิตเล่อร์พาเจลิไปโชว์ในงานแทบทุกที่ แม้แต่ที่งานใหญ่อย่างมหกรรมดนตรีที่เมือง Bayreuth ในฐานะหลานสาว
คนโปรด ซึ่งผู้คนเหล่าสมาชิกในพรรคเริ่ม "เอียน" แต่ก็ได้แต่นินทาลับหลังถึงสัมพันธ์ประหลาดๆของน้าหลานคู่นี้

แต่ตั้งแต่มีเจลิมาแนบข้างนี้ ฮิตเล่อร์ได้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด คือ..ไม่โมโหโกรธาหน้าเขียวหน้าเหลืองอย่างแต่
ก่อน หรือถ้าจะมีก็ต้องไม่ใช่ต่อหน้าหลานสาว
เขาออกงานสังคม (ที่เคยไม่ชอบ) บ่อยขึ้น..และ..ไม่ปริปากบ่นว่าในเรื่องที่เจลิสรวมเสื้อผ้าราคาแพงรวมไปถึง
เสื้อขนสัตว์อันแสดงถึงความหรูหรา
ซึ่งมันเป็นข้อขัดแย้งแต่ภาพลักษณ์ของพรรคยิ่งนัก..พรรคนาซีคือพรรคตัวแทนเป็นปากเสียงของชาวประชาที่ใช้
แรงงาน หรือจัดว่าเป็นพรรคกรรมกรพรรคหนึ่ง
ซึ่งต้องรักษาภาพพจน์ให้อยู่ในสายกลางมากที่สุด
แต่..อาจเป็นเพราะความรัก จึงทำให้ฮิตเล่อร์เปลี่ยนไป

ส่วนเจลิเอง..ก็ไม่ใช่คนโง่ เพราะเธอรู้ดีว่า น้าชายของเธอคนนี้คือทุกสิ่งทุกอย่างที่จะบันดาลให้เธอได้ จึงได้คล้อย
ตามในทุกสิ่งที่เขา "ต้องการ"
ไม่ว่า..จะทำเป็นคลั่งไคล้เสียงเพลงโอเปร่า ถึงขนาดเชื่อว่าตัวเองสามารถเป็นนักร้องได้ ฮิตเล่อร์ต้องจ้างครูพิเศษมาสอน ไม่ใช่พิเศษธรรมดา แต่พิเศษขนาดครูชั้นปรมาจารย์ที่ชื่อว่า Adolf Vogl ที่มีลูกศิษย์เป็นดาราโอเปร่าที่โด่งดังนั่นคือ Bertha Morena (นักร้องคนนี้มีเชื้อสายเป็นยิวแท้ๆ แต่ ฮิตเล่อร์ชอบเสียงของเธอมากจึงแกล้งทำเป็นไม่เชื่อ)

เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเจลิ คือ เฮเลน ภรรยาของ Putzi ที่นำความกลับมาเล่าว่า..เจลิมิได้สนใจเรียนแต่อย่างใด
ให้สมกับราคาที่ฮิตเล่อร์จ่ายถึงเดือนละ 100 มาร์ค
และที่แน่ๆคือ..เสียงของเธอนั้นมันห้าวเกินไปกว่าที่จะเป็น Wagnerian Soprano ได้ในชาตินี้..

(Wagnerian Soprano หมายถึง นักร้องหญิงโอเปร่าระดับโซปราโนที่จะต้องมีเสียงที่ทรงพลังพอที่จะร้องเพลงของวาคเนอร์ได้..วิวันดา)


มาถึงการวิเคราะห์เรื่องส่วนตั๊ว ส่วนตัวของฮิตเล่อร์ ว่า เขาจะจัดผู้หญิงที่จะยุ่งเกี่ยวด้วยในสองประเภท
ประเภทแรกนั่นก็คือ ระดับสี่ขึ้น
หมายถึงบรรดาแม่ม่ายทรงเครื่องที่อายุมากกว่าเขาขึ้นไปอย่างน้อยๆก็สิบปี หมายถึงอายุในวัยสี่สิบ ห้าสิบ
พวกนี้มักจะสนับสนุนเรื่องเงินๆทองๆและ สังคมที่โยงใยไปหากัน และที่สำคัญคือ มักไม่กล้าแสดงออกถึงเรื่อง "ความต้องการ" ในด้านอื่นจากเขา
นอกจากการแตะไหล่ โอบเอว จุมพิตปลายนิ้วเล็กๆน้อยๆ พร้อมทั้งคำหวานที่โปรยปราย..อย่าง..Winifred(ที่โด่งดังแล้ว) หรือบรรดาพวกไฮซ้อที่ยังไม่ดังแต่อยากดังทั้งหลาย

อีกพวกหนึ่งคือพวกคิกขุอาโนเนะ สาววัยทีน ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว..ยังไม่ประสีประสา พอหลอกให้ทำโน่นทำนี่ได้ พูดอะไรก็เชื่อไปหมด
จากปากคำของคนใกล้ชิด..ว่าฮิตเล่อร์นั้นจัดอยู่ในพวก Masochist แบบกลายๆ เพราะหลายครั้งในยามที่เหล่า
บรรดาจะยกโขยงไปเที่ยวแบบย่ำราตรี
เขามักเตือนว่า "อ้อ..จะไปเที่ยวผู้หญิงเร๊อะ อย่าลืมเอาแส้ติดไปด้วยนะ"
พูดถึงเรื่องแส้..ฮิตเล่อร์เป็นคนหนึ่งที่ต้องเอาพกติดตัวไว้เป็นประจำ ห้อยไว้ที่เอว ยามขัดใจในเรื่องอันใดก็ตาม
เขามักใช้มันฟาดลงไปบนดินบ้าง บนรองเท้าบู๊ทของตัวเองบ้าง..หรือ แค่ระดับหงุดหงิดก็มักใช้ด้ามของมันเคาะลงบนสิ่งของใกล้ตัว..

Speer เล่าไว้ว่า ฮิตเล่อร์เคยจำกัดความเรื่องผู้หญิงว่า "หล่อนต้องอ่อนหวาน น่ารัก และต้องโง่ ผู้ชายมีสิทธิที่จะฝากรอยเจ็บช้ำไว้บนร่างของเธอก็ย่อมได้ ยิ่งเป็นเดะๆอายุ 18-19 นะนายเอ๋ย มันช่างสอนง่ายราวกับปั้นขี้ผึ้ง
เชียว"
พูดอะไรก็เชื่อไปหมด เช่น เจลิ,เอวา  และ มิทซี่ เป็นต้น..

ไม่ว่าจะพาเจลิไปนั่งรถเบ๊นซ์เปิดประทุนกินลมฉุยฉาย หรือ ไปปิคนิคไกลๆ..
แม้กระทั่งไปดูหนัง..เขาตามใจเธอทุกอย่าง..ภาพยนตร์สองเรื่องที่ทั้งคู่ได้ดูแล้วมีความสุขหัวเราะกิ๊กกั๊กด้วยกัน
นั้นคือ King Kong และ Snow White and the Seven Dwarfs ของ Walt Disney
เพราะ เจลิเป็นคนเดียวที่รู้จักวิธีออดอ้อนแบบแขนโอบคอ โน้มลงมาจูจุ๊บ..อย่างไม่เคอะเขิน และเธอคนเดียวที่
สามารถทำท่าล้อเลียนแบบพร้อมทั้งหัวเราะอย่างเห็นขันแบบเปิดเผย
และ..เธอก็ไม่ใช่ว่าจะเก็บตัวอยู่กับบ้านในยามที่ฮิตเล่อร์ต้องออกเดินทางไปปราศรัยที่โน่นที่นี่ซะด้วย..
หลายต่อหลายครั้งที่หนีเที่ยว..คนที่รู้เห็นนั่นก็คือ Wilhelm Stocker หน่วย SA ที่อยู่รับหน้าที่เฝ้ายามที่บ้าน
เจลิขอร้องให้เขาปิดเรื่องไว้เป็นความลับ..ซึ่งเขาได้เห็นใจเด็กสาวจึงปิดปากเงียบ..ไม่ได้แอะให้เจ้านายได้ล่วงรู้เลยแม้แต่นิด

จนเจลิเริ่มนับเขาเข้าเป็นเพื่อนที่ใกล้ชิด ถึงกับเล่า "ความนัย" ให้ฟังว่า
"คุณน้าชอบให้เธอทำอะไรแปลกๆให้ที่พึลึกกึกกือ ซึ่งบางครั้งเธออยากอ้วก..แต่ก็ไม่อยากขัดใจ"
"อ้าว ทำไมล่ะ" นายนี่ก็เกิดสงสัย
"เพราะ ถ้าฉันตามใจน้าเค้า..เค้าก็อาจไปหาคนอื่นน่ะซิ แล้วเรื่องอะไรล่ะ ที่จะให้คนอื่นมามีความสำคัญกว่าฉันเล่า?" และเธอเล่าต่อไปด้วยว่า
ในระยะหลังๆมานี่..เธอสังหรณ์ใจว่า เขาคงมีผู้หญิงอื่นอีก..
สมองเล็กๆคิดได้แค่เพียงว่า ทันทีที่เขามีคนอื่น แน่นอนว่าเธอต้องถูกเขี่ยกระเด็น
นี่คือสิ่งที่เจลิทุรนทุรายนัก !!

ภาพวาดรูปเปลือยของเจลิ...ที่วาดโดยฮิตเล่อร์ 


ไหนๆก็เล่าถึงนี่แล้ว..งั้นจะเอาเรื่องรักแรกกับ สาวน้อย Stephanie Jansten มาเล่าให้ฟังหน่อยละกัน..
นี่คือ ฮิตเล่อร์ภาค "แฟนฉัน" ค่ะ
คืองี้ ตอนนี้ในปี 1907 ที่ฮิตเล่อร์กำลังเข้าสู่วัยรุ่น เพื่อนรักคนเดียวที่เขามีนั่นก็คือ
Gustl Kubizek ต่างก็พากัน
เดินเล่นในสวนสาธารณะกันตอนเย็นๆ(ในเมือง Linz, Austria}

วันหนึ่ง เขาก็เดินสวนกับ เด็กหญิงนางหนึ่งสูงเพรียว ผมรวบขึ้นเกล้าเป็นมวยที่ด้านหลัง..แต่หล่อนเดินมากับแม่
ทันใดนั้น เขาก็ชะงักกึก บีบแขนเพื่อนอย่างตื่นเต้น พร้อมกับบอกว่า..ฉันกำลังตกหลุมรักกับเธอคนนั้นอย่างจังเข้าให้แล้ว..
ว่าแล้ว..ฮิตเล่อร์ก็กลับมาเขียนโคลงกลอน เพ้อรำพึงอย่างเอาเป็นเอาตาย หนึ่งในนั้นเขาตั้งชื่อว่า Hymn to the Beloved (บทรำพันถึงสุดที่รัก)และส่งไปโดยไม่ลงชื่อว่ามาจากใคร..

Gustl เคยบอกว่า ก็เข้าไปแนะนำตัวซะเลยซิ เจ้าหล่อนจะได้รู้จักให้มันจบๆไป
ฮิตเล่อร์ตอบว่า..ไม่ละ..รักย่อมเข้าใจในรัก แค่ฉันเห็นแววตาหล่อนที่มองมาฉันก็รู้ว่าเราใจตรงกัน
กัสท์เองก็เฝ้ามองแต่ไม่เห็นว่าหล่อนจะมีวี่แววว่าสนใจเพื่อนของเขาที่ตรงไหน..
แต่ฮิตเล่อร์ก็แก้เกี้ยวว่า..
คงงอนน่ะ ผู้หญิงก็เงี้ยะ..ปั้นปึ่งไว้ก่อน

จากนั้นก็มีข่าวแว่วมาว่า สเตฟานี มีแฟนแล้วเป็นทหารหนุ่มรูปหล่อและกำลังจะหมั้นอีกต่างหาก
ท่าวววน้านนนแหละ..พ่อฮิตเล่อร์ก็ฟาดหัวฟาดหางจะเป็นจะตายเสียให้ได้
ขู่ฟ่อๆกับกัสท์ว่า..จะกระโดดแม่น้ำดานูปให้มันตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด
แต่นั่นหมายถึงสเตฟานี ต้องไปกระโดดด้วย ไม่งั้นไม่ยอม !!
จากนั้นมา..ฮิตเล่อร์ก็มีแผนการแผลงๆหลายอย่าง เช่นจะพาสาวเจ้าหนีไปอยู่ด้วยกัน แต่ไปที่ไหนยังไม่รู้
ทั้งนี้ทั้งนั้น..เป็นความคิดเพ้อเจ้อแบบเด็กๆล้วนๆ
เพราะ ทั้งฮิตเล่อร์และสเตฟานี ไม่เคยได้พูดกันสักคำ !!

เรื่องของเจลิต่อนะ..ว่า เธอคนนี้ก็เหมือนดังนกในกรงทอง เพราะน้าชายได้กำหนดแทบในทุกย่างก้าว เพราะความคุมเข้มนี่แหละที่ทำให้ผู้คนเริ่มมองเขาแปลกๆ อย่างในกรณีที่หนุ่มน้อย SA คนหนึ่งที่ดันไปนอนบ้านผู้หญิง
แล้วถูกลวงไปฆ่าตายโดยพวกคอมมิวนิสต์ ซึ่ง เกิบเบิ้ลส์ ได้ถือโอกาสทำวิกฤติให้เป็นโอกาสทันที โดยยกย่องคน
ตายประหนึ่งวีรบุรุษสงคราม แต่งเพลงสดุดีให้ และรอจัดงานศพให้อย่างใหญ่โตเต็มไปด้วยพิธีการที่ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือน
เขาได้แจ้งข่าวให้ฮิตเล่อร์เตรียมตัวไปเป็นประธาน ตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า ตกลง มาแน่ๆ !!

แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ฮิตเล่อร์กลับพาเจลิไปพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศเบอทเทสการ์เดน ที่ Obersalzerg เฉยเลย
ซึ่งทำให้เกิบเบิ้ลส์โมโหจนแทบกระอัก
อีกทั้งฝ่ายมารดาของคนตาย ก็แจ้งให้ทราบว่า ไม่ได้ดอกไม้หรือสาส์นแสดงความเสียใจจากท่านผู้นำเลยแม้แต่นิด

ส่วนเจลิ นั้นใช่ว่าจะมีความสุขเพราะได้รับความรักมากมายเสียเมื่อไหร่ เพราะ ในงานแฟนซีประจำปี ที่ใครต่อใครต่างเฝ้ารอคอยนั้น
เธอต้องใช้เวลานานกว่าจะประเล้าประโลมจนได้รับอนุญาต แต่พอมาถึงเรื่องเครื่องแต่งกาย ก็มาพบปัญหาอีก
เพราะ ใครๆเขาก็แต่งกันเต็มที่
อย่าง Henny แม่เพื่อนสาว แต่งเป็นเจ้าหญิงแขก ส่วนเจลินั้นเธอลองออกแบบชุดโดยการวาดลงในกระดาษก่อนสั่งตัด แต่ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากฮิตเล่อร์ก่อน
และทันที่ที่เขาเห็นแบบสเก็ทช์ กระดาษในมือปลิวว่อน แถมโวยว่า..
"ถ้าจะใส่ชุดพวกนี้ไปละก้อ..แก้ผ้าไม่ดีกว่าหรือ ?"
ผลคือ เจลิวิ่งขึ้นไปร้องให้ข้างบนเป็นวรรคเป็นเวร กว่าจะมาสรุปลงตัวในชุดยาวสีขาวธรรมดา กับที่คาดผมเสียบขนนกสีเงิน
ก็หมดน้ำตาไปหลายปี๊บ !ในงานนั้น ฮิตเล่อร์ส่งผู้คุมไปสองคนซึ่งได้รับคำสั่งมาว่า ต้องออกจากงานในเวลาห้าทุ่มตรง.. คือตาโย่ง Hoffmann และ ตาอ้วนเตี้ยอดีตสิบเอก Max Amann
ซึ่งหมายความว่า เจลิจะต้องเต้นรำกับนายสองคนนี้เป็นเสียส่วนใหญ่ เพราะใครเล่าจะมากล้าขอ
และในงานเช่นนี้ หนุ่มสาวมีการแลกจูบ แบบจุ๊บเป็นพิธี ซึ่ง..เจลิก็ได้แต่นั่งมองตาละห้อย
ซึ่งพอถึงเวลาห้าทุ่มตามกำหนด ชายทั้งสองพาเธอกลับทันที ซึ่งเจลิหมดความอดทน เธอกระแทกมือกระแทกเท้าอย่างไม่พอใจ

วันรุ่งขึ้นต่อมา เธอใช้สงครามเย็น นั่นคือไม่ยอมพูดยอมจากับใคร..
ฮิตเล่อร์ได้บอกกับ ฮอฟมันน์ ว่า.. เขาทำทุกอย่างเพื่ออนาคตของเจลิเอง และทำไปด้วยความรัก ความรักแบบ
บริสุทธิ์ที่ไม่ได้หวังครอบครอง เพราะตัวเขาเองไม่คิดจะแต่งงานกับใครในชาตินี้..
แต่สำหรับเจลิแล้ว..เขาอยาก
ทะนุถนอมเธอให้ไปพบกับคนดีๆที่เหมาะสม

Heinrich Hoffman 

นายฮอฟมันน์ก็ต้องฟังนิยายเรื่องนี้ไปอย่างซ้ำๆซากๆ คนอย่างเขาจะไปขัดคอหรือขัดใจเจ้านายอย่างไรได้
เป็นเพราะฮิตเล่อร์ที่ให้โอกาสเขามาเป็นช่างภาพส่วนตัว และ มีเอกสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายภาพของฮิตเล่อร์แต่ผู้
เดียว ทำให้เงินทองไหลมาเทมาชนิดเป็นกอบเป็นกำ แล้วเรื่องอะไรที่เขาจะมาแย้งให้โง่ว่า..
ใครๆก็รู้ว่า ฮิตเล่อร์และเจลิ มีความสัมพันธ์ฉันท์ผัวเมียมาตั้งแต่ ปี 1929 ก่อนที่จะย้ายมาที่คฤหาสน์หรูนี่ซะอีก..

ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับเซ็กซ์วิปริตเนี่ย..มาจากปากคำของนาย Otto Strasser ที่ให้กับหนังสืออเมริกันในปี 1943เป็นครั้งแรก
เพราะครั้งหนึ่ง เขาเคลมว่า เขาได้พาเจลิออกไปเดท
(ตอนทีฮิตเล่อร์ไม่อยู่) และ เจลิอดรนทนไม่ได้ต่อความอึดอัดจนต้องเล่าออกมา..
แต่อ่านไปก็ต้องพิจารณาไปด้วยว่า สองพี่น้อง Gregor และ Otto นี้อยู่พรรคเดียวกันแต่คนละขั้วกับฮิตเล่อร์ ซึ่ง
ต่อมา นาย Gregor ถูกฆ่าตายในคืนดาบยาวสังหารโหดปี 1934 ( The Night of the Long Knives )
ตัวนาย Otto ต้องหนีตายไปอยู่ที่สวิทเซอร์แลนด์อย่างหัวซุกหัวซุน ฉะนั้น เรื่องความแค้นส่วนตัวกันนั้น ต้องมีแน่
นอนอยู่แล้ว

และจากหนังสือของอเมริกันชุดเดียวกันจาก The US Office of Strategic Studies ก็ได้ข้อความเหมือนกันจาก
ปากคำของ Renate Muller ดาราหนังชื่อดังที่มีสัมพันธสวาทแบบเดี๋ยวด๋าวกับฮิตเล่อร์ในปี 1932 โดยใจความว่า
เขาและเธอพบกันตอนที่เธอไปถ่ายหนังแถวชายแดนเดนมาร์ค โดยที่ฮิตเล่อร์ได้ไปนั่งเฝ้าที่กองถ่ายทั้งวัน และ
ตอนเย็นเขาได้มาเป็นแขกในที่พักของเธอ
ซึ่งท่าทางเขากึ่งกลัวกึ่งหวาดๆยามที่อยู่ต่อหน้าหญิงที่จัดว่าสวยจัดอย่างเธอ สิ่งเดียวที่เขาทำในยามนั้นนั่นก็คือ
จับมือเธอและกุมแน่นอยู่อย่างไม่ยอมวาง
แต่บทสนทนาของเขานั้น เธอว่า..พูดจาอะไรก็ไม่รุ ไม่เห็นจารู้เรื่อง..
แต่เธอก็ได้รับของขวัญมีค่าหลายๆชิ้นเช่นเดียวกับ เจลิ และเอวา..

