5 วัน 4 คืน ใน Macau ภาคจบ
ต่อนะคะวันที่ 3 ละค่ะ วันนี้ข้ามเกาะกันค่ะ เป้าหมายของเรา "เกาะไทปา"สภาพอากาศวันนี้ ฝนก็ยังคงตกอยู่ค่ะ อากาศเย็นๆเช่นเคยวันนี้เริ่มการเดินทางด้วยการเดินไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ตรงข้าม Master Hotel เพื่อจะขึ้นรถสาย 26 เพื่อไปยังเกาะไทปา ที่หมายของเรา ขณะที่อยู่บนรถเมล์ วันนี้ฝนตกค่อนข้างหนัก มองไม่เห็นอะไรเลยรูปนี้ถ่ายจากบนรถเมล์ นี่คือ "ประตูแห่งความเข้าใจ" Gate of Understanding สัญลักษณ์แห่งการเฉลิมฉลองควมสัมพันธ์ระหว่างจีนและโปรตุเกส สร้างขึ้นในปี 1993 ออกแบบโดย Charters de Almeida สูง 40 m โครงสร้างเป็นคอนกรีต ส่วนนอกมีหินแกรนิตสีดำหุ้มทั้งหมด (ข้างนอกตกหนักเลย)ว่าแล้วก็ใจจดใจจ่อกะทาง แต่ด้วยสภาวะอากาศก็แทบมองไม่ออกเลยว่าที่ไหนคือที่ไหน เห็นอีกทีก็เป็นย่านคาสิโน...ซึ่งมันเลยตัวเมืองไทปามาแล้ว แป่ววววววว หลงอีกแล้วค้าบบบก็เลยลงที่ Hardrock Casino เพื่อจะข้ามไป Venetian ตกลงกะเพื่อนว่าไหนๆก็หลงแล้ว ก็ไปที่นี่แหละด้านหน้า Hard RockCity of Dream คาสิโนที่ติดๆกันVenetian จะข้ามไปละนะป้ายVenetian วันนี้การแต่งตัวก็แนวเดิม ไปดูข้างในกัน อลังการงานสร้างมากๆๆ มามาเก๊าอย่าลืมมาถ่ายรุปที่นี่นะคะ นี่แค่ทางเข้านะอีกรูปค่ะ ที่เห็นเป็นทางเดิน คือ ทางไปคาสิโนค่ะ แต่ว่าส่วนที่เป็นคาสิโนห้ามถ่ายส่วนนี้ผ่านโนคาสิโนมาละค่ะ จะไปโซนชอปปิ้ง ช่วงนี้เป็นช่วงก่อนคริสมาสเลยมีต้นคริสมาสสวยๆเยอะเลยว่าแล้วก็ขอแชะภาพคู่หน่อยมาดูโซนที่เค้าฮิตๆกันค่ะ (จำไม่ได้แล้วอ่ะว่าเรียกว่าอะไร)จัดได้น่ารักน่าเดินมากๆ มีเรือกอลโดลาด้วย แต่แอบแพงและก็พลาดไม่ได้ ต้องแชะหน่อยโซนนี้เข้าโซนไฮโซละค่ะ ก็จะตกแต่งดูหรูหรา งดงามสวยจังงงงงจะว่าไปมาที่นี่หมดไปทั้งวันจริงๆ แค่เดินดู ถ่ายรูป หม่ำข้าวก็ปาไปครึ่งวันแล้ว แล้วยังไปค้นพบโซน Duty Free ที่ราคาเกือบๆเท่า Sasa แต่ของแท้ ซื้อในห้างด้วย ตบท้ายด้วยคาสิโนอีก 1 ชั่วโมง (เสียไป 20 MOP) ก็เลยออกจากที่นี่เกือบๆ 5 โมงเย็น ทั้งๆที่มาถึงตั้งแต่ 10 โมงแอบสารภาพว่าอยู่ในโซนเครื่องสำอางค์เกือบๆ 2 ชั่วโมง ทุกอย่างล่อตาล่อใจหมดเลย ก็เลยสอยมาสามอย่าง มี แป้งฝุ่น+แปรงของ Clinique 190 MOP แป้งฝุ่นแบบมี shimmer ของ Mac 180 MOP ตบท้ายด้วย Brush on ของ Mac 175 MOP (รอชมได้ในรีวิวเครื่องสำอางค์นะคะ) ส่วนคุณเพื่อนก็หมดไปมากมายกับ Clinique , Bobbi Brown แล้วก็ Anna Sui ออกมาจากแถวนั้นแทบเป็นลม หน้ามืดชอปไปมากมาย ทั้งที่ไม่ตั้งใจจะใช้เงินเยอะและหลังจากหมดไป 20 MOP ในคาสิโนโดยไม่มีเงินงอกเงยกันทั้งคู่ก้ตัดสินใจกลับเซนาโดไปสำรวจราคาเทียบกับของที่ซื้อมาคืนนี้โชคดีที่ฝนหยุดแล้ว บรรยากาศเซนาโด้เลยครึกครื้นกว่าเมื่อวานยังไม่สะใจ ก็เลยเดินต่อไปชมคาสิโนเกาะมาเก๊าหน่อยบรรยากาศคาสิโนต่างๆ สีสันล่อตาล่อใจมากๆภายใน ตกแต่งรับเทศกาลสุดฤทธิ์ของโชว์ อลังการทั้งนั้นและก็เสตปเดิม แชะหน่อยถ่ายรูปเสดก็ดึกละค่ะ แถมกรอบแกรบกันไปพอควร เลยรีบกลับไปที่พักไปชมเครื่องสำอางค์ที่สอยมาให้ชื่นใจวันที่ 