นิสัยการขับรถและการใช้รถที่ควรฝึกให้เคยชิน ผมเห็นว่าเป็นประโยชน์และผู้เขียนใช้สำนวนแบบบ้านๆ เข้าใจง่ายเลยขอมาแชร์กันครับลองดูครับเป็นการเตือนตัวเองด้วยครับ ข้อมูลจาก //www.thaiertigaclub.com User name : namhorm การขับรถนั้น แต่ละคนก็อาจจะมีนิสัยในการขับแตกต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับการหัดขับรถตั้งแต่แรกเริ่มมานั้น คนสอน สอนแบบไหน หรือหัดขับเองเลยก็แล้วแต่ ก็ต้องถามว่าได้ความรู้มาจากไหนและอย่างไรบ้าง ถูกหรือผิด ????? แต่การเริ่มต้นขับรถนั้น ก็อาจจะติดนิสัยบางอย่างมาจนเคยชิน และบางอย่างก็อาจจะแก้ยาก ต้องมาฝึกฝนกันใหม่หากนิสัยที่ติดมานั้น มันไม่ถูกต้อง มันอาจจะเกิดอันตราย หรือมันอาจจะทำให้รถเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ตัวอย่างเช่น ผมเองนะครับ ที่ติดนิสัยมาจนถึงทุกวันนี้คือ ต้องถอดรองเท้าขับครับ ยกเว้นว่ารองเท้าหุ้มส้นก็ไม่เป็นไรไม่ต้องถอดถ้าขับไม่ไกลนักนะครับ เช่นขับมาทำงานหรือกลับบ้าน ระยะทางของผมก็แค่ 10 กิโล อย่างงี้ถ้าใส่หุ้มส้นมาทำงาน ก็ไม่ต้องถอดรองเท้าครับ ถ้าเป็นรองเท้าแตะ ไม่ว่าจะแตะแบบรัดส้นหรือไม่รัดส้น ไม่ว่าขับไกลใกล้แค่ไหน ผมต้องถอดครับ แต่หากว่าขับรถทางไกล ไม่ว่ารองเท้าอะไรผมก็ใส่ไม่ได้ ต้องถอดสถานเดียว เพราะตอนหัดขับรถ เพื่อนผมเป็นคนสอน แต่ตอนที่เริ่มหัดผมใส่รองเท้าแตะ ซึ่งสภาพมันเป็นรองเท้าเก่า ๆ หูมันขาดนิดหน่อย ใส่แล้วหลวม ๆ แล้วผมไม่ถนัด กลัวพลาดก็เลยถอดรองเท้าออก มันก็เลยติดนิสัยมาตั้งแต่นั้น เวลาถอดรองเท้าขับแล้วรู้สึกมั่นใจ ได้สัมผัส ได้อรรถรส อีกต่างหาก แต่ข้อที่ต้องระวังในเวลาต่อมาก็คือ รองเท้าที่ถอด ต้องเก็บให้ดี ๆ อย่าให้มันไหลมากองที่ใต้เบรก หรือใต้คันเร่ง มันอันตรายมาก ( เคยทำขวดน้ำหลุดไปใต้เบรกครั้งนึง เลยเป็นประสบการณ์ที่ต้องระวังข้าวของที่พื้นด้านคนขับ ) ซึ่งก็เลยต้องมาฝึกฝนนิสัยเพิ่มเติมในเรื่องของการถอดรองเท้าแล้วจะต้องเก็บให้ดีด้วย นอกจากนี้แล้ว ประสบการณ์และความรู้ที่แต่ละคนได้เพิ่มเติมขึ้นมาภายหลัง ก็อาจจะได้ความรู้มาหลากหลายอาจจะถูก หรืออาจจะผิดก็ได้ ถ้าเป็นความรู้ที่ถูก ก็ทำให้เราได้ทักษะการขับรถที่ถูกต้องเป็นนิสัยที่ดีตามมา