จนต่อมาเธอได้รับเชิญไปงานที่ทำเนียบ..
ฮิตเล่อร์ทำเป็นว่าไม่ได้สนใจเธอเลยแม้แต่นิด จนกระทั่งทุกคนได้ลากลับหมด
เขาจึงเข้ามาชวนพูดคุยและพาเดินไปชมสถานที่ทั่วๆ
ต่อมาเขาก็ร่ายมาถึงบทบาทหน้าที่ของเกสตาโปว่าเชี่ยวชาญในเรื่องการทรมานทารุณขนาดไหน และจากนั้น
เขาก็ลงคุกเข่าโดยบอกว่า เขาคือทาสของเธอ จะตบจะตีอย่างไรก็ได้ Renate ก็ครึ้มๆเพราะคงดวดไปหลายขวด นึกสนุกขึ้นมาเลยลุกขึ้นเตะ ตบตีท่านผู้นำจนหนำใจ
เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานกรีดก้องจากปากฮิตเล่อร์อย่างสุขสมใจ
หลังจากที่เมื่อทุกอย่างได้จบลง เขาจุมพิตมือเธอเบาๆด้วยท่าทางเงียบหงิมดังเช่นเคย ก่อนที่จะเรียกทหารรับใช้นำเธอไปส่งจนถึงบ้าน

เขาและเธอพบปะกับแบบลับๆบ่อยๆ จนเมื่อเธอได้ขออนุญาตไปเที่ยวอังกฤษเพื่อเป็นการพักผ่อน แต่เกสตาโปที่
ฮิตเล่อร์ได้ส่งไปติดตามข่าวเป็นสายสืบได้กลับมารายงานว่าเรเนต์ไปพบและยังติดต่อกับแฟนเก่าที่มีเชื้อสายยิว
เธอจึงได้ถูกตัดขาดและมีการกลั่นแกล้งในทุกรูปแบบ จนทำให้เธอหันมาแก้ปัญหาด้วยการใช้มอร์ฟีนเป็นเครื่องผ่อนคลาย
และ..ในที่สุด เธอก็ต้องพบกับจุดจบโดยการ(ต้อง)กระโดดลงมาจากตึกชั้น 4 โดยมี หน่วย SS หลายคนที่ยืนข้างหลัง ควบคุมการกระโดดเพื่อปลิดชีวิตในครั้งนั้น

(ข่าวออกมา..กลบเกลื่อนว่า เธอเกิดอาการคลุ้มคลั่งไปเอง !!)

ทีนี้เรื่องของเจลิ..ความมารั่ว..เพราะ ฮิตเล่อร์เองได้ส่งจดหมายไปหาเจลิในอพาร์ตเม้นท์เก่า โดยพรรณนาถึงความรักและความโหยหาในเรื่องบนเตียงแบบชนิดผิดธรรมดา
อันทำให้ผู้อ่านได้ทราบว่า คนใดคนหนึ่งต้องการเห็นความเจ็บปวดของฝ่ายคู่ขา
และข้อความนั้นๆได้กระจ่างในตัวของมันเอง..ว่า เจลิได้ประสบความสำเร็จในการเยียวยาและช่วยบำบัดการไร้สมรรถภาพทางด้านเพศสัมพันธ์ของฮิตเล่อร์ให้กลับคืนมาเป็นเกือบปรกติ
มีการวิเคราะห์ว่า..เป็นไปได้ ทั้งคู่คือ S&M แต่ ใครจะเป็น s ใครจะเป็น m นั้น..ไปเดากันเอาเอง
จดหมายฉบับนี้ ..เจลิไม่ได้รับ หากแต่ตกไปอยู่ในมือของเจ้าของตึก และต่อมาก็มาอยู่ในมือของ Dr. Rudolph ลูกชาย
และจดหมายนี้หลุดไปอยู่กับบาดหลวง
โบฮีเมียน ชื่อว่า Father Bernhard Stempfele ซึ่งบาดหลวงนี้ได้นำจด
หมายมาเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับฮิตเล่อร์ โดยขอตำแหน่งหน้าที่ยกระดับทางเรื่องธุรกิจวัดๆวาๆ จากอำนาจของพรรค
ซึ่งฮิตเล่อร์ได้ตกลงยินยอมโดยดี

แต่ก็เป็นในแค่ระยะแรกๆเท่านั้น ภายหลังที่เขาได้ขึ้นมานั่งบัลลังก์ครองเมือง บาดหลวงคนนี้ก็มีจุดจบเหมือนกับ
คนอื่นๆที่เคยได้ล่วงรู้ความลับของเขา นั่นคือ ตายอย่างศพไม่สวย !!
และการแบล๊คเมล์นั้นไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นครั้งเดียว ยังมีอีก..นั่นคือภาพวาดอวัยวะของสงวนของเจลิอย่างชัดเจนนั้น
(ซึ่งคาดเดาว่าใช่ เพราะภาพนู๊ดชุดเดียวกันยังหลงเหลืออยู่) ได้หลุดออกไป ซึ่งนาย Franz Xavier Schwarz ฝ่าย
การเงินของพรรคต้องตามไปซื้อเก็บกลับมา และฮิตเล่อร์สั่งไม่ให้ทำลาย เขานำมันมาเก็บไว้ที่เซฟในบราวน์ เฮ้าส์
เจลิเคยเล่าให้เพื่อนสาวฟังว่า..เธอนั้นมิใช่โชคดีอย่างที่ใครๆคิด เพราะไม่ว่าทุกสิ่งที่เธอมี และได้มานั้น ต้องแทบใช้ชีวิตเข้าแลก และสิ่งเดียวที่เธอหลุดปากออกมาเพียงว่า
" บอกไปก็คงไม่มีใครเชื่อหรอก..ว่าฉันโดนถูกบังคับให้ทำอะไรลงไปบ้าง"

ฮิตเล่อร์ก็ยังคงทำตัวหวานแหววกับบรรดาหมู่สาวน้อย
อย่างกับ Henny Hoffmann เพื่อนสนิทของ
เจลิที่จัดว่าเป็นคนสวยจัดคนหนึ่ง(เพราะพ่อใช้ให้เป็นนางแบบบ่อยๆ)
ก็ยังเคยโดนฮิตเล่อร์เกี้ยวพาราสี
แต่เธอก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ และไม่เคยเล่าให้เจลิฟัง..
และในขณะเดียวกัน ช่วงปี 1929 ฮิตเล่อร์ได้รู้จักกับเด็กสาวลูกจ้างในร้านถ่ายรูปของ Hoffmann คนหนึ่ง ชื่อว่า
Eva Braun ซึ่งเด็กสาวคนนี้ออกจะติดอกติดใจในทีท่าเจ้าชู้ไก่แจ้ของฮิตเล่อร์อยู่ไม่น้อย และที่สำคัญหล่อนเป็น
คนช่างฝัน ชอบอ่านนิยายประโลมโลกย์ราคาถูกและเชื่อทุกอย่างที่ฮิตเล่อร์นำมาเล่า..

โดยเฉพาะเรื่องที่เขาเล่าถึง การทำงานเสี่ยงตายในสมรภูมิรบที่เขาผ่านมา ถึงกับได้เหรียญกล้าหาญ หรือเรื่องแม่ที่รักและบูชาได้จากไป..ไม่ทันเห็นลูกชายคนยากคนนี้กำลังจะประสบความสำเร็จ หรือ เรื่องปฏิวัติ ที่ต้องพาตัวไปเข้าคุก
และเรื่องสรุปที่ทำให้เอวาถึงกับน้ำตาหยด..เพราะความซาบซึ้ง..นั่นคือ..ความรักชาติยิ่งชีพ ชีวิตนี้เขาคงรักใครอีกไม่ได้มากเท่า และ..คงไม่มีเวลาสำหรับชีวิตแต่งงานกับหญิงคนไหน


เอวาและเจลิ ได้เคยพบกับแบบประเภทหมางเมินตามโรงมหรสพโอเปร่าต่างๆ..
ครั้งหนึ่ง เอวาได้ใส่เสื้อที่มีขน
เฟอร์ตรงส่วนเฉพาะแขน
เจลิเอาไปทำเป็นเรื่องตลกขบขัน โดยที่บอกว่า เอวานั้นดูเหมือนกับลิงน้อยๆ และเรียกลับหลังว่า นังลิงน้อย
อันเป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนตั้งแต่นั้นมา..

จนวันที่ 18 กันยายน 1931 ระหว่างอาหารกลางวันที่เขาทั้งสอง ฮิตเล่อร์และเจลิ กำลังถกเถียงกันอย่างหน้าดำหน้าแดง..
เรื่องที่เจลิยื่นคำขาด ว่า อยากไปเวียนนา ไปเยี่ยมญาติ
ฮิตเล่อร์ หันขวับด้วยความไม่พอใจอย่างแรง..ว่า..
ทำไมต้องไปเวียนนา..ที่นั่นมันมีอะไรดีกว่าที่นี่งั้นหรือ?
"ก็อยากไปหา น้าพอลล่า" เจลิอ้างถึงน้องสาวของน้าชาย
ฮิตเล่อร์เลื่อนจานไปอย่างไม่พอใจ และพูดออกไปตรงๆตามแบบฉบับว่า..
"จะไปหาผู้ชายละซิ ไอ้ยิวคนที่เอามาอ้างว่าเป็นครูสอนร้องเพลงน่ะเหรอ ฝันไปเหอะ ไม่ให้ไป และขอบอกไว้เดี๋ยวนี้เลยนะ ว่าเลิกคบกับไอ้หมอนี่เด็ดขาด บอกมันด้วย ว่าถ้ามันยังอยากมีชีวิตอยู่ละก้อ..อย่า..แม้แต่จะคิด"

เจลิ..หวีดร้องอย่างขัดใจ กระทืบมือกระทืบตี..ไปตามระเบียบเช่นทุกครั้ง
ฮิตเล่อร์ทำเป็นไม่สนใจ เดินลงบันได..พร้อมเดินทางไปปราศรัยที่ภาคเหนือ ฮอฟแมนได้มารออยู่ที่รถที่จอดอยู่ข้างล่าง
เจลิ..โผล่หน้าออกมาทางหน้าต่าง ตะโกนมาจากชั้นบน
ถามว่า.."นี่จะถามครั้งสุดท้ายแล้วนะ..ว่าจะให้ไปหรือไม่ให้ไป..ว่ามา"
ฮิตเล่อร์เงยหน้า..ตะโกนตอบกลับไปว่า..
"ไม่ให้ไป..คิดอะไรได้บ้าๆ..ไปยิงตัวตายซะไป๊.. เด็กบ้า"
วลีที่ว่า ไปยิงตัวตาย นี่..ฮิตเล่อร์ชอบพูดเป็นสิ่งติดปากแบบว่าไม่มีความหมายอะไร เป็นคำพูดแบบสมัยนิยม
"You better go.. shoot yourself"

แต่สำหรับเจลิ สาวเลือดร้อน เธอถือเป็นการท้าทายอย่างยิ่ง และยิ่งในยามอารมณ์ขุ่นมัวที่ได้รับการขัดใจในสิ่งที่ขัดต่อความปรารถนา..
เธอวิ่งเข้าห้องปิดประตูเงียบ..
เช้าวันที่ 19 ต่อมา..แม่บ้านเริ่มสงสัยว่า เจลิไม่ได้ออกมาทานอาหารค่ำตั้งแต่เมื่อคืน..เช้านี้ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับใดๆ..ประตูล๊อคอีกด้วยต่างหาก
จนต้องไปตามสามีของ Frau Winter มางัดประตู และพบว่า เจลินอนคว่ำหน้าลงกับพื้นพรมข้างตัวมีปืนพกของ
ฮิตเล่อร์อยู่
หล่อนเสียชีวิตมาตั้งแต่เมื่อวาน โดยการยิงตัวเองเข้าที่หน้าอก..!!

มาถึงตอนนี้ พรรคนาซี ก็วิ่งปิดข่าวกันอย่างเคร่งเครียด ในเช้าวันเสาร์ที 19 นั้น
ทั้ง Gregor Strasser, Rudolf
Hess, Max Amann และ Franz Schwart ต่างก็มารวมตัวในสถานที่เกิดเหตุ และ หารือกันว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้ ...
ในที่สุดสิ่งแรกที่ได้ตัดสินใจทำกันนั่นคือ ส่งข่าวไปยังบราวน์ เฮ้าส์ ให้กระจายข่าวว่า..หลานสาวฮิตเล่อร์ยิงตัว
ตายเพราะเกิดความเครียดในเรื่องการที่จะเป็นนักร้องโอเปร่า
แต่ในไม่กี่นาทีต่อมา นึกเอะใจขึ้นมาได้ว่า แล้วมันจะเครียดอะไรนักหนา เป็นถึงหลานฮิตเล่อร์น่ะ..
ตำรวจก็จะต้องสืบค้นข้อมูล เดี๋ยวก็จะเจอกับข้อเท็จจริงที่ว่า เจลินั้นถูกปิดกั้นอิสรภาพในการเป็นอยู่ทางสังคมจากน้าชาย
อย่างมากมาย..ทีนี้ ข่าวชู้สาวก็จะฉาวโฉ่ไปกันใหญ่
เหล่าขุนพลก็เลยเปลี่ยนใจ เปลี่ยนเนื้อหาของข่าว..โทรไปแจ้งอีกว่า เอาเป็นว่าเกิดอุบัติเหตุก็แล้วกัน แต่..มันช้าไปแล้ว..
เพราะ นาย Adolf Dresler ได้ตีพิมพ์ออกไปเป็นที่เรียบร้อย

ตำรวจก็เข้ามาสืบสวนจริงๆ เพราะนี่คือการตายแบบผิดปรกติ แม่บ้านทั้งสองคนให้การตรงกันว่า..ประตูนั้นล๊อคจากข้างใน
และ..ไม่ได้ยินเสียงปืน นอกจากเสียงวัตถุหนักๆล้มลง แต่เข้าใจว่า เจลิอาละวาดขว้างปาของตามปรกติยามที่ถูกขัดใจ

ผลของการชันสูตรศพจากหมอพรทิ..เอ๊ย ขอโทษค่ะ จาก Dr. Muller ได้บันทึกไว้ดังนี้..ว่า
“เป็นการตายด้วยเหตุวิบัติ กระสุนได้เจาะที่หน้าอกตรงเนื้อหนังด้านบนตำแหน่งของหัวใจ แต่พลาดไม่ได้ทะลุออกจากร่าง กลับไปติดอยู่ที่หลังด้านส่วนบนของสะโพกซ้าย
ส่วนใบหน้าไม่มีร่องรอยของการถูกทำร้ายใดๆ นอกจากรอยเลือดคั่งเพราะการเสียชีวิต อีกทั้งปลายจมูกบิดเบี้ยว
เนื่องจากการกดทับกับพื้นเป็นเวลานับสิบๆชั่วโมง..
ซึ่งข้อความนี้ตรงกันกับเจ้าหน้าที่หญิงบรรจุศพสองคน ที่ได้บอกว่า..เธอได้สังเกตศพอย่างละเอียด เพราะทราบ
ว่าเป็นหลานสาวฮิตเล่อร์ ไม่พบร่องรอยใดๆที่อาจกล่าวว่าผิดปรกติ..
และได้บรรจุศพลงในโลงไม้ ตอนที่เคลื่อนย้ายออกไปจากแฟลต แต่ ได้เปลี่ยนมาเป็นโลงทองแดงเมื่อมาถึงสถานที่เก็บศพ
สิ่งเดียวที่ผิดปรกตินั่นคือ..การเคลื่อนย้ายศพออกไปนอกประเทศสู่ออสเตรีย ทางรถไฟนั้นได้กระทำอย่างรวดเร็ว..

Anna Winter หรือ Frau Winter ได้ให้การว่าหลังจากที่ฮิตเล่อร์ออกไปจากบ้านเพียงไม่กี่นาที เธอเห็นเจลิวิ่งเข้า
ไปค้นอะไรกุกกักในห้องของน้าชาย และวิ่งกลับเข้าไปในห้องส่วนตัวปิดประตูเงียบ
ตอนกลางคืนเธอพยายามเคาะประตูเรียก เพื่อที่จะเข้าไปทำเตียงให้ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จึงเข้าใจว่า เจลิออกไปข้างนอก
จนกระทั่งเช้า จึงเห็นผิดสังเกต...

แม่บ้านคนอื่นๆก็ไม่ได้ยินเสียงปืนเช่นกัน..
แต่อะไรก็สกัดกั้นหนังสือพิมพ์ไม่ได้
ข่าวตีออกไปหลายกระแส รวมไปถึงข้อสันนิษฐานว่าถูกฆาตกรรมปิดปากอีก
ด้วย..
ฮิตเล่อร์..อยู่ในระหว่างการเดินทาง..เขาเพิ่งเช๊คเอ๊าท์ออกจากโรงแรม Deutsacher Hof
ที่เมือง Nuremberg
และกำลังอยู่ในระหว่างทาง..Hoffmann สังเกตเห็นรถวิ่งตามมาอย่างติดๆ..จึงชะลอดู เห็นว่าเป็นแท็กซี่จากโรงแรมที่เพิ่งออกมา
เด็กส่งสาส์นนำข่าวมาบอกว่า ให้โทรกลับไปหานาย Hess ด่วน เกิดข่าวร้าย..
ฮิตเล่อร์จึงย้อนกลับไปที่โรงแรม และ จัดการโทรศัพท์ทันที..
เสียงเขาละล่ำละลัก..ทันทีที่ได้ยินข้อความจากปลายสาย..
“โอ พระเจ้า เธอต้องไม่เป็นอะไรนะ..อย่าบอกนะว่า..ว่า..เธอ...”
แล้วเขาก็เข่าอ่อน ทรุดฮวบไปตรงนั้น ร้องไห้โฮออกมาเหมือนกับเด็กๆ...
พอได้สติ เขาบอกให้ ฮอฟมันน์ กลับเข้ามิวนิคเดี๋ยวและอย่างเร็วด่วน เพราะ เขาอยากลา
เจลิเป็นครั้งสุดท้าย !!

ขากลับ..เวลา บ่ายโมงเศษ..โชเฟ่อร์ของฮิตเล่อร์ได้เหยียบคันเร่งมิดตามคำสั่งนั้น...บนทางระหว่าง Ebenhausen และ Ingolstadt ได้ถูกให้หยุดเพื่อรับใบสั่งจากตำรวจในฐานะขับรถเร็วกว่ากำหนดเกือบเท่าตัว
นั่นคือ วันเสาร์ที่ 19 และมาถึงแฟลตเมื่อเวลาประมาณก่อนบ่ายสามโมงนิดหน่อย..
และฮอฟมันน์ได้เขาทราบมาจากแม่บ้านว่า..
เจลิบ่นให้ฟังบ่อยๆว่า ไม่มีความสุขเลยแม้แต่นิด เพราะ น้าชายไม่ค่อยอยู่ดูแล ไปที่โน่นที่นี่ตลอดเวลา
วันนั้น เจลิได้เข้าไปค้นของในห้องของฮิตเล่อร์ และได้พบกับโน้ตที่เขียนว่า.
“คุณฮิตเล่อร์ที่รัก..
ขอบคุณสำหรับเย็นวันที่ฉันได้รับเชิญไปดูโอเปร่าที่แสนสนุก มันน่าประทับใจอย่างที่สุดสำหรับไมตรีจิตที่คุณได้มอบให้ ฉันจะขอจดจำไว้นานเท่านาน..และนับชั่วโมงคอย..เพื่อที่จะได้พบกับคุณอีก
ลงชื่อ..เอวา..

และนี่คือสาเหตุที่ ทั้งคู่ก็เป็นปากเป็นเสียงกัน จนเจลิยื่นคำขาดว่าจะขอกลับไปอยู่ที่ออสเตรีย(ชั่วคราว) และไม่
สมประสงค์จึงเป็นเหตุทำให้เกิดการคิดสั้น..
แต่บนโต๊ะหนังสือ มีจดหมายเขียนถึงเพื่อนในออสเตรียที่ไม่ได้ลงชื่อ ..ข้อความแสนที่จะมีความสุข ว่า เธอกำลัง
จะไปพบและจะได้ไปช้อปปิ้งกันให้สนุก..
จากข้อความนี้ พวกสื่อหนังสือพิมพ์เอาไปตีความว่า..เจลินัดพบกับผู้ชาย และ..ฮิตเล่อร์จับได้..เกิดความหึงหวง
จึงบันดาลโทสะ..สาดกระสุนใส่สู่ทรวงอกหลานสาวชู้รัก..!!

พวกบรรดาแม่บ้าน ถูกสั่งห้ามให้การกับตำรวจถึงการปรากฏตัวในตอนเช้าของพรรคพวกชาวนาซีจาก บราวน์ เฮ้าส์เด็ดขาด
เพราะกว่าเจ้าหน้าที่จะได้รับแจ้งและมาถึงแฟลตก็เป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมง..
และผู้ที่ให้รายงาน คือ Frau Winter ที่เรียงเรียงข้อความให้ดูดีว่า..