4วันนี้วางแพลนกันไว้ว่าจะเก็บตกเกาะมาเก๊ากัน เพราะว่ายังเก็บตกไม่ครบทุกที่เลย และวันนี้ฝนไม่ตก ฟ้าครึ้มอย่างเดียวเริ่มกันที่เซนาโดแสควร์เลยละกันนะคะสภาพตอนเช้า บรรยากาศเลยยังดูสะลืมสะลืออยู่เลยค่ะเรียกเสียงฮาแก้ความง่วงของภาพก่อนค่ะเซนาโดในเวลากลางวันอีกมุมค่ะว่าแล้วไปเก็บตกซากประตูโบสถ์ เซนต์ ปอลช่วงเช้าๆกันดีกว่าเดินตามซอยในเซนาโดมาไม่ไกลก็ถึงละค่ะซากประตูโบสถ์เซนต์ ปอลค่ะ (Ruins of St. Paul's) และช่วงนี้มีฉลอง 10 ปีมาเก๊าด้วยค่ะเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยซากประตูโบสถ์ เซนต์ ปอล คือ ด้านหน้าส่วนที่เหลือของโบสถ์มาแตร์เดอิ (Mater Dei) โบสถ์นี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของวิทยาลัยเซนต์ิ ปอล (St. Paul's College) ที่ก่อตั้งในปี 1594 และปิดลงในปี 1762 ตัวโบสถ์นั้นถูกสร้างขึ้นในปี 1580 แต่ถูกทำลาย 2 ครั้งในปี 1595 และ 1601 กระทั่งเกิดเพลิงไหม้ทั้งวิทยาลัยในปี 1835 และโบสถ์ถูกทำลายเหลือแต่ด้านหน้าของตึกบรรยากาศเมื่อมองจากบนนั้นมาดูกันชัดๆค่ะเสดจากเซนต์ ปอลก็ไปต่อกันที่ป้อมปราการ เมาท์ ฟอร์เทรสเลนนะคะทางเข้าค่ะแอบแชะรูปหน้าป้อมซะหน่อยป้อมนี้สูง มองเห็นทั้งมาเก๊าเลย อากาศดี วิวสวยบรรยากาศหน้าป้อมเดินต่อไปก็จะเจอพิพิธภัณฑ์มาเก๊าค่ะ ไปชมกันเลยนะคะภายนอกค่ะภายในเป็นอย่างนี้ค่ะเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยพิพิธภัณฑ์มาเก๊าเป็นสถานที่ศึกษาประวัติศาสตร์ของมาเก๊าได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ พิพิธภัณฑ์นี้ก็แบ่งเป็น 3 ชั้นนะคะ ชั้นแรกแสดงเส้นทางการมาพบกันระหว่างจีนกับโปรตุเกส ตลอดจนการเข้ามาของ Jorge Alvares และวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ซึ่งมีการพัฒนาขนานใหญ่หลังจากโปรตุเกสได้เข้ามาชั้นสองก็จะแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมจีนและวัฒนธรรมตะวันตก ทั้งในเรื่องของเครื่องแต่่งกาย พิธีทางศาสนา ศิลปะ และงานเทศกาลสุดท้ายเป็นชั้นสาม เป็นยุคของการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน ชีวิตความเป็นอยู่ อาหรการกิน แม้แต่สิ่งอำนวยความสะดวก ไปชมกันเลยค่ะชั้นแรกค่ะยังคงอยูที่ชั้นแรกค่ะอาคารบ้านเรือนจำลองค่ะสวยจนอดใจไม่ไหว ต้องแชะค่ะวิถีชีวิตคนมาเก๊าค่ะบ้านสมัยเก่า ข้าวของเครื่องใช้ และแอบประชันความงามกับสาวมาเก๊าค่ะหิวกันรึยังคะ ขอแนะนำค่า....นี่ค่ะ อาหารแมงกานีสตัวจริงเสียงจริง (แต่กินไม่ได้)ภาพรวมๆค่ะ มาดูบ้านกันบ้างค่ะและสิ่งต่อไปนี้ เราสนใจที่สุดค่ะให้ทายค่ะ ว่าคืออะไรติ๊กต่อกๆๆเฉลยค่าาาาาาามันคือ...หมอนเห็นครั้งแรกก็เออะ...เค้านอนกันยังงี้เลย ไม่เมื่อยหรอ เคยลองนอนหนุนหนังสือดู ก็ไม่ได้จริงๆค่ะ นับถือคนสมัยนั้นเลย)วิถีชีวิตแบบมาเก๊าค่ะแปปเดียวถึงชั้นบนละค่ะ ยังไม่สะใจเลยว่าแล้วก็กลับลงไปทางเดิมค่ะมาดูซากประตูกันอีกครั้งว่าแล้วก็นั่งรถไปเก็บตกที่ไทปากันนะคะระหว่างทางค่ะในเมืองไทปาขนมค่าาาาาา ทาร์ตไข่เจ้านี้อร่อยดี ไม่เลี่ยนมากย่านร้านขายของค่ะ ย่ายนี้เค้าเรียกว่า ถนนสายอาหารค่ะว่าแล้วไป Taipa House Museum กันค่ะ (จุดมุ่งหมายที่มาไทปาในวันนี้)ก่อนถึงก็จะเจอโบสถ์นี้ค่ะ เป็นโบสถ์คาทอลิกแห่งเดียวในเกาะไทปาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยก่อนชมมาทราบข้อมูลกันก่อนนะคะ พิพิธภัณฑ์นี้ประกอบด้วยบ้านสไตล์โปรตุเกสสีเขียว 5 หลัง ซึ่งบ้านเหล่านี้สร้างขึ้นในปี 1921 เพื่อใช้เป็นที่พักของครอบครัวระดับสูง พอยุค 80 การท่องเที่ยวของมาเก๊าได้ซื้อบ้านเหล่านี้ พอปี 90 รัฐบาลเลยตัดสินใจปรับปรุงโครงสร้างทั้งหมดและได้ปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ก่อนจะเปิดให้ชมได้เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1999[hkoc9j]ts]y'Macanese House เป็นบ้านสไตล์โคโลเนียลที่ทำให้เราได้รู้จักกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของข้าราชการชั้นสูงชาวโปรตุเกสในอดีตผ่านข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านHouse of the Islands หลังนี้เป็นที่เก็บข้อมูลทางภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ของเกาะไทปา โคโลอานHouse of the Portugal Regions หลังนี้แสดงเครื่องแต่งกายของชาวโปรตุเกสในภูมิภาคต่างๆExhibition Gallery ใช้แสดงภาพถ่าย ภาพวาด งานเซรามิก ภาชนะเครื่องใช้ เป้นผลงนศิลปะจากทั่วโลกHouse of Reception เป็นสถานที่จัดแสดงงานวัฒนธรรมและเทศกาลแห่งการกินค่าเข้า 5 MOPค่ะ (ถูกมากกก)ไปชมกันเลยนะคะบ้านหลังแรกค่ะ Macanese Houseภายในบ้านค่ะแอบแชะหน่อยยยหลังที่สองค่ะ House of the Islands หลังที่สามค่ะ House of the Portugal Regionsภายในค่ะหลังที่ 4 ค่ะ Exhibition Galleryหลังสุดท้ายค่ะ House of Receptionและแล้วก็พบว่าเวลายังเหลือ เพื่อนคู่หูอยากไปวัดอาม่าค่ะ ก็เห็นว่าไปจากไทปาคงไม่ยากพอดีว่าไปถึงก็ 5 โมงเย็นละค่ะ เลยไม่ได้ไปดูรูปปั้นอาม่าเสดจากวัดก็เหนว่าค่ำแล้ว เลยตัดสินใจเข้าเมืองไปตามหาเจ้าแม่กวนอิมค่ะมาเก๊าค่ำคืนค่ะมาเก๊าทาวเวอร์ค่ะ (ในที่สุด)ชอบๆๆและแล้วก็เจอแล้วค่ะ เจ้าแม่กวนอิมสีทองอร่าม และขอปิดท้ายด้วยค่ำคืนที่มาเก๊าค่ะ เพราะวันสุดท้ายไม่มีอะไรขอบคุณที่ติดตามนะคะ
5 วัน 4 คืน ใน Macau ภาคเริ่ม
แหะๆๆ วันนี้อารมณ์ดี ขี้เกียจอ่านหนังสือ แวบมาอัพบลอกดีก่า มาคราวนี้ของดเครื่องสำอางค์หนึ่งวัน มาเป็นไกด์ดีก่าความเป็นมาของทริปนี้บังเอิญว่าไปมาเลแล้วติดใจ อยากไปเมืองนอกอีก แต่งบน้อย ก็เลยต้องไปใกล้ๆ ตอนแรกว่าจะไป Australia แต่คาดว่างบจะบานเบ่ง ก็เลยไปมาเก๊า-ฮ่องกงดีก่าทิปนี้จองกัน 27 มีนา 09 เดินทาง 6 กลับ 10 ธันวา 09 ราคารวมกระเป๋า 15 kg + Air Insurance สิริรวม 6,220 THB/2 ppl ต่อคน 3,110 ไปกลับก็หาๆๆข้อมูลเรื่อยๆ จน 3 เดือนก่อนเดินทาง เริ่มจริงจัง แพลนละเอียด ไปถึงทำไง ขึ้นรถสายไหนอะไรยังไง ละเอียดมากกกก เพราะกะจะไปสองประเทศอีกเดือนกว่าๆจะเดือนทาง หลังจากที่อ่านหนังสือนำเที่ยวจนคาดว่าเก็บAได้ละ ก็ได้ขอสรุปว่าจะพักที่ไหน ได้มาเป็น Sanva Hotel ในหนังสือเขียนไว้ว่าหว่องกาไวเคยมาพักและใช้เป็นที่ถ่ายหนัง ก็เอาวะหว่องกาไวนอนได้ ชั้นก็บ่ยั่น ลองหาในเน็ต โอ้ มีเว็บด้วยก็เออ เอา!! ส่งE-mail ไปถามเลยว่าคืนที่ 6 กะ 9 ธันวามีห้องป่าว คืนละเท่าไรหนึ่งวันผ่านไป E-mail กลับมา มี คืนแรก 120 + 100 MOP (+100 เพราะเป็นช่วงเทสกาล ทางโรงแรมของเพิ่ม) คืนสุดท้าย 120 MOP คือคืนแรกตก 1,100 THB/2 คน = 550/คน คืนที่2 ถูกเว่อร์ๆ 600/2 คน = 300/คน เห็นราคาก็ตกลงทันที ทางโรงแรมใจดีมาก ไม่ต้องมัดจำด้วย ส่วนโรงแรมที่ฮ่องกงเราให้เพื่อนจัดการและก็ไปอ่านในเว็บของการท่องเที่ยวมาเก๊ามาว่ามีหนังสือท่องเที่ยวมาเก๊าแจกฟรีด้วย ก็จัดไปเลย ขอทันที ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ก็ได้มาก่อนออกเดินทางเช็คอากาศ แลกเงิน จัดของ เขียนสรุปว่าไปไหนอะไรยังไงได้มาเป็นหนังสือนำเที่ยว Handmade by Yossyรูปเล่ม เป็นสมุดขดลวด ลายเด็กน้อยน่ารัก กระดาษไม่มีเส้น และเป็นกระดาษถนอมสายตาด้วยเล่มละ 35 บาท หาได้ที่หน้าโรงหนังสยามข้างในบอกก่อนว่าที่ต้องทำเอง เพราะเราขี้เกียจพกหนังสือนำเที่ยวหลายเล่ม เลยเอาทุกอย่างรวมมาไว้ในนี้มาดูกันว่ามีไรบ้างเบอร์ 1 สรุปไฟลท์และราคา กันลืม เพราะต้องไปเอาเงินกะเพื่อนด้วย และก็เอา Booking No. จดลงไปด้วย เผื่อเกิดอะไรขึ้นอะItin ที่เราปริ๊นท์ไปเบอร์ 2 ข้อมูลโรงแรม ชื่อ ที่อยู่ เวลาเช็คอิน และแผนที่ทางไปโรงแรมเบอร์ 3 แทกผิดอ่ะ แผ่นแรกที่มีตารางด้วย เป็นตารางเรือเฟอรี่ข้ามฟากไปฮ่องกง มีราคาและโปรต่างๆเบอร์ 3 อีกอันข้างๆกัน เป็น ลิสต์ของและราคาที่ขายในไทย เอาไว้อัพเดทราคาใน Duty free และที่มาเก๊าเบอร์ 4 ตารางรถเมล์ในมาเก๊าทั้งหมดว่าสายไหนผ่านที่ไหน จอดไหน สุดสายที่ไหน วนกลับยังไงเบอร์ 5 สรุปรายวันว่าวันไหนต้องไปไหน ขึ้นรถยังไง ต้องดูอะไรบ้าง ค่าใช้จ่ายที่น่าจะเสีย ข้อแนะนำต่างๆเบอร์ 6 อันนี้เป็นสรุปการเดินทางและค่าใช้จ่ายต่างๆในแต่ละวันแหะๆๆ และด้วยความรอบคอบของเรา ทำให้ทริปนี้เวริ์คสุดๆด้วยหนังสือเดินทางแฮนเมดของเรา นอกจากนี้เรายังมีแผนที่ที่เราซีรอกมาจากหนังสือแล้วเอามาต่อกันเองด้วย(สภาพค่อนข้างเยินเพราะเราใช้ตลอดเลยค่ะ)เอาล่ะ เมื่อเธอพร้อมฉันก็พร้อมไปด้วยกัน ว่าไปโน่น ก็ไปสนามบินกันเลย ภาพนี้คือเราเอง และเพื่อนร่วมทริป ไปกันสองสาวและเมื่อแตะแผ่นดินมาเก๊าออกมาจากตม. ก็รีบๆมาหาทางออกเพราะว่าต้องรีบไปเช็คอิน แล้วไปเกาะไทปาต่อ ตามแผนก็ออกมารอรถสาย 26 เพื่อจะไปลงหน้าโรงแรม Master Hotel26 คันแรกผ่านมา งงๆๆ ขึ้นไม่ทัน ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็มา คันถัดมา คันนี้คนขึ้นมากมาย เราก็รีบต่อแถวจะไปด้วย แต่ป้าๆโดนไล่ลงมา ก็เลยลงมาด้วยก็รอต่อไป มาอีกคัน เอาวะ คันนี้ช้านจะถามเอง เอาแผนที่ให้ดู ว่าไป Master ปะ คนขับก็งงๆ แถมพูดอังกฤษไม่ได้ ก็ใช้สายตาวิงวอนจนมีคนที่พูดได้มาแปลให้ แต่คนขับบอกว่าต้องรอคันถัดไป คันนี้ไปอีกทาง แป่วววววแห้วกันต่อไป เลยปรึกษากะเพื่อนว่า ถ้่าคันต่อไปไม่มาจะนั่งแท็กซี่ละนะ และแล้ว... คันที่รอคอยก็มา ก็หยอดเงินเป๊ะๆ (รถเมล์ไม่มีทอนนะคะ)นั่งๆๆ แบบงงๆๆ ตื่นตาตื่นใจกะมาเก๊ามากมายและก็ถึง Master Hotel ขั้นต่อไป หา Rua da Felicida ถนนแห่งความสุข อยู่ไหนล่ะ อ่ะถามหนุ่มๆแถวนั้นดู แป่ว หนุ่มๆ ส่ายหัว คือไม่รู้ว่าพูดไม่ได้หรือไม่รู้ อ่ะลองใหม่ถามป้า ป้าใจดีมาก บรรยายเป็นฉากๆ แต่เรา...ไม่เข้าใจ ป้าเห็นหน้าก็พอเดาออกว่ากระเหรี่ยงงงแน่ๆ ป้าเลยบอกว่า มะตามช้านมาา คนมาเก๊าใจดีจังป้าก็เดินนำๆๆ จนถึงป้ายรถเมล์ แล้วป้าก็บอกนั่งสาย 3 ไปลงท่าเรือนะ ก็ฟังแบบงงๆ คือในแผนที่มันบอกว่าเดินถึงนี่นา แปปๆเองนะ จะให้นั่งรถไปไหนล่ะ แล้วหลงมาทำไง ก็เนียนๆ ยืนรอรถ รอให้ป้าไปก่อน ป้าไปแล้วสักพัก ถามคนใหม่ก็ได้ เค้าก็ชี้ว่าไปทางโน้น อ่ะทางโน้นก็ทางโน้น เดินๆๆจนถึงเซนาโดแสควร์ อ้าว แล้วไมถึงที่เที่ยวแล้วล่ะ มองๆๆแบบงงๆ เจอคณะทัวร์ไทย เลยไปถามคุณไกด์ว่ารู้จักถนนแห่งความสุขไหมคะ ไกด์มองหน้างงๆ ไม่รู้ครับ แป่วววว เป็นไกด์ยังไงวะ เอาน่าก็เดินๆๆๆ ต่อไป แต่โลกมันกลมอ่ะนะ เจอะป้าคนเดิมเข้าอย่างจัง ป้าก็ว่าๆๆๆ ทำไมมาทางนี้ ชั้นบอกให้ขึ้นสาย 3 ใช่ไหม ไปกลับไปเลย มาทางไหนไปทางนั้นเลย โอ๊ะเจ็บ โดนป้าว่ามากมาย ก็มุดๆๆลงซอย หนีป้าก่อน ทะลุออกมาถนนใหญ่อีกรอบ เลยข้ามฝั่ง เอาวะ นั่งแท็กซี่ละกัน ว่าจะประหยัดได้แทกซี่แบบงงๆ ก็เอาแผนที่ให้เค้าดูแล้วก็ถามว่าไปไหม (ติดนิสัยมาจากแท็กซี่ไทยที่เลือกไป) แท็กซี่ก็ดูแล้วก้บอกเออ ไป ก็รีบกระโจนขึ้น สักพักแอบมองหน้าชัดๆ พี่แท็กซี่หล่อจังเลย หน้าตาดีมากมาย ทำไมเมืองไทยไม่มีบ้าง พี่แท็กก็พาเข้าซอยนั้น ออกซอยนี้แล้วก็จอด ที่ซอยๆหนึ่ง ก็บอก เนี่ยแหละ ถึงแล้ว หมดไป 20 MOP เอาน่า ค่าหล่อลงมาก็เหมือนเดิม ช้านอยู่ไหน ก็เดินวนๆๆออกมาถนนใหญ่ วนหา ถามๆ หาๆ จนในที่สุดวนกลับมา ณ จุดที่แท็กซี่หน้าตาดีมาส่ง และเมื่อมองไปอีกด้าน มีป้ายประตูทางเข้าน้อยๆ สรุปว่าวันนี้ทั้งโดนหลอก และโง่เอง โรงแรมอยู่ตรงหน้าแต่หาไม่เจอ นี่ทางเข้าโรงแรม ป้ายมีแค่นี้ลงเครื่องมา 13:45 ตามหาสาย 26 กว่าจะถึงในเมืองก็เกือบๆบ่าย 3 หลงเมือง หาที่พักไม่เจออีกจนสี่โมง ไทปาเป็นอันจบกัน อ่ะ เปลี่ยนแผนไปเข้าโรงแรมไปเช็คอินทางขึ้นสูงมากๆๆ และเป็นบันได ขึ้นไปประมาณชั้นสอง แบบไม่มีลิฟท์ พร้อมกระเป๋าหนักเบ้ง และรองเท้าบูทหัวแหลม หว่องกาไงนะหว่องกาไว ก็จ่ายตังค์ เชคอิน ลากของเข้าห้อง เห็นห้องก็...เออะ มิน่าล่ะ ถู๊ก ถูก คิดในใจอีกแล้ว....หว่องกาไงนะหว่องกาไว ไม่น่าเชื่อแกเลย มีหนึ่งเตียงเดี่ยวน้อยๆ ตู้เก่าเขรอะ ก็อกน้ำและอ่างล้างหน้า โต๊ะเครื่องแป้งและกระจก เฟอร์นิเจอร์ และผนังห้องสีเขียว แบบโบราณมากๆ แถมผนังห้องเป็นเหมือนฉากกันแต่ละห้องที่สูงแค่สองเมตรกว่าๆ แต่เพดานสามเมตร เลยได้ยินทุกห้องชัดเจน แถมไม่มีฮีทเตอร์ด้วย โอ้วววว ก็พูดกะเพื่อนว่าเอาเหอะ แค่ที่ซุกหัวว่าแล้วก็แปลงร่างออกไปชมโลกกว้างดีก่า แหะๆ ทั้งเซ็ทของเราขนมาจากเมืองไทยหมดเลยค่า ชุดวันนี้เป็นเดรสสีฟ้าอมม่วง ผ้าไหม กำมะหยี่ ที่ใส่ไปงานพรอม สอยมาจากแพลตินัม 690 บาท (เพราะเพื่อนบอกว่าจะใส่เดรส) ถุงน่องดำ ตามด้วยเสื้อคลุมจากอเมริกาที่ได้มาในราคา 10$ ผ้าพันคอตั้งแต่สมัยที่ไปแลกเปลี่ยนที่เบอร์ลิน 10 ยูโร ต่างหูสำเพ็ง รองเท้าVNC และที่ไม่ใส่ชุดนี้มาจากเมืองไทยก็เพราะว่ามันอลังไปอ่ะค่ะ เอาไว่ไปเที่ยวนอกอย่างเดียวเท่านั้นว่าแล้วก็ก้าวฉับๆไปเซนาโด แน่ละสิว่าไม่หลง เดินจนครบรอบละมาดูบรรยากาศกันนะคะSt. Dominique Church อากาศวันนี้โอมากเลยค่ะ เย็นๆ ลมนิดหน่อย น่าเดินหน้าร้าน Giodanoหน้ามุมBossiniเดินๆไปสักพักก็ค่ำละนี่เป็นโบสถ์เซนปอลตอนกลางคืนค่ะและมื้อเย็นของเรามื้อนี้มีขนมปังหมูปิ้ง และก็ทาร์ตไข่ อร่อยๆๆหม่ำแล้วมีแรง อ่ะเดินต่อ ซอยในเซนาโด แสควร์แล้วก็เสียทรัพย์จนได้ ไส้เสื้อคลุมขนเฟอร์มา ก็ไม่เห่อ แต่ใส่เลย จากร้านนี้อ่ะค่ะ ซื้อมา 199 MOP = 995 THBว่าแล้วก็หิว เลยย้อนไปทางเดิม หาไรหม่ำหน่อยละกันมื้อดึกคืนนี้ของเราเป็นโจ๊กค่า ส่วนคุณเพื่อนเป็นข้าวราดไข่คนก็อร่อยดีนะ แบบว่าขนมปังหมูปิ้งย่อยไปแล้วและเมื่อท้องอิ่มก็มีแรง และตอนนั้นก็สี่ทุ่มก่าๆเอง เดินเล่นสักหน่อยเนอะ วิวมาเก๊ายามค่ำคืนค่ะวิวจากไปรษณ๊ย์อาคารลีอัส เซนาโดวิวอีกด้านนึงไปรษณีย์ยามค่ำคืน ในที่สุดก็หามุมถ่ายกะคาสิโนได้และจบท้ายด้วยถนนแห่งความสุขค่ะ วันแรกที่มาเก๊าผ่านไปแล้ว ปล.ลืมบอกไปว่าจากการดูสภาพอากาศ และหลายๆอย่างก็เลยล่มทริปฮ่องกง ตัดสินใจอยู่มาเก๊าทั้ง 5 วันเลยวันที่สองกริ๊งๆๆๆๆ นาฬิกาปลุกเร็วจัง วันนี้เริ่มรุ้สึกถึงความหนาวและชื้น และแล้ว...จากที่เลือกฤดูที่จะเดินทางอย่างดี... ฝนตกค้าบพี่น้อง แต่เอาวะ ใครท้อ ไม่มีซะล่ะว่าแล้วก็เติมพลังมื้อเช้ากันเลยดีกว่า มื้อนี้เอาง่ายๆ กินตรงตรอกตรงข้ามซอยที่อยู่ เป็นร้านข้าวหน้าเป็ด หมูกรอบอะไรเทือกนั้น ข้าวหมูกรอบของคุณเพื่อน และข้าวหน้าเป็ดของเรากระซิบนิดนึงว่า "อร่อยมากกกกกกกกกกก" มื้อนี้ถ้วยละ 20 MOP จานละ 23 MOP แต่เค้าลดให้ สิริรวมเลยเป็น 40 MOP คนมาเก๊าใจดีจังงงงงงเมื่อท้องพร้อมกองทัพก็พร้อม ไปกันนนนน เริ่มต้นวันด้วยวัดอาม่า เป้าหมายในวันนี้คือ ไปให้ครบทุกวัด ทุกโบสถ์ที่จะไปถึงงงงง (ยิ่งใหญ่เนอะ)ว่าแล้วก็ไปรอสาย 6 ที่ป้่ายรถเมล์หน้าซอยที่จะลัดไปโรงแรม จะว่าไปรถเมล์ที่นี่เหมือนรถตู้กระป๋องเลย แต่ไม่อึดอัดนะรอแปปเดียวรถก็มา พอนั่งไปอึดใจเดียวก็ถึงวัดอาม่าแล้ว เร็วกว่าที่คิดไว้เยอะเลยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยวัดอาม่า (A-Ma Temple) หรือ "ศาลเจ้าแม่ทับทิม" เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า และเป็นอาคารสถาปัตยกรรมที่คงอยู่มาได้ยาวนานที่สุดด้วย แถมวัดนี้ยังเป็นที่มาของชื่อมาเก๊า คือ เมื่อผู้ตั้งถิ่นฐานชาวโปรตุเกสรุ่นแรกมาถึงในศตวรรษที่ 16 แล้วถามถึงชื่อเกาะก็ได้คำตอบว่า "อามา เกา" ซึ่งเป็นชื่อวัด เลยเรียกกันว่า มาเก๊า โดยวัดนี้ตั้งอยู่ที่จตุรัสบาร์รา (Barra Square)หน้าวัดอาม่า (รูปนี้เป็นรูปหลังจากที่ลงมาแล้ว ฝนเริ่มซา) วันนี้ฝนโปรยปราย (เลยต้องซื้อร่ม ก็เลยไปเอามาจากSasa ในราคา 39 MOP) เสื้อผ้าวันนี้ ข้างในเป็นเสื้อกล้ามสีดำ ใส่คู่กะกระโปรงยีนส์ ถุงน่องดำ รองเท้าบูท และก็เสื้อคลุมขนเฟอร์ที่ไปถอยมาเมื่อวาน ตบท้ายด้วยผ้าพันคอซื้อที่เมกา ช่วงลด 10$ กระเป๋าหนังจากท่าพระจันทร์ ว่าแล้วก็ไปปีนวัดกันนน (วัดอยู่บนเขาอ่ะค่ะ)หน้าวัดช่วงขาขึ้น เพราะวันนี้ฝนตก ก็เลยพกร่มกันทุกคนอันนี้คือหินที่เค้าว่าแทนจุดที่อาม่าก้าวขึ้นฝั่งมาเก๊า (อาม่าขายาวนะเนี่ย ฝั่งอยู่ตั้งไกล))บริเวณวัดและเมื่อปีนขึ้นไปแล้วก็เห็นมาเก๊าในมุมกว้าง และเมฆหมอกที่บอกเป็นลางๆว่าวันนี้จะตกทั้งวันแท่นไหว้ ที่มีคุณลุงยืนคุมแบบเซ็งๆๆ และรอบล้อมด้วยธูปม้วนมากมายเจ้าของบลอกเองค้าบบบบ (มีแบกกราวน์เป็นร่มมากมาย และธูปม้วน)ร้านขายของที่ระลึก (แต่เหมือนที่เยาวราชเลยอ่ะ)ว่าแล้วก็สำรวจรอบๆ ละก็พบว่ามันเป็นลานจอดรถอ่ะ (สรุปคือหลงทิศ 555)เดินไปสักพักฝนก็ตกหนักขึ้นเรื่อยๆๆๆๆก็ทำเอาตื้อเลย ไม่รู้จะไปไหน เหลือบไปเห็นว่ามีพิพิธภัณฑ์ทางทะเลตั้งอยู่ใกล้ๆ ก็เลยตกลงปลงใจ ไปเดินเล่นถ่ายรูปในพิพิธภัณฑ์กันหน้าพิพิธภัณฑ์ Maritime Museumในพิพิธภัณฑ์บริเวณทางเข้า ค่าเข้า 10 MOP นะคะตั๋วค่ะ เป็นภาพบริเวณด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ในวันที่ฟ้าใสภายในโซนนิทรรศการ ชั้น 1กะเรือที่เค้าโชว์ไว้ชุดของชาวมาเก๊าโบราณเรือและไหโบราณที่ชั้น 2มาเก๊าสมัยก่อนนู้นนนเรืออีกลำชุดทหารโปรตุเกส เกาะมาเก๊าช่วงเริ่มต้น อุการณ์ใรเรือ และประภาคารเกียร์จำลองที่ชั้น 3มีเน็ตให้เล่นด้วย แต่ดุได้เฉพาะข้อมูลมาเก๊า นี่เป็นพยากรณ์อากาศ อากาศวันนี้จนถึงวันกลับ คาดการณ์ไว้ว่าตกทุกวัน ขอบคุณนะหลังจากโต๋เต๋ถ่ายรูป เดินลัลลาร่วม 2 ชั่วโมง ก็เลยตกลงใจฝ่าฝนไปเดินในเมืองต่อ รอบนี้ไม่สนใจรถเมล์ ใช้การเดินกลับแทน (คือมันใกล้มาก) เลยเอาบรรยากาศแบบเปียกๆมาฝากตึกแถวๆนั้น และร้านอาหาร คุณลุงกะลังทำขนม คุณลุงเห็นเราหยุดดูก็เลยให้ชิม อุ่นๆเลย อร่อยมากกกกเดินต่อๆไปก็เจอร้านอาหารไทยในมาเก๊าระหว่างทาง ชอบจังเลยว่าแล้วก็รู้สึกหิวละสิ ก็เลยไปหาอะไรทานกันแถวๆนั้น มื้อเที่ยงวันนี้สองสาวตกลงปงลใจเลือกธีม Manganese คือ อาหารมาเก๊า+โปรตุเกส หน้าตาอย่างในรูปเลยคร้าบบบบบข้าวอบชีสซีฟูด และก้อผัดหมี่ราดด้วยผัดถั่งอกแบบเนยๆ จิบกะชาสำหรับเจ้าของบลอกประทับใจเมนูหลังมากกว่า เพราะว่าไม่ค่อยปลื้มชีส แล้วเมนูนี้เลี่ยนมาก ต้องสั่งโค้กมาดับเลี่ยนเลยทีเดียว ต่างกะเพื่อนเรา เปรมเลยมื้อนี้ว่าแล้วก้ไปลุยกันต่อว่าแล้วก็ไปตามหาจตุรัส เซนส์ เอากุสติน (St. Augustine's Square)เจอแล้ว วันนี้จตุรัสดูเหงาๆ เพราะว่าฝนตกว่าแล้วก็แชะ ฝนตกก็บ่ยั่นหน้าโบสถ์ Senario De Joseว่าแล้วก็ต่อกันที่ห้องสมุดเซอร์โรเบริ์ต โฮ ทุง (Sir Robert Ho Tung Library) กันต่อไม่มีรูปด้านหน้านะคะ ถ่ายรูปไม่เก่ง หามุมไม่ได้จริงๆ ภาพนี้จะเป็นด้านข้างส่วนที่เป็นห้องสมุด และสวนด้านหลังสำหรับนั่งอ่านหนังสือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยห้องสมุดเซอร์โรเบริ์ต โฮ ทุง (Sir Robert Ho Tung Library) นี้ก่อสร้างตั้งแต่ปี 1894 เดิมเป็นที่พักอาศัยของ ดอนนา คาโรลินา คุนญ่า (Dona Carolina Cunha) ต่อมาเซอร์โรเบริ์ต โฮ ทุง (Sir Robert Ho Tung) เศรษฐีชาวฮ่องกงได้ซื้อต่อในปี 1918 เพื่อใช้เป็นบ้านพักตากอากาศฤดูร้อน และเมื่อเซอร์โรเบริ์ตเสียชีวิตในปี 1955 ท่านก็ได้ทำพินัยกรรมยกที่นี่ให้รัฐบาลมาเก๊าเพื่อเป็นห้องสมุดและได้มีการเปิดบริการมาตั้งแต่ปี 1958 เป็นคนดีมากเลยว่าแล้วก็ไปต่อกันที่โบสถ์ เซนส์ เอากุสติน (St. Augusttin Church)เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยโบสถ์ เซนส์ เอากุสติน (St. Augusttin Church) โบสถ์นี้มีความเป็นมาเมื่อปี 1586 เมื่อนักบวชคณะเอากุสตินจากประเทศสเปนได้สร้างโบสถ์นี้ขึ้นมา ต่อมาถูกย้ายไปที่จตุรัส ซานโต อะกอสทินโย (Santo Agostinho Square) โบสถ์ที่เห็นในปัจจุบันเป็นหลังที่สร้างใหม่ในปี 1874 เป็นโบสถ์แรกในมาเก๊าที่มีการเทศน์เป็นภาษาอังกฤษมาดูข้างในโบสถ์กันนะคะงามมากๆๆและไปต่อกันที่โรงละครดอมเปโดรที่ 5 (Dom Pedro V Theatre)โรงละครนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงกษัตริย์ เปโดร ที่ห้า (King Pedro 5) นับเป็นโรงละครตามแบบตะวันตกแห่งแรกในประเทศจีน แต่เดิมชุมชนชาวโปรตุเกสใช้เป็นที่จัดงานสำคัญต่างๆ ปัจจุบันใช้เป็นที่แสดงละครและคอนเสริ์ตว่าแล้วจุดมุ่งหมายของวันนี้คือโบสถ์ค่ะ ยังเหลืออีกโบสถ์นะคะ เราไปตามหากัน โบสถ์เซนส์ ลอเรนซ์ (St. lawrence's Church) โบสถ์นี้สร้างมาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 16 เป็นหนึ่งในสามโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า แต่โบสถ์ที่เห็นในปัจจุบันนี้มาจากการบูรณะในปี 1846 บริเวณรอบๆ โบสถ์เคยเป็นย่านคนร่ำรวย เห็นได้จากตัวอาคารที่หรูหรา ส่วนภายนอกอาคารนั้นมีสไตล์นีโอคลาสสิคเจือด้วยบารอกจากตรงนี้ก็เดินเล่นต่อไปเรื่อยๆค่ะ ไปตามหา Macau Tower กันเดินไปเดินมาก็มาเจอแยกนี้ค่ะ มาดูสิคะว่าเจออะไรรัฐสภาของมาเก๊าค่า สีชมพูสวยงามอีกรูปค่ะ ชอบสีมากๆเลยจากตรงนี้เดินไปอีกนิดหน่อยก็จะเจอ Macau Tower ละค่ะวันนี้หมอกหนามากกกก เลยมีบุญเห็นชัดที่สุดเท่านี้ค่ะ ตอนแรกกะว่าจะไปเดินชมกัน แต่ว่าจากสภาพอากาศแล้วขึ้นไปก็คงไม่คุ้ม เลยเปลี่ยนแผนไปชอปปิ้งค่ะว่าแล้วก็ไปเดินซุปเปอร์ดีกว่า ดูซิว่าเค้ามีอะไรน่าสนใจบ้าง (ไม่โดนบีเอลากด้วย) ไปเจอนี่มาค่ะผลิตภัณฑ์ไทยๆ ที่ขายในซุปเปอร์ มีตั้งแต่ข้าวไก่เทอริยากิ กระทิงแดงขวด กระป๋อง ขายยกแผงด้วย และที่ขาดไม่ได้มาม่าค่ะและแล้วก็กลับไปยังเซนาโดที่เดิม ก็เดินดูของจนเย็นเลยล่ะค่ะ ส่วนมื้อเย็นวันนี้ หลังจากที่อาหารเที่ยงเลี่ยนจัดมาแล้ว ก้ตกลงกันว่าจะเอาอาหารไม่ซ้ำ แต่ขอไม่เลี่ยน เลยได้มาเป็น ... ชมกันเลยค่ะมันเป็นคล้ายๆร้านลูกชิ้นค่ะ ตอนแรกก็ยืนงงๆ คุยกะเพื่อนอยูว่ามันสั่งยังไง ก็มีพี่คนไทยใจดีที่ยืนซื้ออยู่แนะนำว่าเลือกๆ ไว้แล้วเอาให้แม่ค้าต้มให้ในน้ำซุปข้น เลยได้มาเป็นถ้วยนี้ค่า ถ้วยนี้ 28 MOP รสชาดโอเคอ่ะค่ะ แต่ก็มีกลิ่นอายแมงกานิสอยู่อิ่มแล้วก็ตะลุยชอปต่อค่า วันที่สองก็เลยจบที่เซนาโดเหมือนเดิมที่ไม่พออ่ะค่ะ อ่านต่อในตอนจบนะคะ