มีการถกเถียงมากมายในวงการพระเครื่องเกี่ยวกับจำนวนพระสมเด็จวัดระฆัง ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)สร้าง บางท่านบอกว่ามีเพียง 100-200 องค์หายาก ราคาแพง บางท่านให้ความเห็นว่า เคยเห็นพระสมเด็จวัดระฆังในวงการพระเครื่อง 1,000 กว่าองค์ บางท่านบอกว่ามีจำนวนมากกว่านั้น จากการค้นคว้ารวบรวมข้อมูลอาจจะนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า พระสมเด็จวัดระฆังมีมากเกินกว่าที่หลายท่านประมาณการไว้ จากข้อมูลต่างๆ ดังนี้
1. สมเด็จพุฒาจารย์(โต) ถึงแก่มรณกรรมในแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 หากนับตั้งแต่วันมรณภาพจนถึงปัจจุบัน รวมเป็นเวลา 130 ปี ถ้านับชั่วอายุคนจนถึงปัจจุบัน ก็ประมาณ 2 ชั่วอายุคน รุ่นปู่ของปู่ (ปู่ทวด) ดังนั้น จึงมีการบันทึกคำบอกเล่าการสร้างพระสมเด็จ จากพระเถระเก่าแก่ที่เคยเป็นศิษย์ของสมเด็จพุฒาจารย์(โต) เอาไว้หลายประการ
2. จากคำบอกเล่าของพระอาจารย์ขวัญ วิสิฏโฐ เจ้าคุณธรรมถาวร (ช่วง) พระครูธรรมราด(เที่ยง) ทราบว่ามีการสร้างพระสมเด็จเพียง 29 ชนิด แต่สำหรับการสร้างพระสมเด็จวัดระฆัง สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) มีเป้าหมายที่จะสร้าง จำนวน 84,000 องค์ (84,000 พระธรรมขันธ์) เพื่อบรรจุเจดีย์ เป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาด้านรูปธรรมในทนถาวร ตามคตินิยมของคนโบราณ
3. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้สร้างพระสมเด็จวัดระฆังบล็อคช่างหลวง (หลวงวิจารย์เจียรนัย) ตั้งแต่ พ.ศ. 2408 เป็นต้นมา ท่านได้ทยอยสร้าง ทยอยปลุกเสก และแจกแก่ประชาชน บางส่วนสร้างให้แก่ข้าราชการบริพาร ตระกูลขุนนาง คหบดี ตามคำร้องขอ เพื่อนำเอาไปบรรจุเจดีย์สำหรับเก็บอัฐิบรรพบุรุษ ตามความเชื่อคนโบราณ บางส่วนสร้างนำไปบรรจุตามฐานพระ ฐานเจดีย์ที่ท่านสร้างไว้ ส่วนหนึ่งคนรุ่นเก่าตระกูลเจ้าเจ้านาย ขุนนาง เก็บไว้เป็นมรดกตกทอด สำหรับพระสมเด็จวัดระฆังที่บรรจุภาชนะไว้ใต้ฐานเจดีย์ เท่าที่พบองค์ที่ลงรักเก่า ความร้อน ความอับชื้น เวลาร้อยกว่าปี ทำให้รักเก่าหลุดร่อนเป็นตามธรรมชาติ จึงเป็นเพราะสมเด็จวัดระฆังที่ยังคงสภาพเดิมเอาไว้ครบถ้วน
4. เมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ได้ปลุกเสกพระสมเด็จวัดระฆังแล้ว ท่านได้นำไปใส่ไว้ในภาชนะ เช่น บาตร กระบุง โอ่ง ไห เก็บไว้ในหอสวดมนต์ เมื่อท่านละสังขาร ได้มีการขนย้ายพระสมเด็จวัดระฆังที่เก็บไว้ ไปไว้ที่วิหารวัดระฆัง บางส่วนนำไปแจกจ่ายให้ประชนที่มาเตรียมสถานที่พระราชทานเพลิงพระสรีระสังขาร หลังจากนั้นได้มีผู้คน ต่างเอาไปบูชา ทำให้พระสมเด็จวัดระฆังหมดจากวัด ตั้งแต่ พศ. 2415
5. ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลเจ้าเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2416 หลังจากสมเด็จฯ ได้มรณภาพเพียง 1 ปี ได้เกิดโรคระบาดร้ายแรงคือ โรคอหิวาตกโรค ชาวบ้านเรียกว่า โรคห่าปีระกา ขึ้นในกรุงเทพ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ไปเข้าฝัน ให้นำพระสมเด็จวัดระฆังไปสรงน้ำในขันน้ำ พร้อมนำดอกไม้ธูปเทียนอธิษฐาน ขอให้บำบัดสรรพโรค แล้วเอาน้ำที่สรงพระสมเด็จัดระฆังมาดื่ม โรคร้ายจะหาย จากนั้นเพียง 7 วัน โรคร้ายได้สงบลงอย่างน่าอัศจรรย์ ชาวบ้านต่างหวงแหนและเก็บรักษาพระสมเด็จวัดระฆังและเป็นมรดกตกทอดถึงลูกหลานในปัจจุบัน
6. สมเด็จพุฒาจารย์(โต) ชอบสร้างพระพุทธรูปและเจดีย์ใหญ่ๆ โตๆ ให้สมนาม โต ของท่านไว้ 6 แห่ง คือ
- พระพุทธไสยาสน์ที่ใหญ่ที่สุดที่วัดสะตือ จ.พระนครศรีอยุธยา
- พระพุทธรูปยืนสูงที่สุดที่วัดอินทรวิหารบางขุนพรหม
- พระเจดีย์นอนจำนวน 2 องค์ หันฐานเข้าหากันที่วัดละครทำ ธนบุรี
- พระพุทธรูปนั่งองค์ใหญ่ วัดกุฏิทอง จ.พระนครศรีอยุธยา
- พระพุทธรูปยืน ที่วัดกลาง ต.คลองข่อย จ.ราชบุรี
งานประติมากรรมที่ท่านสร้างไว้มีขนาดใหญ่โตทั้งสิ้น จึงเป็นเหตุผลสำคัญชี้ให้เห็นว่า การสร้างพระสมเด็จวัดระฆัง องค์ขนาดชิ้นฟักเล็กๆ มีขนาดเพียง 2 * 3 ซม.เศษ ท่านคงสร้างสำเร็จไม่ยาก
7. เนื่องด้วยพระสมเด็จวัดระฆัง เป็นพระเนื้อผง คนสมัยนั้นไม่มีสิ่งห่อหุ้มอย่างดีเหมือนสมัยนี้ อย่างมากใช้กระดาษหรือเศษผ้า ย่อมทำให้เกิดการชำรุดเสียหายจากการใช้ ทำให้เนื้อพระสึกกร่อนแตกหัก แต่สมเด็จพุฒาจารย์(โต) มีวิธีการชาญฉลาดในการรักษาเนื้อพระ โดยการนำพระสมเด็จไปลงรัก เคลือบรักษาเนื้อพระไว้เป็นอย่างดี จึงมีสภาพดีจนถึงปัจจุบัน
หากเราศึกษาข้อมูลหลายด้าน นำมาวิเคาะห์ด้วยเหตุผลด้วยใจที่บริสุทธิ์ จะพบความจริงที่เชื่อได้ว่า เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์(โต) สร้างพระสมเด็จมีจำนวนมากพอควร ถึงแม้จะไม่ครบ 84000 องค์ เพราะระยะเวลานั้นท่านอยู่ในวัยชรา แต่เนื่องด้วยเพราะสมเด็จเป็นสิ่งมหัศจรรย์ล้ำค่ายิ่ง จึงมีการเก็บรักษาไว้และเป็นมรดกให้แก่คนรุ่นหลัง มีจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ได้เปิดเผยให้เห็นในวงการพระเครื่อง
"ถึงแม้จะมีน้อยหรือมาก ก็ไม่ทำให้ความต้องการและค่านิยมลดลงแต่อย่างไร "