เจลิเคยเป็นนักเรียนพยาบาลแต่สมองไม่ดีจึงเลิกเรียนกลางคัน หันไปสนใจในเรื่องการฝึกฝนร้องเพลงเพื่อที่
ต้องการจะเป็นนักร้องในวงโอเปร่า
ซึ่งเธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากมายเพราะไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อน เธอทุ่มเทกับมันมาก แม้กระทั่งต้องไป
เรียนพิเศษกับครูผู้ชำนาญในเวียนนา
แต่ฮิตเล่อร์น้าชายญาติคนเดียวของเจลินั้นไม่เห็นด้วยกับการที่เธอจะต้องไปอยู่คนเดียวในเวียนนา จึงเสนอให้
มารดาของเธอ แอนเจล่า ไปอยู่ด้วยเพื่อการดูแล
แต่เจลิปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างไม่ใยดี เพราะต้องการที่จะอยู่คนเดียวตามประสาเด็กสาว ฮิตเล่อร์จึงไม่ยินยอมต่อข้อเรียกร้อง
ซึ่งนี่คือสาเหตุของการขัดใจ และ เธอได้เล่าให้ฟังบ่อยๆว่า เคยไป "เข้าทรง" มา และได้รับการบอกเล่าจากวิญญาณผ่านคนทรงว่า
คนอย่างเธอต้องพบกับจุดจบแบบปัจจุบันทันด่วน (เรียกง่ายๆว่า ไม่แก่ตาย นั่นละมัง)




ฮิตเล่อร์ได้เศร้าโศกเสียใจอย่างมากมายต่อการจากไปของหลานรัก

แต่หลังจากข่าวนี้ได้แพร่หลายออกไป สื่อต่างๆเอาไปแปลกันมากมายหลายเนื้อความ จน..คนเริ่มสงสัย ว่า
ทำไมต้องห้าม..ทำไมต้องทะเลาะกัน
เสียงสะท้อนกลับนั้นเต็มไปด้วยเรื่องคาวฉาวโฉ่..และออกจะอุบาทว์จนเกินที่จะรับ เนื่องจากผู้ตายนั้นนับว่าเป็น
หลานสาวสายเลือดเดียวกันไปตั้งครึ่งตั้งค่อน
แถมกลายเป็นจุดให้พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามโจมตีดอาอีกด้วย
ฮิตเล่อร์จึงต้องเขียนข้อความไปยังตำรวจ พร้อมทั้งลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ของพรรค..เพื่อเป็นการแก้ภาพพจน์ว่า

ข้าพเจ้าขอใช้สิทธิในมาตราที่ 11 ว่าด้วยเรื่องกฎหมายของข้อความในสิ่งตีพิมพ์ เพื่อขอการเป็นธรรมแก้ใขข้อ
ความต่อการเสียชีวิตของหลานสาวข้าพเจ้าให้ถูกต้องดังนี้

1. เรื่องที่ข้าพเจ้าและหลานสาวได้มีปากเสียงกันในวันเกิดเหตุนั้น..ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
2. เรื่องที่ข้าพเจ้าขัดขวางการเดินทางไปเวียนนาของหลานสาวของข้าพเจ้านั้น..ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
3. เรื่องที่หลานสาวของข้าพเจ้าได้พบคบค้าหรือหมั้นหมายกับชายหนุ่มในเวียนนานั้น..ไม่เป็นความจริงแต่อย่าง
ใด
ความจริงคือ เธอเกิดความเครียดต่อการที่ต้องทดสอบเสียงต่อผู้เชี่ยวชาญ และเป็นกังวลว่าจะไม่ประสบความ
สำเร็จ
4. เรื่องที่ข้าพเจ้าถูกกล่าวหาว่า ได้ผลุนผลันออกจากที่พักทันทีหลังจากที่มีการเกิดเป็นปากเสียงอย่างแรง นั้น..
ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
เพราะ ไม่มีเหตุการณ์ผิดปรกติใดๆเกิดขึ้นในครอบครัวของข้าพเจ้าตามเวลานั้นๆ

ลงชื่อ

อดอล์ฟ ฮิตเล่อร์




 

Create Date : 09 มีนาคม 2548   
Last Update : 12 กรกฎาคม 2556 4:49:55 น.   
Counter : 3799 Pageviews.  

ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนห้า

เพียงเก้าเดือนที่ถูกจองจำ..ฮิตเล่อร์ก็ได้รับอิสรภาพในสองวันก่อนวันคริสต์มาส ปี 1924
และหลังจากนั้นไม่กี่วัน เขาก็ขอเข้าพบกับหัวหน้ารัฐบาลบาวาเรีย หรือ..
จะพูดให้ถูกนั่นคือเขาเข้าพบเพื่อขอความกรุณาต่อใบอนุญาตการดำเนินงานของพรรคและของหนังสือพิมพ์ต่อไป.. โดยให้สัญญาว่าจะทำตัวดีๆ ไม่สร้างปัญหา ไม่ด่ารัฐบาล..
อ้ะ..เป็นอันว่าสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะอย่างนั้น..คนกันเองก็หยวนๆกันไป..
ฮิตเลอ่ร์ได้รับการอนุญาตในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ และได้จัดประชุมสมาชิกพรรคทันทีในวันที่ 27 คือวันรุ่งขึ้นต่อมา..คนเข้ามาชุมนุมกันกว่า สี่พันคน..

ฮิตเล่อร์ห่างร้างเวทีไปซะนาน มาคราวนี้ เกิดอาการบ้าน้ำลาย สัญยิง สัญญาอะไรที่ให้ไว้กะใครก็ลืมหมด..ตั้งต้นด่ากราดตามฟอร์ม..
ผลคือ..โดนแบนไปอีกสองปี..ในฐานะ ไม่รู้จักเข็ดหลาบ !!



เผอิญว่าในช่วงนั้น..คือ ช่วงที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองเมือง Ruhr อันเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของเยอรมัน
จนเป็นเหตุให้ฮิตเล่อร์(และคณะอื่นๆด้วย) ทำการปฏิวัติจนต้องเข้าคุกนั้น..
สิ่งที่ตามมาคือ ยุคข้าวยากหมากแพง เพราะรัฐบาลไวมาร์แก้ปัญหาด้วยการพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้ ภาวะเงินเฟ้อแบบชนิดที่ว่าจะไปซื้อตั๋วรถไฟใบเดียวต้องเอาเงินขนใส่ท้ายรถบรรทุกแบบสุมท่วมหลังคา
ผู้คนจึงหันมาใช้วิธีการแลกเปลี่ยนแทน
(คือวิธี Barter) อยากได้อะไรก็เอาของไปแลกเอา เพราะค่าของเงินนั้นไม่มีความหมายอะไร ขนมปังก้อนละสิบล้านมาร์คยังเงี้ย..

โชคยังดีที่..เยอรมันได้คนดีศรีเบอร์ลิน คือนาย Gustav Stresemann รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ที่ยอมรับแผนการแก้เงินเฟ้อของนักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันที่ชื่อว่า Charles G. Dawes เพราะ Gustav ได้มองเห็นวิธี
ดำเนินการอย่างทะลุปรุโปร่ง ว่านี่คือทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง(อย่างน้อยก็ชั่วคราว)

Gustav Stresemann



เขานำนโยบายนี้เข้าเสนอต่อฝ่ายสัมพันธมิตรที่กรุงเจนีวา เพื่อขอปรับลดหย่อนค่าปฏิกรรมสงครามจากพันล้านมาร์คต่อปี ลดมาเป็น ห้าสิบล้านมาร์ค และขอรับเงินกู้จากอเมริกาจำนวน 200 ล้านยูเอสดอลล่าร์ เพื่อที่จะนำมาเป็นทุนสำรองในการพิมพ์ธนบัตรขึ้นมาใช้ใหม่ และทำนุบำรุงซ่อมสร้างโรงงานต่างๆ เพื่อเพิ่มผลการผลิต
ประชาชนได้มีงานทำและเพิ่มการส่งออกซึ่งเป็นที่ตกลงยินยอม ด้วยกันทุกฝ่าย..อันส่งผลให้เศรษฐกิจภายในประเทศได้ฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
และในช่วงสั้นๆที่นาย Gustav ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำของรัฐบาลผสมบริหารงานร่วมกับรัฐบาลไวมาร์ (หลายๆประเทศในยุโรปมักมีรัฐบาลผสม อันเป็นเรื่องปรกติ)เขาสามารถแก้ปัญหาในภาวะวิกฤตินั้นจากหนักให้เป็นเบาในหลายๆเรื่อง
เช่น..โดยการเจรจาออมชอมจนเป็นที่ตกลงในเรื่องฝรั่งเศสเข้ายึดครองเมือง Ruhr และ เข้าแก้ไขสถานะการณ์โดยการจัดการบริหารรัฐบาลของบาวาเรียเสียใหม่หลังจากที่คณะกบฏโรงเบียร์ของฮิตเล่อร์ได้ทำเละเทะไว้..
ที่สำคัญคือ..แก้ใขปัญหาปากและท้องของประชาชนได้สำเร็จ
นับว่าเขาได้ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศอย่างเหลือคณานับ
(นาย Gustav Stresemann ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อปี 1926 )


ชีวิตของฮิตเล่อร์ในช่วงนี้นั้นถือว่าสุขสบาย เพราะทุกอย่างถูกแบนไปหมด(จนถึง 1927) เลยได้พักผ่อนเต็มที่
เขาใช้เวลาไปเที่ยวชนบทบริเวณชายแดนใกล้บ้านเกิด (หมายถึงออสเตรีย) และที่สุดโปรดนั่นคือ หมู่บ้านเล็กๆ Berchtesgaden (ในรัฐบาวาเรีย)
แต่มันก็เป็นช่วงปีที่เขาได้พบกับเพื่อนใหม่หลากหลายที่พากันมาร่วมชตากรรมในภายหลัง แต่ขอเอ่ยถึงเพื่อนคนสำคัญคนนี้ก่อน คือ
Putzi หรือ Ernst Hanfstaengl เพราะคนคนนี้อยู่ใกล้ชิดกับฮิตเล่อร์รวมทั้งรู้จักกับคนวงในคนอื่นๆของเขาเกือบทุกคนและมีชีวิตรอดออกมาเขียนหนังสือให้พวกเราได้รู้จักฮิตเล่อร์ในด้านอื่นๆได้ดีขึ้น



เคยเล่าไปคร่าวๆแล้ว..ถึง Putzi นี่ แต่มาขยายตรงนี้ละกัน..ว่า เขาคือไฮโซ ตัวจริงในยุคนั้นทีเดียว
เพราะครอบครัวของเขาคือเชื้อสายผู้ดีเก่ายูโรเปี้ยนมาช้านาน อีกทั้งโยงใยกันไปหมด เหมือนๆกับผู้ดีไทยนั่นแหละ
ธุรกิจของพวกเขานั้นคือ การเป็นตัวแทนตัวกลางซื้อขายแลกเปลี่ยนภาพศิลป รวมไปถึง สิ่งตีพิมพ์ และวัตถุโบราณของดีของแท้ต่างๆด้วย
(ขอให้เข้าใจว่า.ในยุคสมัยที่ยุโรปเต็มไปด้วยกษัตริย์และราชวงค์ต่างๆนั้น .คนที่จะทำธุรกิจตรงนี้ได้ ต้องเป็นคนมีระดับ ตระกูลไฮโซอันเป็นที่ยอมรับ)

ตัวนาย Putzi นี่ก็เป็นคุณหนูแบบมีคุณภาพ
คือ จบการศึกษาจาก Harvard ในขณะที่ครอบครัวได้ไปเปิดกิจการที่อเมริกา
ตัวเขากลับมาดูแลสาขากิจการที่เยอรมันบ้านเกิด มาพบและชื่นชอบคารมของ ฮิตเล่อร์ ในปี 1922
จนพาตัวเข้ามาคลุกคลีกลายเป็นทั้งเพื่อนและพี่เลี้ยงส่วนตัวในด้านมารยาทสังคม
ที่สำคัญ นั่นคือ เขาเป็นนักเล่นเปียนโนที่มีความสามารถ โดยเฉพาะเพลงของวาคเน่อร์ ที่ฮิตเล่อร์แสนหลงไหล !!
นอกจากจะเป็นเพื่อนไปไหนมาไหนด้วยแล้ว นาย Putzi คนนี้ยังเป็นนายทุนสนับสนุนเงินช่วยพรรคยามเดือดร้อนอีกด้วย
ในครั้งหนึ่ง..หนังสือพิมพ์ของพรรคที่ฮิตเล่อร์บริหารอยู่นั้น (ก่อนถูกปิดไป) พิมพ์ออกมาได้อาทิตย์ละสองหนเพราะขาดทุนหมุนเวียน
Putzi ได้ออกทุนให้ซื้อเครื่องพิมพ์แบบใหม่ระบบโรตารี่ให้เป็นจำนวนสองเครื่อง จนสามารถพิมพ์ออกมาจำหน่ายได้ทุกวัน

เขาทั้งสองกลายเป็นแขกประจำบ้านของกันและกันไป..แต่นั่นหมายถึงฮิตเล่อร์กลายเป็นแขกของครอบครัว Putzi ได้ทุกเมื่อ
Helene ตัวภรรยานั้น เป็นสาวงาม ผมบลอนด์ มีรูปร่างสง่างาม ท่าทางคล่องแคล่วไปด้วยมารยาทสังคมที่ถูกฝึกปรือมาดีเยี่ยม
เขาทั้งสองมีลูกชายเล็กๆคนหนึ่ง(ในตอนนั้น) ชื่อว่า Egon ที่ติดฮิตเล่อร์แจ..

แต่ยามที่อีกฝ่ายจะไปหาฮิตเล่อร์ ก็ไปได้แต่ห้องโถงรับรองชั้นล่างของอพาร์ตเม้นท์โทรมๆที่ฮิตเล่อร์ได้เช่าห้องพักอาศัยอยู่ชั้นสอง
อย่างน้อยในห้องโถงนั่น ก็มีเปียนโนอยู่หลังหนึ่ง ที่ Putzi มักใช้เป็นที่บรรเลงเพื่อเป็นการบันเทิงของบรรดาประชาชนชาวแฟลต
ซึ่งตัวคุณหนู Putzi เคยเปรยๆว่า เพราะพื้นที่ปูไปด้วยกระเบื้องยางเฮงซวยนั่นทำให้เสียงไม่เพราะเท่าที่ควร

หลายต่อหลายครั้งที่ฮิตเล่อร์ได้ให้เขาเล่าถึงการเมืองในอเมริกา..และมักฟังไม่ได้ศัพท์ชอบจับเอาไปกระเดียด
กล่าวคือ ฮิตเล่อร์ต้องการเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเชื่อเท่านั้น
อย่างเรื่อง Henry Ford ที่เขียนหนังสือโจมตียิว..ฮิตเล่อร์ก็อยากจะเชื่อแต่แค่นั้นว่า
ดูดิ..นายเฮนรี่ ฟอร์ด ยังคิดเหมือนกันกะเขาเลย หากแต่ไม่เคยสนใจที่จะรู้สักนิด ว่าชื่อเสียงความสำเร็จทางด้านอุตสาหกรรมวิศวะเครื่องยนตร์ของ Henry Ford นั้นก้องโลกเพียงไร
หรือ..เรื่องขบวนการ KKK {Ku Klux Klan} ที่ได้ระบาดในอเมริกาถึงเรื่องการเหยียดหยามสีผิวของคนบางกลุ่มอันเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจฟังเป็นพิเศษ

Putzi เคยลงทุนที่จะเสนอตัวสอนภาษาอังกฤษให้แก่ฮิตเล่อร์แบบตัวต่อตัว เพียงวันละสองชั่วโมง..เพื่อที่จะได้สามารถอ่านข่าวสารของชาวบ้านชาวเมืองเขาได้มั่ง
แต่..ข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย ด้วยเหตุผลเดียวกับที่เขาอ้างแบบเด็กๆในยามที่ Putzi พยายามที่จะให้เขาออกไปสังคมกับคนระดับ William Bayarn Hale เพื่อนร่วมชั้นเรียนของประธานาธิบดี วิลสัน (ศิษย์เก่าฮาร์วาร์ด) ซึ่งในขณะนั้นได้เป็นหัวหน้าฝ่ายข่าวทั่วภาคพื้นยุโรปของหนังสือพิมพ์ Hearst
หรือ Prince Henckel-Donnersmarck หรือ อภิมหาเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพลทางด้านเศรษฐกิจของยุโรปคนอื่นๆก็ตาม

ฮิตเล่อร์อ้างว่า.."ก็ไอ้คนพวกนั้น มันจะมีปัญญาคิดอะไรด๊ายย..เวลาคุยกันมันก็คงเซ็งกันเองมั๊ง..ถึงอยากได้คนอย่างเราไปร่วมวงด้วยไงล่ะ ป๊าดธ่อ..ไปให้โง่น่ะดิ..ถ้าพวกมันอยากคุยกะเรานักก็ให้มันมาจอยกลุ่มเราซิ แต่จะให้เราไปร่วมนั้น..ไม่มีทาง เชอะ!!!"


ในวันหนึ่งขณะที่ Putzi นั่งบรรเลงเพลงอยู่บนเปียนโนในบ้านของ Heinrich Hoffman ช่างภาพประจำตัวของฮิตเล่อร์นั้น
การสนทนาได้มาถึงการแต่งเพลงให้ท่วงของดนตรีที่จะนำมาใช้ในการปลุกใจ
Putzi จึงเล่นเพลงเชียร์กีฬาทำนอง
กระตุ้นเร้าใจประจำมหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ดให้ฟัง
ในช่วงที่ว่า Harvard fight ! fight ! fight ! หรือ Rah ! Rah ! Rah ! นั้น ประทับใจฮิตเล่อร์มาก ถึงกับลุกขึ้นยืน
และเดินก้าวเท้า ขยับไม้ขยับมือ
เหมือนกับตัวเองเป็น ผู้เชิญคทานำหน้าริ้วขบวน หรือที่เมืองไทยนิยมใช้ทับศัพท์กันนักว่า ดรัมเมเย่อร์

Putzi ได้เริ่มมาสังเกตถึงความผิดปรกติบางประการของฮิตเล่อร์ในครั้งแรกก็เมื่อคืนวันคริสต์มาสที่เขาเพิ่งออกมาจากคุกหมาดๆว่า..เขาเป็นคนประหลาดที่เกลียดการจุมพิต หรือการสัมผัสรัดรึงอย่างที่สุด
เพราะในวันนั้น เขาและเฮเลนได้เชิญฮิตเล่อร์ให้มาฉลองเทศกาลที่แฟลตที่พัก
ครั้งแรก ฮิตเล่อร์ปฏิเสธ แต่หลังจากที่โดนขอร้องหนักๆเข้า เขาบอกว่า งั้นจะมา..แต่จะอยู่แค่ครึ่งชั่วโมงนะ !!
แล้วเขาก็มาตามนัด บรรดาแขกสาวๆกำลังสนุกสนานกัน ใครคนหนึ่งในกลุ่มได้ดึงตัวเขาไปยืนใต้กิ่ง mistletoe พร้อมทั้งยื่นปากไปจูบเขาจิ๊ดนึง

แค่นั้นแหละ..เหมือนโลกทะลาย ฮิตเล่อร์ยืนนิ่งขึง ริมฝีมากเม้มเข้าหากันแน่น ประหนึ่งกำลังสะกดโทสะไว้อย่างเต็มกำลัง
ซึ่งทั้ง Putzi และ Hoffman ได้พยายามทำเป็นเรื่องขบขันเข้าไกล่เกลี่ยสถานะการณ์
แต่ ฮิตเล่อร์บอกลาทุกคนอย่างเสียไม่ได้ก่อนที่จะหันหลังกลับแทบในทันที

เรื่องนี้ได้มีการบันทึกไว้ ในสมัยที่เขายังเด็กๆ แม่ของเขา Klara ได้ใช้วิธีนี้ปลุกเขาให้ตื่นจากการนอนอย่างขี้เซา
โดยการเรียกพอลล่าน้องสาว
ให้ขึ้นไปจูบพี่ฮิตเล่อร์ แค่นั้นแหละ เขาจะรีบกระโดดลุกขึ้นจากที่นอนราวกับติดสปริง

แต่ครั้งหนึ่ง..ไม่นานจากนั้น ฮิตเล่อร์มีโอกาสอยู่กับเฮเลนภรรยาของ Putzi ตามลำพัง ขณะที่เธอนั่งเล่นอยู่บนโซฟา เขาเดินเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้า
ซบศรีษะลงไปแทบตักเฮเลน พร้อมทั้งพูดว่า
"ผมอยากให้มีใครสักคนมาดูแลผมบ้างจัง"
เฮเลนจึงถามเขาไปว่า..
ทำไมคุณไม่คิดหาใครมาแต่งงานสักคนล่ะ ?
ฮิตเล่อร์ตอบหน้าตาเฉยว่า.."นอกจากประเทศชาติแล้ว..ผมไม่สามารถรักใครได้อีก"

การที่ฮิตเล่อร์เริ่มพูดจาออกประสาทๆเช่นนี้ เพราะกลไกเบื้องหลังของเขาคนหนึ่งคือ Alfred Rosenbergบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ Voelkischer Beobacher ที่ฮิตเล่อร์ได้มอบอำนาจให้ดูแลแทนในช่วงที่เขามี"ธุระ"ต้องไปติดคุกนั้น
นาย Alfred คนนี้ มีความสามารถในด้านการ
โปรปะกันดาอย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะเรื่องชักนิยายเกี่ยวกับว่า
ในโลกนี้มีอยู่แต่สองเผ่าพันธ์ที่ต้องเป็นอริกันไปจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง
เผ่าพันธ์แรกคือ แอเรี่ยน {Aryan} ที่มากด้วยบารมี ดีเลิศประเสริฐศรี สืบเชื้อสายมาครั้งแต่ครั้งโรมันก่อนคริสต์ศักราช
อีกเผ่าหนึ่งคือ ยิว ที่เลือดเนื้อของชนเผ่านี้เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ไปที่ไหนเดือดร้อนที่นั่น
และยิวได้พยายามทุกอย่างที่จะล้มล้างฝ่ายตรงข้ามให้หมดไปจากโลก
ฮิตเล่อร์ขานรับนิทานเรื่องนี้อย่างหมดใจ นาย Alfred ได้กลายเป็นผู้วางแผนกำจัดยิวทางด้านทฤษฎีอย่างเต็มตัว

(ในปี 1940 ฮิตเล่อร์มีโครงการที่จะสร้าง University of Nazism
เพื่อการศึกษาของยุวชนนาซี และได้เตรียมให้นาย Alfred รั้งตำแหน่งอธิการบดี)

จากที่ฮิตเล่อร์เคยพูดปาวๆว่าเบื่อพวกไฮโซหัวสูง..แต่ในขณะเดียวกัน
เขาก็ได้ถอยเมอซิเดส-เบ๊นซสีแดงคันใหม่ออกมาเฉิดฉายไปทั่วเมือง
มิหนำซ้ำ..ยังไปสร้างสาขาใหม่ที่ Berchtesgaden สถานที่ตากอากาศทิวทัศน์เทือกเขาแอลป์แสนสวยสุดเลิฟอีกด้วย
{ในขณะที่เจ้าหนี้อย่าง Putzi ยังอาศัยอยู่แฟลตและไปไหนมาไหนด้วยจักรยานคู่ชีพ}

และที่ร้านขายของเล็กๆในหมู่บ้านของเบอร์ทเทสกาเตน
ตรงข้ามกับบังกาโลที่พักของฮิตเล่อร์ มีสาวสวยสองพี่น้องทำงานอยู่ในนั้น
Anni ผู้พี่ กับ Mitzi ผู้น้อง คนหลังนั้นได้สวยสะดุดตาฮิตเล่อร์ เขาถึงกับเปิดประตูเข้าไปทักทายและแนะนำตัวเอง
จนต่อมา เขาได้เชิญ Mitzi ไปดูคอนเสิร์ต แต่ Anni ผู้พี่สาวไม่อนุญาตให้ไป เนื่องจากอายุของคนทั้งสองต่างกว่ากันถึง 20ปี
แต่ฮิตเล่อร์ก็ไม่ลดละ
ในไม่กี่วันต่อมาเขาจึงเชิญทั้งพี่ทั้งน้องให้ไปร่วมฟังการประชุมในพรรค
จนเขาสามารถพาสาวงามออกเดทได้ในเวลาต่อมา..
จากปากคำของ Mitzi เธอเล่าว่า..ฮิตเล่อร์มักพาเธอไปเดินที่ปาร์ค หรือนั่งเจ๊าะแจ๊ะตามร้านกาแฟ..
มีครั้งหนึ่งขณะที่เดินเล่นเลียบทะเลสาบ
เขาบีบไหล่เธอค่อนข้างแรงและบอกว่า...อยากกอดเธอเหลือเกิน
จากนั้น..เมื่อเธอเริ่มพูดถึงแผนการในอนาคตที่จะไปอยู่ร่วมกัน
ฮิตเล่อร์มักบ่ายเบี่ยงในทำนองว่า ที่มิวนิคมีห้องเช่าเยอะแยะ ถ้าอยากไปละก้อจะจัดหาให้ !!


และเขาเองก็พยายามพาตัวไปคบค้ากับพวกที่เขาเคยบอกว่าเกลียดนักเกลียดหนา ถึงกับยอมเป็นข้าทาสรับใช้
คนคนนั้นคือ Winifred Wagner
ลูกสะใภ้ของ Richard Wagner
นักดนตรีผู้ทรงพลังแห่งศตวรรษ

Siegfried  และ Winifred


Winifred เป็นภรรยาของ Siegfried Wagner ลูกชายคนหนึ่งของริชาร์ด ที่มีอายุต่างกับสามีถึง 28 ปี สาเหตุที่
แต่งงานกันเพราะแม่สามี Cosima เป็นคนจัดแจงเจ้ากี้เจ้าการให้ เพราะเบื่อในพฤติกรรมลักเพศของลูกชายคนนี้
เสียเหลือเกิน เธอเชื่อว่า หากว่าหาเมียเด็กๆให้ อาจจะหายจากการเลี้ยงต้อยเด็กหนุ่มซะที..
และ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ.....หายจริงๆฮ่ะ..
วิธีนี้ใครจะนำไปใช้ก็ไม่ว่ากันนะฮะ
เพราะ Winifred มีลูกติดๆกับแบบหัวปีท้ายปีเรียงเป็นเถาปิ่นโต คือ
Wieland 1917-1966
Friedelinde 1918-1991
Wolfgang 1919
Verena 1920
เพราะความหลงไหลในเสียงเพลงของวาคเน่อร์มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ทำให้ฮิตเล่อร์มีความรู้สึกว่าครอบครัวนี้คือส่วนหนึ่งของชีวิต

แต่ Putzi ก็ได้แนะนำให้ฮิตเล่อร์เริ่มเข้าสังคมแบบถูกต้องคือ ต้องหัดเต้นรำบ้าง..
แต่ก็ถูกตอกกลับมาว่า......การเต้นรำไม่ใช่เรื่องของ(ว่าที่)ผู้นำระดับประเทศที่จะต้องมาใส่ใจปฏิบัติ
ศิษย์เก่าฮาร์วาร์ดอย่าง Putzi มีหรือจะยอม..เขาตอกกลับคืนไปหนึ่งดอกว่า..
"คุณอย่าลืมซิว่า..ทั้ง พระเจ้าเฟรดเดอริคมหาราช (ที่รวบรวมอาณาจักรปรัสเซียเข้าด้วยกันสำเร็จ) และ นโปเลียนมหาราช ล้วนแล้วแต่เป็นนักเต้นรำที่สวยงามนะ"

ฮิตเล่อร์เองหรือจะยอมจำนน..
สบัดหน้าพรืดดด..กระแทกคืนอย่างข้างๆคูๆว่า
"ก็คงเป็นเพราะไอ้เวียนนาวอลทซ์ นี่ละม๊างงง..เกลียดนักเชียว เต้นรำกันจนประเทศชาติ
ล่มจม ยังไม่รู้สึกสำนึกในกะลาหัว เชอะ !!"


พูดถึง Winifred นี่ก็เล่าให้จบเสียเลย เดี๋ยวจะลืมกลับมาย้อนทีหลัง..
ครอบครัววาคเน่อร์นี้ได้จัดมหกรรมดนตรีที่
ยิ่งใหญ่ทุกปีที่เมือง Bayreuth อันเรียกว่า The Bayreuth Festival อันเปรียบเสมือนการการเถลิงเกียรติของเพลงทั้งหมดของวาคเน่อร์
พอหลังจากที่ Cosima และ Seigfried ได้ถึงแก่กรรมไปในปี 1930 ทุกอย่างก็ตกเป็นของเธอแต่ผู้เดียว ก็พอดีกับเป็นช่วงรุ่งโรจน์ชัชวาลย์ของพรรคนาซีพอดี๊..
ฮิตเล่อร์ได้โอบอุ้มเทศกาลนี้อย่างเต็มที่เมื่อตอนที่เขามีสิทธิที่จะทำได้..ทั้งยกให้เป็นงานระดับชาติ ปลอดเรื่องภาษี และเรื่องเงินสนับสนุน
อีกทั้งเหล่าบรรดาลูกๆของ Winifred ต่างล้วนอยู่ดีกินดี เนรมิตสิ่งใดได้ดังใจ
พอหลังสงครามโลกครั้งที่สองเสร็จสิ้น รายการคิดบัญชีกลับคืนก็มาเป็นหางว่าว เธอถูกสั่งคัดชื่อออกจากกรรมการของมหกรรม
แต่ลูกๆของเธอยังอยู่ในคณะกรรมการบริหารที่ต้องห้ามแม่ตัวเองเข้าและเหยียบย่างเข้ามาในบริเวณงาน  ถึงแม้ว่าจะเป็น วาคเน่อร์คนหนึ่งก็ตาม ตามมติเสียงส่วนใหญ่

และเธอได้ให้สัมภาษณ์ในปี 1975 ว่า
"ไม่เคยเสียใจที่ได้รู้จักและสนิทสนมกับฮิตเล่อร์ มันเป็นประสบการณ์ที่ดีและมิตรภาพที่ประทับใจ"


ฮิตเล่อร์มีรายได้หลายทาง จากการที่เขียนบทความในหนังสือพิมพ์ของพรรค
จากหนังสือ Mein Kampf บ้าง และจากค่าผ่านประตูอีกตั้งบานเบิก แต่ก็ยังไม่วายโกงภาษี

เพราะหลังจากที่สรรพากรสำรวจย้อนหลัง ก็เจอเข้าเต็มๆ ว่ามีการงุบงิบไม่น้อย ก็เลยมีการไล่เบี้ยว่า เบ๊นซ์นี้ท่านได้แต่ใดมา..
คำตอบก็คือ ก็กู้แบ๊งค์มาซื้อในนามของพรรคน่ะซิ สองหมื่นกว่ามาร์คเชียว และ มีรายจ่ายที่แสดงคือ ค่าจ้างคนขับเดือนละ 200 มาร์ค และเลขาส่วนตัวคือ นาย Rudolf Hess เดือนละ 300

พอมีเบ๊นซ์ฉุยฉายเข้า ฮิตเลอร์ก็เช่าบ้านพักตากอากาศถาวรที่ Berchtesgaden ค่าเช่าเดือนละ 100 มาร์ค ที่เขาไปตามพี่สาวต่างมารดาคือ เอนเจล่า พร้อมทั้งลูกสาวสองคนมาช่วยอยู่ดูแลเฝ้าบ้าน
ตอนนั้น เจลิ ลูกสาวคนโตของเอนเจล่า อายุ 20 กำลังเป็นสาวสะพรั่ง ท่าทางขี้เล่น สนุกสนาน ซึ่งสร้างความเพลิดเพลินให้กับน้าชายอย่างฮิตเล่อร์ยิ่งนัก
จน ใครต่อใครมักเห็นสองน้าหลานหัวเราะต่อกระซิกนั่งรถกินลมไปปิคนิคกันเป็นประจำ
พอตกในปีต่อมา คือ 1929 ฮิตเล่อร์ได้ใช้ชีวิตสมฐานะนักการเมืองใหญ่ โดยการเช่าตึกหรูทั้งฟลอร์ ที่มีอยู่ทั้งหมดเก้าห้องเป็นที่อยู่อาศัย
และแน่นอน..ห้องที่อยู่ติดกันกับเขาคือ ห้องของหลานสาวสุดที่รัก เจลิ !!



ในช่วงนี้ชีวิตทางการเมืองของเขาเป็นไปอย่างราบเรียบ เพราะยังอยู่ในระหว่างห้ามการปราศรัย
ฉะนั้น..เขาจึงมอบอำนาจทางด้านนี้ให้แก่สองพี่น้องตระกูล Strasser คือ Gregor และ Otto ที่มีความสามารถในหลายๆด้าน
และเป็นผู้นำพรรคนาซีทางด้านใต้ของรัฐบาวาเรีย Gregor เป็นคนหนึ่งที่สามารถทาบรัศมีของฮิตเล่อร์ได้ในทุกๆด้าน อีกทั้งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ทั้งรายวันและ
รายปักษ์ เพียงแต่ความคิดอ่านทางด้านการเมืองออกจะแตกต่างกันไปคนละทาง เพราะเขามีแนวไปทางมาร์คซิสต์เล็กๆ..ในด้านการบริหารที่ดินให้เป็นสัดเป็นส่วน
หมายถึง เอามาแบ่งปันทำกินให้ทั่วถึง
แต่ทางฮิตเล่อร์ กลับสนับสนุนผู้ลงทุน และอยากสงวนที่ดินของราชวงค์ให้ยังอยู่อย่างเดิม..นี่คือที่มาของการแตกแยกในภายหลัง..

Gregor มีบรรณาธิการที่มีความสามารถอยู่คนหนึ่งจัดว่าเป็นมือขวาในการบริหารงานทีเดียว..ชื่อว่า Paul Josef Goebbels ที่มีดีกรีถึงปริญญาเอกอักษรศาสตร์
นายเกิบเบิลส์ เป็นชายร่างเล็กที่มีขาพิการลีบเล็กข้างหนึ่งแต่กำเนิด ซึ่งเป็นเหตุให้เขารับราชการทหารไม่ได้
แต่ความสามารถในด้านการเขียนและด้านโปรปะกันดาอย่างไม่เป็นรองใคร

(มีเด็กนักเรียนเข้ามาอ่าน ขอให้เข้าใจว่า Propaganda ภาษาอังกฤษออกเสียงว่า พร็อพพะกันดะ แต่ได้มาแปลงเป็นสำเนียงไทยๆและเป็นที่เข้าใจอย่างกว้างขวางว่า โปรปะกันดา อันหมายถึงการโฆษณาชวนเชื่อรวมไปถึงโครงสร้างอื่นๆในการโน้มน้าวจิตใจคน) 

Paul Josef Goebbels

เพราะการแตกแยกในด้านความคิดเห็นระหว่าง Gregor และ ฮิตเล่อร์นี้
ในเรื่องการแบ่งสรรที่ดินจึงเป็นที่มาของ
การประชุมความเห็นของพรรคที่ Hanover

วันนั้น..ฮิตเล่อร์ได้ส่งตัวแทนไปประชุม นามว่า นาย Feder ซึ่งการประชุมได้มีการโต้แย้งกันอย่างถึงพริกถึงขิง จนเข้าขั้นบันดาลโทสะ
นายเกิบเบิลส์เลขาคนสนิทของ Gregor ฉุนขาด ถึงกับลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งกล่าวบริภาษเจ้าของความคิดที่ตรงข้าม (คือ ฮิตเล่อร์)
และยังประกาศต่อไปว่า..ขอสนับสนุนการไล่นายฮิตเล่อร์ออกไปจากพรรค !!

ข่าวมาถึงหูของฮิตเล่อร์ เขาจึงขอจัดการโต้วาทีกับนาย Gregor ถึงเรื่องนี้ ที่เมือง Bamberg และ ฮิตเล่อร์ฉลาดพอที่ไม่เลือกให้เป็นวันอาทิตย์
เพราะ พรรคพวกของฝ่ายตรงข้ามจะแห่กันมาไม่ได้ ฉะนั้น คนที่มาคือคู่กรณีล้วนๆ นั่นคือ Gregor และ Goebbels กับผู้ติดตามอีกไม่มากนัก
สรุปว่า การโต้แย้งที่ดำเนินไปแทบทั้งวันนั้น ฮิตเล่อร์ชนะขาดลอย..และเสน่หาพาทีของเขานั้น ทำให้นายเกิบเบิลส์ถึงกับเคลิ้มไคล้ไหลหลงเปลี่ยนใจมาเลื่อมใสศรัทธาอย่างหมดใจ ถึงกับกลับมาเขียนบรรยายว่า
"ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะคิดผิดไปถึงขนาดนี้ ฮิตเล่อร์ โอ.. ฮิตเล่อร์คนเดียวคือคำตอบทั้งหมดในการกอบกู้เยอรมันให้กลับมาเป็นหนึ่ง"

และเพราะเหตุนี้..ฮิตเล่อร์จึงดำเนินการเลื่อนตำแหน่งให้เกิบเบิลส์ โดยมอบตำแหน่งหัวหน้าสาขาพรรคที่สาขาเบอร์ลินให้อย่างทันควัน
ไม่ต้องปงต้องเป็นมันแล้ว..บรรณาธิการต๊อกต๋อยนั่นน่ะ !!


เพราะการทำเช่นนี้เท่ากับตัดแขนขาของ Gregor แถมมิหนำซ้ำฮิตเล่อร์ยังเสี้ยมสอนให้นายเกิบเบิลส์คอยสอดแนมดูความเคลื่อนไหวของอดีตนายเก่าแล้วเอามารายงานให้ถ้วนถี่ด้วยต่างหาก

เนื่องจากปัญหาที่ฮิตเล่อร์ถูกห้ามปราศรัย และในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าฝ่ายโปรปะกันดา จะมานั่งเฉยๆก็คงไม่ได้
ฉะนั้น..เกิบเบิลส์จึงถูกเลือกให้ทำหน้าที่แทนในช่วงปี 1925-1927
ปัญหาต่อไปของฮิตเล่อร์นั่นก็คือ หน่วย SA ที่ล้วนแล้วแต่เป็นที่ชุมนุมของพวกทหารผ่านศึก และ อดีตหน่วยเสรีเยอรมันซึ่งพวกนี้ไม่สนใจเรื่องการเมือง ไม่มีวินัยวันวันได้แต่เมาเหล้าหยำเป
เขาจึงเอือมระอากับพวกนี้เสียจริงๆเลยตัดปัญหาด้วยการตั้งหน่วยองครักษ์ขึ้นมาใหม่ ในนามของ หน่วย SS ที่อยู่ในเครื่องแบบสีดำที่ดูน่าเกรงขาม ซึ่งต่างกับสีน้ำตาลของ SA และเขาได้เลือกให้ Heinrich Himmler มาเป็นผู้ดูแล
โดยเรียกมาสดๆซิงๆจากฟาร์มเลี้ยงไก่บ้านนอกที่ฮิมม์เล่อรได้หลบไปอยู่ตั้งแต่ปฏิวัติคราวที่แล้ว
ปูมหลังของฮิมม์เล่อร์นั้นคือนักการเกษตร
แต่ได้ลองพยายามไปหากินทางนี้แล้ว..
ผลคือ เจ๊งหมด เลยต้องมาพึ่งใบบุญพรรคนาซีอีกตามเดิม

(เบื้องหลังจริงๆแล้ว..ฮิมม์เล่อร์ก็คือลูกน้องเก่าของ Gregor อีกเช่นกัน)



พอปี 1928 Goring ได้รับนิรโทษกรรมกลับคืนสู่เยอรมันอย่างสง่าภาคภูมิ และพอดีกับการเลือกตั้งที่พรรคนาซีได้รับเลือกให้เข้าร่วมรัฐบาล
ฉะนั้น..เพื่อเป็นการตอบแทนรางวัลในการที่ได้ร่วมเป็นร่วมตายกันมา ทั้งเกอริงและ
เกิบเบิลส์ได้เข้าไปนั่งในสภาตามบัญชีรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์ของพรรค 12 คน
ยกเว้น ฮิตเล่อร์ เพราะเขาไม่ได้ถือสัญชาติเยอรมัน หรือสัญชาติใดๆทั้งสิ้น เนื่องจาก เขาขอลาออกจากการเป็นสัญชาติออสเตรียนเรียบร้อยไปเมื่อ 1925
และยังติดเรื่องคดีอยู่จึงขอสัญชาติเยอรมันยังไม่ได้เช่นกัน..
ฉะนั้น..เขาจึงเป็นได้แค่ "สส.หลังฉาก" ก็เท่านั้น

ฮิตเล่อร์จึงได้แต่คอยโอกาสที่จะกลับมาเป็นของเขา เพราะ เขาพอคาดประมาณการณ์ได้ว่า เยอรมันในยุคตื่นตัวได้เพราะเงินกู้จากสารพัดประเทศเพียงเพื่อเอามาใช้หนี้..มันจะต้องล่มลงอีกในไม่นาน
เขาสังหรณ์อะไรนั้น..มันมักไม่ค่อยพลาดซะด้วยซิ !!


และสิ่งที่ได้คาดคิดไว้ก็ปรากฏขึ้นมาจริงๆ.. นั่นคือ เศรษฐกิจทั่วโลกล่มพร้อมๆกับ สต๊อคที่อเมริกาดิ่งลงเหวในปี 1929
เล่นเอาเยอรมันพลอยกระทบไปด้วย..แต่แล้วก็มีผู้เชี่ยวชาญในการแก้ใขปัญหาชาวอเมริกัน (อีกนั่นแหละ) ที่มาช่วยกู้สถานะการณ์ไว้ได้ เขาคนนั้นคือ นายธนาคาร Owen D.Young โดยจัดการวางแผนการจ่ายหนี้ของเยอรมันเสียใหม่ ยืดไปอีก 59 ปี
(ข่าวว่า..เงินจากธนาคารของเขาแทบทั้งหมดคือเงินฝากของพวกยิว)

Owen D.Young

คราวนี้ นาย Gustav Stresemann คนดีศรีเบอร์ลินไม่มีโอกาสได้อยู่ช่วยเหลือ เพราะเขาได้เสียชีวิตไปซะก่อนในเดือน ตุลาคมนั่นเอง
ฮิตเล่อร์ได้ทีในวิกฤติคราวนี้..ถือโอกาสเปิดรายการตีรัฐบาลไวมาร์ยับเยิน เขาพร้อมทั้งพรรคพวกเริ่มการเปิดประชุมครั้งยิ่งใหญ่ที่ Nuremberg ในเดือนสิงหาคม ที่มีคนเข้าร่วมฟังกว่า หกหมื่นคน และครั้งนี้ คือการประกาศศักดิ์ศรีของความเป็นผู้นำของฮิตเล่อร์อย่างแท้จริง..
เสียง Heil Hitler ! ดังกระหึ่มไปทั่วเมือง พร้อมทั้งแขนที่ยกขึ้นมาตั้งตรงไปข้างหน้าแสดงความเคารพโดยพร้อมเพรียงอย่างมิได้นัดหมาย
และจากรายได้ตรงนี้ ฮิตเล่อร์ได้ซื้อวังเก่า Barlow บนถนน Brienner เอามาดัดแปลงใหม่เป็นสำนักงานของพรรค โดยเรียกว่า The Brown House โดยตกแต่งด้วยภาพของพระเจ้าเฟรดเดอริคมหาราชตรงกลางห้องโถงรับแขก








 

Create Date : 05 มีนาคม 2548   
Last Update : 12 กรกฎาคม 2556 4:47:36 น.   
Counter : 2616 Pageviews.  

ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสี่


มาถึงยุคพั๊ตตะนาของพรรคแล้วคราวนี้ นั่นคือ พรรคนาซีเริ่มออกพูดที่โน่นที่นี่อาทิตย์ละหนึ่งครั้งอย่างน้อย โดยที่มีฮิตเล่อร์เป็นตัวชูโรง
ถ้าไม่ใช่ที่มิวนิค นั่นก็หมายความว่าเดินสายไปยังจังหวัดข้างเคียงยามที่ถูกเชิญจากพรรคอื่นๆที่เป็น Nationalist เหมือนกัน
(ไม่ได้พูดฟรีนะ ได้สตังค์ด้วย)
หากแต่ในแกนพรรค ตัวกลไกอย่าง Eckart และ Drexler ก็ต้องหาตัวแทนโดยเชิญใครต่อใครมาเป็นแรงดึงดูดแทน

Dietrich Eckart

v

v

Anton Drexler



นี่คือสิ่งที่ฮิตเล่อร์หนักใจนักหนา เพราะ นอกจาก Eckart แล้ว..คนอื่นๆในพรรคช่างไร้น้ำยาในการพูดโน้มน้าวจิตใจคนเอาเสียจริงๆ
และอนาคตของพรรคที่จะต้องใหญ่โตไปในวันข้างหน้า มันจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เขาต้องหาหรือเทรนนักพูดที่มุ่งมั่นในอุดมการณ์เดียวกันขึ้นมาใหม่ และ
ในฐานะที่ประธานฝ่ายโปรปะกันดา เขาไม่รอช้าต่อความคิดนี้ทันที เพียงไม่กี่วันเขาก็ได้เทรนลูกน้องขึ้นมาใหม่สองสามคน
หนึ่งในนั้น คือ ชายอายุ 20 ปี Hermann Esser คนนี้อายุน้อยก็จริง หากแต่ ชั่วโมงบินเพียบ..
เคยเป็นทหาร และเป็นนักเขียนคอลัมน์ฝีปากกล้าอีกต่างหาก
ไม่ว่าจะฝึกขึ้นมาอย่างไร..Esser ก็เป็นได้เพียงนักพูดระดับล่างเท่านั้น เพราะ ภาษาที่ใช้นั้นมัน"ลูกทุ่ง"เสียจน บางครั้งเล่นเอาฮิตเล่อร์แทบจะเอาปี๊บคลุมหัว
แต่..Esser ก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง จนพอที่จะเข้าข่ายเป็น"คนวงใน"ได้อย่างสบายๆ




ช่วงใกล้ปลายปีของ 1920 พรรคเริ่มหายใจคล่อง เพราะเงินอุดหนุนจากสมาชิกเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
และการพูดของเขาแต่ละครั้งนั้น คนฟังมีจำนวนนับพัน..ผู้กอง Rohm, Hess, Eckart ต่างก็รู้ว่า ฝ่ายรัฐบาลก็คอยจับตา
อย่างใกล้ชิด เพราะ..ในการโจมตียิวหรือคอมมิวนิสต์ อันเป็นหัวใจในการปราศรัยของฮิตเล่อร์แต่ละครั้งนั้น..มัก
จบลงด้วยการดูมวยฟรีเสมอๆ

พวกคอมมิวนิสต์มักจัดตั้งกองก่อกวน บางครั้งยกพวกลุยกันกลางวงอันเป็นเรื่องธรรมดา
ในระยะนี้..พรรคพวกที่ปลดประจำการจาก Free Corps ได้เข้ามารวมกันตั้งเป็นกององครักษ์ประจำตัวฮิตเล่อร์ถึงร้อยห้าสิบคน (แบบว่า เรียกเมื่อไหร่ก็มา นอกนั้นก็ต่างคนต่างทำมาหากินไปตามเรื่อง)
รวมทั้งเพื่อนอย่าง..Maurice, Graf, Weber นั้นถือว่าเป็นองครักษ์รุ่นแรก
ทุกคนถือคติมั่นว่า..
ใครแหลมมา..แหลกกกก !!!
ผู้กอง Rohm ก็เลยเห็นว่าน่าจะจัดตั้งให้เป็นเรื่องเป็นราว กล่าวคือ พวกองครักษ์พวกนี้จะต้องมีปลอกแขนติดเครื่องหมายสวัสดิกะ
และ ตั้งชื่อครั้งแรกว่า Ordnentruppe (Order Troop) หมายถึงมาตามสั่ง..

แต่ฮิตเล่อร์มาเปลี่ยนในปีต่อมา โดยให้ชื่อว่า Sturm-Abteilung {Strom-trooper} หรือที่เป็นที่รู้จักว่า SA นั่นแหละ


ทีนี้ เหล่าองครักษ์ SA พวกนี้ไม่ได้เข้ามาปราบปรามห้ามทัพอย่างเดียวเสียที่ไหนกันเล่า..แต่ทำตัวเป็นอันธพาลตบตีพวกยิวอีกต่างหาก ประชาชนเห็นแล้วต่างก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่
มิหนำซ้ำ ไม่ว่าเขามีการอภิปรายที่ไหน มักจะติดป้ายตัวเบ้อเริ่มเทิ่ม ว่า "ยิว..ห้ามเข้า"

ครั้งหนึ่ง..ขณะที่เขากำลังพูด(ด่ายิว)อย่างเมามันส์นั้น..มีคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า แล้วพวกนิโกรล่ะ..ว่างัย?
ฮิตเล่อร์ตอบทันทีว่า..มีนิโกรสักร้อยคนในที่นี้ ดีกว่าจะเห็นยิวเพียงคนเดียว
(ก็เพราะคำพูดประโยคนี้แหละ..ที่แพร่หลายไป..ชาวผิวดำทั้งหลายในปัจจุบันต่างก็นิยมชมชื่นฮิตเล่อร์ บางคนห้อยคอด้วยเครื่องหมายสวัสดิกะ..ถือว่า ฮิตเล่อร์ก็เปรียบเสมือน..Brother !!)

แต่..อนาคตของพรรคก็ยังไปไหนไม่ได้ไกล เพราะเส้นสายยังไม่ใหญ่พอ ในเยอรมันยุคนั้นหรือประเทศไหนยุคไหนก็ตาม การที่จะก้าวขึ้นมาใหญ่โตทางการเมืองนั้น..ต้องมีสถาบันการเงิน,องค์กร
 หรืออย่างน้อยๆก็ต้องมีเจ้าพ่อหนุนหลังอยู่
ไอ้ที่จะไต่เต้าขึ้นมาด้วยตัวเองกับแรงส่งของชาวบ้านชาวเมืองอย่างเดียว.เห็นทีจะไม่มี
ทาง..ฮิตเล่อร์เองก็เข้าใจในข้อนี้ดี
แต่แล้ว..โชคก็เข้าข้างเขาอีกตามเคย..


เพราะในเดือนหนึ่งต่อมา พรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตภายใต้การนำของ Lenin และ Trotsky ได้ส่ง Grigor Zinoviev
เข้ามานัดเจอะเจอกับพรรคการเมือง
กลุ่มสังคมนิยมที่มีอยู่หลายพรรคกระจัดกระจายไปทั่วเยอรมัน ที่ชานกรุงเบอร์ลิน
โดยการแถลงนโยบายคว่ำเยอรมัน(รัฐบาลไวมาร์)ด้วยวิธีก่อการสไตร์คไปทั่วเมืองอย่างพร้อมๆกัน เพราะ นี่คือ วิธีที่กลุ่มคอมมิวนิสต์นิยมนักหนา
จะสไตร์คสำเร็จหรือไม่ ไม่สำคัญ ขอให้ทำการจลาจลวุ่นวายไว้ก่อน ถือว่ามีชัยไปแล้วเกินครึ่ง
และพอเกิดความยุ่งเหยิงเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคือการแทรกแซงของพรรคก็จะกระทำได้ง่ายโดยแทบไม่ต้องออกแรง

Trotsky    and   Lenin



หลังจากที่นโยบายได้วางออกไป..
60 % ของกลุ่มที่เข้าประชุมเห็นด้วย..และขอเข้าร่วมด้วยกับฝ่ายโซเวียต
ไอ้ 60% ที่ว่านี่..หมายถึงสมาชิกพรรคนับรวมกันได้เกือบห้าแสนคนเชียว
แล้ว ห้าแสนคน นี่ เกิดสไตร์คขึ้นมาจริงๆละก้อ..นรกมีจริงแน่นอน !!

ข่าวนี้รั่วถึงหู นายพล Ludendorff วีรบุรุษสงครามผู้ยิ่งยง ที่มีชื่อเสียงว่ารักชาติเหนือสิ่งอื่นใดนั้น..นั่งไม่ติดที่
คิดหาทางออกด้วยการที่ต้องหาพรรคชาตินิยมที่เข้มแข็งขึ้นมาสักพรรคหนึ่ง และต้องเป็นพรรคที่สามารถโน้มน้าว
จิตใจประชาชนให้เอนเอียงได้ให้เร็วที่สุด
หันไปหันมา ก็เลยมาเห็นคุณค่าของพรรคเล็กๆอย่างพรรคนาซี ที่มีนักพูดฝีปากดี อย่าง ฮิตเล่อร์
และอย่างน้อยๆเป็นที่รู้กันว่า..ฮิตเล่อร์ แกนนำของพรรคคนนี้ ก็เกลียดคอมมิวนิสต์อย่างเข้ากระดูกดำเหมือนกัน

รัฐบาลไวมาร์ ก็ทำเรื่องห่วยๆเหมือนเดิม นั่นคือ ปลดประจำการพวก Free Corps อีกแล้ว หลังจากที่ใช้พวกเขาไปกู้เมือง Ruhr กลับคืนมาสำเร็จ
เหล่าทหารกว่า 300,000 นายเหล่านั้นกระจัดกระจายกันไปทำมาหากินแบบตัวใครตัวมัน
ส่วนใหญ่มักรวมตัวกันอยู่ในแคว้นบาวาเรีย
เพราะรัฐบาลของบาวาเรียนั้น..ถือว่าพวกเขาคือ ทหารกู้ชาติ และให้เกียรติอย่างเต็มที่
และพวกนี้ยอมตาย สู้อย่างถวายหัว ถ้าบ้านเมืองจะต้องตกไปในมือของกลุ่มโซเวียต


การพบปะของ นายพล Ludendorff กับฮิตเล่อร์ได้เกิดขึ้นภายในสองสามวันหลังจากที่ข่าวรั่ว..
ฮิตเล่อร์ไปพบท่านนายพลในชุดสูทสีน้ำเงิน(ตัวเก่งที่มีอยู่ตัวเดียว)
และที่นัดพบนั้นอยู่ห่างจากมิวนิคไปถึงสี่สิบกว่าไมล์..
ที่นั่น..ท่านนายพลได้แนะนำให้เขารู้จักกับ Gregor Strasser ชายอายุเพียง 28 ปี อดีตคือ เภสัชกร และ ทหาร
เขาคนนี้ เคยสู้รบอย่างสามารถ ในสงครามที่ผ่านมาจนได้รับเหรียญกางเขนชั้นหนึ่งเฉกเช่นเดียวกับฮิตเล่อร์
แถม..ยังมีพรรคพวกเสรีเยอรมันและอาวุธในมือทั้งปืนใหญ่ ปืนครก มากมาย

Gregor Strasser

นายพล Ludendorff ได้บอกถึงวัตถุประสงค์ในการต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ที่ทั้งฮิตเล่อร์และ Gregor ต่าง เข้าใจเป็นอย่างดี
เพราะต่างก็เป็นทหารผ่านศึกมาอย่างโชกโชนเช่นกัน..เพียงแต่.. Gregorไม่ค่อยประทับใจในตัวฮิตเล่อร์เท่าไหร่นัก เพราะท่าทีที่พินอบพิเทานายพลซะจนเกินเลยไปนั้น ทำให้น่าหมั่นไส้
{น้องชายของ Gregor ชื่อว่า Otto ก็มีความเห็นเดียวกัน)
ฮิตเล่อร์ใช้สรรพนามเรียก ท่านนายพลว่า "your excellency" ซะแทบทุกคำ
แต่..ในที่สุด Gregor ก็ยอมเข้ามาร่วมด้วยในพรรคนาซี..เพราะเกรงใจผู้ใหญ่ที่อุตส่าห์ขอมา

ในระยะหลังๆมานี่ ผู้คนเริ่มเข้ามาฟังการปราศรัยมากขึ้น และ ฮิตเล่อร์เองก็ต้องเตรียมหาข้อมูลอย่างสุดๆ ในช่วงปี 1920-1921 นั้น
เขาได้ขอหยิบขอยืมหนังสือภาควิชาการที่เขียนโดยนักเขียนชื่อดังมาอ่านแบบเอาเป็นเอาตายนับร้อยๆเล่ม
เช่น Luther and the Jews,Schopenhauer and the Jews, Bolshevism and Jewry และเล่มสำคัญนั่นก็คือ
The International Jew {ของ Henry Ford} ซึ่งหนังสือเหล่านี้เขาได้เนื้อหาเอามาเป็นประโยชน์ในกาลต่อมา
นั่นคือ..หนังสือพิมพ์ขวาจัด ที่ชื่อว่า Volkischer Beobachter
{German-People's Observer} ที่มีที่ตั้งทำการในถนน Thiersch อันเป็นละแวกถนนเดียวกับอพาร์ตเม้นท์ของฮิตเล่อร์พอดี..เกิดภาวะประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก
ถึงกับต้องขายทอดกิจการ



ฮิตเล่อร์ดีใจจนเนื้อเต้น..อยากได้มาไว้ในครอบครองสุดกำลัง เขาเข้าพบ Eckart ทันที..ขอร้องให้ช่วยระดมทุน
ซื้อกิจการนี้มาเป็นของพรรคโดยด่วน  หนังสือพิมพ์นี้ โดยปรกติแล้วออกวางขายอาทิตย์ละ สองฉบับครั้งละประมาณหมื่นกว่าเล่ม..เนื้อหาประจำคือ  ต่อต้านคอมมิวนิสต์,รังเกียจยิว
หนี้ของบริษัทตกราวๆสองแสนกว่ามาร์ค ซึ่งธนาคารกำลังจะเอามาขายทอดตลาดในราคาเพียง แสนสอง..
นับว่าถูกเหมือนได้เปล่า

ข่าวว่า..เส้นของผู้กอง Rohm บีบขอยืมเอามาจากกองทัพได้ถึง 60,000 มาร์ค
(เงินนี้ไม่ได้ใช้คืน)
ที่เหลือคือ จากเส้นสายวงในนักธุรกิจ และ..จากพลังของ นายพล Ludendorff ที่รวบรวมมาได้ครบภายในอาทิตย์เดียว



(ป.ล. ตอนนี้เข้าใจหรือยังคะ ว่า นักการเมืองที่จะประสบความสำเร็จได้ จำเป็นต้องมีสื่อในมือ
และวิธีการนี้แม้ว่าจะโบราณขนาดไหน แต่ใน
ปัจจุบันก็ยังคงความศักดิ์สิทธิเสมอ..วิวันดา)

ซึ่งฮิตเล่อร์ได้เข้ามาบริหารในกิจการนี้อย่างเต็มตัว ในฐานะประธานฝ่ายโปรปะกันดาของพรรค เขาโละพนักงานเก่าๆออกไปจนเกือบหมด
และ..ลงมือเขียนบทความเอง..โดยมี Hermann Esser มาช่วยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอีกคนหนึ่ง
(นี่คืองานถนัดของ Esser เขาละ..เพราะ เรื่องบทความกำจัดยิวนี่ เขาเขียนจนโด่งดัง ในชื่อว่า..The Jewish World Plague ในปี 1939)

หนักๆเข้าถึงกับเป็นการตอบโต้กับหนังสือฝ่ายตรงข้ามอย่างเมามันส์ ชนิดห้ามกระพริบตา
จน..ถึงขนาดฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์เรียกร้องให้สมาชิกบอยคอตการซื้อหนังสือพิมพ์เสียงเยอรมันของฮิตเล่อร์อย่างเด็ดขาด

เท่านั้นไม่พอ..เดี๋ยวจะไม่หายแค้น..คนขายหนังสือพิมพ์ของพรรคนาซีที่เดินขายตามท้องถนนนี่ยังโดนถูกตื้บกันระนาว

ตอนนั้น..เสียงต่อต้านในงานเขียนของฮิตเล่อร์เริ่มหนาหู แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ยังคงเดินหน้าต่อไป
เขาว่า..คนที่ถูกด่าก็ต้องเป็นเดือดเป็นแค้นตามธรรมดา..เพราะถ้าไม่ด่าฝ่ายตรงข้ามแล้วจะไปด่าใครที่ไหนกัน?
หนังสือพิมพ์ถึงแม้ว่าจะอยู่ในการบริหารใหม่แต่ก็ยังขาดทุนยับเยินอยู่นั่นเอง..
โชคดีที่ได้มือโปรอย่าง Max Amann อดีตเพื่อนร่วมตายจากแนวหน้าที่เคยทำงานในธนาคารมาก่อน มาช่วยกู้สถานะการณ์

นั่นก็คือ จัดให้เป็นไปในรูปแบบพ่วง บวกเพิ่มไปกับอัตราค่าเป็นของสมาชิกของพรรค รวมไปถึงการโน้มน้าวให้
สมาชิกไปจัดหาเพื่อนฝูงมารับช่วงต่อไปเป็นลูกโซ่ ซึ่งทำให้ฐานะของบริษัทกระเตื้องขึ้นมาอย่างทันตาเห็น

ฮิตเล่อร์ผู้ซึ่งไม่มีความรู้ในเรื่องของการบริหารเงิน บริหารธุรกิจมาก่อน แต่จากบทเรียนตรงนี้ เขาใส่ใจในเรื่องของ Business Methods มากขึ้นถึงขนาด ลงทุนไปเรียนหลักสูตรเพิ่มเติม เขาบันทึกไว้ว่า
"ถ้าไม่ลองผิดลองถูกด้วยตัวเองแล้ว ป่านนี้ก็ยังคงโง่ดักดาน ประสบการณ์คือโรงเรียนที่ดีที่สุด"
(ซึ่งมันก็ได้ผลอย่างมหาศาลในกาลหลายๆปีต่อมา ที่เขาสามารถกู้สภาพตกต่ำของเศรษฐกิจประเทศให้กลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว)

ส่วนด้านสัมพันธมิตรผู้ชนะสงครามทั้งหลาย หลังจากที่จัดการแบ่งเค้กให้คนโน้นคนนี้
ต่างก็รู้ตัวดีว่าต้องเกิดเรื่องยุ่งขึ้นแน่แท้
เพราะเล่นเฉือนประเทศเขาไปหยั่งงั้น..เลยรวมหัวกันจัดตั้ง สมาพันธ์ ที่เรียกว่า
League of Nations โดยเรียกร้องให้ประเทศต่างๆมาเข้าร่วมเพื่อทำตัวเป็นตำรวจโลก..
โดยใช้สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศศูนย์กลาง นโยบายคือ ไม่สนับสนุนการทะเลาะ
เบาะแว้งระหว่างชาติอันเป็นเหตุให้เกิดสงคราม(ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้ว)

ใครขัดใจอะไรกะใคร ก็ต้องให้ LON เข้ามาไกล่เกลี่ย ตกลงกันได้ก็ตกลงกันไป จะให้ชดใช้กันอย่างไรก็ว่ามา
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเห็นชอบของคณะกรรการอันเป็นกลางที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง..
แต่..ถ้าพูดกันแล้ว ยังดื้อดึง ไม่รู้ฟังอยู่ละก้อ..อาจเจอบทลงโทษขั้นเบาคือ ..
บอยคอตสินค้าทั้งขาเข้าขาออกมั่ง
งดเว้นการช่วยเหลือทางด้านเวชภัณฑ์มั่ง.
ปิดอ่าวมั่ง...
จนถึงการใช้กำลังจากกองทัพสหชาติเข้าบุกล้มรัฐบาล

นโยบายนี้ทั้งๆประธานาธิบดี วิลสันเป็นตัวตั้งตัวตีในการวางรากฐาน หากแต่ไม่ได้รับการสนับสนุนผ่านสภาคองเกรสในอเมริกา
เลยเป็นอันว่า อเมริกาไม่ได้เข้าร่วมด้วย..

ประเทศต้องห้าม..ในการเป็นสมาชิก นั่นก็คือ เยอรมัน ตัวการของสงคราม และ
รัสเซีย ที่เปลี่ยนการปกครองมาเป็นระบอบคอมมิวนิสต์โดยการล้มราชวงค์โรมานอฟแบบสังหารหมู่มาแบบหมาดๆ

ถึงแม้จะไม่มีพี่เอื้อยแบบอเมริกาแต่ ฝรั่งเศส อิตาลี และประเทศอื่นๆที่เป็นสมาชิก LON ก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จในกรณีพิพาทต่างๆ
แต่อย่างน้อยก็ได้หยุดการลุกลามไปได้



แต่สำหรับเยอรมันแล้ว อยู่ในสภาพย่ำแย่..เพราะค่าปฏิกรรมสงครามเริ่มส่งผลกระทบ ให้อดอยากกันไปทั่วประเทศ
เพราะรายได้จากการส่งออกนั้นต้องจ่ายออกไปถึง 12% (ด้วยระยะยาวถึง 42 ปี) ไม่นับถึงส่วนอื่นๆ
ในปี 1921..รัฐบาลเริ่มซวนเซ สภาพเศรษฐกิจเข้าข่ายใกล้ล้มละลายเต็มที

ฮิตเล่อร์ยิ่งอึดอัดต่อสภาพภายในพรรค เพราะเท่าที่เขาเห็นๆอยู่นั้น มันมีแต่การพูดกันไปแล้วก็พูดกันมา จนดูเหมือนกับเป็นพวกไอ้ขี้ขลาด..สมควรต่อการอะไรลงไปให้เด็ดขาดซะที

เพราะประชาชนเริ่มระส่ำระสาย ความหิวของคนเราอาจทำให้ความรักชาติลดน้อยถอยลงไป
นั่นคือโอกาสทองของพรรคคอมมิวนิสต์คู่กัดที่กำลังจะใช้จุดนี้เป้นการโจมตี..
ตัวนาย Drexler ประธานพรรคนาซี...ก็ได้แต่หวานจ๋อยเย็นเจี๊ยบอยู่นั่นแล้ว..
เช้าชามเย็นชาม คอยประสานกับคนโน้นที  ชอบทำตัวเป็นกาวใจให้คนโน้นคนนี้อยู่ร่ำไป

ส่วนตัวเขาเอง..ไม่ได้มีฐานกำลังมากมายเหลือเฟืออย่างกับ Gregor Strasser หรืออย่างกับพรรคที่มีฐานแน่นปึ้กพรรคอื่นๆ
ถ้าใครคิดจะปฏิวัติอะไรขึ้นมา พรรคนาซีเล็กๆอย่างเขาก็เป็นอย่างมากก็แค่ตัวแจม
และในฐานะอย่างเขา..ในพรรคก็เป็นแค่กลไกตัวหนึ่งเท่านั้น..
ความสามารถที่มี ก็ไม่มีใครมองเห็นคุณค่านอกจากเวลาจะเรียกใช้...
ไม่ได้เป็นที่เกรงขามของใครหน้าไหนทั้งสิ้น ยิ่งคิดเขายิ่งอึดอัดต่อสภาพของตัวเอง


แต่แล้วคำว่าการทำวิกฤติให้เป็นโอกาส นั้นศักดิสิทธิ์เสมอ..เขาใช้ความยากจน ความหิวของประชาชนเป็นศูนย์กลางของการรวมตัวต่อต้านครั้งยิ่งใหญ่..
แต่เนื่องจาก กลุ่มพรรคอื่นๆนั้นกำลังรวมตัวทำอย่างเดียวกัน โดยการจัดชุมนุมครั้งยิ่งใหญ่ที่หอประชุม Kindl Keller  แต่วันที่จัดนั้นยังไม่แน่นอน

ฮิตเล่อร์..ไม่รอช้า..ไปเช่าศูนย์ประชุมออดิโทเรียม Zirkus Krone ใจกลางเมือง
มิวนิคที่สามารถจุคนได้ถึง 9000 คน
จัดนัดชุมนุมก่อนทันทีในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ และ เขาก็ปิดโปสเตอร์ประกาศไปทั่วเมืองถึงการชุมนุมในวันที่ 3 คือวันต่อไป เวลาสามทุ่มตรง
ซึ่งเป็นการทำลายประวัติศาสตร์ของการนัดชุมนุมที่เคยมีมาก่อนในการที่จะจัดแผนการให้เสร็จภายในสองวันเช่นนี้
เหล่าสมาชิกในพรรค..ต่างช๊อค นั่งตะลึงอ้าปากค้างกันไปตามๆกัน
เพราะ..อัตราเสี่ยงนั้นสูงมาก เพราะการพูดครั้งผ่านๆมาในโรงเบียร์ก็ได้แค่พันกว่าคน..หรือ ถ้าในกลางแจ้งได้
สามพันคนนี่ก็ว่าเก่งสุดๆแล้ว
แต่..เก้าพันคนเนี่ยนะ..เมิงจะบ้าไปป่าว?? (เชื่อว่าเขาต้องด่ากันอย่างนั้นละนะ)

และถ้าหากโหรงเหรงละก้อ..พรรคเสียหน้าเสียชื่อ พาลเสียความเชื่อถือเอาซะด้วย
อีกทั้ง..SA ที่จะเข้ามาดูแลความเรียบร้อยก็มีแค่ 250 ในมือ จะเรียกเพิ่มเติมได้ก็คงแค่ 400 อย่างมาก ไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึงสำหรับสถานที่ใหญ่โตเช่นนั้น
ถ้าหากเกิดเหตุด่วนเหตุร้าย อย่างที่เคยๆเป็นจะควบคุมได้อย่างไร

แต่ฮิตเล่อร์หาได้ฟังเสียงนกเสียงกาไม่..เดินหน้าต่อไป..แถมเก็บค่าฟังคนละ1 มาร์คต่างหากอีก
(ช่างท้าทายโชคชาตาเสียเหลือเกิน..พ่อเจ้าประคุณ)


ในเช้าตรู่ของวันที่ 3 นั้น ทัศนวิสัยโดยทั่วๆไปไม่ค่อยดี ฝนฟ้าทำท่าจะตกลงมา ฮิตเล่อร์เริ่มประหวั่นใจว่าผู้คนจะไม่ยอมออกมาจากบ้าน
เขาจึงใช้วิธีเก่าๆของพวกมาร์คซิสต์ที่เคยถนัดทำไว้ นั่นก็คือ การโปรยใบปลิวไปทั่วๆเมือง กว่าสองหมื่นใบ
โดยเช่ารถบรรทุกสองคัน ตกแต่งรถด้วยธงสวัสดิกะของพรรคและมีลูกสมุนนับสิบๆคนที่ช่วยกันโปรย...
ขับไปทั่วๆเมือง พร้อมโทรโข่ง
เล่นเอาพรรคการเมืองอื่นๆค้อนจนตาคว่ำ

ซึ่งฮิตเล่อร์เชื่อว่า..เพราะสถานที่ที่จัดนั้นอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟของเมืองมิวนิค อันเป็นเขตชุมชน ผู้คนสามารถไปมาได้สะดวก
ฉะนั้น..กระตุ้นด้วยแรงโฆษณาจูงใจซะหน่อย น่าจะส่งผลได้ดี
และวันนั้นทั้งวันเขานั่งอยู่ที่ทำการของพรรคอย่างไม่ติดที่..จนกระทั่งเย็น..เขาได้โทรศัพท์ติดต่อกับทีมงานแทบทุกสิบนาที
ถามถึงข่าวคราวหลักๆว่า ผู้คนเริ่มมากันหรือยัง?


จนกระทั่ง 19.45 เขาจึงเดินทางออกจากพรรคไปยัง Zirkus
เขาเขียนไว้ว่า...
"สองนาทีก่อนสองทุ่ม..ฉันเดินทางถึงลานประชุม และได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิต นั่นก็คือ ความปิติที่เคยเกิดขึ้นเหมือนกับพบกับคนจำนวนเกือบพันครั้งที่พูดที่โรงเบียร์ แต่ที่นี่..
ไม่ว่าฉันจะมองไปทางไหน..ก็พบกับคนนับพันพันที่อยู่กันแน่นไปหมดจนไม่มีที่จะยืน
บัตรกว่า หกพันใบนั้นขายหมดเกลี้ยง !!"
(หมายเหตุ..เพราะพรรคได้ให้บัตรฟรีต่อนักเรียนและครอบครัวของผู้ร่วมทีมทำงานด้วย ผู้คนอาจถึงแปดพันคน)




หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการปราศรัยครั้งใหญ่แล้ว..ฮิตเล่อร์ก็มีชื่อเสียงติดอันดับ เป็นที่รักและชื่นชมของผู้คนทั่วไป ในทำนองว่า
โถ..เขารักชาติ ทำเพื่อชาติอย่างแท้จริง จะหาใครที่ไหนได้อย่างนี้ (อะไรทำนองนั้น) วาทะของเขาจับใจคนไปทั่ว
แม้แต่ในกลุ่มข้าราชการของรัฐเช่นตำรวจ
หลายต่อหลายหน่วยได้มาร่วมให้ความคุ้มครองอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย เพราะหลังจากนั้น ฮิตเล่อร์ได้
เปิดการปราศรัยครั้งใหญ่ๆที่มีคนเข้ามาฟังกว่าแปดพันคนอีกหลายครั้ง(จ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งมาร์ค)
ชื่อฮิตเล่อร์เริ่มเป็นที่คุ้นหู..แม้แต่พวกชนชั้นกลางขึ้นไป

รัฐบาลไวมาร์เริ่มติดตามผลงานของเขาอย่างใกล้ชิด
ผู้นำของแคว้นบาวาเรีย von Kahr ได้สนใจอยากได้ฮิตเล่อร์เข้าไปเป็นพวก จึงติดต่อมาทาง Rudolf Hess ว่าอยากพบเพื่อเจรจาในการทำงานร่วมกัน
วันนัดคือวันที่ 14 พฤษภาคม หลังจากวันเกิดครบรอบ 32 ปี ของฮิตเล่อร์ไม่กี่วัน ทั้งคณะคือ ฮิตเล่อร์, เฮสส์ ,เอกการ์ท, เดรคซ์เล่อร์,ได้เข้าพบกับ von Kahr
ซึ่ง..ในการพบครั้งนั้น von Kahr ไม่ได้ประทับใจในตัวนักพูดลูกทุ่งออสเตรียอย่างฮิตเล่อร์สักเท่าใดนัก แต่..เนื่องจากการต้องการใช้ความสามารถทางด้านการจูงใจของฮิตเล่อร์
การรับรองในวันนั้นจึงสมเกียรติพอประมาณ

Gustav Ritter von Kahr



และจากการยกระดับครั้งยิ่งใหญ่นี้ ฮิตเล่อร์ก็ยังเจอกับการดูแคลนจากกลุ่มไฮโซนักการเมืองผู้ดีเก่าไม่วาย จาก
การที่ที่อยู่ของเขานั้นไม่ได้จัดว่าอยู่ในเขต ย่านที่ดินราคาแพง..เครื่องแต่งกายรูปลักษณ์,นามสกุล,และ สำเนียง
ซึ่งบางครั้งเขาถึงกับต้องด่าออกมาอย่างไม่เกรงใจใครว่า..
”ไม่มีไอ้หน้าไหนสักคนหรอกในเยอรมันเนี่ย..ที่โคตรเหง้าไม่ได้มาจากท้องนา..!!”
ซึ่งตัวนาย Hess เองก็ยังอุตส่าห์ส่งจดหมายไปอธิบายปูมหลังของฮิตเล่อร์ให้กับ von Kahr เพื่อเป็นการยืนยัน
ด้วยข้อความว่า
“การที่ท่านฮิตเล่อร์ได้ก้าวขึ้นมาในยืนในแถวหน้าได้ในครั้งนี้ เพราะความรักชาติอย่างแท้จริง ซึ่งจากที่รู้จักและ
ทำงานด้วยกันอย่างใกล้ชิด ให้กระผมเห็นว่า เขาเป็นคนดี มุ่งมั่นในการทำงาน อีกทั้งเป็น
คริสตชนที่เคร่งครัด
สิ่งเดียวที่ท่านฮิตเล่อร์ มีอยู่ในความคิดนั่นก็คือ การปาวารณาตัวเพื่อชาติ อย่างแท้จริง..จนมิได้สนใจในการ
“ปรุงแต่ง“ ตนเอง เพื่อเป็นการสร้างภาพใดๆ

และ Hess ได้แนบประวัติการสู้รบในภาคสนามยามสงครามมาเสริมให้แน่นขึ้นไปอีก โดยกำกับว่า..
ใต้เท้า..จะหาใครเหมาะสมไปกว่านี้ไม่มีแล้ว !!
(หมายเหตุ เยอรมันได้แยกการปกครองเป็นสองสภาในรัฐบาลไวมาร์ คือ ส่วนกลาง และ ส่วนภูมิภาค ส่วนภูมิภาค นั่นก็คือ แคว้นสามแคว้น Prussia, Saxony, Bavaria, ต่างปกครองตัวเอง มีรัฐบาลเป็นของตัวเอง แต่ขึ้นตรงกับรัฐบาลไวมาร์)

แต่ในครั้งนั้น von Kahr ผู้นำของบาวาเรีย ไม่ลงรอยกับประธานาธิบดี Ebert อย่างแรง
ในการที่ Hess ได้บอกเกินเลยไปถึงเรื่อง การเป็นคริสต์ชนที่ดีของฮิตเล่อร์นั้น มันออกจะตีไข่ใส่สีไปหน่อย
เพราะแท้จริงแล้ว ฮิตเล่อร์ไม่นับถือพระเยซูเจ้าเนื่องจากพระองค์เป็นยิว แถม ถากถางพระสังฆราชอยู่เป็นประจำ )

Friedrich  Ebert




ฮิตเล่อร์เองก็ไม่สะดวกใจกับการที่ต้องไปในงานรับเชิญของวงสังคมที่ยกระดับเหล่านั้น
ซึ่งเขามักได้รับเชิญให้ไปร่วมงานแทบไม่เว้นแต่ละวัน
เพราะนับตั้งแต่เป็นคนดังมานี่..ใครๆก็อยากให้ไปร่วมงานเพื่อเป็นไม้ประดับกันทั้งนั้น เขาเองก็ประจักษ์แก่ใจ
เช่นกัน ว่า ในสังคมนี้ มักมีแต่การใส่หน้ากาก ปากหวาน ก้นเปรี้ยว แต่เขาก็ต้องจำใจไป เพราะ ในแวดวงของการเมือง ไม่มีใครที่สามารถก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุดโดยไม่ผ่านด่านตรงนี้..

เขาบันทึกไว้ว่า..
“พวกวงไฮโซ ที่พบเห็น..เป็นพวกบ้าความงาม บ้าวัตถุ ในขณะที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในสภาวะลำบาก ใกล้ล้ม
ละลายเต็มทีนี่..นับว่าเหลวไหลสิ้นคิดเต็มทน “
แถมสถานะการณ์บ้านเมืองตอนนั้นร้อนฉ่า..มีเหตุให้ฮิตเล่อร์ต้องเปิดการปราศรัยด่าได้รายวัน เช่น ส่วน Upper Silesia ที่ถูกเฉือนออกไปนั้น..
ประชาชนได้โหวตกันถล่มทลายขอกลับเข้าไปอยู่กับเยอรมัน
(เพราะสัมพันธมิตรถูกด่าจัดๆเข้าเลยให้โอกาสว่า แล้วแต่ประชาชนจะโหวตเข้ามา แต่พอโหวตแล้วก็ไม่ได้จัดการให้แต่อย่างใด)

ฮิตเล่อร์ก็เลย..ด่าซะยกใหญ่ คนเข้าฟังกันหลายพันต่างล้วนแล้วแต่สงสารและเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมชาติ และ
คะแนนนิยมของผู้พูดก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
นี่คือที่มาของปัญหาภายในพรรค..!!

บรรยากาศภายในพรรคนั้น..เริ่มตึงเครียด เพราะ สาเหตุจากการที่ฮิตเล่อร์ใช้ชื่อพรรคต่อการกระทำที่ผิดไปจากนโยบายดั้งเดิม
นั่นคือรักษาความเป็นชาตินิยม
หากแต่แกนนำของพรรคระดับบิ๊กๆรวมทั้ง Drexler ได้ประจักษ์แล้วว่า มันกำลังเบี่ยง
เบนไปในเชิง Fascist (เผด็จการ)เข้าไปทุกที..และมันอาจเป็นอันตรายต่อชื่อเสียงของพรรค เพราะ ทุกๆคนนั้นล้วนแต่อยาก
ใช้พรรคเป็นฐานบันไดก้าวขึ้นไปนั่งบนสภากันทั้งนั้น
ขืนปล่อยฮิตเล่อร์พูดจาไม่บันยะบันยังต่อไป เห็นทีอนาคตทางการเมืองจะตีบตัน

ว่าแล้ว..ทั้งหมดก็นัดประชุมกันเพื่อ ริดรอนบั่นทอนสถานะภาพของฮิตเล่อร์กันในวันหนึ่งของฤดูร้อน 1921
แต่มาไล่เรียงกันไปแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะ
ฮิตเล่อร์เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการหาเงินเข้าพรรค
ฮิตเล่อร์เป็นคนที่หาสมาชิกนับร้อยนับพันเข้าพรรค
ฮิตเล่อร์เป็นคนสร้างชื่อเสียงให้พรรค
ฮิตเล่อร์เป็นคนประสานงานระหว่างสาขาของพรรค
และถ้าเกิดฮิตเล่อร์ไม่พอใจขึ้นมา..เขาอาจตบเท้าออกไปพร้อมพรรคพวกไปจัดตั้งพรรคใหม่ขึ้นมาแข่งได้ทุก
เมื่อ..เพราะ เขาสามารถทำได้
ฉะนั้น..ทางที่ดีที่สุด คือ เสนอตำแหน่งประธานบอร์ดอันดับที่หนึ่งมาให้ซะเลย..แบบว่า เอาไปนั่งโต๊ะทำงานโก้ๆ
โดยมี Drexler เป็นผู้ช่วย
ฮิตเล่อร์ก็รู้เท่าทันเกมส์ ว่ากำลังถุกริดรอนอำนาจ.เลยปฏิเสธไปอย่างทันควัน
เพราะไอ้ตำแหน่งประธานบ้าๆนี่..ไม่ว่าจะทำอะไรต้องถือเสียงข้างมากเป็นเอกฉันท์ แล้ว หกต่อหนึ่งเนี่ยนะ..เมินซะเหอะ !!
แต่พรรคก็ยังหาได้สิ้นความพยายามไม่..


ทางที่ดีที่สุด คือ การรวมเข้ากับพรรคอื่นๆ..
เพราะจากที่ นายพล Ludendorff เข้ามามีส่วนกับกิจกรรมของพรรค(เพราะฮิตเล่อร์)
การประสานงานก็เริ่มขึ้นสู่ในระดับชาติยิ่งขึ้นกล่าวคือ
ได้มีการพบปะหารือกับพรรคชาตินิยมพรรคอื่นๆ มีการสลับผลัดเปลี่ยนตัว หรือกระทั่งการยุบพรรคเล็กพรรคน้อยเพื่อรวมตัวกับพรรคใหญ่ๆซึ่งมีเกิดขึ้นได้ประจำวัน
อย่างสองพี่น้องตระกูล Strasser ทั้ง Gregor และ Otto ต่างก็เข้ามาอยู่ในกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า National Socialist
แต่ในกลุ่มต่างๆเหล่านี้..ล้วนแล้วแต่นับถือกันด้วยการศึกษาและชาติตระกูลมาแต่เก่าก่อน
ฉะนั้น จึงมีการติดต่อโยงใยหากัน  ติดต่อกันจึงมีแบบลับๆ
ซึ่งฮิตเล่อร์ "ผู้ด้อยการศึกษา"ไม่ได้มีส่วนร่วมหรือรับรู้เห็น..

กว่าจะมารู้ตัวก็กลุ่มนาซีของเขาก็ได้กำลังจะเจรจารวมตัวกับกลุ่มพรรค German Socialist Party {Deutsch-Sozialistische Partei}
ไปซะแล้ว..
พรรค GSP นี้ ถือกำเนิดมาในภาคเหนือของเยอรมัน และเพิ่งมาเกิดขึ้นหลังสงครามนี่เอง หากแต่ สัดส่วนและอิทธิพลนั้นมีมากมายกว่า
พรรคนาซีนัก
เพราะมีสาขาถึง 35 สาขารวมทั้งหนึ่งสาขาในเมืองมิวนิคด้วย นโยบายหรือก็คล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก
ถ้าจะรวมตัวกันได้ ภาพพจน์ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก สำนักงานใหญ่อาจต้องย้ายไปตั้งที่กรุงเบอร์ลิน
ทุกสาขาต้องขึ้นตรงอยู่กับสำนักงานที่นั่น..
นั่นหมายถึงว่า..เวทีการปราศรัยของฮิตเล่อร์นั้น อาจต้องถูกเปลี่ยนไป

และเขาคงไม่ใช่"ดาวเด่น"แต่เพียงดวงเดียว และหนทางที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำหรือหัวหน้าพรรคนั้น ...บอดสนิท
ฉะนั้น..เขาจึงหมดความอดทนต่อการถูกหลอกใช้ต่อไป..เขาประกาศกร้าวว่า...จะลาออก !!


หลังจากที่ประกาศไปแล้วว่าจะลาออกนั้น
ฮิตเล่อร์ได้มองหาลู่ทางใหม่โดยการเดินทางไปกรุงเบอร์ลิน เพื่อพบปะกับบรรดานายทุนสำหรับความเป็นไปได้ในการตั้งพรรคแยกตัวขึ้นมาใหม่
และใช้เวลาศึกษานโยบายของพรรคชาตินิยมอื่นๆด้วย
เพราะสิ่งเดียวที่เขามีนั่นก็คือ ฐานเสียงในมิวนิคที่แน่นปึ้ก อีกทั้งสามารถเข้านอกออกในสภาของรัฐบาวาเรีย(ที่ปกครองเมืองมิวนิค) ได้เพราะเส้นใหญ่นั้น..เขาคิดว่าน่าจะหาคนหนุนหลังได้ไม่ยาก

แต่ไม่ทันที่การเจรจาจะไปถึงไหน ปรากฏว่า สายลับวงในของเขาจากพรรคนาซีแจ้งมาว่า บัดนี้ นาย Drexler กำลังเจรจาประชุมกับสาขาอื่นๆเพื่อที่จะเข้าร่วมกับพรรค GSP ในเร็ววันนี้แล้ว..
โดยพวกเขาถือโอกาสตอนที่ฮิตเล่อร์ไม่อยู่
ฮิตเล่อร์จึงรีบเดินทางกลับมิวนิคทันที
และได้ทราบข่าวว่า..พรรค GSP ได้เปลี่ยนใจจากการต้องการที่จะรวมพรรค แต่กลายเป็น การต้องการที่จะล้มพรรคนาซีทั้งกระบิ
ให้มาขึ้นตรงกับ GSP แต่ผู้เดียว

ฮิตเล่อร์โวยลั่น..เรื่องอะไรจะมาให้พรรคอื่นชุบมือเปิบ เขาแถลงต่อที่ประชุมว่า..ถ้าไม่ใช่เพราะเขา พรรคไม่มีวันเงยหน้าอ้าปากมาได้จนถึงทุกวันนี้
ไม่งั้น..ป่านนี้ยังคงเก็บสตังค์ค่าใช้จ่ายของพรรคกันในกระป๋องขนมปังอยู่เลยด้วยซ้ำ !!
ว่าแล้ว เขาก็เดินออกจากพรรคไป พร้อมทั้งบอกว่า ใบลาออกกำลังจะตามมาในวันสองวันนี้ !!

ฝ่ายพรรคเพื่อไท..เอ๊ย.. GSP พอรู้เข้าว่า ฮิตเล่อร์ได้ลาออกไปจากพรรคนาซี..
จึงรีบส่งข่าวมาว่า การเจรจาบ้าบออะไรนั่น ขอให้ระงับไว้ก่อน
เพราะเป็นที่แน่ๆว่า ฮิตเล่อร์คงต้องมีสมัครพรรคพวกฝีปากดีๆลาออกตามไปเป็นโขยง แล้ว พรรคนาซีจะมีค่าเหลืออะไร
เผลอๆต้องหอบเอาพวกแก่ๆไร้น้ำยามาเป็นภาระเสียปล่าวๆปลี้ๆ

ทางฝ่ายพรรคนาซีก็ตระหนกตกใจ ทำไปทำมาปลาจะหลุดไปจากทั้งสองมือต่อหน้าต่อตา..ต่างก็ซัดทอดกันวุ่นวาย สรุปได้ว่า
ใครก็ได้ไปตามท่านฮิตเล่อร์กลับมาที กลับมาเจรจากันก่อน..

ตอนนี้ เป็นทีของฮิตเล่อร์..
เขาส่งใบลาออก..ด้วยข้อความที่บอกอย่างโจ่งแจ้งว่าไม่ชอบการทำงานของคณะบริหาร และ ถ้าต้องการให้เขากลับไปเป็นส่วนหนึ่งของพรรค นั่นหมายถึงว่า

1. การบริหารและการตัดสินใจ หมายถึงสิทธิอำนาจเด็ดขาดทั้งหมดต้องขึ้นตรงอยู่กับเขาคนเดียว

2. สาขาอื่นๆที่ไม่ได้ทำประโยชน์ต้องยุบตัวและคณะกรรมการต้องลาออกไป เช่นสาขา Augsburg อันเป็นสาขาแรกเริ่ม(ก่อตั้ง)ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับฮิตเล่อร์อย่างที่สุด

3. ล้มเลิกการเจรจาในเรื่องยุบพรรค รวมพรรคเสียให้หมด ถ้าใครยังดื้อด้านหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น มีโทษถึงไล่ออก
และข้อสรุปตบท้าย
เขาอธิบายมาว่า..
>>มิใช่ว่ากระผมจะโหยหิวอำนาจแต่อย่างใด หากแต่สถานะการณ์เป็นไปของบ้านเมืองนั้นต้องใช้การกระทำที่เด็ดขาด ซึ่งตลอดเวลามาคณะบริหารของพรรคไม่ได้ทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันที่จะก่อประโยชน์ในทางก้าวหน้า ฉะนั้น..เรื่องการรวมตัวเข้ากับพรรคอื่นจะต้องไม่ใช่สาระอีกต่อไป..
นอกเสียจากว่า พรรคนาซีของเราจะเข้าไปครอบครองพรรคอื่นๆในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ

ข้อเสนอของกระผม..ควรได้รับการลงเสียงจากสมาชิกพรรคในวันประชุมวาระพิเศษที่พรรคควรจัดขึ้นเป็นการด่วน

ควรมิควรแล้วแต่จะพิจารณา

ลงชื่อ..อดอล์ฟ ฮิตเล่อร์


กรรมการพรรคทั้งหมด นั่งอ้าปากค้าง..หันหน้ามองกันเลิ่กลั่ก เอาไงกันดีล่ะฟะ?


ทางพรรครู้ดีว่า ถ้าขืนเรียกการประชุมวาระพิเศษขึ้นมา นั่นก็หมายถึงว่ามติเสียงส่วนใหญ่ต้องโอนเอนมาทางฮิตเล่อร์แน่นอน จึงเล่นเจ้าล่อเอาเถิด
ขอผลัดไปเป็นวันประชุมประจำปี ซึ่งจะมีในหกเดือนข้างหน้า.มันเป็นการซื้อเวลาเผื่อว่าพรรค GSP จะเปลี่ยนใจ

แต่ในช่วงนั้นทางพรรคก็ใช้วิธีการสกปรกตลบหลังฮิตเล่อร์โดยการ ส่งจดหมายเวียนไปยังสมาชิกในลักษณะใบปลิว..เนื้อความว่า..
ทางพรรคก็ได้อุตส่าห์เสนอตำแหน่งประธานอันดับหนึ่งท่านฮิตเล่อร์แล้ว แต่ท่านก็ไม่พอใจ เพราะท่านฮิตเล่อร์
ต้องการอำนาจแต่ผู้เดียว นั่นหมายถึงการเนรคุณท่าน Drexler ผู้ก่อตั้งพรรคผู้มีพระคุณอย่างหน้าด้านๆ และถ้าพวกท่านไม่ต้องการเห็นท่าน Drexler ต้องมาถูกล้มล้างไปอย่างไม่ยุติธรรม ขอให้ท่านสมาชิกจงมาลงมติในวัน
ประชุมใหญ่ประจำปีที่จะถึงให้พร้อมเพรียงกัน

แต่..ฮิตเล่อร์ก็ยังไม่หวั่นไหว ขอเรียกประชุมสมาชิกด่วน ในเดือนต่อมา
ซึ่งคราวนี้ แผนอุบาทว์ก็มาเป็นชุดนับหมื่นๆใบ โดยการโปรยใบปลิวออกข่าวว่า..
ฮิตเล่อร์ผู้ทรยศ ใช้พรรคเป็นบันใดสู่อำนาจ..บ้าง
ฮิตเล่อร์ผู้มีปูมหลังปริศนา..มาจากไหนไม่มีใครรู้..
ฮิตเล่อร์สมคบกับ Hermann Esser มีแผนลับเพื่อที่จะนำราชวงศ์กลับมาครองอำนาจ..
ฮิตเล่อร์ยักยอกทรัพย์ของพรรคไปปรนเปรอหญิงงามเมือง..
ฮิตเล่อร์..ด่ายิว ที่แท้..ปู่ก็เป็นยิว เพราะย่าไปท้องตอนที่ไปทำงานในบ้านเศรษฐียิว และเป็นการท้องแบบไม่มีพ่อ
ฮิตเล่อร์ อ้างตัวเป็น พระเจ้ากรุงมิวนิคในสถานที่อโคจร สถานเริงรมย์ต่างๆ
ใบปลิวดังกล่าวส่งออกไปเต็มถนน และที่ชุมชน..เพื่อหวังที่จะดิสเครดิตคนเพียงคนเดียว

และแน่นอนที่ข้อกล่าวหาว่า เขาเป็นยิวนั้น..
มันยิ่งกว่าเอาน้ำมันมาราดกองไฟเพราะตลอดเวลามาฮิตเล่อร์ต่อต้านยิวมาอย่างแข็งขันโดยตลอด ทั้งต่อหน้าและลับหลัง จู่จะมาว่าเป็นลูกหลานยิวได้อย่างไร?
สงครามแผ่นป้ายก็ระเบิดในคราวนี้...ฮิตเล่อร์ติดป้ายไปทั่วเมืองปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด และระงับการปราศรัยไปชั่วคราว(ร่วมสองเดือน)โดยปริยาย
เพราะนี่คืออาวุธสิ่งเดียวที่เขามี..เพราะการอั้นไว้นั้น ทำให้การปราศรัยครั้งต่อไปของเขานั้นผู้คนจะต้องสนใจถึงต้องพากันแห่มานับพันเช่นเคย..
แล้วนั่นหมายถึงการเย้ยให้ Drexler รู้ว่า อำนาจนั้นมันอยู่ที่เขาโดยคนเดียว
มันเป็นเกมการประลองที่เขาเอาอนาคตวางเดิมพัน

และวันนั้นได้กำหนดขึ้น คือ 20 กรกฎาคม 1921 เวลาสามทุ่มและ Zirkus Krone เช่นเคย
ครั้งนี้ เขาปิดป้ายตัวเบ้อเร่อว่า.."ยิวห้ามเข้า"
ผลคือ คนแห่กันมาอย่างถล่มทลาย ยอมเสียเงินค่าเข้าคนละหนึ่งมาร์คถึงกว่าหกพันคน
การพูดในครั้งนั้นของฮิตเล่อร์ได้สะกดคนฟังราวกับมีมนต์ขลัง..ซึ่งไม่ใช่ปาฏิหารย์หรือเวทย์มนต์ใดๆทั้งสิ้น
หากแต่ เขาพูดราวกับนั่งอยู่ในใจของคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือน
และที่สำคัญเขาไม่เคยต้องเสียเวลาในการร่างสุนทรพจน์
เพราะทุกอย่างนั้น มันกลั่นมาจากใจ..
และในการพูดครั้งนั้น เขาด่ารัฐบาลไวมาร์ชนิดสาดเสียเทเสีย ไล่ไปตั้งแต่นักการเมืองที่เห็นแก่ตัวไม่รู้จักเสียสละเพื่อชาติ
คบค้าอยู่กับพวกยิว..

หลังจากการปราศรัย..เสียงตบมือดังกึกก้องและยาวนานอย่างไม่เคยมีมาก่อน !!

และนี่คือชัยชนะอย่างขาวสะอาดของฮิตเล่อร์ เหล่าบรรดาพวกของ Drexler ที่ต่อต้านเขาเริ่มเงียบเสียงลงไป
เพราะมันได้ประจักษ์แล้วว่า อำนาจที่แท้จริงนั้นอยู่กับไผ..

สองสามวันต่อมา ฮิตเล่อร์เรียกประชุมพรรคเพื่อโหวตในวาระเปลี่ยนผู้นำ..
Drexler รีบรุดไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ(มิวนิค) เพื่อฟ้องว่า ฮิตเล่อร์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกประชุมใดๆในพรรค อันเป็นการกระทำที่อุกอาจ
เพราะ ไม่ใช่มติของคณะกรรมมาธิการ ซึ่งการกระทำของฮิตเล่อร์ครั้งนี้เป็นการสร้างความไม่สงบ

ตำรวจฟังเรื่องแล้วก็ส่ายหัว..บอกว่า มันเป็นเรื่องภายในของพรรค ตำรวจไม่มีหน้าที่ไปเกี่ยวข้องใดๆ
แป่ววววววววว.........*%#@

และวันที่ 29 กรกฎาคม การจัดประชุมได้เกิดขึ้นตามที่ฮิตเล่อร์ได้ประกาศไว้ เนื่องจากเป็นวันศุกร์ ผู้คนต้องทำงาน จึงมีคนมาร่วมแค่ 544 คน
หลังจากที่แถลงนโยบายไปแล้ว..โดยสรุปใจความว่า
"ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เยอรมันที่ยับเยินนี้ จะต้องถูกกู้กลับขึ้นมาด้วยฝีมือของชาวเยอรมันเท่านั้น และ ไม่ใช่ด้วยวิธีทางการทูต.......
หากแต่มันต้องเป็นการลงมือปฏิวัติสถานเดียว!!
คะแนนโหวตคือ 543 เสียงเป็นเอกฉันท์ ฮิตเล่อร์คือผู้นำของพรรคนาซีคนใหม่อย่างเด็ดขาด

Drexler ถูกเตะโด่งไปนั่งเฉยๆเป็นประธานกิติมศักดิ์
ฮิตเล่อร์เอา "ผู้ช่วยวงใน" ของเขาทุกคนมานั่งประจำในตำแหน่งสำคัญๆทั้งหมดของพรรค
และจากวันนั้นเป็นต้นมา..การลงชื่อในจดหมายที่เขาเขียนสั่งงาน เริ่มลงท้ายด้วย
"der Fuhrer" (หมายถึง The Leader หรือ ท่านผู้นำ)


หลังจากที่ครองตำแหน่งหัวหน้าพรรคแล้วฮิตเล่อร์ก็ยังเดินสายปราศรัยอย่างปรกติ
คราวนี้โจมตียิวแบบเต็มๆทั้งเรื่องการเมืองและการค้า
หลายต่อหลายครั้งที่เกิดการขว้างปาจราจลถึงขนาดที่เหยือกเบียร์ลอยโดนหัวเขา
จนถึงกับน๊อค..โชคดีที่เหล่า SA หามออกมาได้ทันการ

Hermann Goring  สมัยหนุ่มๆ   



และในปี 1922 นี้เขาก็ได้พบกับเพื่อนใหม่ชื่อว่า Hermann Goring นักบินผาดโผนมือหนึ่งที่ผ่านสงครามและได้รับเหรียญกล้าหาญมากมาย
 มีบิดาเป็นถึงผู้พิพากษาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นถึงข้าหลวงตัวแทนของรัฐบาลประจำอาฟริกาใต้ ในสมัยของบิสมาร์ค
นับว่าปูมหลังนั้นจัดว่าเป็นคุณหนูพอสมควร เขาจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อย และเมื่อหลังสงครามได้ลา
ออกไปเป็นนักบินให้กับสายการบินของสวีเดน จากนั้นเขาก็ได้พบรักกับลูกสาวเศรษฐีสวีดิชและแต่งงานกันในปี 1922 นั่นเอง

ความจริงชีวิตการเป็นอยู่อย่างสุขสบายในประเทศสวีเดนนั้น..เกอริงน่าจะพอใจ หากแต่การมัดมือชกของสนธิสัญญาแวร์ซายย์นั้นทำให้เขาอดรนทนไม่ได้ที่จะกลับมาช่วยกู้ชาติบ้านเมือง
ถึงกับเดินทางกลับเยอรมันพร้อมทั้งแคริน ภรรยาลูกผู้ดี
เขาเข้ามาศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเมืองมิวนิคในภาครัฐศาสตร์และการเมือง ซึ่งความหัวรุนแรงของเขานั้น
เคยถึงกับชักชวนพวกเพื่อนทหารผ่านศึกด้วยกันให้มาร่วมทำการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาล
เขาเล่าว่า เนื้อหาในการประชุม เจ้าพวกทหารพวกนั้นดันพูดกันแต่เรื่องสวัสดิการที่อยู่ที่กินให้กับทหารผ่านศึก
จนเขารำคาญสุดๆต้องลุกขึ้นด่าตามประสาคนโผงผางว่า..
"ไอ้งั่งเอ๊ย..ไอ้ทหารพวกนั้นมันผ่านสงครามมาได้จนถึงป่านนี้ มันคงมีปัญญาหาที่ซุกหัวนอนได้เองแหละ ว่าแต่..มันจะหัวไปซุกไว้ที่ไหนก็เท่านั้น อาจเป็นบนหน้าอกนิ่มๆของสาวผมบลอนด์คนใดคนหนึ่งก็เป็นได้"
ว่าแล้วการพูดไม่หอมหูเช่นนี้ ผลก็คือวงแตกฮือ..ลุกขึ้นชกต่อยกันวุ่นวาย


จนมาในวันหนึ่ง เกอริงได้ยินชื่อเสียงของฮิตเล่อร์มาบ้าง จึงลองเข้าไปฟังการปราศรัย และสิ่งที่เขาได้ยินนั้นมัน
ทำให้เขาถึงกับตัวชาดิก
เพราะมันเป็นความจริงที่ประชาชนทุกคนได้แบกความคับแค้นไว้ในใจ..ในเรื่องสัญญาทาสที่เยอรมันจะไม่มีวันเงยหน้าอ้าปาก
เขาขอใบสมัครเป็นสมาชิกพรรคและกรอกลงไปพร้อมเซ็นชื่อทันที
ก่อนที่เขาจะกลับนั้น มีคนนำข่าวมาบอกว่า
ฮิตเล่อร์ต้องการที่จะพบกับเขาเป็นส่วนตัว
และ..ทั้งสองก็ได้ประจันหน้ากัน..ฮิตเล่อร์ได้พูดตรงๆกับเกอริงว่า กำลังต้องการคนที่จะมาคุมหน่วย SA อยู่ สนใจมั๊ย?

เกอริงตอบว่า ได้เล๊ย...ขอเวลาฝึกพวกนี้ให้มีวินัยแบบทหารในเวลาหนึ่งเดือน
ฮิตเล่อร์..ตกลงตามนั้น ว่า อีกหนึ่งเดือนจะมีการประกาศเป็นทางการ ถึงตำแหน่งหัวหน้าผู้บังคับบัญชา SA ของเกอริง
คนต่อไป..ที่เข้าสู่วงจรนั่นก็คือ Ernst Hanfstaengl หรือเป็นที่รู้จักในชื่อเล่นว่า "Putzi" ทายาทเจ้าของธุรกิจภาพ
ศิลป เขาจบมาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
(ประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะมีมารดาเป็นคนอเมริกัน) ที่เข้ามาฟังแล้วติดใจถึงกับเข้าร่วมทีมอย่างไม่รีรอ
(Putzi คือ นายทุนคนสำคัญคนหนึ่งของพรรคนาซี เพราะจากการที่รู้จักเขาเชื่อว่า สักวันหนึ่งฮิตเล่อร์จะต้องเป็นผู้นำของเยอรมันอย่างแน่นอน)
ฮิตเล่อร์ให้ความสนใจกับเขาเป็นพิเศษจนจัดว่าเป็นคนสนิทคนหนึ่ง ระหว่างเขาทั้งสองได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของนโยบายการเมือง อเมริกา-เยอรมันอยู่เสมอๆ

Ernst Hanfstaengl


และวันโลกาวินาศก็ได้มาถึงคือ 11 มกราคม 1923 เมื่อเยอรมันไม่สามารถจะจ่ายหนี้ค่าปฏิกรรมสงคราม
สามพันสามร้อยล้านดอลล่าร์นั่นได้ ตามสนธิสัญญาแวร์ซายย์
เพราะการขูดรีดในผลิตผลส่งออก อีกทั้งทรัพยากรในประเทศ เยอรมันต้องประสบปัญหาขาดแคลนอย่างหนัก
ประชาชนอดอยากกันถ้วนหน้าจาก 4 มาร์คต่อหนึ่งดอลล่าร์ ขึ้นไปเป็น 75 เป็น 100 จนกระทั่ง 400 มาร์คต่อหนึ่งดอลล่าร์ในชั่วไม่กี่วัน

ฝรั่งเศสขู่ฟ่อๆว่าจะเข้ามายึดครองเมือง Ruhr (อันเป็นย่านอุตสาหกรรมโรงงาน) ซะให้รู้แล้วรู้แร่ด ถ้าไม่จ่ายมาซะดีๆ
เยอรมันก็ไม่จ่าย..เพราะไม่มีปัญญาจะจ่าย
ผลคือ ฝรั่งเศสก็ปฏิบัติตามคำขู่ นั่นก็คือ ยกทัพเข้ามายึดเมืองรัวร์ ซะเลยจริงๆ เพราะจะหาเรื่องอยู่แล้ว

มาถึงตรงนี้ ใครต่อใครในประเทศต่างก็พร้อมที่จะก่อการสไตร์คกันไปทั่ว รวมทั้งพรรคนาซีภายใต้การนำของฮิต
เล่อร์ที่มีสมัครพรรคพวกถึง 55,000 คน ซึ่งต่างก็พร้อมที่จะเคลื่อนขบวน
ฮิตเล่อร์รู้ว่า นี่คือโอกาสของการแสดงความเป็นผู้นำให้กระจ่างชัดแจ้ง

เขาและพรรคพวกจึงเริ่มคิดแผนการปฏิวัติยึดครองรัฐบาลบาวาเรียโดยการ(คิดที่จะ)เข้าประกบ เอาปืนจ่อคณะผู้นำ แล้ว
บีบบังคับให้รับพรรคนาซีเข้าร่วมรัฐบาล จากนั้นค่อยขยับขยายไปยึดอำนาจในกรุงเบอร์ลินต่อไป (เขาฝันกันว่างั้น)

เสนาธิการในการวางแผนครั้งนี้คือ ท่านวีรบุรุษสงคราม Erich Ludendorff ซึ่งจะได้ดำเนินการในวันที่มีการชุมนุมใน โรงเบียร์มิวนิค
อันเป็นวันที่นักการเมืองและนักธุรกิจได้มีการประชุมกันตามวาระ วันนั้นคือวันที่ 8 พฤศจิกายน 1923
กลุ่ม SA เข้าล้อมสถานที่ไว้โดยรอบ ฮิตเล่อร์และเกอริงพร้อมลูกสมุน ถือปืนเดินก๋าเข้าไป ฮิตเล่อร์กราดกระสุนขึ้นบนเพดาน ก่อนที่จะประกาศให้ทุกคนอยู่ในความสงบ
บัดนี้ การปฏิวัติได้เริ่มขึ้นแล้ว..แล้วก็เดินตรงไปที่เวทีประชุมที่ นาย Gustav von Kahr ผู้นำรัฐกำลังตกตะลึงอยู่
ฮิตเล่อร์ ขึ้นไปประกาศต่อว่า..ห้ามใครออกไปจากที่นี่ ขณะนี้ พวกเราได้ควบคุมสถานะการณ์ภายนอกได้ไว้หมดแล้ว ทั้ง ทหารและตำรวจ
ทั้งหมดอยู่ภายใต้คำสั่งของพรรคของเรา และเราขอยกเลิกรัฐบาลบาวาเรีย ณ บัดเดี๋ยวนี้ รัฐบาลใหม่กำลังจะเริ่มเข้ามาทำการบริหารในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
(ซึ่งทั้งหมดไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด หากแต่คนในโรงเบียร์นั้นไม่มีวันจะรู้ได้)

จากนั้น ฮิตเล่อร์ได้ต้อนผู้นำรัฐทั้งสามคน คือนาย von Kahr นายพล Otto von Lossow อธิบดีตำรวจ พันเอก Han von Seisser
เข้าไปในห้องเพื่อเจรจาให้โอกาสว่าจะมาร่วมในรัฐบาลใหม่หรือไม่
แต่เขาก็ต้องประหลาดใจ ที่ทั้งสามคนกลับไม่สนใจใยดีกับการปฏิวัติของเขาเลยแม้แต่นิด ซ้ำยังทำหน้าตาเย้ยหยันอีกซะด้วยซ้ำ

ฮิตเล่อร์จึงต้องใช้ไม้ตาย..จ่อปากกระบอกปืนไปที่คนทั้งสาม และบอกว่า
"ผมมีกระสุนอยู่สี่นัด สามนัดแรกสำหรับพวกคุณ นัดสุดท้ายสำหรับผม จะลองมั๊ยล่ะ"

ทุกคนก็ยังเฉย..จนฮิตเล่อร์อดรนทนไม่ได้ จึงเดินกลับออกมาข้างนอก
ประกาศในทำนองว่ารัฐบาลทั้งเก่าและใหม่ได้ทำการตกลงดำเนินนโยบายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เพื่อให้คนฟังเข้าใจว่า คณะสามคนที่อยู่ในห้องได้ยินยอมร่วมด้วยกับการปฏิวัติครั้งนี้
ผู้คนจึงเริ่มเอะอะ..เอ๊ะ มันอะไรกันหว่า??

และคราวนี้ ฮิตเล่อร์ส่งนายพล Ludendorff ไปช่วยเจรจากับคณะสามคนในห้องนั้น คราวนี้ มีการย้อนศรวางแผนตลบหลังฮิตเล่อร์โดยทำทีว่าตกลงตามที่ได้ประกาศออกไป..
 ตัวนาย von Kahr ถึงกับขึ้นไปประกาศยืนยันว่าทุกอย่างจะเป็นเช่นนั้น
แล้วทั้งหมดก็ต่างร้องเพลงปลุกใจกันกระหึ่ม เพื่อรอวันรุ่งของพรุ่งนี้ ฟ้าจะมีรัฐบาลใหม่ให้กับเรา (คงจะเป็นในทำนองนี้ละนะ))

แต่แล้ว..ไม่ทันไร ข่าวจาก SA ที่ให้ไปดูแลสถานะการณ์กรมทหารก็กลับมาบอกว่า
"อิ๊บอ๋าย แล้วนาย ทหารมันไม่ยอมง่ะ แถมจะไล่ตื้บพวกผมด้วย"
ฮิตเล่อร์จึงรีบรุดไปยังหน่วยที่มีปัญหา นั่นคือการผิดพลาดอย่างแรง เพราะทันทีที่ฮิตเล่อร์หน้าตาตื่นออกไป เหตุการณ์ในโรงเบียร์เริ่มระส่ำระสายว่าจะเอาไงกันดี
และในขณะนั้น คณะผู้นำบาวาเรียทั้งสามคนได้หลบหนีออกไปทางประตูหลัง หายแว๊บ (พวกนี้คงต้องเก๋าเอาการ อย่างน้อยต้องระดับป๋า.. ว่าม๊ะ?)

จากนั้นก็เข้าสูตรเดิม คือ การสั่งจับผู้นำพรรคนาซี(อนาถา)ด้วยข้อหาทำการกบฏต่อบ้านเมือง และทำการอุกอาจใช้อาวุธปืนจี้บังคับ
นายพล Lossow ออกคำสั่งให้ทหารทุกเหล่าเข้าเตรียมตัวปลดอาวุธของหน่วย SA พร้อมทั้งประกาศยกเลิกพรรคนาซีภายในวันเดียวกัน

ฮิตเล่อร์นอนไม่หลับทั้งคืนได้แต่เดินไปเดินมา คิดหาทางกับพรรคพวกว่าจะเอายังไงกันดี
นายพล Ludendorff จึงตัดสินใจบอกว่า
ไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว..ลุยไปเลย พรุ่งนี้ พรรคจัดขบวนมาร์ชเข้ากลางเมืองมิวนิค เพราะถ้าชาวบ้านชาวเมืองเห็นด้วย
เขาก็จะมาร่วมเดินขบวนกันมากมาย แล้วถ้าวีรบุรุษสงครามอย่างตัวนายพลเองเดินนำหน้า ใครหน้าไหนมันจะกล้ายิงเข้ามา..

Heinrich Himmler



ฮิตเล่อร์เห็นด้วยกับไอเดียนี้ เอาไงเอากัน
ว่าแล้ว..วันรุ่งขึ้น ประมาณ 11.00 ชาวนาซีกว่าสามพันคนได้เดินขบวนดังว่า คนถือธงเดินแถวหน้าคือสมาชิกใหม่เอี่ยม ชื่อว่า
Heinrich Himmler  ขบวนมุ่งเข้ากลางใจเมืองหมายเข้าสู่ตึกอนุสรณ์สงคราม
แต่ต้องมาเจอตำรวจทั้งกรมที่มาตั้งมั่นกั้นไว้เสียก่อน
ทีนี้..ทั้งสองฝ่ายได้ประจันหน้ากันแบบกระชั้นชิด
ฮิตเล่อร์ตะโกนบอกให้ตำรวจยอมแพ้ วางอาวุธไปซะดีๆ
(แบบว่าหน้าตาเฉยเลย)
ผลคือ..ฝ่ายตำรวจสาดกระสุนเข้ามาสู่ขบวน โกลาหลบังเกิดขึ้นทันที Ulrich Graf องค์รักษ์ประจำตัวฮิตเล่อร์ กระโดดเอาตัวเองเข้ากำบังเจ้านาย จนฮิตเล่อร์ล้มลงไป ไหล่หลุด แต่ Graf โดนไปหนึ่งนัด แต่ไม่ถูกที่สำคัญ
ส่วนเกอริง..โดนหนึ่งนัด ใน"ที่สำคัญ"คือ ระดับหว่างขา
บริเวณต้นขาหนีบ เกือบไป..............!!!

ส่วนนายพล Ludendorff ได้ทำการสมชายชาติทหารนักรบ นั่นคือ เดินตรงไปให้ตำรวจจับกุมอย่างโดยดี อันเป็นว่า ยอมแพ้..
วงแตกกระจาย ทีนี้ตัวใครตัวมัน..

ฮิตเล่อร์หนีไปอยู่ที่บ้านของ Putzi ซ่อนตัวที่ห้องใต้หลังคา
เกอริงหนีไปขับเครื่องบินโปรยยาฆ่าแมลงอยู่ที่สวีเดน
ฮิมม์เล่อร์ หนีไปเลี้ยงไก่อยู่บ้านนอก..
แล้วประวัติศาสตร์การกบฏโรงเบียร์นี้ก็ได้จบตัวลง ท่ามกลางความขบขันของใครต่อใครหลายๆคนในยุคนั้น
แต่ไม่มีใครรู้เลยสักนิดว่า..หายนะครั้งยิ่งใหญ่กำลังจะเกิดในไม่กี่ปีต่อมา

เมื่อการปฏิวัติล้มเหลว ฮิตเล่อร์ดังที่เล่าไว้ว่าหนีไปซ่อนตัวในบ้านพักผ่อนบ้านหนึ่งของเพื่อนรัก ที่ชนบทเมือง Uffing ซึ่ง Helene ภรรยาของ Putzi
ได้ช่วยดูแลรักษาใหล่ของเขากลับคืนสู่สภาพปรกติ ก่อนที่จะมีการนัดหมายหลบหนีออกนอกประเทศต่อไป..
ซึ่งในขณะนั้นฮิตเล่อร์ได้ตีโพยตีพายจะยิงตัวตายท่าเดียว ถ้าถูกจับได้
และ..ในไม่กี่วันต่อมา รถตำรวจสองสามคันก็ได้แล่นปราดมาจอดเทียบถึงหน้าประตู เจ้าหน้าที่กรูเกรียวกันขึ้นมา
เฮเลนจึงให้คนรับใช้รับหน้าไปก่อน ส่วนตัวเธอก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไปยังที่ซ่อนตัวของฮิตเล่อร์..
และภาพที่เธอพบนั้น..คือ เขากำลังเอาปืนพบจ่อที่ขมับตัวเอง แล้วบอกว่า อย่าเข้ามานะ..ผมจะจบปัญหานี้ด้วยตัวเอง

เฮเลนถึงกับส่ายหน้าด้วยความระอาใจ บอกกับฮิตเล่อร์ว่า เลิกทำตัวเป็นเด็กๆซะที ยอมไปสู้คดีเถอะ คงไม่หนักหนาอะไรหรอก..นะ..นะ..น่านะ !!
แล้วเธอก็ค่อยๆก้าวประชิดเข้าไปใกล้ๆ จนสามารถใช้วิชายูยิดซึ(เฮเลน เป็นนักกีฬาตัวยงในอดีต) เข้าล๊อดแขน แย่งปืนออกมาได้..
ตำรวจจึงพานักโทษการเมืองตัวเอ้ขึ้นรถ..ไปดำเนินคดีต่อไป


ป.ล. ผู้อ่านจะสังเกตเห็นได้ว่า การเขียนเล่านั้น ใช้ภาษาโจ๋มาก....
มันเป็นความตั้งใจที่จะเล่าให้สนุก เพราะประวัติศาสตร์เป็นสิ่งน่าเบื่อ เพราะในบ้านเรานั้นยังขาดวัตถุดิบอย่างมากมาย จนเป็นอุปสรรคในการขวนขวาย ค้นคว้า
ที่ได้อุทิศตนสละเวลา สละพลังงาน ระดมพลังสมอง เพียงแค่เชื่อว่า อาจเป็นประโยชน์สำหรับเด็กๆรุ่นใหม่ที่จะเข้าใจวัฏจักรของการเมืองของไม่ว่าประเทศใดๆได้ดีขึ้น เพราะมันช่างเกิดขึ้น
ได้ซ้ำๆซากๆเหมือนกันไปหมด เท่าที่เขียนมานี่ ก็คงจะพอเทียบๆได้กับภาวะของประเทศสารขัณฑ์ของเราในตอนนี้...
และอยากให้การเอื้อเฟื้อความรู้นี้เป็นตัวอย่างกับคนอื่นๆด้วย ทั้งๆที่ไม่ใช่นักวิชาการ เป็นเพียงคนที่สนใจ(แบบจริงๆจังๆ)และใจถึง..... ก็แค่นั้น

เคยคิดเหมือนกันนะ..เอ..จะเขียนดีมั๊ยหว่า เพราะเดี๋ยวจะมีคนมาค่อนขอดเอา แต่เมื่อได้ไปสัมผัสกับเวบไซท์ของใครต่อใคร(หมายถึงพวกฝาหรั่งง่ะ) หลายต่อหลายเวบ เขาจะมีข้อความบอกคล้ายๆกันว่า ไม่ใช่นักวิชาการ
หากแต่เขาสนใจและค้นคว้ามานานปี จึงอยากเอามาเผื่อแผ่
ฟังแล้วรู้สึกดี..........เลยเอามาเป็นพลัง !!

วิวันดา..




แล้วฮิตเล่อร์ก็ดังสมใจในชั่วข้ามคืน..ข่าวของเขาออกในทุกหน้าหนังสือพิมพ์ระดับในและนอกประเทศ พวกบรรดาผู้พิพากษาก็ท่าทางไม่ค่อยเข้มงวดอะไรนัก
(เพราะคงชินกับการปฏิวัติที่มันเกิดขึ้นบ่อยเสียเหลือเกิน อีกอย่างหนึ่งสถานะการณ์บ้านเมืองก็ช่างคับแค้นกดดันให้คนต้องลุกขึ้นมาอะไรบ้าๆ)

พวกท่านๆเหล่านั้นอนุญาตให้ฮิตเล่อร์พูดไปจนกว่าจะเหนื่อย
จะลุกขึ้นมาโต้แย้งหรือขัดแย้งใครในการให้การของพยานอย่างใดก็ได้ตามความพอใจ
ศาลเลยกลายเป็นเวทีปราศรัยของฮิตเล่อรไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว..
เขาประกาศก้องว่า..
....กระผ้มขอรับผิดชอบต่อการกระทำครั้งนี้แต่ผู้เดียว..แต่กระผ้มไม่ได้เป็นอาชญากรโดยสันดาน การต่อต้านรัฐบาลครั้งนี้ของกระผ้ม
จะมาเรียกว่าเป็นการปฏิวัติขายชาติไม่ได้ แต่ถ้าจะเปรียบเทียบว่ากระผ้มปราบโจร(หมายถึงรัฐบาล) เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนละก้อ..ค่อยใกล้เคียงความจริงหน่อย..แล้วขอกราบเรียนถามท่านประธานศาลที่เคารพว่า
กระผ้มผิดตรงไหน?

จากนั้นฮิตเล่อร์ก็ร่ายยาวตามถนัดว่า..
พรรคนาซีเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่รักชาติยิ่งชีพ และพวกเขาคับแค้นใจมาตลอดที่มองเห็น
การกระทำของคณะรัฐบาลบริหารบ้านเมือง
ได้หักหลังประชาชน ทหาร เพื่อที่จะฉวยโอกาสล้มล้างราชวงค์
ประกาศเป็นสาธารณรัฐประเทศ
สนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายให้ก่อการประท้วง และ
ประกาศยอมแพ้สงครามทั้งๆที่ ทหารกำลังอยู่ในแนวรบยังไม่ได้เพลี่ยงพล้ำให้แก่ข้าศึกใดๆ (ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า ก่อนหน้านี้ ทางฝ่ายเยอรมันและสัมพันธมิตรได้มีการประสานงานในเจรจาหยุดการรบที่เป็นการพบกันครึ่งทาง เพราะรัสเซียเองก็ขอพักไปแล้ว เนื่องจากการกบฎในประเทศ)
และ..รัฐบาลนี้ยังมีหน้าไปเซ็นสัญญาแวร์ซายย์ขายชาติอีกด้วย
อย่างนี้จะให้เก็บเอาไว้ทำอะไรขอรับ..ท่านที่เคารพ ??

พอเขาพูดจบเหล่าคณะผู้พิพากษาแทบปาดน้ำตา เพราะ มันเป็นจริงทุกประการ...!!

สรุปว่า..เป็นการบกพร่องโดยสุจริต..ว่างั้นเถอะ


หลังจากการขึ้นศาลรวมทั้งสิ้น 24 วัน ประชาชนได้อ่านข่าวและให้ความเห็นอกเห็นใจในความรักชาติของผู้นำพรรคนาซีคนนี้เป็นกำลัง
แต่ครั้นจะศาลปล่อยตัวไปง่ายๆเดี๋ยวก็จะเป็นเยี่ยงอย่างให้ใครต่อใครลุกขึ้นมาเดินขบวนอีก..เหล่าผู้พิพากษาก็แอบไปลงเสียงกันว่า
เอางี้..ปล่อยให้.ฮิตเล่อร์มันติดคุกไปนิดหน่อยก็แล้วกันห้าปีเอง..แต่เป็นแบบที่มีทัณฑ์บนน่ะ คือทำตัวดีๆก็ปล่อยตัวออกมาเร็วๆ
รวมไปถึงลูกพรรคคนอื่นๆด้วยคือโดนกันละนิดละหน่อย
หากแต่..ท่านนายพล Ludendorff ประกาศล้างมืออกจาการเมืองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา..

ฮิตเล่อร์ถูกนำตัวไปจองจำอยู่ที่คุกในเมือง Landsberg ด้วยห้องพักส่วนตัว มีหน้าต่างชมวิว รับแขกได้ไม่จำกัดเวลา
มีเลขาไว้คอยรับใช้ส่วนตัว..คือ Rudolf Hess
ที่นี่เอง..คือชีวิตการเป็นนักเขียนได้เริ่มต้น..นั่นคือ..หนังสือชีวประวัติการต่อสู้ Mein Kampf หรือ My Struggle (การต่อสู้ของข้าพเจ้า)ถูกเขียนเป็นบทแรก

และในยามที่สมองว่าง..เขาได้ไตร่ตรองถึงสิ่งที่ได้กระทำมาในอดีต จนมองเห็นความผิดพลาดหลายๆอย่างเช่น
การซุ่มซ่ามปฏิวัติทั้งๆที่ยังไม่พร้อม
(หมายถึงไม่มีกำลังสนับสนุนจากทหาร)
และ..สิ่งที่แน่นอนที่สุดในการเป็นรัฐบาล..นั่นคือ เขาต้องเล่นมันอย่างสมัยนิยม นั่นคือ ใช้การเลือกตั้งเป็นบันได..

เขาได้วางแผนบริหารพรรคอย่างรัฐบาล นั่นก็คือ มีกรม กอง ฝ่าย แผนก ซึ่งแต่ละขั้นตอนจะต้องมีหัวหน้าคุม
ทุกคนจะต้องขึ้นตรงอยู่กับหัวหน้าพรรคเพียงคนเดียวอันเปรียบประหนึ่งประธานาธิบดี

แต่ฮิตเล่อร์ก็ได้แต่ฝัน เพราะปัญหาตามต่อมาคือ..พรรคนาซีและหนังสือพิมพ์เสียงเยอรมัน {Volkischer Beobachter} ได้ถูกรัฐบาลบาวาเรียสั่งยุบและถูกเพิกถอนใบอนุญาต
กรรมการที่อยู่นอกคุก ก็ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน วันวันได้แต่ทะเลาะกันเอง
ซึ่งเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะเท่าที่ได้รับโทษแค่นี้นับว่าโชคดีสุดๆ เพราะ
ถ้าไม่ใช่ นาย Franz Gurtner ปลัดกระทรวงยุติธรรมที่เคยชอบพอนิสัยฮิตเล่อร์สมัยที่เรียนการพูดที่มหาวิทยาลัยมิวนิคแล้วละก้อ..เขาอาจถูกเนรเทศกลับไปยังบ้านเกิดคือออสเตรียได้ทุกเมื่อ ในฐานะ
เป็นกะเหรี่ยงที่มาอาศัยอยู่ในเยอรมันแถมยังสร้างแต่ความเดือดร้อน

ตัวนาย Putzi หรือ.. Ernst Hanfstaeng เพื่อนซี้ได้หนีไปหลบตัวอยู่ที่ออสเตรีย..ตามคำแนะนำของทนายความ
ทั้งๆที่เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติครั้งนั้นและเขาไม่ได้ใช้เวลาให้อยู่เฉยๆ..
เขาได้ทำหน้าที่เพื่อนที่ดี นั่นคือ ออกตามหาญาติของฮิตเล่อร์ในเวียนนา(ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว..เชื่อว่าเขาอยากรู้กำพืดที่แท้จริงของฮิตเล่อร์ต่างหาก)
และเขาก็ได้พบกับ Angela พี่สาวต่างมารดาของฮิตเล่อร์ ที่ทำงานเป็นแม่บ้านให้กับเศรษฐียิวคนหนึ่ง..โดยการที่เขาไปพบกับแอนเจล่า ที่ห้องพักในตึกแถบชนชั้นล่างอาศัยอยู่..
ที่นั่น..เขาได้พบว่าแอนเจล่าและลูกสาวสองคนคือ แอนเจลิกา อายุ สิบห้าหยกๆสิบหกหย่อนๆ กับ เอลฟรีดล์ อายุ สิบสาม อาศัยอยู่ในห้องอับๆซึ่งไม่มีแม้แต่เตียง
นอกจากพรมชิ้นหนาไว้รองนอน

เขาได้พาทั้งครอบครัวออกไปทานอาหารข้างนอก..แอนเจล่า ได้แต่บ่นถึงความทุกข์ยากที่ต้องเลี้ยงลูกสาวของตัวเองสองคน อีกทั้งต้องเลี้ยงน้องสาวแท้ๆของฮิตเล่อร์ พอลล่า ที่ไม่ค่อยสมประกอบ
ซึ่งตัวพี่ชายคือฮิตเล่อร์ก็ไม่เคยเหลียวแลส่งเสีย
เด็กสาวสองคนนั่น ท่าทางตื่นๆ เพราะดูเหมือนว่าจะไม่เคยออกมาสู่สังคมภายนอกมากนัก ทั้งหมดแต่งตัวด้วยเสื้อผ้ามอซออย่างเห็นได้ชัด
เขาพอสังเกตได้ว่า เด็กสาวทั้งสองมีลักษณะต่างกันอย่างเด่นชัด..

เจลิ..หรือ แอนเจลิกา ท่าทางปราดเปรียว แววตาสุกใส ฉลาดพูด ต่างกับน้องสาว เอลฟรีดล์ ที่ท่าทางเงียบขรึม พูดน้อย ขี้อาย






 

Create Date : 04 มีนาคม 2548   
Last Update : 12 กรกฎาคม 2556 4:44:53 น.   
Counter : 3415 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]




[Add WIWANDA's blog to your web]