แต่ถ้าความรู้นั้นผิด ก็แย่ครับ โดยเฉพาะความรู้ที่อาจจะได้มาจากช่างหรือเซล ต้องพึงระวังไว้หน่อยครับ ผมพบว่า มีหลายเรื่องครับที่เค้าสอนลูกค้ามาผิด ๆ เช่น บอกลูกค้าว่า เบรกมือรถ ไม่จำเป็นต้องใช้เลย ถ้าใช้เบรกมือแล้วต่อไป สายเบรคมันจะยืดและเสีย ลูกค้าก็เลยเชื่อง่าย ๆ เพราะเห็นว่าคนที่แนะนำเป็นช่างของศูนย์ และก็ไม่เคยใช้เบรกมือเลยมาตั้งหลายปี ใช้รถมาสองคันเข้าไปแล้ว จนมาเจอกับผม ( ลูกค้าคนนี้พอดีเป็นเพื่อนภรรยาผมครับ ) พอดีมีโอกาสนั่งรถไปด้วยกันกับผม เค้าเห็นผมใช้เบรกมือตอนรถติดไฟแดง ซึ่งดูแล้วว่าต้องติดนานหลายนาทีเป็นแน่ ผมก็เลยเข้าเกียร์ว่าง และดึงเบรกมือ เพื่อนภรรยาผมก็บอกว่า พี่ ๆ เบรกมือไม่ต้องไปใช้หรอกค่ะ ช่างที่ศูนย์บอกว่าใช้แล้วมันจะเสีย ผมก็เลยต้องสอนเค้าให้เข้าใจเสียใหม่ ว่าจริง ๆ แล้วการที่เราไม่ใช้เบรกมือเลย นั่นล่ะครับ จะทำให้มันเสีย เพราะมันไม่ได้เคลื่อนไหวเลย ซึ่งต่อไปสายเบรกมันจะยึดและติดขัดได้ ซึ่งอาจจะเป็นสนิม ทีนี้เวลาที่เราเกิดจำเป็นต้องใช้เช่นไปจอดในพื้นที่ลาดเอียง ก็อาจจะใช้เบรกมือไม่ได้เลย หรือดึงเบรกมือมาแล้ว แต่ตอนจะปลด มันปลดไม่ได้ ทีนี้ก็เรืองใหญ่ ส่วนการทีสายเบรกจะยืดนั้น ก็มีความเป็นไปได้อย่างงที่ช่างบอก แต่หากเอารถเข้าเช็คตามระยะที่ถูกต้องแล้ว ช่างของศูนย์จะมีหน้าที่ในการตรวจและปรับแต่งสายเบรกมือให้เราตามระยะอยู่แล้ว ซึ่งจะไม่มีปัญหานี้เกิดขึ้น แล้วเพื่อนภรรยาผม เค้าก็ทำท่าไม่เชื่อผมนะ เค้าเชื่อช่าง เพราะผมไม่ใช่ช่าง แต่ความจริงก็ปรากฏหลังจากนั้นไม่นานหรอกครับ เพื่อนภรรยาผมเค้าลองทดลองใช้เบรกมือดูสักครั้ง ปรากฏว่าแค่ครั้งเดียวก็เห็นผลอย่างที่ผมบอกครับ ดึงเบรกมือที่บ้าน แต่ปลดไม่ได้ครับ เบรกมันค้างเลย มาเล่าให้ผมฟังทีหลังว่า ต้องโทรตามช่างศูนย์นั่นล่ะครับมาแก้ไขให้ ช่างก็โดนด่าไปตามระเบียบครับ และมันก็ยังมีอีกหลายเรื่อง ที่บางท่านก็อาจจะเคยพบเคยเห็น เช่น วิธีการใช้ไฟฉุกเฉินผิด ไปใช้ตอนที่รถเข้าแยก ซึ่งคนที่ทำอย่างนี้ก็เพราะติดนิสัยและได้รับความรู้มาผิด ๆ เช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายมากครับ ผมเองก็เคยเห็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากลักษณะนี้มาสองสามครั้งแล้ว แม้กระทั่งที่เจ็บปวดที่สุดที่ผมเคยเจอก็คือ โรงเรียนสอนขับรถยนต์แห่งหนึ่ง ดันไปสอนลูกค้าให้เปิดไฟฉุกเฉินเวลารถเข้าสี่แยก ผมเห็นเข้าหลาย ๆ ครั้ง ก็ทนไม่ได้ครับ ยอมเสี่ยงโดยขับรถไปดักหน้า แล้วก็บอกกับคนที่สอนใหม่ ว่าเค้าสอนลูกค้าผิด นี่ก็เป็นตัวอย่างเล็กน้อย ที่เกิดขึ้นจริง นะครับ เรามาแชร์กันดีกว่าครับ ว่า การขับรถ ให้ประหยัด ปลอดภัย และช่วยรักษาอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ให้เสียหายหรือเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควรนั้น มีอะไรบ้าง ที่เราจะต้องฝึกให้เป็นนิสัยที่ถูกต้องด้วย หากเพื่อน ๆ มีอะไรเพิ่มเติมด้วยก็ยินดีอย่างยิ่งครับ เอาตั้งแต่เริ่มใช้รถไปจนจอดรถเลยแล้วกันนะครับ 1. สร้างนิสัยการตรวจสภาพลมยางด้วยสายตาก่อนใช้รถทุกครั้ง น้อยคนนะครับที่จะมีนิสัยนี้จนเคยชิน ผมเองมาฝึกเอาเมื่อสองปีมานี่เองครับ ฝึกไปฝึกมากลายเป็นรถตัวเองก็ดู เวลาเจอรถคนอื่นก็ดูด้วย แล้วก็เจอหลาย ๆ ครั้งครับ ที่รถชาวบ้านเค้าลมยางผิดปกติ บางคนยางแบน แต่ก็ขับโดยที่ไม่รู้เรื่องเลยก็มีครับ ตรวจดูด้วยสายตาซะก่อนดีกว่าครับ ดีกว่าขับไปทั้ง ๆ ที่ลมยางผิดปกติ อันตรายครับ 2. ฝึกนิสัยการสตาร์ทแบบสองจังหวะ คือให้บิดกุญแจไปจังหวะแรกก่อน แล้วสังเกตไฟเตือนหน้าปัดเมื่อไฟเตือนดันหมดและเข็มน้ำมันวิ่งขึ้นไปสุดแล้ว จึงค่อยบิดจังหวะสองเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ การทำแบบนี้ จะช่วยให้เราได้ตรวจสอบสิ่งผิดปกติก่อนสตาร์ทเพื่อความปลอดภัย และยังช่วยให้ระบบของ ecu พร้อมที่จะทำงานเต็มที่เสียก่อน ดีกว่าให้เครื่องยนต์สตาร์ทโดยที่ ecu ยังไม่พร้อม ซึ่งอาจจะทำให้ระบบมันเสื่อมหรือรวนในภายหลังได้ ให้เรานึกถึงเวลาที่เราใช้คอมพิวเตอร์นั่นล่ะครับ มันต้องรอให้บูธเสียก่อน จึงพร้อมที่จะทำงาน ecu ก็คือ คอมพิวเตอร์ชนิดนึงเช่นกัน และวิธีการเช่นนี้ ก็ไม่ได้ทำให้เราเสียเวลาเลยครับ มันแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นเอง 3. อุ่นเครื่องยนต์สักนิด ก่อนขับเคลื่อนรถออกไป หรือหากเร่งรีบ ก็อาจจะให้รถเคลื่อนไปช้า ๆ ก่อน โดยไม่ต้องเหยียบคันเร่งก็ได้ครับ เดี๋ยวนี้เครื่องยนต์สมัยใหม่ ไม่ต้องใช้เวลาอุ่นเครื่องนานเหมือนก่อนแล้วครับ แค่นาทีสองนาที ไม่เกินจากนี้ เครื่องยนต์ก็พร้อมเต็มที่แล้ว จะช่วยประหยัดเชื้อเพลิง ไม่ได้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนะครับ หลาย ๆ ท่านคิดว่าสิ้นเปลืองน้ำมัน แต่จริง ๆ ไม่ใช่ครับ การขับออกไปเลยโดยการกดคันเร่ง เครื่องยนต์จะสึกหรอเร็วขึ้น และสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงด้วยครับ 4. ฝึกการใช้วิธีขับเคลื่อนโดยไม่ต้องกดคันเร่ง ในจังหวะที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยประหยัดน้ำมันได้มาก ๆเลยครับ และยังถนอมเครื่องยนต์ไปในขณะเดียวกันด้วย และหากจะใช้วิธีนี้ให้ได้ผลเต็มที่ ก็ควรใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ ชนิด PAO เลยครับ เลือกที่เบอร์ 30 นะครับ รถจะลื่นไหลมากจะได้กำลังอัดที่เหมาะสมด้วย ( ให้ดูในคู่มือด้วยนะครับ ว่าเค้ากำหนดค่าคามหนืดของน้ำมันเครื่องมาที่เท่าไหร่ และรถที่ออกมาจากศูนย์ใช้น้ำมันเครื่องเกรดอะไร ค่าความหนืดเท่าไรครับ ) 5. ฝึกการแตะเบรกหรือเลียเบรกก่อน สักสองสามครั้ง เพื่อให้รถคันหลังได้เห็นสัญญาณไฟเบรกของเราซึ่งช่วยให้ปลอดภัยมากขึ้น และถนอมเบรกเราด้วย เพราะรถจะค่อย ๆ ชะลอความเร็วลงมาก่อนที่จะกดเบรกเต็มที่ ผ้าเบรกก็จะสึกน้อย น้ำมันเบรกก็ไม่ต้องทำงานหนัก ใช้ร่วมกับข้อ 4 ได้ เช่นขณะขับรถไปแล้วเห็นสัญญาณหรือป้ายเตือนว่าข้างหน้ามีไฟแดง เราก็ถอนคันเร่ง ปล่อยให้รถไหลไปเอง ถ้าเกิดเป็นจังหวะไฟแดงต้องจอดรถ ก็แตะเบรกเบา ๆ ไปก่อน เป็นต้นครับ ข้อ 4 และ 5 นี้ ผมเพิ่งฝึกฝนมาเมื่อสองปีที่แล้วเช่นกันครับ ใหม่ ๆ ลืมประจำ เดี๋ยวนี้ชินแล้วครับ แล้วรู้สึกว่า การขับรถ สนุกได้อารมณ์มากขึ้นด้วย ที่สำคัญ ประหยัดน้ำมันมากขึ้นเยอะเลยครับ 6. ปิด คอมเพรสเซอร์แอร์ AC. ก่อนถึงที่หมาย หรือแม้แต่เวลาขับทางไกล แล้วเราจะแวะปั้มก็เช่นกันจะได้ประโยชน์สองอย่างพร้อมกันคือ ประหยัดน้ำมันมากขึ้นและรังผึ้งแอร์ไม่สะสมความชื้น 7. หากขับรถใช้ความเร็วสูงมาสักระยะ เช่นกรณีขับรถทางไกล ก่อนจะจอดรถ ไม่ว่าจะถึงที่หมายปลายทาง หรือจะจอดแวะปั้ม ให้เริ่มใช้ขอ 4 5 6 เป็นลำดับ ให้เป็นนิสัย และเมื่อจะจอดรถแล้ว อย่าดับเครื่องในทันทีครับ ปล่อยให้เครื่องยนต์เดินไปเฉย ๆ ซัก นาทีสองนาที แล้วค่อยดับเครื่อง ทั้งนี้เพื่อให้เครื่องยนต์ได้ลดความร้อนลงมาซักระดับหนึ่งก่อน เป็นการลดอุณหภูมิ แบบค่อยเป็นค่อยไป การที่เครื่องยนต์มีความร้อนสูงมาก ๆ แล้วเราดับเครื่องยนต์ในทันที ปั้มน้ำ และพัดลมเครื่องยนต์ จะหยุดการทำงานทันทีเช่นกัน ส่งผลให้ระดับความร้อนของเครื่องยนต์ มีความร้อนค้าง จากนั้นมันก็จะลดลงมาแบบรวดเร็วเกินไป ซึ่งเครื่องยนต์จะสึกหรอได้ง่ายขึ้น ถ้าเราดับเครื่องในทันทีบางทีเราคงเคยได้ยินเสียงเครื่องยนต์มีเสียงดัง แก้ง ๆ ๆ แต็ก ๆ ๆ นะครับ :ซึ่งคงจะเป็นเสียงโลหะบางชิ้นส่วน ที่มันขยายและหดตัวอย่างเร็ว ผมสันนิษฐานว่างั้นนะครับ แต่หากใช้วิธีเดินเครื่องไว้ก่อนสักนิด มักจะไม่ค่อยได้ยินเสียงนี้ครับ แต่หากเป็นเสียงที่ดังคล้ายน้ำไหล ซ่า ๆ อันนั้นเป็นเสียงน้ำยาแอร์ครับ ซึ่งหากเราใช้วิธีในข้อ 6 บางทีเสียงซ่า ๆ นี้ก็จะพบได้น้อยลงเช่นกันไปทดลองกันดูเองนะครับ 8. หากเดินทางไกล เมื่อจอดรถแวะที่ไหนก็ตาม ก่อนออกรถเดินทางต่อ ให้ตรวจลมยางด้วยสายตาทุกครั้งเปิดดูห้องเครื่อง เช็คน้ำมันเบรก หรือดูสิ่งผิดปกติต่าง ๆ ด้วยครับ ก้มดูใต้ท้องด้วย ว่ามีของเหลวเช่นน้ำมัน ,น้ำ ,น้ำมันเครื่อง ,น้ำมันเบรก , น้ำมันเกียร์ ไหลนองพื้นหรือเปล่านะครับ 9. ฝึกนิสัยให้ใจเย็น เวลาโมโห อารมณ์เสีย อย่าขับรถครับ อันตรายมากครับ เจอใครขับรถกวน ๆ ปล่อยเค้าไปสู้ที่ชอบ ๆ ก็แล้วกัน เราถอยห่างออกมา แล้วสวดแผ่เมตตาไปให้จะดีกว่าครับ หรือหากคิดในมุมบวก บางทีคน ๆ นั้น ที่อาจจะขับรถเร็ว เร่งรีบ เค้าอาจจะมีเหตุผลความจำเป็นบางอย่างก็ได้ หากเราตามอารมณ์ไปกับเค้า ไปโต้ตอบ ไปเอาชนะ ไม่มีประโยชน์อันใดเลยครับ เสี่ยงเปล่า ๆ คิดถึงคนที่เรารัก คนที่รอเราที่บ้าน ดีกว่าครับ 10.การแซง การเข้าโค้ง มองให้ลึก มองให้ไกล ถ้าไม่แน่ใจ ถอยครับ อย่าใจร้อน เข้าโค้งให้ช้า หมายถึงชะลอรถก่อนเข้าโค้ง เพื่อจับจังหวะเสียก่อน โค้งบางโค้งเค้าทำเอียงรับโค้งมาไม่ดีนะครับ แต่พอจับจังหวะได้แล้ว ออกจากโค้งให้เร็ว หมายถึงกดคันเร่งลงไปเบา ๆเนียน ๆ ไล่อัตราเร่งขึ้นไป รถจะเกาะถนนได้ดีขึ้น และออกจากโค้งได้เร็วขึ้นครับ การแซง อย่าใช้วิธีขับไปจ่อท้ายคันหน้าครับ เพราะเราจะมองไม่เห็นข้างหน้าได้ไกลเท่าที่ควรและการเพิ่มอัตราเร่งก็จะทำได้ช้าด้วยครับ ให้ทิ้งระยะคันหน้า ประมาณ สองช่วงรถเป็นอย่างน้อย เมื่อได้จังหวะปลอดภัย ค่อยกดคันเร่งลงไป เบา ๆ ก็พอครับ แต่ถ้าอัตราเร่งไม่พอ ก็กดปุ่ม over driveซึ่งจะเป็นวิธีที่ดีกว่าการคิกดาวน์ นะครับ เพราะจะได้อัตราเร่งแรงสม่ำเสมอกว่าการคิกดาวน์การคิกดาวน์ระบบเกียร์อัตโนมัติ มันก็จะทำงานอัตโนมัติของมัน ซึ่งหากระยะการแซงมันยาวเกียร์ก็อาจปรับอัตโนมัติเป็นเกียร์สูงขึ้น แต่อัตราเร่งจะลดลง ในขณะที่เรายังแซงไม่พ้นได้ครับ 11หากเราขับรถไปจอดค้างคืนที่ไหน ในที่ ๆ เราไม่ค่อยคุ้นเคย หรือแม้กระทั่งที่บ้านเราเองก็เหอะก่อนที่จะสตาร์ทรถ ให้เปิดดูห้องเครื่องก่อนนะครับ ให้ทำพร้อม ๆ กับข้อ 1 เลย เปิดดูห้องเครื่องพร้อมกับตรวจลมยางด้วยสายตา บางทีอาจจะเจอน้องเหมียวนอนอยู่ในห้องเครื่อง หรืออาจจะเจองู หนู เป็นต้น 12. ก่อนใช้รถทุกครั้ง เช็ดกระจกและยางปัดน้ำฝนให้สะอาดครับ ถึงรถอาจจะยังไม่ได้ล้างก็ไม่เป็นไรแต่กระจกควรจะใสสะอาดทุกบาน เพราะมันมีผลต่อทัศนวิสัยในการขับขี่รวมทั้งอารมณ์ของผู้ขับด้วยครับ เรื่องอื่น ๆ ก็มี * เรื่องการใช้เบรคมือ เราควรใช้เมื่อต้องใช้ นะครับ บางท่านก็มีนิสัยไม่เคยใช้เบรคมือเลยซึ่งมีทั้งผลเสีย ทั้งมีอันตราย หากเราเผลอเรอได้ครับ * การถอนคันเร่งหรือชลอความเร็วทันที หากสภาพถนนเปลี่ยนแปลงไป เช่น ขรุขระ , เปียกแฉะ ไม่ว่าแฉะน้อยแฉะมาก ฝนตกหรือไม่ตกก็ตาม , การจราจรเริ่มหนาแน่น เมื่อเห็นสภาพไกล ๆ ข้างหน้า เราควรชลอและปรับความเร็วที่เหมาะสมเสียใหม่ครับ ไม่ควรคงความเร็วเดิมไว้ * ฝึกชำเลืองดูหน้าปัดเป็นระยะ ๆ ในขณะขับรถ * ฝึกใช้สายตา ในหลาย ๆ ระยะ ทั้งไกล ใกล้ และด้านข้างทั้งสองข้าง กรณีกลางคืน หากมีไฟรถคันอื่นรบกวน พยายามอย่าให้ตาเราเผลอไปมองไฟนะครับ ฝืนสายตาไปทางอื่น การมองไฟตรง ๆ จะทำให้ตามีจุดบอดชั่วขณะ * อย่าฝืนขับรถถ้ารู้สึกล้า ให้หาที่ปลอดภัย พักก่อนครับ นิสัยบางคนชอบฝืนนะ ( ผมเองก็ด้วย ) ขอบคุณแหล่งข้อมูล: //www.thaimazdacx5club.com |
MStaRT
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Group Blog All Blog
|
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |